ในที่สุดวันเปิดเทอมก็ได้เริ่มต้นขึ้น แมรีแอนน์ลุกบิดขี้เกียจลงจากเตียงเลื่อนม่านเปิดหน้าต่างรับแสงวันใหม่ให้สาดส่องเข้าห้องพัก เธอยิ้มอารมณ์ดีพลางรดน้ำต้นไม้ประดับกระถางใบน้อย เพราะอยู่คนเดียวเด็กสาวจัดแจงตัวเองได้อย่างอิสระเหมือนอยู่บ้าน แต่งองค์ทรงเครื่องตรวจความเรียบร้อยเสร็จ เด็กสาวหยิบเครื่องรางไม้บนโต๊ะหัวเตียงและส่งยิ้มมีความสุขให้มัน นึกถึงวันเก่าๆ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจมักช่วยเธอเสมอมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงสามวันแรกต้องประสบปัญหากับเพื่อนร่วมชั้นก็ตาม

“ขอบคุณค่ะท่านเทพฮีมูอา แฮะๆ” แมรีแอนน์หน้าแดงกล่าวขอบคุณต่อเทพเจ้าแห่งโชคชะตา ที่นำพาให้รู้จักเพื่อนดีๆ ตั้งแต่วันแรก ตามด้วยส่งเสียงฮึบพร้อมสำหรับการเรียนวันแรก

เด็กสาวออกจากห้องฮัมเพลงคลอเบาๆ อารมณ์ดี กระทั่งพบกับลิเลียนหนึ่งในกลุ่มที่เคยมีเรื่องด้วย ดูเหมือนหล่อนยืนดักรอตรงรูปปั้นฝั่งหอสองมาได้สักพักใหญ่ เพราะทันทีที่เห็นแมรีแอนน์ออกจากตึกลิเลียนก็เดินตรงเข้ามา

“สวัสดีค่ะคุณไบลธ์ ลิเลียนทักทายตามมารยาท “ฉันขอเดินไปด้วยกันได้หรือเปล่าคะ?”

“เอ่อ... ดะ ด้วยความยินดีค่ะ”

แมรีแอนน์พยักหน้าตอบตกลงคำขอลิเลียนด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ สงสัยกับการกระทำของอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็เดินไปห้องเรียนด้วยกัน ระหว่างทางลิเลียนก็ได้เปิดประเด็นคุยอย่างตรงไปตรงมา

“เรื่องที่มีปัญหากับคุณก่อนหน้านี้ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ถ้าเรื่องนั้นไม่เป็นไรค่ะ” แมรีแอนน์ยิ้มบางตอบกลับ “ทางนี้เองก็ต้องขอบคุณคุณด้วยที่คอยช่วยน่ะค่ะ”

“ไม่หรอกค่ะ ถ้าฉันกล้าพูดตั้งแต่แรก เรื่องมันคงไม่เกิดขึ้นหรอก” ลิเลียนส่ายหัวแรงปฏิเสธกับคำขอบคุณ

“แต่สุดท้ายคุณยูเรลล่าก็หยุดตามที่คุณบอกไม่ใช่หรือคะ”

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกค่ะ...”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอเชื่อตามที่ตัวเองคิดละกันค่ะ” ไม่ว่าคนตรงหน้าจะพูดยังไง แมรีแอนน์ก็จะเชื่อตามความรู้สึก “ว่าแต่มาอยู่กับฉันจะดีเหรอคะ”

เพราะจู่ๆ แมรีแอนน์ตั้งคำถามแปลกๆ ขึ้นมา ลิเลียนที่ตั้งรับไม่ทันมองหน้าอีกคนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกลับเข้าใจความหมายที่อีกคนต้องการสื่อ

“อ่อ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอก อีกสักพักก็ดีขึ้นเอง”

ได้รับคำตอบจากลิเลียน ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันแล้วทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ บทสนทนาค่อยๆ ไหลลื่น กระทั่งมาถึงห้องเรียนลิเลียนได้ย้ายที่นั่งมาอยู่ข้างแมรีแอนน์ซึ่งยังเหลือว่าง ชาร์ล็อตที่เข้าห้องเรียนมาเห็นแมรีแอนน์กับลิเลียนนั่งคุยกันท่าทางสนิมสนม

