เกล็นซึ่งพลัดตกจากหลุมที่อสูรทมิฬตัวตุ่นสร้างค่อยๆ ลืมตา เขานอนแน่นิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีดำกวาดมองสถานที่ที่มีลักษณะคล้ายเหมืองแบบที่เคยเห็นในเกม เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นกะทันหัน เกล็นจึงไม่ทันฉุกใจคิดว่าทำไมที่แห่งนี้ถึงมีแสงสว่างจากคบเพลิงบนผนังที่แต่ละอันอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งเมตร

นอกจากความสว่างส่องแสงสลัว บรรยากาศที่มีเพียงเสียงลมดังคร่ำครวญ เด็กหนุ่มผมฟ้าจึงกอดตัวเองด้วยความหวาดกลัวที่ต้องอยู่ตามลำพัง ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงเรียกหาจูเลียสที่ตกมาด้วยกัน เกล็นเดินย่ำอยู่จุดเดิมขณะที่ศีรษะหันซ้ายแลขวา จินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ว่าจะต้องเจอกับตัวประหลาดอะไรบ้าง แล้วเขาจะเอาตัวรอดตัวยังไงต่อ

“เอาก็เอาวะ” เกล็นกลืนน้ำลาย เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนออกมาช้าๆ ตั้งสมาธิจดจ่อกับเรื่องที่ควรทำ เด็กหนุ่มก้าวเดินตามหาทางออกไปเรื่อยๆ พลางกลอกตามองรอบตัวด้วยความระแวง กระทั่งเกล็นได้สังเกตเห็นของชิ้นหนึ่งส่องแสงประกายดึงดูดความสนใจ เขาเดินตรงไปยังของสิ่งนั้นก็พบเป็นผลึกสีฟ้าใสรูปทรงว่าวแบบเดียวกับผลึกสีแดงใสเมื่อคราวก่อน

“บทจะเจอก็ง่ายๆ งี้เลยเรอะ?” จอมเวทหนุ่มขมวดคิ้วก้มเก็บขึ้นดู ส่วนมืออีกข้างเกาหัวแกรกๆ รู้สึกตลกพิลึก เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าของสำคัญจะถูกทิ้งๆ ขวางๆ ไม่สมเป็นสมบัติของเทพมังกรเลยสักนิด ทว่าอย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่ผลึกตกไปอยู่ในมือของตัวร้าย

เกล็นเก็บผลึกใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเดินต่อไปบนเส้นทางที่ไม่รู้จักเพื่อหาทางออกจากสถานที่น่าหวาดหวั่น ผ่านไปสักราวๆ สิบนาที เด็กหนุ่มได้เจอผลึกสีฟ้าใสรูปทรงเดียวกันตกอยู่อีกชิ้น เขาเก็บขึ้นมาแล้วเอาชิ้นก่อนหน้ามาเทียบกันอย่างงุนงง ไม่มีความมั่นใจเลยว่าชิ้นไหนคือผลึกของจริง เกล็นเลยเก็บทั้งสองชิ้นเอาไว้เพื่อที่จะส่งไปให้พวกเกรกอรี่ตรวจสอบต่ออีกที

“ต้องรีบไปหาพวกชาร์ล็อต…” เกล็นบอกกับตัวเอง จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นและคอยสาดส่ายสายตาตลอดทาง กระทั่งเกล็นได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ไกลๆ ใบหน้าของเขาพลันปรากฏรอยยิ้มดีใจ

“จูเลียส!?”

เด็กหนุ่มตะโกนเรียกสุดเสียง ทว่าคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกลับไร้การตอบกลับ นั่นเลยทำให้เกล็นตระหนักถึงความผิดปกติ เขาก้าวถอยหลังเตรียมวิ่งหนี แต่ก็สายเกินไป เมื่อร่างสูงของชายหนุ่มเรือนผมสีชมพูซีดได้มาอยู่ตรงหน้า

ดวงตาสีทองของซิกมุนท์ เรนเกอริ่งเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะคิกคักดูมีความสุขจนเกล็นหวั่นวิตก

“ได้เจอกันอีกแล้วนะครับ” ซิกมุนท์เอ่ยพร้อมกางแขนกว้างราวกับอยากจะกอดคนตรงหน้าให้หายคิดถึง

กลับกัน เกล็นแสดงสีหน้าซีดเผือด เขายืนนิ่งเงียบไม่ตอบสนองกับชายหนุ่มที่ส่งยิ้มเป็นมิตรให้ ทำเอาซิกมุนท์หน้าหงอย

