เพราะได้นอนหลับสนิทกว่าคืนแรกร่างกายที่ตื่นอัตโนมัติเลยไร้อาการงัวเงีย เกล็นจึงจัดแจงตัวเองและดูแลต้นไม้เสร็จด้วยสีหน้าเบิกบาน เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ เขาก็เดินลงจากชั้นหนึ่งเลี้ยวเข้าห้องอาหารประจำหอมาทานมื้อเช้าเติมพลังงานรอเวลานัดสำรวจรอบเมืองกับพวกชาร์ล็อตในวันหยุดนี้

โดยอาหารเช้าของที่นี่ดูดีสมเป็นโรงเรียนคุณหนู ที่เห็นแล้วชวนให้คิดถึงบุฟเฟ่ต์ตามโรงแรมห้าดาวไม่ปาน... ไม่สิ ต้องบอกว่ามันดีกว่านั้นเยอะ อย่างขนมปังที่มีเลือกหลากหลายประเภท แฮมเอย เบคอนเอย ไส้กรอกเอย ล้วนแล้วน่าตักใส่จาน เมนูไข่สารพัด สลัดผักที่ดูสดสะอาด ผลไม้หลากชนิดมากินคู่กับวอฟเฟิลราดด้วยน้ำผึ้ง และเครื่องดื่มมากมาย ให้เลือกสรร

 

เกล็นไม่รอช้าตักอาหารตรงหน้าจนพูนจานด้วยความอยากกินใจจะขาดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ทำเอาคนที่เดินผ่านมาเผลอปากทักเรื่องปริมาณ

“สุดยอดเลยนะครับ” เสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นเรียกความสนใจเกล็นมองยังเด็กหนุ่มรูปร่างสง่า ผิวผ่อง ผมสั้นสีทองนุ่มน่าสัมผัส ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายสดใส ใบหน้าหล่อเหลาลุคหนุ่มสุภาพเข้ากับรอยยิ้มมีเสน่ห์ สวมชุดภูมิฐานเรียบร้อย สมกับคาแรกเตอร์เจ้าชาย

เห็นคู่สนทนานิ่ง จูเลียสกระแอมเคอะเขินกล่าวขอโทษและทักอรุณสวัสดิ์อย่างเป็นมิตร “เมื่อสักครู่ขอโทษนะครับ… แล้วก็สวัสดีครับ”

“สะ สวัสดี เอ่อ…”

“ไม่ต้องพิธีรีตองหรอกครับ” จูเลียสพูดดักที่อีกฝ่ายพยายามนึกคำพูดเป็นทางการ “ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันนี่เนอะ”

“อะ อืม…” เกล็นพยักหน้าเห็นด้วย เขาทำตัวเลิ่กลั่กอยู่ไม่น้อยที่มีเชื้อพระวงศ์ยืนประชิดตัว “ตะ ตื่นเช้าจัง…”

“คุณเองก็เช่นกันครับ”

“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ เป็นเพื่อนกันนี่เนอะ” เกล็นยิ้มแหยวางตัวไม่ถูก “วันนี้คงไปสำรวจเมืองเหมือนกันสินะ?”

จูเลียสส่ายหน้าเนือยๆ “ไม่ครับ อันที่จริง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันจะทำอะไรดี”

“งั้นไปด้วยกันไหมล่ะ?”

ไม่มีการตอบทันทีทันใด เจ้าชายแสดงสีหน้าลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจซ่อนแววตาตื่นเต้นได้

“ครับ” น้ำเสียงสดใสตอบดีใจที่มีคนชวน “งั้นผมขอไปบอกท่านพี่ก่อนนะครับ ว่าจะไปกับพวกคุณ”

“เป็นการผูกมิตรที่ดี”

เกล็นยกยิ้มมุมปากปลื้มที่เช้านี้เริ่มต้นได้สวย ถึงหวั่นใจเรื่องระหว่างแมรีแอนน์กับฟิเลน่า เพราะไม่รู้ว่าคุณหนูจะวีนแตกตอนไหน แต่การสนิทกับจูเลียสสำคัญกว่า ทั้งสองจึงค่อยๆ นั่งคุยทำความรู้จักกันเล็กน้อย กระทั่งชาร์ล็อตมาทานอาหารเช้า เด็กสาวชะงักที่เห็นเพื่อนสนิทอยู่กับองค์ชาย ไม่กี่อึดใจเธอปรับตัวเข้าหาได้เป็นธรรมชาติ

“เรื่องเมื่อวานขอโทษแทนฟิเลน่าด้วยนะครับ” จูเลียสขอโทษเสียงเศร้ารู้สึกผิดและหนักใจพฤติกรรมของฟิเลน่า “จะบอกว่าเธอเป็นแบบนั้นแต่แรกก็เป็นแค่ข้ออ้าง”

“ฉันรับคำขอโทษจากเธอนะ” ชาร์ล็อตรับคำขอโทษจากชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมมาเอง ฉันไม่ขอโทษกลับหรอก แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สนใจมาเที่ยวในเมืองกับพวกเราไหม?”