“อรุณสวัสดิ์...” ชาร์ล็อตเอ่ยสวัสดีเสียงเกร็งรู้สึกประหม่มองเพื่อนร่วมกลุ่มคนใหม่ไม่วางตา

“หวัดดี” เกล็นที่มาในเวลาไล่เลี่ยกันก็ส่งเสียงงัวเงียทักทาย “อ้าว มานั่งนี่ด้วยเหรอ”

เพราะเพื่อนสนิทไม่มีปฏิกิริยาตกใจที่หนึ่งในสามจากแก๊งคุณหนูมานั่งด้วย ทำให้ชาร์ล็อตงงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้จะเริ่มถามจากจุดไหน ว่าควรถามแมรีแอนน์ตรงๆ หรือถามเกล็นที่น่าจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง

“สวัสดีจ้ะ” ลิเลียนทักทายกลับทั้งสองอย่างเป็นกันเอง “ถ้าขอนั่งตรงนี้ด้วยคงไม่ว่ากันเนอะ?”

“ใครจะไม่ว่า นั่งๆ ไปเถอะ” เกล็นปัดมือไม่ติดใจที่ลิเลียนจะนั่งอยู่แถวนี้ “หืม? มีอะไรเหรอ”

“รู้เรื่องอะไรมาใช่ไหม” เธอขมวดคิ้วถามกลับมั่นใจว่าเพื่อนมีส่วนรู้เห็น

“ถามฉันแล้วจะรู้ไหมล่ะ” เกล็นจงใจตอบปัดทำเป็นไม่ใส่ใจ ไม่อยากเป็นคนเล่าเอง

“เอ่อ... คุณคาเลนเซีย” ลิเลียนเรียกชาร์ล็อตให้หันมาสนใจตัวเอง “เรื่องที่ทะเลาะวันก่อนขอโทษด้วยนะ”

“ฮะ?” ชาร์ล็อตผงะกับสถานการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวรีบหมุนศีรษะไปหาเกล็นอีกรอบหวังขอคำตอบ แต่เขาก็ไม่ตอบ เด็กสาวผมแดงเลยหันไปคุยกับลิเลียนต่อแทน “อะ… อืม… ไม่เป็นไร เธอไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยนี่นะ ช่วยห้ามด้วยซ้ำ… แล้วพวกเพื่อนเธอล่ะ”

“มีปัญหากันนิดหน่อยน่ะ”

ชาร์ล็อตจ้องลิเลียนที่ยิ้มแห้ง “งะ งั้นเหรอ… ทางฉันเองถ้าพูดไม่ดีอะไรไป ต้องขอโทษด้วยเหมือนกัน”

“ไม่หรอก คุณคาเลนเซียไม่ผิดเลยด้วยซ้ำ” ลิเลียนโบกมือไม้เป็นพัลวัน ส่วนชาร์ล็อตก็นั่งกอดอกไตร่ตรองประโยคที่จะพูดต่อ

“เอาเป็นว่าเราปรับความเข้าใจกันแล้ว เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้” ชาร์ล็อตยิ้มผูกมิตรไมตรีกับเพื่อนใหม่ สีหน้าของลิเลียนที่ค่อนข้างอมทุกข์ค่อยๆ กลับมาสดใส หลังได้พูดคุยปรับความรู้สึกที่มีต่อกัน

“ขอบคุณนะ…” ลิเลียนยกนิ้วซับน้ำใสตรงปลายหางตาซาบซึ้งและดีใจที่ได้ปลดปล่อยความอึดอัดใจได้สำเร็จ

ในระหว่างที่สามสาวนั่งคุยปรับตัวกัน คลาริสที่เข้าห้องมาเห็นลิเลียนร่วมกลุ่มกับแมรีแอนน์ต้องปรายตามองสงสัยจนมานั่งข้างเกล็นเป็นการชั่วคราวก่อนเดินไปนั่งที่ประจำของตัวเอง

