49 ตอน บทที่ 48: เข้าใจผิดอย่างรุนแรง
โดย RiFourver
แทนที่จะได้ไปเที่ยวเล่นในงานเทศกาล เกล็นต้องทำหน้ามุ่ยที่ต้องมารวมตัวกันฟังเรื่องสำคัญจากเกรกอรี่ที่เอราสต์เล่าให้ฟังเสียก่อน ซึ่งเรื่องที่ว่าก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้แล้วว่าทางผู้ใหญ่คงจะใช้วิธีให้พวกกรรมการนักเรียนเดินทางไปช่วยงานล่วงหน้า พอจะเนียนไม่ให้เด็กนักเรียนคนอื่นจับสงสัยได้
แล้วกว่าจะถูกปล่อยตัวก็อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เพราะต้องมาเถียงกันเรื่องไร้สาระอย่างการที่เอราสต์พูดจาหวานหยอดใส่แมรีแอนน์กับชาร์ล็อต ทำให้สองพี่น้องฝาแฝดนึกรำคาญรวมทั้งเกล็นที่อยากจะไปงานเทศกาลเร็วๆ หลังนัดกับพ่อเอาไว้
(วันนี้แมรีแอนน์ดูแปลกๆ แฮะ…) เกล็นสังเกตแมรีแอนน์ที่มีสีหน้าไม่สบายใจ ดังนั้นเขาจึงชวนเด็กสาวไปเดินในงานเทศกาลด้วยกัน และหวังว่าการพาเธอไปเจอพ่อแล้วคุยเรื่องปรุงยาช่วยให้แมรีแอนน์อารมณ์ดีขึ้น เหมือนกับตอนที่แมรีแอนน์เจอกับลินดา ทว่าเด็กสาวกลับปฏิเสธเพราะมีนัดกับกลุ่มอื่นก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้นเกล็นจึงไปหาพ่อตามที่นัดหมายเอาไว้ ซึ่งที่นั่นเป็นร้านขายพืชสมุนไพรที่อยู่ไม่ใกล้จากที่พักเท่าไรนัก ทว่าจอห์นกลับสนใจวัตถุดิบสำหรับปรุงยามากกว่าลูกชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน เพราะเขาดูพิถีพิถันในการคัดของเป็นพิเศษ ส่วนตัวเกล็นหลังเจอของแปลกดึงดูดใจก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าไร
จอห์นที่ซื้อของร้านนี้เสร็จเรียกเกล็นให้ตามไปอีกร้านหนึ่ง แต่ด้วยจำนวนคนที่เข้าร่วมงานมีมาก ทำให้สองพ่อลูกพลัดหลงกันอย่างง่ายดาย เกล็นตามหาพ่อเพราะรู้ดีว่าจอห์นน่าจะจดจ่ออยู่กับการไปร้านขายวัตถุดิบอีกเจ้า
“ให้ตายสิ รู้งี้น่าจะถามว่าร้านอยู่ตรงไหนสักหน่อยก็ดี” เกล็นบ่นกับตัวเองอย่างหัวเสียท่ามกลางฝูงคนที่เบียดกันไปมา
เกล็นถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความยากลำบากในการตามหาพ่อพร้อมล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ เขาพยายามเดินไปยังจุดที่สามารถสูดอากาศได้เต็มปอดอย่างริมทางเดินติดทะเล แต่ด้วยจินตนาการแปลกๆ ก็ทำให้เกล็นเกิดความกลัวว่าจะพลัดตกน้ำ จึงย้ายตัวเองเข้าไปอยู่ในฝูงคนอีกครั้ง