“เมื่อครู่เกล็นชวนแล้วน่ะครับ”

เวลานี้ในความคิดเกล็นมีแต่คำว่าเยี่ยม จูเลียสเป็นมิตรกับคนอื่นง่าย เป้าหมายตีซี้เพื่อสร้างความสามัคคีในอนาคตออกผลลัพธ์ดีเกินคาด คลาริสที่มาสมทบเป็นคนสุดท้ายคุยกับเจ้าชายเป็นกันเองยิ่งกว่าเขากับชาร์ล็อตเสียอีก กระทั่งใกล้ถึงเวลานัด จูเลียสจึงไปหาพี่สาวซึ่งอยู่หอเดียวเพื่อขออนุญาตออกไปข้างนอกกับพวกเกล็น ก่อนจะพากันมายังรูปปั้นหน้าหอเพื่อเจอกับแมรีแอนน์ที่รออยู่

“รอนานไหม?” ชาร์ล็อตโผเข้าจับมือของแมรีแอนน์อย่างตื่นเต้น

“ไม่หรอกค่ะ เพิ่งมาเมื่อกี้เองค่ะ ว่าแต่…” แมรีแอนน์เอนตัวมองจูเลียสที่ยืนอยู่หลังชาร์ล็อต “จูเลียสก็จะมากับพวกเราด้วยสินะคะ?”

“ครับ” องค์ชายพยักหน้าตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“วิเศษจังเลยค่ะ” แมรีแอนน์ยิ้มกว้างดีใจที่มีคนเพิ่ม “แต่ก็น่าเสียดายนะคะ เมื่อเช้าฉันว่าจะชวนคุณอิกนิ…”

“ไม่ต้องไปสนใจคนแบบนั้นหรอก!” คลาริสตัดบทหัวเสียอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาแมรีแอนน์อึ้งไม่เข้าใจไปชั่วขณะ “ไปกันเถอะ”

แมรีแอนน์มองไล่หลังคลาริสที่เดินนำไปตาปริบๆ ฉงนกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง​ จนเธอชักไม่มั่นใจข้อมูลที่รับรู้มา

“เอ่อ เขาเป็นพี่น้อง…กันใช่ไหมคะ?”

“ครับ เขาเป็นฝาแฝดกัน แต่…” จูเลียสผ่อนลำบากใจเล็กน้อยที่จะเล่าต่อ “แต่เหมือนไม่ค่อยสนิทกัน เพราะเรื่องส่วนตัวน่ะครับ”

“งะ งั้นหรือคะ…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกแมรีแอนน์ ขึ้นชื่อว่าพี่น้องเดี๋ยวก็ปรับความเข้าใจแล้วดีกันนั่นแหละ แค่ตอนนี้อยู่วัยต่อต้านเลือดร้อนไปนิด” เกล็นพูดปนหัวเราะคลายความกังวล รู้ดีว่าสักวันพี่น้องคู่ได้คืนดีกัน ดูจากสถานการณ์แล้ว คงไม่จำเป็นต้องเข้ารูทอิกนิสด้วยซ้ำ เขาเชื่อว่าแมรีแอนน์สามารถช่วยสานความสัมพันธ์พี่น้องได้แน่นอน

“คำว่าวัยต่อต้านเนี่ย อย่างกับคุณลุงแถวบ้านเลยค่ะ” แมรีแอนน์หัวเราะคิกคัก แม้แต่จูเลียสก็เห็นด้วยเล่าเรื่องที่แม่ต้องปวดหัวกับพี่ชายคนรองที่ชอบหมกตัวอยู่แต่ในห้อง โดยมีพ่อให้ท้ายพูดคำเดียวกับที่เกล็นใช้

“ขอโทษละกันที่ใช้คำคนแก่” เกล็นหน้าแดงแยกเขี้ยวตอบกลับ

ทว่าช่วงที่พวกเขาคุยเล่นกันกลับไม่มีใครรู้ตัวเลยสักนิดว่า ฟิเลน่าวิ่งไล่ตามจูเลียสเหมือนทุกที เธออยากตะโกนเรียกชื่อเพื่อให้เขาหันมา แต่ก็ไม่กล้าเพราะในกลุ่มมีแมรีแอนน์กับชาร์ล็อตอยู่ด้วย หล่อนจึงจ้องเด็กสาวสามัญชนด้วยสายตามาดร้าย ก่อนค่อยๆ ชะลอความเร็วแล้วหยุดนิ่งตั้งคำถามมากมายในหัว แล้วแอบสะกดรอยเงียบๆ

 