“ผิดคาดเลยแฮะ นึกว่าคุณปู่จะตกใจซะอีก” ตัวร้ายหนุ่มกอดอกลูบคางนึกเสียดายที่ปฏิกิริยาของเกล็นไม่เป็นดั่งหวัง

เกล็นเสียวสันหลังวาบที่ซิกมุนท์เรียกเขาว่าคุณปู่ มันคือการยืนยันแน่ชัดแล้วว่าผู้ชายคนนี้รับรู้ถึงอดีตชาติของเขา และอาจจะล่วงรู้ถึงข้อมูลเกมด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เกล็นกังวลที่สุด

แม้ไม่มีการตอบโต้ด้วยการพูดคุย ซิกมุนท์ก็สามารถเดาความคิดในหัวของอีกฝ่ายได้

“อย่างที่คุณปู่คิดนั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องของคุณเกือบทุกเรื่อง รวมทั้งตัวตนในอดีตนั่นด้วย” ชายหนุ่มเหยียดยิ้มตอบสิ่งที่เกล็นข้องใจอย่างเปิดเผย “พูดตามตรงผมก็อยากคุยกับคุณมากกว่านี้นะ แต่ต้องขอเข้าประเด็นก่อน ไม่อย่างนั้นเพื่อนของผมจะโมโหเอาได้ ถ้าผมมั่วแต่เล่น”

พูดจบจอมเวทตัวร้ายได้ยื่นมือมาทางเกล็น เกล็นที่เข้าใจความหมายของภาษากายว่าคืออะไรก็ขยับตัวถอยหลังหนี เด็กหนุ่มได้ยินหัวใจที่เต้นแรงชัดเจน ลมหายใจที่สูดเข้าปอดนั้นเย็นยะเยือน ทั้งขาและมือของเขาสั่นกลัว

“ส่งมันมา แล้วเราจะได้ไม่ต้องสู้กัน” ซิกมุนท์บอกด้วยโทนเสียงทุ้มนุ่มที่แฝงอันตราย ชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าเป็นการกดดันอีกฝ่ายให้ส่งผนึกชิ้นสำคัญ

“ระ เรื่องอะไรจะให้ ไอ้บ้า!” เกล็นแหกปากโวยวายพร้อมเรียกไม้กายสิทธิ์ไว้บนมือใช้เวทดินก่อเป็นรูปร่างคล้ายลักษณะของโกเลมมาห่อหุ้มร่างกายไว้เหมือนตอนสอบปลายภาคเทอมสอง

ซิกมุนท์ผิวปากประทับใจที่ได้เห็นสิ่งประหลาดตามคำบอกเล่าของคริสต้า เขาปรบมือแสดงความชื่นชมกับการประยุกต์ใช้เวทมนตร์ของเกล็น

“ฮะๆๆ ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง วิเศษมากเล…!

เปรี้ยง!

เสียงกำปั้นทุบพื้นดังสนั่นและเกิดแรงสั่นสะเทือน ซิกมุนท์พรูลมหายใจโล่งอกที่หนีรอดจากการโจมตี จากนั้นก็เขาวาดมือเสกลูกศรเพลิงนับสิบดอกโต้กลับ ทว่ามันไม่รุนแรงทำลายเกราะหินของอีกฝ่าย

ด้านเกล็นที่จู่โจมพลาดก็ไม่ลดละความพยายาม เขาออกแรงเพื่อควบคุมเกราะวิ่งตรงไปตามที่ใจต้องการ ไม่ทันถึงตัวศัตรู เขายกเท้าขึ้นสูง ก่อนจะกระทืบจนพื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง

“โธ่เว้ย!” เด็กหนุ่มสถบอย่างหัวเสียที่ซิกมุนท์กระโดดหลบได้อย่างสบายๆ และรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นที่เห็นอีกฝ่ายยังแสดงทีท่าหยอกล้อเขา

“ไม่คิดว่าคุณปู่น่ะสู้เป็นด้วย ฮะๆๆ”

เสียงหัวเราะขบขันของคนต่างแดนทำให้เกล็นหงุดหงิดมากขึ้น เขาจึงยกแขนพุ่งหมัดใส่ซิกมุนท์ ทว่าตัวร้ายคนนั้นกลับหลบหลีกการโจมตีได้ทันท่วงที จังหวะเดียวกันซิกมุนท์ก็ดีดนิ้วเรียกศรน้ำแข็งสวนกลับ แต่มันก็แตกสลายเมื่อกระแทกกับดินที่ห่อหุ้มเกล็น

