50 ตอน บทที่ 49: สถานที่ต้องสาป
โดย RiFourver
“มันก็ตั้งมากกว่าห้าสิบกว่าปีแล้วนี่นะ…” เกรกอรี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ที่เกล็นจำลักษณะหน้าตาของซิกมุนท์ผิด “อีกอย่าง มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ยืนยันกับโดมินิกด้วย ขอโทษที่ทำให้เธอเจอเรื่องแย่ๆ”
มหาปราชญ์กล่าวขอโทษเกล็นที่นั่งหน้าซีดอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยตอนนี้พวกเขาอยู่ห้องรับรองแขกของโรงเรียน
“แต่ที่ปู่เคยเล่า รู้สึกว่าถ้าอ่านความทรงจำของอีกคน สิ่งที่รู้จะเป็นความทรงจำล่าสุดใช่ไหม?” เกล็นทวนถามเพื่อความแน่ใจ “ถ้าเป็นแบบนั้น เราต้องรีบแกะอาคมหาสถานที่ต่อไปให้เร็วกว่าพวกนั้น”
นอกจากแผนการแตกแล้ว อีกอย่างที่เกล็นกังวลคือข้อมูลเกี่ยวกับในเกม เพราะถ้าซิกมุนท์สามารถล่วงรู้ถึงจุดนั้น ก็จะยิ่งอันตราย
“เรื่องสถานที่ต่อไปไม่ต้องห่วง พวกเรารู้แล้วว่ามันคือที่ไหน”
เกล็นเบิกตากว้างดีใจราวกับเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ทว่าก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อสีหน้าเกรกอรี่แสดงความลำบากใจ
“แต่ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องเป็นที่นั่น” ชายสูงวัยพึมพำกับตัวเองเบาๆ เกล็นขมวดคิ้วฉงนสงสัย พอจะเอ่ยถามเกรกอรี่ก็ชิงตัดบทเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายอยากรู้เรื่องอะไร “ไว้เธอไปถามกับสองพี่น้องคู่นั้นแทนดีกว่า พวกเขาน่าจะรู้เรื่องนี้มากกว่าฉัน”
นั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากได้เลยสักนิด
“ไม่ไปได้ปะ” คลาริสโพล่งขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อสถานที่ต่อไปซึ่งอยู่ที่นาส บ้านเกิดของเขา อิกนิสที่อยู่ด้วยก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง ตอนนี้พวกเขาอยู่ภายในห้องรับแขกที่ทางเคธีเตรียมเอาไว้ให้ เพื่อใช้ปรึกษาหารือได้โดยไม่ต้องกังวลมีนักเรียนคนอื่นได้ยิน “นั่นน่ะ เขตต้องห้ามเลยนะ ไม่งั้นจะโดนคำสาป คนที่นั่นใครๆ ก็รู้เรื่องนั้น”
(โอ้ ว้าว เรื่องผีประจำเมือง) เกล็นขนลุกซู่ จินตนาการได้ทันทีว่าจุดหมายนั้นน่าจะมีหน้าตายังไง มันคงเป็นป่ามืดๆ โหวงเหวงอย่างกับป่าช้า และมีเรื่องเล่าสักอย่างที่ทำให้คนในพื้นที่กลัวจนกลายเป็นตำนาน (ชักไม่อยากไปแล้วสิ)