“เกิดไรขึ้น?” เขากระซิบถามแปลกใจที่ลิเลียนแยกตัวออกมา

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เมื่อคืนเห็นเขาเถียงอะไรกับคุณหนูคนนั้นด้วย” เกล็นยักไหล่ตอบกั๊กๆ

“เหรอ? เอาเหอะ ไม่ค่อยแปลกใจที่จะทะเลาะกัน” คลาริสผงกหัวเข้าใจ ดูท่าเขาจะเดาเรื่องราวได้ แต่นั่นก็เรียกเครื่องหมายคำถามบนใบหน้าเกล็น “อืม… พวกผู้ใหญ่เขาชอบพูดว่าคนบ้านแม็คนัลตี้ส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นพวกเถรตรงน่ะ”

“อะฮะ”

ในจังหวะตอนเกล็นขานรับ เขาสบตาเข้ากับฟิเลน่าที่กำลังเข้าห้องพอดี ทั้งสองมองตาประสานกันครู่หนึ่งก่อนที่ฟิเลน่าทำหน้าเชิดไปนั่งที่เดิมพร้อมกับเคจ ทำตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนและดูไม่ยี่หระลิเลียนที่ย้ายกลุ่ม จูเลียสซึ่งมาที่หลังมองสลับไปมาระหว่างฟิเลน่ากับลิเลียน ถึงขั้นย้ายที่นั่งมาอยู่ข้างเกล็นแถมถามแบบเดียวกับคลาริสไม่มีผิดเพี้ยน

ทว่าไม่ทันตอบองค์ชายดีๆ ระฆังดังเป็นสัญญาณเข้าเรียนวิชาแรกของวันเปิดเทอมแล้วมองหน้าฟิเลน่ากับเคจอย่างสงสัย อาจารย์เจ้าของวิชาปรากฏร่างตรงตามเวลา ไม่เหลือช่วงเวลาให้นักเรียนพูดกันอีก

“แบบนี้คงไม่เป็นไรแล้วสินะ” เกล็นลอบหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ ปรายตามองชาร์ล็อตพยายามฝืนไม่ให้หาว “อาจจะดีก็ได้มั้ง”

 

“ใช่มันดีมากๆ เลยล่ะ” เกล็นกอดอกพยักหน้ากับคำตอบในใจของตัวเอง เพราะไม่ต้องห่วงว่าสาวๆ จะทะเลาะเบาะแว้งกันอีก อีกทั้งการมีลิเลียนจากครอบครัวทำธุรกิจกับจูเลียสผู้เก่งรอบด้าน พ่วงด้วยแมรีแอนน์ที่หัวไว เกล็น ชาร์ล็อตและคลาริสก็สามารถเอาตัวรอดจากเศรษฐศาสตร์แสนยากแบบทุลักทุเล ต่อมาเป็นวิชาประวัติศาสตร์ที่เริ่มเล่าตั้งแต่วันสร้างโลกตามความเชื่อมีเทพเจ้าองค์นั้นองค์นี้ทำหน้าที่ต่างๆ เกล็นที่เบื่อนึกสนุกถือวิสาสะตั้งตำแหน่งเทพแต่ละองค์ตรงกับหน้าที่ในบริษัทเกม เพราะถ้าที่นี่เป็นโลกของเกม พวกทีมงานก็ไม่ต่างอะไรกับเทพเจ้าที่สร้างโลกนี้เท่าไร

เวลาพักกลางวันหลังทานเสร็จ จูเลียสแนะนำสถานที่ดีๆ มันเป็นซอกเล็กๆ ระหว่างตึกเรียนกับรั้วเขตหอพัก น้อยคนที่จะเดินมาเจอ เสียงไม่ดังและวุ่นวายเท่าโรงอาหารหรือบริเวณลานน้ำพุ มีต้นไม้ให้ความร่มรื่นบังแสงแดดยามกลางวัน ม้านั่งหินมีเพียงพอให้ใช้สอย เหมาะกับสายรักสงบ พวกสาวๆ จึงจับเข่าคุยกันเรื่องความสวยความงาม เจ้าชายใช้โอกาสนี้ถามเรื่องเมื่อเช้าต่อ เกล็นเลยพูดเรื่องทั้งหมดให้ฟังที่ลิเลียนคุยเปิดอกอย่างตรงไปตรงมากับฟิเลน่า จากนั้นจูเลียสจึงเล่าเรื่องเก่าๆ ที่น่าจะเป็นต้นเหตุของพฤติกรรม