“อืม...” ซิกมุนท์ยิ้มเจื่อนที่การโต้กลับไม่ได้ผล เขาหรี่ตามองอย่างไตร่ตรองด้วยทีท่าไม่ทุกข์ไม่ร้อน เพียงอึดใจเดียว ชายหนุ่มได้เบี่ยงตัวไปทางซ้ายหนีกำปั้นคู่ที่ทุบลงมา

เกล็นซึ่งกำลังหัวเสียที่เห็นซิกมุนท์สามารรถหลบหลีกการโจมตีได้ง่ายราวกับอ่านการเคลื่อนไหวออก เขาจึงลองเลียนแบบตัวละครในหนังเหวี่ยงหมัดมั่วซั่วจัดการเหล่าตัวประกอบสลบเหมือด แล้วหวังว่ามันจะได้ผลเหมือนกับที่ดู

แน่นอนว่าการเลียนแบบการกระทำในหนังตลกไม่มีทางได้ผล ซิกมุนท์ยังคงหนีการจู่โจมจากอีกฝ่ายได้ “ยังไงก็ต้องสู้เป็นสินะ ก็ต้องเอาไปใช้ตอนสอบนี่นา” ซิกมุนท์พึมพำ

ต่อมาดวงตาสีทองของชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรบางอย่างออกกะทันหัน “จริงสิ ผมอยากรู้จังว่าระหว่างที่นี่กับที่นั่น คุณปู่ชอบที่ไหนมากกว่ากันเหรอ?”

ทั้งที่สถานการณ์ไม่เต็มใจ แต่ซิกมุนท์ก็ชวนคุยกับคุณปู่ในร่างเด็กหนุ่มพลางหลบการโจมตีไปด้วย เมื่อได้จังหวะเหมาะๆ ชายหนุ่มก็ล้วงกระเป๋าหยิบเศษไม้โยนไปข้างหน้า จากนั้นมันได้กลายเป็นเถาวัลย์พุ่งไปรัดแขนและขาหิน

ทว่าเกล็นใช้แรงมหาศาลพังพันธนาการทิ้ง แล้ววิ่งตรงไปต่อยซิกมุนท์อีกรอบ แต่เป็นการจู่โจมแบบเดิมๆ ศัตรูจึงอ้อมไปทางด้านหลังของเด็กหนุ่ม แล้วใช้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสเกราะหินที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถูกทำลายในพริบตา

“เหวอ!” เกล็นร้องเสียงหลง เขาล้มกระแทกพื้นจนเจ็บแปล๊บที่หน้าอก

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” ซิกมุนท์ยกมือข้างหนึ่งแตะปากแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มที่ร้องโอดครวญ

“นะ หนวกหูน่า!

“จริงๆ เวทเมื่อกี้มันก็น่าตื่นตาตื่นใจอยู่หรอกนะ แต่มันไม่ค่อยหลากหลายเท่าไร” ชายหนุ่มกอดอกมองเกล็นที่ใบหน้าแดงก่ำจากความโกรธและจุกหน้าอก ซ้ำยังวิพากษ์วิจารณ์การใช้เวทของเด็กหนุ่มอย่างผิดหวัง “ช่วยไม่ได้ ถ้าใช้เวทสองธาตุพร้อมกันมันก็ยากเอาเรื่อง ขนาดผมเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะทำได้หรือเปล่า ฮะๆๆ...”

ซิกมุนท์หัวเราะเสียงแห้ง “โอ๊ะ! เกือบไปแล้ว”

เกล็นเดาะลิ้นอารมณ์เสียที่ไม่สามารถเล่นงานตัวร้ายทีเผลอได้ด้วยเวทน้ำแข็งที สมองของเขารีบเค้นวิธีการต่อไปอย่างเร่งด่วน

ด้านชายหนุ่มระบายลมหายใจโล่งอกที่หลบแท่งน้ำแข็งแหลมซึ่งพุ่งมาจากข้างหลังได้ทัน เขาหันไปหาเกล็นที่ทำตาแข็งพลางเกาแก้มยิ้มแห้งดูรู้สึกผิด