วันที่โรงเรียนเอลเซียส์ก่อสร้าง ใกล้ๆ กันนั้นมีพื้นที่ว่างเปล่าอยู่ติดกันกับโรงเรียน ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงได้มีการสร้างสถานที่สำหรับสังสรรค์ให้คนงานพักผ่อนหลังทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน นานวันเข้าก็ขยับขยายกลายเป็นเมืองใหม่ไปพร้อมกับโรงเรียนที่ค่อยๆ สมบูรณ์ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ร้านค้าจิปาถะ ร้านอาหารคาวหวาน รวมทั้งสร้างสระน้ำเพื่อเป็นสวนสาธารณะ เหมาะเป็นสถานที่พักผ่อนของทุกคน

 ด้วยความเป็นลูกคนรวย วันๆ อยู่แต่ในบ้านกับออกงานสังคม เมื่อเจอบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา เดินโฉบไปตรงนู้นทีตรงนี้ทีโดยเฉพาะจูเลียส เขาประทับใจการใช้ชีวิตอย่างอิสระครั้งแรกไม่มีใครคุ้มกัน พ่อค้าแม่ขายพร้อมใจเสนอสินค้าต่างๆ ทั้งจริงใจทั้งเอาเปรียบ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนเบื้องหน้าคือเจ้าชาย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่รู้จัก เพราะนอกจากพ่อแม่และพี่คนโต คนธรรมดาส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเห็นโฉมหน้าเหล่าพี่น้องอีกสามคนที่เหลือ รู้แค่ชื่อเสียงเรียงนามเท่านั้น และความไม่ประสีประสานี้ แมรีแอนน์ต้องคอยลากองค์ชายให้รอดจากเงื้อมมือคนโกง

ระหว่างเดินสำรวจที่อื่นต่อ แต่ละคนต่างมีความสนใจต่างกันอย่างเกล็นคอยมองร้านอาหารเป็นหลัก ขณะที่ชาร์ล็อตกับจูเลียสสนใจร้านสัตว์เลี้ยงมากกว่า เพราะมีความชอบเหมือนกัน ทั้งคู่เลยพูดคุยกันถูกคอ จึงได้รู้ว่าจูเลียสเลี้ยงกิ้งก่าคาเมเลี่ยนอยู่ตัวหนึ่งชื่อบรูโน่ ทำให้ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆ ที่น่าเลี้ยง โดยมีแมรีแอนน์คอยถามด้วยความใคร่รู้

หลังเดินกันหนำใจพอจำได้ว่าร้านไหนอยู่แถวไหน ทั้งหมดก็มานั่งฆ่าเวลากันต่อที่สวนสาธารณะริมสระซึ่งมีกิจกรรมอย่างบริการเช่าเรือพาย ทั้งคลาริสกับจูเลียสร่วมหัวกุเรื่องเกี่ยวกับปีศาจปลายักษ์ให้แมรีแอนน์กลัวระหว่างให้อาหารปลา ส่วนเกล็นนั่งทิ้งตัวหมดแรงที่ม้านั่งใกล้ๆ ไม่นึกว่าสองหนุ่มจะสนิทกันไวขนาดนี้

“โชคดีนะที่พวกเราไม่เจอยัยคุณหนูนั่น” ชาร์ล็อตหย่อนกายนั่งลงข้างเพื่อนสนิทที่พยักหน้าเห็นพ้อง

“ยิ่งเห็นสองคนนั้นตัวแทบติดกันมีหวังเม้งแตก”

ถึงไม่เข้าใจคำว่าเม้งแตกแปลว่าอะไร เด็กสาวก็พอเดาความหมายได้และจินตนาการเห็นภาพของฟิเลน่าโมโหโทโสท่ามกลางฝูงชน

“แล้วสองคนนั้นที่ว่าเนี่ย แมรีแอนน์กับจูเลียสเหรอ?”

“อ๊ะ” เกล็นอุทานเสียงเบา ลืมไปว่าชาร์ล็อตไม่มีทางรู้เรื่องเหตุผลอีกอย่างที่ฟิเลน่าคอยจ้องแกล้งแมรีแอนน์ “แหม มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าคุณหนูเขาชอบจูเลียสน่ะ”

“นั่นสิเนอะ ลืมเลยว่ายัยนั่นชอบจูเลียสจนขนาดที่พวกผู้ใหญ่ซุบซิบว่า ถ้าสองคนนี้ลงเอยก็ไม่แปลก”

“เหอะๆ ฉันว่ารักกันได้แปลกมากกว่านะ ศีลเสมอกันที่ไหน” เกล็นขำเสียงเหนื่อยใช้ประโยคพิลึก เรียกชาร์ล็อตหันมาจ้องเขม็งอยากรู้ความหมาย “เอ่อ มันทำนองว่ามีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกันไหมน่ะ ทั้งนิสัย ความเชื่อ รสนิยม”

“เธอพูดงี้แล้วก็อดเห็นด้วยไม่ได้เลย” จากนั้นเด็กสาวถอนหายใจหน่าย “พูดเรื่องยัยนั่น ตอนแรกคิดว่าจะได้อยู่สุขสบายแท้ๆ แล้วเชียว ดันมีคู่กรณีซะได้ แต่เมื่อวานแมรีแอนน์ทำเอาตกใจเหมือนกันนะ เวลาโกรธน่ากลัวชะมัด”