“แต่ก็แปลกนะคะ ที่เอาของสำคัญไว้ที่แบบนั้น” แมรีแอนน์พูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเลือกสถานที่น่ากลัวด้วย
“คงเป็นที่ที่คนไม่กล้าเข้าใกล้ล่ะมั้งครับ” เอราสต์คาดเดาเหตุผล “ว่าแต่ที่นั่นเคยเกิดอะไรขึ้นเหรอ ถึงได้กลายเป็นที่ต้องห้าม”
“มันเป็นเรื่องเล่ามานานแล้วน่ะ…” คนเป็นแฝดพี่เกริ่นขึ้น “ว่าที่แถวนั้นเป็นหมู่บ้านกลางป่ามาก่อน ความเป็นอยู่ไม่ได้ต่างจากหมู่บ้านทั่วไป จนกระทั่งเด็กๆ ในหมู่บ้านหายตัวไปทีละคน…”
“(โครงเรื่องโคตรคลาสสิก)” เกล็นเผลอปากพึมพำออกมา
“พวกผู้ใหญ่ต่างพากันสงสัยจอมเวทเพียงหนึ่งเดียวของหมู่บ้าน ว่ากันว่าคนคนนั้นกำลังบูชาเทพนอกรีตด้วยการบูชายันเด็กๆ เลยเกิดความเกลียดชังและโดนประนาณว่าเป็นพวกลัทธิแปลกปลอม จนวันหนึ่งชาวบ้านทนไม่ไหวที่จะอยู่ร่วมกับเขา จึงจัดการจอมเวทคนนั้นด้วยการขังไว้ในบ้านแล้วเผาทั้งเป็น…”
บรรยากาศตอนนี้เงียบชวนอึดอัด สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่อิกนิสเพื่อกดดันให้เขาเล่าต่อให้จบ เพราะเชื่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้
“เขาคนนั้นเลยได้สาปแช่ง หลังจากนั้นพืชที่ปลูกก็ไม่โต สัตว์เลี้ยงล้มตาย น้ำสกปรก ชาวบ้านทยอยเจ็บป่วย แล้วหลายเดือนต่อมา พวกเขาถึงได้รู้ความจริงว่าคนร้ายคือนักผจญภัยที่มักแวะมาพักในหมู่บ้านบ่อยๆ ชาวบ้านจึงย้ายหนีจากความผิดบาปที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ ปล่อยให้หมู่บ้านนั้นร้าง แล้วเป็นพื้นที่ต้องห้ามจนถึงปัจจุบัน”
“ไม่แปลกที่โดนสาปแฮะ” เกล็นทำหน้าหน่ายหลังฟังเรื่องจบ
“ฉันว่าที่นั่นคงไม่มีอะไรหรอก เขาคงไม่เลือกที่นั่นไว้ซ่อนของ” ชาร์ล็อตพากลับเข้าประเด็นเกี่ยวกับผลึก
“อย่าได้ประมาทเชียวนะ” เกล็นว่าขณะนึกถึงหนังสยองขวัญ “ทางที่ดี เราต้องหาวิธีรับมือกับคำสาปด้วย เพราะถ้าเป็นผีหรือปีศาจ อย่างน้อยๆ ยังสู้คืนได้”
“พูดอย่างกับว่าศัตรูเป็นผีเลยนะ” คลาริสหันขวับมองเกล็น “แล้วเราจะสู้มันได้เรอะ”
“ในเมื่อผีแตะเราได้ เราก็ต่อยผีคืนได้ดิ แฟร์ๆ… เอ้ย ยุติธรรมกันหน่อยสิ”
“ฮะๆ… เกล็นเขาก็พูดถูกนะคะ” แมรีแอนน์หัวเราะเสียงแห้งกับความคิดของเกล็น “แต่ว่าถ้าเป็นหมู่บ้าน ก็ยังนึกภาพไม่ออกเลยนะคะว่าจะซ่อนยังไง”
“ฉันว่าบ้านจอมเวทคนนั้นน่าค้นสุดล่ะ” เกล็นชี้เป้าหมายให้แคบลง “ไม่สิ อาจจะเป็นบ้านหลังอื่นที่มีทางลับซ่อนเอาไว้… ก็ในเรื่องบอกอยู่ว่าความจริงเด็กๆ โดนลักพาตัวไป ฉันคิดว่าคนในหมู่บ้านสักคนน่าจะมีส่วนรู้เห็นนะ”