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรของนาย?” คลาริสกอดอกคิ้วเลิกสงสัย

“กำลังคิดว่าน่าอิจฉาหรือโชคดีไม่รู้สิ”

“หา? มันมีตรงไหนน่าอิจฉา”

“ตรงที่ยังมีคนคอยเตือนไงล่ะ ลองคิดดูสิ ถ้าลิเลียนไหลตามน้ำไปด้วยอีกคน ป่านนี้วิ่งแจ้นมาหาเรื่องพวกชาร์ล็อตแล้ว”

“มันก็จริงที่เกล็นพูดนะครับ…” ถึงเห็นด้วยและพอมองเห็นภาพ แต่จูเลียสมองว่าสิ่งลิเลียนทำคือเรื่องถูกต้องแล้ว ไม่เห็นต้องอิจฉาเลยแท้ๆ

“เอาเถอะ ตอนนี้ปัญหาของพวกสาวๆ ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ไว้อีกสักพักก็คืนดีกันเองนั่นแหละ ปล่อยให้จัดการกันเอง ส่วนคนนอกอย่างเราก็มองอยู่ห่างๆ ไป” เกล็นลุกยืนพลางบิดขี้เกียจคลายปวดเมื่อย “จะว่าไปคาบบ่ายเราเรียนตึกปฏิบัติใช่ไหม”

เขาเปลี่ยนหัวข้อถาม

“อา… ครับ” จูเลียสตอบรับและหยิบนาฬิกาพกดูเวลาอีกสิบกว่านาทีจะเข้าสู่ช่วงบ่าย “ดูจากเวลาตอนนี้เราควรไปห้องเรียนได้แล้ว”

นับว่าเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของสถานที่พักลับ เพราะมันค่อนข้างไกลจากตึกภาคปฏิบัติพอควร ไม่มีเวลาให้เดินเอ้อระเหยลอยชายคุยเล่นเรื่อยเปื่อย ระหว่างพวกเกล็นกำลังจะเดินเลี้ยวมุมตึกลัดลานดินก็ปะเข้ากับฟิเลน่าที่เพิ่งออกจากอาคารเรียนหลัก ถ้าเป็นฉากในเกมคุณหนูคงรีบพูดเหน็บแนมทันควัน แต่การที่เจ้าหล่อนทำหน้าบุญไม่รับเดินไปโดยไม่สนใจแม้กระทั่งจูเลียส

ทั้งหมดมาถึงห้องเรียนตึกภาคปฏิบัติซึ่งมีลักษณะคล้ายห้องเรียนเดิม ต่างแค่เพดานที่สูงและพื้นที่หน้าห้องเยอะกว่า

วิชาแรกของคาบบ่ายเป็นเวทมนตร์ภาคทฤษฎี สอนเรื่องพื้นฐานตั้งแต่เริ่มว่าเวทมนตร์มีแขนงอะไรบ้างซึ่งมันยิบย่อยจนเกล็นที่มาจากตระกูลจอมเวทยังต้องตั้งสติฟังดีๆ เพราะที่ผ่านมาได้ทุกวันนี้มาจากสัญชาตญาณล้วนๆ

โดยแขนงแรกคือพวกพลังธาตุที่แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ธาตุเอก หรือ ธาตุประจำตัวดิน น้ำ ลม ไฟ กับ ธาตุรอง ไม้ น้ำแข็ง ไฟฟ้า แสง โดยที่ใครมีเวทก็สามารถฝึกฝนนอกเหนือจากธาตุประจำตัวได้