“อา… จริงด้วย น่ากลัวจริงๆ อย่างกับย่าเคธีแน่ะ”

แล้วสองเพื่อนสนิทก็หน้าถอดสีขึ้นมาที่คุยเกี่ยวกับย่าเคธี

“จะว่าไป ยัยฟิเลน่าในเกมก็ดวงดีซะเหลือเกินนะ แกล้งเขาโต้งๆ ขนาดนั้น ไม่ยักโดนจับเข้าห้องปกครอง”

เกล็นพ่นลมหายใจ ระลึกสมัยชาติก่อนที่เข้าใจมาตลอดว่า สาเหตุที่ฟิเลน่าไม่ถูกอาจารย์ลงโทษเลยสักครั้งเป็นเพราะชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคอยแบคอัป แต่ความคิดเขาได้เปลี่ยนไป ชักนึกสงสัยแล้วว่าคุณหนูจะรอดจากสายตาอาจารย์ฝ่ายปกครองได้จริงๆ เหรอ?

“ชาร์ล็อตห้ามเป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อนนะ” เด็กหนุ่มเขย่าไหล่ชาร์ล็อตเบาๆ

“ระ รู้แล้ว”

ต่อให้เจ้าตัวพูดแบบนั้น อนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน เกล็นต้องเริ่มคิดหาวิธีไม่ให้ชาร์ล็อตโดนจับเข้าห้องเย็นตั้งแต่เนิ่นๆ จูเลียสคือตัวเลือกที่น่าสนใจ ไม่แน่เขาอาจจะช่วยสมานรอยร้าวได้

“ไม่น่าช่วยได้แหง” เขาเพิ่งนึกได้ว่า เหตุผลที่แมรีแอนน์ถูกคุณหนูกลั่นแกล้งมาจากจูเลียสหันมาสนิทสนมมากกว่าตัวเอง เชื่อเลยว่าต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง ดูท่าแล้วสงสัยเขาต้องลงมือทำคนเดียว จะขอคลาริสช่วยอีกแรงก็กลัวจะคล้ายกับชาร์ล็อตมากกว่า

“แล้วเล่นอะไรน่ะ” เกล็นเลิกคิ้วมองจูเลียสติดหนวดปลอมที่ซื้อมาตอนไหนไม่รู้ ทำท่าล้อเลียนพวกผู้ใหญ่หน้าขึงขังถือแก้วไวน์ประมาณเชียร์ส (Cheers) ขยับปากพูดไร้เสียง

“สงสัยเล่าเรื่องไร้สาระในงานเลี้ยงมั้ง บางคนมันแบบนั้นจริงๆ นะ” ชาร์ล็อตที่พอเข้าใจมุกของเจ้าชายบอก “สำหรับจูเลียสคงน่าเบื่อแหละ”

คุยเล่นอะไรกันเสร็จ พวกแมรีแอนน์ที่ให้อาหารปลาเดินมารวมตัวกับเกล็นและชาร์ล็อตชวนกันกลับหอ เมื่อท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม พอมาถึงบริเวณหน้าหอพักแมรีแอนน์ที่อยู่คนละหอโบกมือลาแล้วแยกตัวออกไป ส่วนพวกเกล็นที่ย่างกรายเข้าหอได้ไม่ทันไร เสียงสูงเป็นเอกลักษณ์ดังจากบันไดฝั่งหญิง เรียกสายตาคนบริเวณโถงหน้าหอทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่เด็กสาวผมลอนสีชมพูเข้มติดโบสีน้ำเงินอันใหญ่โดดเด่น

“ท่านจูเลียสไปไหนมาเหรอคะ?” ใบหน้างอนง้อเอ่ยถามยืนประกบข้างตัว “ฉันตามหาทั้งวันเลยนะคะ พอถามท่านพี่หลุยส์ก็ไม่ทราบ”

“พอดีผมไปข้างนอกมาน่ะครับ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก” น้ำเสียงนุ่มตอบและเสแสร้งขอโทษ เกล็นที่ยืนมองดูห่างๆ ก็ได้แต่ร้องว้าวในใจไม่คิดว่าพี่สาวจูเลียสก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจดีว่าท่านคงอยากมีเวลาของตัวเองบ้าง” นัยน์ตาสีแดงปรายตามองพวกเกล็นเน้นเสียงชัดเจน “งั้น เรา ไปทานอาหารเย็นกันดีไหมคะ เดี๋ยวฉันขึ้นไปชวนท่านพี่หลุยส์มาทานด้วย”