“ไม่รู้สินะ ฉันว่าจะบ้านหลังไหนก็น่าสงสัยหมด ก็มันผ่านมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว” อิกนิสกอดอก ยกมือข้างหนึ่งแตะคางครุ่นคิด
(พอไม่อยู่หน้าจอก็คิดไม่ออกเลยวุ้ย) เกล็นอยากจะทึ้งผมตัวเองที่เค้นความทรงจำไม่ออก
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ในเมื่อเรามีสิ่งนี้อยู่นี่นา” แมรีแอนน์นำจี้เข็มทิศขึ้นมาโชว์ต่อหน้าทุกคน
“จริงด้วย ลืมไปซะสนิทเลย” เกล็นตอบกลับเสียงแห้งเมื่อลืมไอเทมชิ้นสำคัญไปดื้อๆ
“แต่ว่าเราต้องไปจริงๆ เหรอ” คลาริสย้ำถามอีกรอบ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยอยากไปที่ต้องสาปเท่าไร
“มันเป็นงานก็ต้องไปอยู่ดี” อิกนิสบอก แม้ว่าท่าทางของเขาเองก็ไม่ค่อยอยากไปเหมือนกัน
“แล้วป่าที่ว่ามันเป็นแบบนั้นเหรอ” ชาร์ล็อตถามต่อด้วยความอยากรู้ “ถ้าบอกลักษณะได้ ก็พอจะเดาๆ ได้ว่าจะมีตัวประเภทไหนอยู่ แถมช่วงนี้หมีกำลังเลี้ยงลูกด้วย ขืนเดินเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังโดนไล่เตลิดแน่”
“เรื่องนั้น… ขอโทษทีนะ ผมไม่รู้หรอก” อิกนิสหลุบตาตอบเสียงเศร้าที่ช่วยอะไรชาร์ล็อตไม่ได้
“ไม่เป็นไรๆ ไว้ไปถามคนแถวนั้นก็ได้ ว่าแต่เราจะไปกันตอนไหนเหรอ” จากนั้นชาร์ล็อตหันไปทางเอราสต์ที่ยิ้มแก้มปริให้
“วันมะรืนครับคุณชาร์ล็อต” เสียงทุ้มนุ่มตอบกลับ
“คิดอะไรได้เหรอคะอิกนิส?” แมรีแอนน์ถามขึ้นอย่างสงสัย เมื่อเห็นอิกนิสทำหน้าจริงจัง
“เปล่า” เป็นครั้งแรกที่เขาตอบห้วนๆ กับคนอื่น กว่าจะรู้สึกตัว เขาก็ส่ายหน้ากลับมาเป็นปกติ “เปล่าหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆ หน่อยน่ะ”
“แล้วนายคิดอะไรอยู่ล่ะ” เกล็นตั้งคำถามต่อ เพราะอยากรู้ว่าอิกนิสคิดอะไร
“เอ่อ… ระ เรื่องนั้น… คิดว่าถ้าถามกับท่านปู่ดูน่าจะรู้เบาะแสอะไรน่ะ” เด็กหนุ่มผมดำปั้นหน้ายิ้มตอบทั้งที่เสตามองไปทางอื่น
“งั้นลองส่งข้อความไปถามเลยดีไหมคะ” แมรีแอนน์หันไปทางชาร์ล็อต หวังให้เพื่อนเรียกนกออกมา
“ไม่มีประโยชน์ ก็คนที่เล่าเรื่องพวกนี้ก็คือปู่นั่นแหละ พวกฉันรู้แค่ไหนปู่ก็รู้เท่านั้นเหมือนกัน” คลาริสพูดเสียงหน่ายตัดบท ก่อนจะชี้นิ้วไปทางแมรีแอนน์ที่กะพริบตาปริบๆ “สิ่งเดียวที่พึ่งได้ก็มีแต่สร้อยของแมรีแอนน์”
“แล้วคนในเมืองใกล้ๆ ล่ะ? ก็น่าจะรู้นะ” ชาร์ล็อตว่า