มีเพียงธาตุแสงที่ไม่ค่อยมีคนใช้งานทั่วไป กลับกันมันมีความสำคัญอย่างมากในแขนงแพทยาคมเพื่อการรักษาอาการต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าทุกอาการจะสามารถรักษาหายได้ด้วยเวทมนตร์ ซึ่งในโลกแห่งการทำงานเวทแขนงนี้มักอยู่คู่กับแขนงปรุงยาที่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านพฤกษาศาสตร์

แขนงธาตุมืด ถึงจะจัดอยู่หมวดพลังธาตุแต่ก็ถูกจับแยกออกมา เพราะความสามารถมีความสุ่มเสี่ยงมากกว่าแขนงแรกเมื่อเทียบกัน ทำให้มีการตั้งสถาบันเฉพาะทางและผู้เรียนจำเป็นต้องมีผู้รับรองในการสมัครเข้าเรียน การสอบเข้าว่ายากแล้ว เรียนให้จบพร้อมคนเรียนแพทยาคมยากยิ่งกว่า ผู้ใช้เลยมีจำนวนเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับประชากรที่ใช้เวทมนตร์ได้ทั้งหมด

และแขนงสุดท้ายเวทอาคม ถ้าให้สรุปแบบได้ใจความมันคล้ายกับการเขียนอักขระปลุกเสกวัตถุมงคล แต่ของที่นี่มีวิธีให้ใช้เยอะจนเกล็นไม่รู้หรอกว่าเขาเอาไปทำอะไรบ้าง

ตลอดคาบเรียน คลาริสแสดงความกระตือรือร้นตั้งใจเต็มที่ต่างจากสองวิชาแรกชัดเจน ถ้าไม่เข้าใจหรือตามไม่ทันก็หันมาถามเพื่อนข้างตัว

ต่อมาคาบสุดท้ายเวทมนตร์ภาคปฏิบัติ ทีแรกเกล็นเดาไว้ว่าอาจารย์คงค่อยๆ สอนใช้เวทประจำตัวแบบง่ายๆ ซึ่งมันค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับเขา แต่ความรู้สึกหน่ายนั้นต้องโยนทิ้งถังขยะด้วยความเย็นยะเยือกเสียวสันหลังวาบ เมื่อสตรีร่างอวบผมมัดมวยเรียบร้อยสีดำเข้าห้องทักทายและแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร นักเรียนหลายคนล้วนติดกับดักใบหน้าใจดีและน้ำเสียงหวานละมุนรื่นหู หลงคิดว่าวิชานี้หวานหมูแน่ๆ

แต่ยกเว้นกับผู้รู้แจ้งเห็นจริงอย่างเกล็นกับชาร์ล็อต หลังเคยถูก เคธี คิมเมล ตำหนิเสียงดุใส่พวกเขาทันทีที่เห็นว่ากำลังเอาสบู่ละลายน้ำมาราดพื้นกระเบื้องเพื่อให้มันลื่น เพื่อที่จะได้เลียนแบบเหมือนเล่นไอซ์สเก็ต ซึ่งเธอเป็นรุ่นน้องของลินดาสมัยยังทำงานเป็นอาจารย์ของโรงเรียนนี้ และด้วยนิสัยที่เข้มงวด ตำแหน่งหัวหน้าอาจารย์ฝ่ายปกครองเลยไม่ได้มาเล่นๆ นี่คือสาเหตุหลักที่เกล็นอยากยุติปัญหาของสาวๆ ก่อนถึงมือเคธี

ทว่าจากรูปการณ์ปัจจุบันไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

“โชคดีจริงๆ ที่ยัยคุณหนูเป็นเด็กดี” เด็กหนุ่มน้ำตาไหลพรากในใจ

หลังเคธีชี้แจงการเรียนการสอนเสร็จของเทอมนี้เสร็จ เธอแบ่งนักเรียนตามความสามารถทั้งหมดสามกลุ่ม

กลุ่มแรกคือคนที่สามารถใช้สี่ธาตุเอกได้คล่องแคล่ว ได้แก่ เกล็น แมรีแอนน์ และเด็กสาวผมยาวหยักศกเป็นคลื่นสีดำ