เพราะการแสดงสีหน้าและคำพูดที่ยียวนกวนประสาท เกล็นใช้หัวไหล่สะกิดหลังเพื่อนสาวที่อ้าปากพร้อมรบให้อยู่เฉยๆ จูเลียสนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนตกลงรับคำชวนทานมื้อเย็นขอตัวลาแล้วแยกตัวไป ชาร์ล็อตเบ้ปากไม่สบอารมณ์ขึ้นห้อง ส่วนคนที่เหลือได้แค่มองหน้ากันราวกับถูกทิ้งกลางทาง เดินเข้าห้องอาหารกินข้าวเย็นกันสองคน

 

ตกดึกคืนนั้น เกล็นสะดุ้งตื่นจากฝันเข้าใจว่านอนตกเตียงบ่นกระปอดกระแปดหัวเสียที่ตาสว่างกลางดึก อีกทั้งยังไม่ชินกับสถานที่ต่างถิ่น เด็กหนุ่มจึงพลิกตัวคว้านาฬิกาพกบนโต๊ะข้างเตียงที่บอกเวลาห้าทุ่มกว่า เขาพรูลมหายใจระบายความเบื่อและหงุดหงิดมองเพดาน คิดแง่ดีว่าพรุ่งนี้คือวันอาทิตย์ไม่มีนัดไปไหน ตื่นสายแค่ไหนก็ไม่เป็นไร

“รู้งี้ซื้ออะไรมาตุนสักหน่อยดีกว่า” ครั้นจะเอาไข่ต้มที่ซื้อมากินก่อนก็ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องใช้แก้บนในตอนเช้าก่อน ถ้ามีร้านสะดวกซื้อยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คงไม่ลำบากแบบนี้

เกล็นนอนนิ่งพักใหญ่ก่อนดีดตัวเองขึ้นจากเตียงออกห้องเพื่อไปห้องอาหาร เผื่อมีการเตรียมขนมยามดึกให้นักเรียนผู้หิวโหย ทว่าเขาไม่ถูกกับบรรยากาศทางเดินอันเงียบสงัดสักเท่าไร ตั้งแต่ลุงที่ไหนไม่รู้ทักว่ามีผู้หญิงเดินตามเขาเมื่อชาติก่อน แม่ที่เชื่อเรื่องนี้ก็ทำทุกวิถีทางทั้งแก้บน ขอขมา แล้วพอปิดเทอมก็ได้ส่งเขาไปบวชหน้าร้อนที่ต่างจังหวัด… ซึ่งมันดันเป็นการหนีผีปะเปรตมากกว่าเสริมดวงชะตา

“ถ้าที่นี่เป็นเมืองฝรั่ง ตรรกะผีต้องฝรั่งด้วยสิ แตะมาต่อยคืน ไม่มีพระแต่ใจพกมาด้วยนะเว้ย”

เกล็นบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์ปลอบขวัญตัวเองลงชั้นหนึ่งอย่างปลอดภัย เร่งเท้าตรงเข้าห้องอาหารก็ต้องพบกับความว่างเปล่า เขาเดินคอตกผิดหวังหันหลังกลับห้อง ระหว่างทางเกล็นได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนดังมาจากห้องส่วนกลางไกลๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เจอเด็กสาวผมดำคุ้นหน้าคุ้นตากำลังลงจากบันได หัวคิ้วเธอกดลงทันทีที่เห็นเกล็น

“ห้องอาหารไม่มีอะไรกินหรอกนะ” อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กสาวชื่อเคจจะหิวเหมือนตัวเองหรือเปล่า แต่มันดีกว่าที่จะเมินเจ้าตัว ซึ่งมันส่งผลเกินคาด

“เห็นฟิเลน่ากับลิเลียนหรือเปล่า?” เสียงแข็งเอ่ยถาม “ฟิเลน่าเป็นรูมเมตเรายังไม่กลับห้อง แล้วลิเลียนก็ไม่อยู่ห้องตัวเองด้วย”

“เอ่อ... คิดว่าอยู่ห้องส่วนกลางมั้งนะ ได้ยินเสียงคนอยู่” ถึงไม่รู้ว่าเสียงที่ว่าเป็นของใคร แต่เกล็นก็ตอบเคจให้ทราบ

พอได้คำตอบต่างคนต่างไปจุดหมายของตัวเอง ทว่าสุดท้ายเกล็นต้องเหลียวหลังจ้องตากับเคจ ตกใจกับเสียงที่ดังกว่าปกติคล้ายคนทะเลาะกัน ทั้งคู่จะไปยังห้องส่วนกลางเจอฟิเลน่าอยู่กับเพื่อนอีกคนที่มีผมหยักศกสั้นสีน้ำตาล ตอนแรกเคจตั้งใจแทรกกลางวง แต่เกล็นดึงแขนรั้งแอบหลังกรอบประตูไว้ได้ทัน ส่งสัญญาณให้เงียบกระซิบบอกเบาๆ

“ดูสถานการณ์ก่อน”

“ฮะ? จะทำงั้นได้ไง”

“เออน่า ไม่อยากรู้เหรอว่าคุยเรื่องอะไรกัน”

ให้เหตุผลแบบนี้ เคจสะอึกและเห็นด้วยกับเกล็น เพราะเธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนสองคนมีปัญหาอะไรกัน โดยเฉพาะลิเลียนซึ่งเป็นคนที่สงบเสงี่ยมที่สุดของกลุ่ม

“ฉะ ฉันว่าเราควรหยุดนะ” น้ำเสียงอ่อยๆ ไม่กล้าสู้คนดังบอก “ทำไปก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย...”