“ไอ้เรื่องข้อมงข้อมูลอะไรนั่นช่างเถอะ อย่างที่คลาริสว่า เรามีสร้อยของแมรีแอนน์แล้ว” เกล็นปฏิเสธความเห็นของเพื่อนสนิท “และที่สำคัญกว่านั้น เราต้องหาของป้องกันคำสาปด้วย อย่างเครื่องรางหรือยันต์อะไรงี้”
“ของแบบนั้นมันมีซะที่ไหนกันเล่า แล้วไอ้ยันต์มันคืออะไรน่ะ” คลาริสเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยกับของแปลกๆ ที่หลุดปากออกมาจากเกล็น
“เอ่อ… มันคือเวทอาคมของชาวเซียงเฟยน่ะ” เกล็นแอบอ้างใช้ประเทศอื่นเป็นข้อแก้ตัวหวังให้อีกฝ่ายเลิกสนใจเมื่อเป็นของจากต่างแดน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่า” อิกนิสเป็นคนปิดการประชุม เพื่อนคนอื่นๆ พยักหน้ารับแล้วทยอยออกจากห้องกัน
แต่ในระหว่างที่พวกเขาเดินกลับหอ จูเลียสที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หินบริเวณแถวอาคารที่พวกเกล็นออกมาก็ทักขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“อ้าว ทุกคนอยู่นี้กันหรอกเหรอครับ ผมนึกว่าเข้าในเมืองซะอีก” เกล็นที่เอะใจมาตั้งแต่แรกก็รู้สึกได้ว่าจูเลียสตั้งใจดักรออยู่ ทว่าชาร์ล็อตกลับแสดงท่าทางเลิ่กลั่กจนอิกนิสต้องเอาตัวมาบัง
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” เกล็นแกล้งทำทีเหลือบตามองไปที่เอราสต์ซึ่งเดินมาด้วยกัน “ก็เลยต้องอยู่คุยกันยาว”
“งั้นหรือครับ” เสียงละมุนของจูเลียสว่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นสายตาของจะเปลี่ยนไปจ้องคนต่างแดนตาเขม็ง “หวังว่าจะไม่ไปยุ่งกับท่านพี่นะครับ เพราะเหมือนเขาจะยังอยู่ที่ตึกเรียน”
(จะเรียกว่าโชคดีหรือเปล่าเนี่ยที่ไอ้หมอนี่มันดันมีประเด็นกับจูเลียสพอดี…) เกล็นกลืนน้ำลายดังเอื๊อกไม่คิดว่าจูเลียสจะเชื่อเขา
“เปล่าหรอกๆ ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย” เกล็นรีบแก้ต่างให้เอราสต์ จากนั้นเด็กหนุ่มผมฟ้าก็จับไหล่ขององค์ชาย ก่อนจะจับหมุนกลับหลังหันพร้อมดันเจ้าชายเดินนำหน้า “เอาเป็นว่าเรากลับหอกันดีกว่า”
จากนั้นเกล็นก็พาจูเลียสกลับหอ โดยมีชาร์ล็อตกับคลาริสที่อยู่หอเดียวกันเดินตามไปด้วย เอราสต์ที่มีจุดประสงค์แฝงก็ตามไปติดๆ เหลือแค่แมรีแอนน์กับอิกนิสที่ต้องแยกไปอีกทาง
เด็กสาวปรายตามองอิกนิสและครุ่นคิดอะไรบ้างอย่างขณะที่พวกเขาเดินกลับหอ แต่เมื่อคนข้างกายหันมองแมรีแอนน์ เธอจึงหมุนศีรษะไปทางเด็กหนุ่มพร้อมส่งรอยยิ้มบางๆ ให้
“มีอะไรเหรอคะ?”