“เอ๊ะ? ใช้ครบแต่แรกเลยเหรอ?” เกล็นเหลือบมองแมรีแอนน์ที่ใช้เวทธาตุเอกครบ เพราะถ้าเป็นในเกมเธอจะใช้ได้แค่เวทลมที่เป็นธาตุประจำตัวกับเวทแสงที่ใช้ได้ตั้งแต่เด็กๆ

กลุ่มสองใช้ได้มากกว่าหนึ่งธาตุ ประกอบด้วย จูเลียส ฟิเลน่า และเพื่อนอีกสองสามคน

“โดดไปแสงเหรอเนี่ย” เกล็นเผลอผิวปากอย่างประหลาดใจขณะที่มองคุณหนู เพราะตามปกติเวลาฝึกธาตุอื่น คนส่วนใหญ่ศึกษาธาตุเอกอื่นก่อนจะไปธาตุรอง

และกลุ่มสุท้ายจำนวนเกินครึ่งห้องใช้เวทธาตุประจำตัวได้อย่างเดียว ชาร์ล็อตและคลาริสอยู่กลุ่มนี้

จากนั้นเคธีได้ใช้เวลาเล็กน้อยในการแบ่งกลุ่ม หลังรู้ว่าศักยภาพของนักเรียนแต่ละคนเป็นยังไง โดยเธอให้กลุ่มเกล็นที่มีกันสามคนคอยทำหน้าที่ดูแลเปรียบเสมือนหัวหน้ากลุ่ม แล้วมีกลุ่มจูเลียสช่วยเป็นลูกมือ แต่ไม่ทันจะประกาศรายชื่อกลุ่มแรกครบ เกล็นต้องหน้าถอดสีรู้สึกแปลกๆ คิดไปเองว่าเคธีจงใจให้ชาร์ล็อต แมรีแอนน์ และฟิเลน่าอยู่ด้วยกัน ทำให้บรรยากาศในกลุ่มอึดอัดจนสมาชิกที่เหลือยังสัมผัสได้

“มีอะไรกันหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรค่ะ” ฟิเลน่าตอบเสียงเรียบ

เคธีคลี่ยิ้มพยักหน้าเข้าใจประกาศนักเรียนกลุ่มสองต่อ จูเลียส คลาริส ลิเลียน อยู่กับสาวน้อยผมดำ และ…

“ตอนเพื่อนโม้ว่าเรียนเซคเดียวกับดารา ความรู้สึกมันเป็นงี้เหรอวะ” หัวใจเกล็นเต้นตึกตักที่ได้มาอยู่กลุ่มเดียวกับอิกนิส พออยู่ใกล้ๆ ตัวจริงช่างดูดีเสียเหลือเกินถ้าเขายิ้มจะขนาดไหนนะ เป็นแค่ตัวละครในเกมแท้ๆ “อา…ดีใจจังเกิดใหม่ในโลกเกม หลานรักทำดีมากที่เผาแผ่นด้วย”

“มีอะไรเหรอ?” อิกนิสถามกับคนที่จ้องเขาไม่วางตา น้ำเสียงเขาทุ้มนุ่มน่าฟังยิ่งกว่าในเกมเป็นล้านเท่า มีความสุขจนหัวใจเต้นแรง ช่างเป็นมนุษย์ 2D ที่มีเสน่ห์ซะจริง ไม่สิ ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแค่ภาพสองมิติ เป็นร่างมนุษย์จริงๆ นั่งอยู่ในกลุ่ม นี่ถ้าเขาเป็นผู้หญิงคงกรี๊ดตายกลางห้องไปแล้ว

เมื่อแบ่งกลุ่มเสร็จเรียบร้อย เคธีแจกอุปกรณ์การเรียนตรงกับธาตุของนักเรียนแต่ละคนเพื่อให้ใช้เวทมนตร์ได้ง่ายขึ้น อย่างคนที่เป็นธาตุน้ำจะได้รับเป็นแก้วน้ำ เกล็นซึ่งเป็นคนธาตุนี้สามารถทำให้น้ำเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระและสอนคนธาตุเดียวได้เข้าใจมากกว่าธาตุอื่นที่เขาใช้สัญชาตญาณฝึก ทำให้การสอนของเกล็นออกมาไม่ได้เรื่องเท่าที่ควร เคธีเลยต้องดูแลเป็นระยะ