“แล้วยังไงล่ะ มันไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย” ฟิเลน่าโต้กลับอย่างเดือดดาลไม่พอใจที่เห็นจูเลียสเที่ยวกับพวกเกล็นในเมือง เธอนั้นไม่ได้โกรธที่ไม่มีใครชวน แต่รู้สึกไม่ดีที่จูเลียสคุยสนุกสนานอยู่กับเด็กแปลกหน้าด้วยสีหน้าสดชื่น ทั้งที่ปกติเด็กหนุ่มมักยิ้มและหัวเราะเบาๆ ซะมากกว่าเวลาอยู่กับฟิเลน่า ปะ เป็นแต่สามัญชนแท้ๆ ริอาจมาตีสนิทกับท่านจูเลียสออกหน้าออกตา ไม่เกินไปหน่อยหรือไง”

“ไม่เห็นจะแปลกเลย ก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกันนี่นา”

“อย่าเอายัยนั่นมารวมกับพวกเรานะ!” ฟิเลน่ายืนกรานเสียงแข็ง

“ฟิเลน่าหยุดตั้งแง่กับคุณไบลธ์เถอะ” ลิเลียนพยายามใช้เสียงหนักแน่นตอบโต้ “มันไม่ใช่เรื่องเลยนะที่เธอมาหงุดหงิดเขาเพียงเพราะเป็นสามัญชน ตัวเธอเองก็รู้แต่แรกแล้วว่าโรงเรียนอนุญาตให้สามัญชนสอบเข้าได้ด้วยน่ะ”

“แต่เพราะขุนนางอย่างเราๆ ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้สามัญชนได้มาเรียนโรงเรียนนี้น่ะ”

“มันก็ใช่ที่คนอนุมัติคือสภาขุนนาง” ลิเลียนถอนหายใจเฮือกหนึ่งยอมรับความจริงที่ว่า เหล่าสภาขุนนางเป็นผู้เปิดโอกาสให้สามัญชนสามารถเข้าเรียนที่นี่ได้ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนทุนหรือครอบครัวที่มีกำลังเงินจ่ายค่าเทอม “แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างอยู่ดี ถ้าเธอไม่ชอบเขาก็เป็นแค่คนรู้จักกันก็พอแล้วนี่ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า อีกอย่าง... ตอนที่คุณไบลธ์โกรธมันน่ากลัวจะตาย”

“ลิเลียน ฉันถามจริงๆ เถอะ เธอเป็นพวกใครกันแน่” ฟิเลน่ากัดฟันกรอดที่ถูกเพื่อนขัดใจครั้งแรก

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับใครพวกใครทั้งนั้นแหละ ฉันแค่อยากเตือนในฐานะเพื่อน”

“ก็เพราะเป็นเพื่อนยังไงล่ะถึงต้องเข้าข้างฉัน!

“นี่ ฟิเลน่า ถ้าเธอคิดว่าการเป็นเพื่อนกันแล้วต้องเห็นด้วยทุกอย่างมันไม่ใช่หรอกนะ” น้ำเสียงเหนื่อยล้าบอก “แล้วฉันก็รู้นะว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียวตอนนี้น่ะ”

“อย่ามาคิดเองเออเองสิ!” ฟิเลน่าแว้ดกลับโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะบอกว่ารู้อะไร “เรื่องท่านมาร์กาเร็ตเกี่ยวอะไรด้วย!?”

“ใช่จริงด้วย เธอเอาคำพูดของคุณคาเลนเซียเก็บมาคิด รู้ดีว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วเข้าใจด้วยว่าทำไมท่านจูเลียสถึงขั้นโกหกเธอแล้วไปอยู่กับพวกคุณไบลธ์แทน ทั้งที่เขาไม่ใช่คนแบบนั้นแท้ๆ เพราะงั้นเลิกหาคำแก้ตัวเถอะ”

สิ้นเสียงของลิเลียน ฟิเลน่าก็หยุดเถียงกับอีกฝ่าย เธอก้มหน้ายืนนิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ลิเลียนเห็นดังนั้นจึงส่งยิ้มน้อยๆ ก้าวไปกุมมือเพื่อน

“ทีนี้เธอจะได้เหมือนท่านมาร์กาเร็ตอย่างที่เคยฝันไว้ตอนเด็กไง”

เกล็นกับเคจที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่แถวประตูมีการเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มหันไปทางเคจพร้อมตั้งคำถาม

“เธอจะอยู่ข้างใคร”

“เอ๊ะ? ถะ ถามอะไร เราเลือกไม่ได้หรอกนะ”