“จุดประสงค์หลักของผมไม่ใช่มาสู้กับพวกคุณซะด้วยสิ อีกอย่างถ้าเทียบประสบการณ์แล้ว คุณยังน้อยกว่าผม แต่มันก็สุดยอดเหมือนกันนะที่คนต่าง... อืม มิติ? จะใช้เวททั้งแปดได้ ถึงจะไม่ถนัดไม้กับแสง... ไม่สิๆ ต้องบอกว่าที่คุณชอบใช้น้ำแข็งก็เพราะมันเท่ แล้วใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ด้วย ซึ่งคุณคิดถูกแล้ว เวทมนตร์คือพลังบริสุทธิ์ ดังนั้นน้ำแข็งที่คุณเสกก็เลยบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นกินได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อน”

ซิกมุนท์ที่พล่ามไม่หยุดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระที่ได้รู้มาจากความทรงจำของเด็กหนุ่มเปิดช่องว่างให้โจมตีได้ง่ายๆ ทว่าเกล็นก็ไม่กล้าพอที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม

(จะเอาตัวรอดยังไงดี!?) เกล็นขบฟันแน่น คิดหาวิธีหนีจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถต่อกรกับซิกมุนท์แบบตัวต่อตัวได้ เขากลอกตาหาตัวช่วย

“อ๊ะ!” วายร้ายโพล่งขึ้นเรียกความสนใจจากเกล็น จากนั้นซิกมุนท์ก็ก้มเก็บกิ่งไม้ที่หักเอามาถือเลียนแบบไม้กายสิทธิ์ “ถึงจะไม่เข้าใจหลักการ แต่มันก็น่าลองทำดีนะ!

ซู่ว!

เพียงอึดใจเดียว ปลายของกิ่งไม้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าสีขาวและสีแดงพวยพุ่งออกมา เกล็นที่ไม่เข้าใจก็ทำได้แต่ยืนมองอย่างมึนงงว่าคนตรงหน้ากำลังจะทำอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ได้คืออีกไม่นานความซวยจะมาเยือน

เมื่อแสงสีขาวปนแดงก่อตัวรูปร่างประหลาดคล้ายเปลวเพลิงที่ลุกโชน ซิกมุนท์ก็ถือมันด้วยท่าทางคล้ายกับดาบ นั่นทำยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แม้ว่าหน้าตาของมันไม่ตรงกับความทรงจำเท่าไร

“น่าเสียดายที่รูปร่างมันไม่เหมือนกับที่เห็น เพราะสิ่งเดียวที่ผมทำความเข้าใจได้ก็มีแค่แสงสว่างกับความร้อนที่สามารถตัดอะไรก็ได้มารวมกันเท่านั้นเอง” ซิกมุนท์มองความมหัศจรรย์เบื้องหน้าด้วยแววตาเปล่งประกายที่สร้างมากับมือ “แต่มันก็คุ้มค่ามากเลยที่จะทำไอ้เจ้าเล… เซอร์? หรือเปล่านะ?”

ชายหนุ่มทำหน้าไม่มั่นใจกับชื่อเวทแปลกประหลาดที่ได้ยินบ่อยๆ จากความทรงจำของเกล็น กระนั้นเขาก็พึงพอใจที่ทำมันได้สำเร็จ

“(ชะ ใช่จริงด้วย! ทำไงได้วะ!?)” เกล็หลุดร้องเป็นภาษาดั้งเดิม หลังได้ยินชื่อคุ้นเคยเมื่อชาติก่อน เขากลืนน้ำลายดังเอือกไม่คิดเลยว่าเวทมนตร์จะทำแบบนั้นได้ด้วย

“ดูทำหน้าเข้า สงสัยว่าผมทำได้ยังไงสินะ” ซิกมุนท์ขบขันกับเกล็นที่ตอนนี้สีหน้าซีดเผือดพร้อมค่อยๆ ก้าวถอยหลังหนี “ถ้าทำความเข้าใจนิดหน่อย แล้วจินตนาการดูว่าถ้าเอาเวทสองธาตุนี้มาผสานรวมกันแล้วหน้าตามันจะออกมาเป็นยัง…”

ไม่ทันฟังคำอธิบายจบ เกล็นถีบตัวหนีออกห่างจากซิกมุนท์ไปไกลประมาณหนึ่ง ก่อนจะตวัดไม้กายสิทธิ์ใช้เวทลมให้พักโหมกระหน่ำก่อนจะเสกละอองน้ำแข็งมาบังวิสัยทัศน์ของศัตรู