ขณะที่กลุ่มของจูเลียสค่อยๆ อธิบายการควบคุมพลังเวทเป็นขั้นเป็นตอนมีหลักการกว่า เริ่มจากการตั้งสมาธิคิดถึงธาตุประจำตัว แล้วค่อยๆ จินตนาการถึงลักษณะที่อยากให้เป็น คลาริสที่อยู่กลุ่มเดียวกันสามารถเพิ่มและลดขยายเปลวไฟบนเทียนได้

ด้านฝั่งของแมรีแอนน์ถึงวิธีการสอนไม่ต่างกับจูเลียส แต่บรรยากาศที่ชวนอึดอัดเป็นอุปสรรคในการเรียนของเพื่อนคนอื่น โดยเฉพาะชาร์ล็อตที่สมาธิวอกแวกไม่ได้จดจ่อกับการใช้เวทเท่าที่ควร ผลที่ออกมาของชาร์ล็อตเลยเป็นแค่ก้อนดินในถาดขยับได้เล็กน้อย ยิ่งเคธีเดินมาก็ทำให้สมาชิกกลุ่มมีความกดดันและอยากให้ชั่วโมงเรียนจบไวๆ กระทั่งในที่สุดเสียงระฆังก็ดัง

“วันนี้พอแค่นี้ค่ะ อย่าลืมฝึกบ่อยๆ อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเวลาฝึกธาตุไฟ ถ้าใครอยากฝึกก็มาขอยืมห้องได้เสมอ ส่วนวันพุธอย่าลืมสวมชุดภาคปฏิบัติด้วยนะคะ เพราะจะมีสอบวัดระดับกัน” เคธีประกาศเลิกคาบและผายมือเชิญนักเรียนออกไปก่อน เธอยิ้มให้เกล็นเป็นสัญญาณ เด็กหนุ่มหันบอกให้เพื่อนๆ ไปกันก่อน

“โตขึ้นเยอะเลยนะจ๊ะ” เคธีทักเกล็นอย่างเป็นกันเองตามประสาคนรู้จัก แตะเอวเบาๆ พาออกนอกห้องพร้อมกัน “คุณพี่ลินดาเป็นยังไงบ้าง”

“ย่าสบายดีครับ”

“ถ้าจำไม่ผิดคนที่นั่งข้างๆ หนูชาร์ล็อตหรือเปล่า เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันน้า”

“คะ ครับ” ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เกลนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนขึ้นมา

“แล้วสาวๆ เขามีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ?” เคธีหยุดมองหน้าเกล็น รอยยิ้มแสนหวานนั้นแฝงยาพิษไม่ปาน “บรรยากาศอึมครึมซะขนาดนั้น”

“ทะเลาะกันนิดหน่อยครับ” เกล็นจำใจตอบความจริง ไม่มีทางเลยที่จะเฉไฉแล้วรอดจากสายตาเคธี “ตอนนี้ผมคิดว่า…น่าจะต้องใช้เวลา”

“เหรอ… ดีแล้วจ้ะ พวกครูน่ะเจอปัญหาเรื่องชนชั้นทุกปี บางคนก็ลงไม้ลงมือเดือดร้อนพ่อแม่ตั้งแต่เปิดเทอม” เธอถอนหายใจเหนื่อยหน่ายที่ต้องมารับมือกับเรื่องแบ่งชนชั้น “ได้ยินจากปากพยานแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย ครูขอตัวก่อนล่ะ แล้วเจอกันคาบหน้านะจ๊ะ”

เคธีผละมือจากเอวเด็กหนุ่ม แล้วฮัมเพลงอารมณ์ดีที่ปีนี้ไม่มีงานเข้าฝ่ายปกครองวันแรกจากไป ส่วนเกล็นเกือบหมดพลังจนเผลอยกมือพนมมือขอพร

“สาธุ ขอให้ลูกช้างใช้ชีวิตเรียบง่ายก็พอไม่ต้องเอาปัญหามาให้อีกแล้วเถิด”