“เธอจำเป็นต้องเลือก ระหว่างฟิเลน่ากับลิเลียนเธอจะฟังเหตุผลของใคร” เกล็นย้ำถามเสียงต่ำและเบา “จากสีหน้าฉันพอเดาได้แล้วล่ะว่าเลือกใคร”

“… อืม” เคจผงกศีรษะด้วยสีหน้าสำนึกผิดหลังฟังเรื่องที่เพื่อนทั้งสองคนเถียงกัน

“งั้นรีบกลับขึ้นห้อง ทำเป็นไม่ได้ยินเรื่องนี้” เขาดันหลังเด็กสาวให้กลับขึ้นห้อง “ถ้าฟิเลน่ารู้ว่าเธอเข้าข้างลิเลียนอีกคน มันไม่ต่างกับการโดนทิ้งอยู่ลำพังหรอก ตอนนี้ฟิเลน่าต้องการเธอไปอยู่เป็นเพื่อนช่วยคิด เรื่องลิเลียนเดี๋ยวฉันช่วยเอง ไม่ต้องห่วง”

“ถึงจะไม่เข้าใจ แต่เราจะลองทำตามดู” เคจตกลงทำตามคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า กลับขึ้นห้องด้วยท่าทางกระสับกระส่ายเป็นห่วงเพื่อนๆ ที่น่าจะยังคุยต่อ แต่อย่างน้อยๆ เธอก็รับรู้ประเด็นของฟิเลน่ากับลิเลียนแล้ว

 เกล็นที่มองส่งจนเด็กสาวหายลับสายตา หันมาสนใจเหตุการณ์ต่อไม่รู้เลยว่าจะมาในทิศทางไหน ฟิเลน่าที่เงียบอยู่นานพึมพำเสียงเบามากจนคนเบื้องหน้ายังฟังไม่ได้ศัพท์

“…ไม่ใช่…”

“มีอะไรเหรอฟิเลน่า?” ลิเลียนเอียงคออย่างสงสัยทวนถามขอฟังอีกรอบ

“ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ฟิเลน่าตอบเสียงห้วนสะบัดมือเพื่อนหลุดเตรียมกลับห้อง ทว่าลิเลียนก็รีบคว้าข้อมือไว้เสียก่อน

“มาคุยให้รู้เรื่องก่อนสิ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรทั้งนั้นน่ะ!

เพราะคนหนึ่งต้องการเคลียร์ให้จบวันนี้ แต่อีกคนก็ไม่อยากพูดต่อ ทั้งคู่จึงยื้อยุดไปมา เกล็นเห็นท่าไม่ดีรีบออกจากที่ซ่อนไปหยุดเด็กสาวทั้งสอง แต่ไม่ทันการฟิเลน่ากระชากแขนแรงเกินจนร่างลิเลียนกระแทกกับขอบโต๊ะ

“โอ๊ย!

“ปะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า?” เกล็นเข้าไปพยุงลิเลียนพลางถอนหายใจเบาๆ กะแล้วว่าต้องลงเอยที่ใครสักคนต้องล้ม “เล่นดึงกันแบบนั้นไม่ล้มก็แปลก”

“ขอบคุณ...” ลิเลียนกล่าวขอบคุณยันตัวขึ้นยืน

“ไม่เป็นไร แต่ฉันว่าพวกเธอค่อยคุยกันวันอื่นดีกว่า” เกล็นบอกแล้วหันไปทางฟิเลน่าที่ลนถอยหลังโซเซ ใบหน้าเธอซีดเผือดและปากสั่น

“ฉะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษ”

ว่าจบคุณหนูได้วิ่งหนีจากที่เกิดเหตุ ลิเลียนรีบลุกขึ้นตั้งใจจะตามคุยต่อให้จบ แต่ถูกเกล็นดึงตัวเอาไว้ เธอหันขวับชักสีหน้าไม่พอใจ

“คุณห้ามฉันทำไมคะเนี่ย”

“เดี๋ยวผลมันจะได้ตรงกันข้ามเอาน่ะสิ” เกล็นยกมือเกาศีรษะบอกเหตุผล “ตอนนี้เขาตกใจที่ทำเธอล้มด้วย คุยไปก็เท่านั้น ปล่อยให้ใจเย็นลงกว่านี้ดีกว่า แล้วหาเวลาคุยกันใหม่ดีกว่า”

ลิเลียนนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ไตร่ตรองคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น

“ค่ะ… แต่ฉันคิดว่าฟิเลน่าคงไม่อยากคุยเรื่องนี้กับฉันแล้ว”

“ทำไมคิดงั้นล่ะ”

“คุณก็คงได้ยินนี่คะ ดูยังไงเขาก็ไม่ยอมรับคุณไบลธ์อยู่ดี”

“อา… รู้ด้วยเหรอว่าแอบฟัง” เกล็นยิ้มแหยที่โดนจับได้

“เห็นหน้าโผล่เต็มๆ แวบหนึ่งน่ะค่ะเลยรู้”

“งั้นเหรอ คงไม่โกรธกันหรอกนะ?”