ซิกมุนท์ซึ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ยกแขนขึ้นป้องกันดวงตาและรีบทิ้งระยะห่างเพื่อดูสถานการณ์ ไม่นานชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ทำให้เขารู้แผนการของเกล็นในทันที เขาจึงรีบแกว่งเลเซอร์ละลายเกร็ดน้ำแข็งและใช้สายลมปัดเป่าหมอกควันที่ระเหยพ้นสายตา แต่มันสายไปแล้วที่จะไล่ตามเด็กหนุ่มผมฟ้าคนนั้น เมื่อภาพเบื้องหน้ากลายเป็นกำแพงดินที่ถูกสร้างขึ้น ซิกมุนท์ยกมืออีกข้างเกาท้ายทอยพลางส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

 

ถ้ำใต้ดินแห่งนี้เงียบสงัด ทำให้เสียงฝีเท้าที่วิ่งอยู่ดังก้อง เกล็นที่หนีออกมาได้ก็เร่งความเร็วให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้  เขาเริ่มหอบหายใจแรงที่ต้องเอาตัวรอดจากซิกมุนท์ ที่อีกไม่นานผู้ชายคนนั้นจะทำลายกำแพงแล้วไล่ล่าเขา

“เรื่องอะไรจะอยู่ต่อล่ะเว้ย!” เกล็นแหกปากตะโกนขจัดความฟุ้งซ่านและหวาดกลัว

ตูม!

เสียงระเบิดดังสนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าจอมวายร้ายได้พังกำแพงดินอย่างที่คาดไว้ เกล็นจึงหลับตาปี๋เพิ่มความเร็วจนไม่ทันสังเกตเห็นจูเลียสที่โผล่ออกมาจากอีกทางหนึ่ง ทั้งสองเลยชนเข้าอย่างจังจนหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้า

“จูเลียส!/เกล็น!” ทั้งเกล็นกับจูเลียสต่างเบิกตากว้างตกใจที่เจออีกฝ่าย

“เกิดอะไร…”

ไม่รีรอให้องค์ชายได้ถามจบประโยคเกล็นก็รีบลุกขึ้นพร้อมกระชากแขนจูเลียส “หนีก่อน!

แม้ไม่เข้าใจสถานการณ์แต่จูเลียสก็ทำตามที่เกล็นบอก โดยเส้นทางที่พวกเขาใช้คือทางเดียวกับที่จูเลียสเพิ่งออกมา หลังวิ่งไปได้สักพักใหญ่จูเลียสจึงหันถาม

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ!?”

“พะ พวกของผู้หญิงคนนั้น นะ น่ะสิ!” เกล็นตอบเสียงแหบแห้งปนหอบเหนื่อยที่ต้องออกแรงวิ่งต่อเนื่องจนใบหน้าของเขาซีดเซียวดูน่าเป็นห่วง

“เกล็นไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!?” จูเลียสกางแขนโอบไหล่ของเกล็นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น กลัวว่าคนข้างๆ จะเป็นอะไรไป

“ปะ เป็นสิ! ฉะ ฉันวิ่งไม่ไหวแล้ว…” เด็กหนุ่มผมฟ้าตอบความจริงที่เริ่มก้าวเท้าแทบไม่ไหว ความเร็วของเขาลดลงเรื่อยๆ จนหยุดนิ่งอยู่กับที่ “แฮกๆๆ… แค่ก!

เกล็นสำลักน้ำลายไอโขลกๆ พยายามประคองตัวเองไม่ให้ล้ม จูเลียสที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อจึงลูบหลังพลางกวาดสายตามองรอบตัวอย่างระสับระส่าย กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรู เพราะถ้าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เคยสังหารเคฟสเนคในวันสอบปลายภาค เขายอมรับว่าไม่มีทางสู้ตามลำพังได้แน่

ดังนั้นจูเลียสจึงตัดสินใจยกร่างของเกล็นขึ้นพาดบ่าเหมือนกับที่เคยเห็นพวกทหารฝึกซ้อมในวัยเด็ก แล้วค่อยๆ เดินต่อไปจนเจอกับทางเชื่อมไปเส้นทางอื่น องค์ชายก็นึกถึงสมัยสอบปีหนึ่งเลยพาตัวเองและเกล็นเข้าไปด้านในทางเชื่อมนั้น จากนั้นใช้เวทดินปิดทางเข้า ตามด้วยใช้เวทไฟสร้างแสงสว่างให้มองเห็น

จูเลียสพาเกล็นไปนั่งพักจากจุดที่คิดว่าปลอดภัยซึ่งอยู่ไม่ห่างจากปากทางนัก เกล็นที่ลงจากบ่าของเพื่อนก็นั่งทิ้งตัวพิงกำแพง เขาพยายามหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายกลับมาเข้าที่