“แล้วเธอมีอะไรหรือเปล่า” อิกนิสย้อนถามอย่างสงสัยที่ถูกจับจ้อง ด้านแมรีแอนน์จึงส่ายหน้าก่อนเอ่ยตอบ
“กำลังคิดอะไรเพลินๆ น่ะค่ะ”
พูดจบแมรีแอนน์ก็เร่งฝีเท้าออกห่างจากอิกนิสเป็นการตัดจบบทสนทนาดื้อๆ ปล่อยให้เด็กหนุ่มกอดอกมองแผ่วหลังของเพื่อนร่วมหออย่างงุนงง
สองวันถัดมา พวกเกล็นได้ออกเดินทางไปยังนาสตามแผนการที่ให้หัวหน้าห้อง รองหัวหน้า และผู้ช่วยอีกสองคน ไปช่วยอาจารย์ดูสถานที่ แม้ว่านักเรียนห้องอื่นเอะใจที่ไม่เห็นจูเลียสมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้หาเหตุผล พวกเกล็นจึงยังแนบเนียนต่อไปได้
เมื่อไปถึงจุดหม่าย นักเรียนถูกแบ่งหน้าที่ตามที่อาจารย์สั่ง ดังนั้นพวกเกล็นก็แกล้งทำทีช่วยงานตามสั่งภายในเมือง ก่อนจะออกด้านนอกไปสู่เขตป่าต้องห้ามพื้นที่อันตรายของคนละแวกนี้ โดยมันเป็นป่าที่มีลักษณะไม่ต่างจากที่อื่น จนกระทั่งพวกเขามาถึงจุดต้องสงสัยกลางป่าซึ่งเต็มไปด้วยบ้านผุพังหลายหลัง
“หมู่บ้านกลางป่าของจริงเลย…” เกล็นพึมพำเดินสำรวจรอบๆ ก่อนจะมองมาทางแมรีแอนน์ที่ถือจี้ไว้เฉยๆ ทว่ามันก็ไม่แสดงอภินิหารอะไรอย่างส่องแสงนำทางไปยังที่ซ่อนของผลึก ทำให้ทั้งห้าคนต่างยืนมุงล้อมรอบรอดูปฏิกิริยาของมัน
แต่รอแล้วรอเล่า จี้ก็ไม่นำทางพวกเขาเสียทีจนคลาริสเริ่มส่งเสียงโวยวายเป็นคนแรก แล้วเดินแยกกลุ่มเพื่อสำรวจบ้านแต่ละหลังตามหาเส้นทางลับที่ซ่อนเอาไว้ ทำให้คนอื่นๆ แยกย้ายช่วย โดยที่พยายามอยู่ในระยะสายตามองเห็น
ชั่วโมงถัดมา พวกเกล็นกลับมารวมตัวอีกครั้งแล้วส่ายหน้าอย่างสิ้นหวังไม่มีบ้านหลังไหนเลยจะมีสิ่งว่าไว้ เกล็นถอนหายใจคิดว่าการสันนิษฐานของตัวเองผิดพลาด จากนั้นชาร์ล็อตก็เสนอให้ลองไปท้ายหมู่บ้านดู ทั้งหมดจึงตกลงไปตามที่เด็กสาวผมแดงแนะนำ แต่เมื่อยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านในบรรยากาศก็วังเวงมากกว่าตอนอยู่ในหมู่บ้าน เสียงแมลงร้องชวนให้รู้สึกขนหัวลุก โดยเฉพาะเกล็นที่เกาะติดคลาริสไม่ห่างตัว จนในที่สุดพวกเขาได้มาถึงบริเวณแม่น้ำ
“ตรงนั้นมีถ้ำด้วย!”
ชาร์ล็อตตะโกนบอกทุกคนพร้อมชี้ไปยังถ้ำที่ถูกต้นไม้ปกคลุมซึ่งอยู่ห่างออกไป
Comments (0)