ลิเลียนส่ายหัว “ไม่หรอกค่ะ”

“ว่าแต่เรื่องมันเป็นไงมาไงช่วยเล่าให้ฟังอีกทีได้หรือเปล่า เห็นว่าแอบตามพวกฉันด้วย”

ถามเสร็จ ลิเลียนจึงเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่สาเหตุที่ฟิเลน่าโมโหใส่แมรีแอนน์เพียงแค่เดินชน เพราะก่อนหน้านั้นหล่อนหงุดหงิดคู่อริซึ่งเป็นลูกขุนนางเหมือนกันพูดจากระแนะกระแหนใส่ พอเจอแมรีแอนน์ที่เป็นสามัญชนเลยระบายอารมณ์

ตอนเข้าห้องเรียนวันแรกก็ไม่พอใจที่ไม่ได้นั่งใกล้จูเลียส ฟิเลน่าที่รู้ว่าแมรีแอนน์ไม่กล้าโต้ตอบเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน แมรีแอนน์เลยตกเป็นเหยื่อรองรับอารมณ์แทนที่จะเป็นชาร์ล็อต แต่ก็ถูกอิกนิสตำหนิจนเสียหน้า เลยหาเรื่องตอนกลางวันต่อจนมีปากมีเสียง

กระทั่งเมื่อเช้าเธอตั้งใจชวนจูเลียสไปเที่ยวเล่นในเมืองด้วยกัน กลับถูกพวกเกล็นชิงตัดหน้าไปก่อน เลยแอบตามไปเห็นหนุ่มที่แอบชอบคุยกับหญิงอื่นที่เคยมีปัญหากัน สุดท้ายฟิเลน่าเลือกกลับโรงเรียนแทนที่จะอาละวาดกลางสาธารณะ

“ฟิเลน่าน่ะรู้ตัวแล้วว่าทำเรื่องไม่ดีลงไป แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากยอมรับมัน...”

“อะฮะ” เกล็นขานรับตอบ คิดหาปัจจัยที่คุณหนูฉุกใจเรื่องนี้ได้ “แล้วทำไมเธอคิดว่าเขารู้ล่ะ”

“คุณรู้คงเรื่องเลดี้มาร์กาเร็ตใช่ไหมคะ”

อย่าว่าแต่สังคมชนชั้นสูง แม้แต่สามัญชนย่อมรู้จักเลดี้มาร์กาเร็ต เธอเป็นคู่หมั้นเจ้าชายลำดับหนึ่ง พี่ชายของจูเลียส ว่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมสมฐานะที่จะได้เลื่อนยศเป็นเจ้าหญิงและเป็นแบบอย่างให้กับเด็กสาวชนชั้นสูงหลายคน

“แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”

“คุณคาเลนเซียบอกว่าฟิเลน่าไม่มีทางเป็นเหมือนเลดี้ได้น่ะ เลยคิดมากเก็บเอาไปคิดจนรู้สึกตัว แต่ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึงไม่ยอมรับ”

“อืม… แต่ฉันว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหึงก็ได้” เกล็นตอบความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ “แหม ใครๆ ก็ดูออกฟิเลน่าชอบจูเลียส เห็นสองคนนั้นหัวเราะคิกคักจะอิจฉาเป็นธรรมดา แถมเพื่อนสนิทยังมาพูดงี้อีกยิ่งสับสนเข้าไปใหญ่ ใจหนึ่งคิดว่าผิด อีกใจคิดว่าสมควรโดนข้อหาเรื่องที่ไปยุ่งกับจูเลียส”

“คุณคิดแบบนั้นเหรอ?”

“แค่เดาไปเรื่อยน่ะนะ แต่เรื่องนี้ไว้อารมณ์ดีๆ กันเมื่อไรค่อยหาเวลาคุยอีกรอบก็ไม่สายหรอก ในเมื่อทางนั้นรู้ว่าที่ทำไปมันไม่มีดี เขาก็ไม่แกล้งแมรีแอนน์แล้วล่ะ… คิดว่านะ”

ลิเลียนทำเพียงพยักหน้าและถอนหายใจด้วยความอึดอัด ด้านเกล็นไม่ทำอะไรนอกจากยืนมองเด็กสาวรอให้เธอกลับห้องก่อน

“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ” เธอกล่าวขอบคุณเสียงเบาแฝงความกังวล “ฉันขอตัวก่อน…”

แล้วเด็กสาวหายตัวจากห้องส่วนกลางกลับห้องพัก เกล็นถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกหนักอกอีกไม่นานต้องรับมือกับอีเวนต์แรกในรั้วโรงเรียนที่ไม่มีอยู่ในเกมเสียแล้ว หวังลึกๆ ว่ามันไม่มีอะไรพังพินาศกว่าเดิมเป็นพอ