“ขะ ขาสั่นจนลุกไม่ไหวแล้ว…” เกล็นพึมพำกับตัวเองพร้อมบีบนวดขาที่ปวดล้าจากการวิ่ง

จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรต่อ จูเลียสนั่งมองขาของเกล็นที่สั่นและกระตุกเป็นครั้งคราวด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ด้วยความข้องใจที่ยังค้างคาองค์ชายจึงใช้โอกาสนี้ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบาราวกับกระซิบ

“ช่วย… เล่าทุกอย่างมาได้หรือเปล่าครับ?” จูเลียสจ้องเกล็นด้วยแววตาสั่นไหว

เกล็นมองจูเลียสอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตาลง เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วหยิบผลึกสีฟ้าใสในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาให้จูเลียสดู

“ขอโทษนะ สถานการณ์ตอนนี้ยังเล่าละเอียดๆ ไม่ได้ แต่นายช่วยเก็บเจ้านี่ไว้แล้วตามหาคนอื่นที มันสำคัญต่อพวกเรามาก สำคัญกว่าฉันที่เป็นตัวถ่วงไปแล้ว แล้วก็… ฝากดูแลแมรีแอนน์ด้วย เขาน่ะเป็นลูกหลานตระกูลลูมิเธอร์… นี่แหละสิ่งที่ฉันบอกให้ได้”

“ตระกูล… ลูมิเธอร์…?” จูเลียสกะพริบตาปริบ เขาไม่เข้าใจความหมายในทันทีจึงได้แต่เอียงคอมองคู่สนทนาด้วยความฉงนใจ แต่แล้วดวงตาสีเขียวก็เบิกกว้าง “เดี๋ยวนะ! เท่าที่ผมรู้มา…!

“ไม่ใช่เวลามาถาม รีบเอาเจ้านี่ไป เร็ว!” พูดจบเกล็นได้ยัดผลึกสีฟ้าใสใส่มือของจูเลียสที่พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด

“ระ เรื่องนั้นผมทำไม่ได้หรอก” จูเลียสบอกเสียงสั่นทั้งน้ำตาที่คลอเบ้า “อยู่คนเดียวมันน่ากลัวนะครับ”

“ใช่… มันน่ากลัวมากเลย” เกล็นยิ้มบางๆ อย่างเหนื่อยล้า “แต่มันมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าการอยู่คนเดียว เพราะงั้นนายรับไป เร็วเข้า! จะเสียเวลาตรงหนี้ไม่ได้”

“คะ ครับ…” องค์ชายจำใจพยักหน้าตกลงที่จะทำตามคำพูดของเกล็น เขาลุกขึ้นยืนเก็บผลึกสีฟ้าใสใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะเช็ดน้ำตา “ผมจะรับกลับมาพร้อ…”

โครม!

เพียงพริบตา กำแพงที่จูเลียสสร้างไว้ถูกลำแสงสีขาวแดงพังทลายอย่างง่ายดาย จากนั้นศัตรูได้ใช้เวทไม้เรียกเถาวัลย์พุ่งตรงเข้าไปรัดร่างขององค์ชายและลากเข้าไปหาตน ผู้ชายผมสีชมพูซีดคนนั้นล้วงกระเป๋าเสื้อจูเลียสหยิบผลึกขึ้นมาส่องดู เกล็นเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นพรวดทั้งที่ขาสั่น เด็กหนุ่มผมฟ้ากำไม้กายสิทธิ์แน่นพร้อมรับมือการจู่โจมครั้งถัดไปของตัวร้าย

“ทะ ทำไมถึง…” จูเลียสที่ถูกรัดพยายามเอ่ยขึ้น

“ทำไมถึงรู้ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ?” นัยน์ตาสีทองของซิกมุนท์เหลือบมององค์ชาย เขาหัวเราะขบขันครู่หนึ่งก่อนเฉลยข้อสงสัย “ก็สีของผนังถ้ำมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดน่ะสิครับ”

“อึก!” จูเลียสสะอึกกับคำตอบของซิกมุนท์อย่างเจ็บใจที่วิธีการนั้นถูกมองออกเพียงไม่กี่วินาที

“ในเมื่อผมมีตัวประกันทั้งคนแล้ว เพราะงั้นรบกวนส่งอีกชิ้นมาให้ผมเป็นการแปลกเปลี่ยนเถอะครับ” ซิกมุนท์เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมยื่นมือข้างที่ว่างไปทางเกล็น “คุณน่ะมีตัวเลือกเดียวเท่านั้น”