(ถ้าโลกนี้มีมือถือคงไม่ลำบากแบบนี้หรอก) เขาบ่น ใจคิดถึงโทรศัพท์มือถือที่กดกริ๊งเดียวก็จะรับรู้ที่อยู่อีกฝ่ายได้ง่ายๆ (จริงสิ ประชาสัมพันธ์จะมีไหมนะ งานใหญ่แบบนี้น่าจะมีพวกเจ้าหน้าที่คอยช่วยอยู่แหละ)
คิดได้แบบนั้น เกล็นเลยออกตามหาคนที่น่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ แล้วกวาดสายตาตามหาพ่อไปเรื่อยๆ ด้วย กระทั่งเขาได้เห็นคนคุ้นตาผุดๆ โผล่ๆ กลางฝูงชน ดูท่าเด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องตามหาเจ้าหน้าที่ให้เสียเวลา เกล็นออกแรงแหวกกลุ่มคนให้เปิดทางเพื่อจะไปหาพ่อง่ายๆ โชคดีที่งานเทศกาลนี้คนยังไม่อัดแน่นเป็นปลากระป๋อง เขาเลยพอขยับตัวไปข้างหน้าทีละนิดละหน่อยได้ พอถึงตัวเด็กหนุ่มก็เอื้อมสุดแขนคว้าเสื้อของคนที่ตามหาไว้ได้ แต่แทนคนที่หันหลังมาจะเป็นพ่อกลับเป็นคนที่ผุดจากความทรงจำแทน
คนตรงหน้าของเกล็นคือผู้ชายที่น่าจะมีอายุสามสิบต้นๆ ใส่เสื้อโค้ทสีน้ำตาลชายขาดรุ่งริ่ง ที่แขนซ้ายสวมเกราะอย่างกับพวกอัศวิน นิ้วชี้ข้างเดียวกันใส่เครื่องประดับที่ทำมาจากทองมีหน้าตาคล้ายกับกรงเล็บ เมื่อชายคนนั้นหันมา เกล็นก็เห็นใบหน้าที่เหมือนคนอดหลับอดนอนใต้ตาคล้ำ ไม่โกนหนวดเคราให้เรียบร้อย เส้นผมยาวประบ่าหยักศกน้อยๆ ที่น่าจะเป็นสีขาวหรือเงินกลับเป็นสีชมพูซีดเหมือนพ่อ…
เกล็นหน้าถอดสีเมื่อเห็นโฉมหน้าของชายคนนั้นที่เอียงคอมองเขาอย่างฉงน
(ฉิบหาย! จำสีผิดเหรอวะ!) เกล็นร้องในใจที่เข้าใจผิดชายผมสีชมพูซีดตรงหน้าเป็นจอห์น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาคือซิกมุนท์ เรนเกอริ่ง บุคคลที่เด็กหนุ่มไม่ควรเจอมากที่สุด และเขาต้องรีบเผ่นออกห่างจากผู้ชายคนนี้โดยด่วน
“ขอโทษครับ นึกว่าพ่อ” เกล็นขอโทษพร้อมหัวเราะแห้งๆ แล้วอาศัยความตัวเล็กกลืนไปกับนักท่องเที่ยว ในหัวตอนนี้มีแต่ความคิดที่ว่าต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับเกรกอรี่รับรู้ว่าเจอหนึ่งในตัวการที่เมืองแห่งนี้ ทว่าระหว่างหนี เกล็นกลับชะงักแล้วมีตัวเลือกสองข้อผุดเข้ามา หลังเห็นจอห์นกำลังคุยอยู่กับเจ้าของร้านร้านหนึ่ง
หนึ่งคือไม่สนใจพ่อแล้วตรงกลับที่พัก
สองแวะไปบอกสักหน่อยว่ากลับแล้ว
สุดท้ายเกล็นตัดสินใจเลือกข้อสอง เขาเร่งฝีเท้าไปหาผู้เป็นพ่อเพื่อบอกลาเป็นกิจจะลักษณะให้มันจบๆ ไม่ต้องให้จอห์นเสียเวลาตามตัวเขา
“พ่อ” เกล็นกระตุกชายเสื้อ “เดี๋ยวผมกลับก่อนนะ มีธุระ…ด่วน…”
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เกรกอรี่ลูบหัวเขา ทว่าคราวนี้มันเป็นแรงกดดันที่อยากจะระบายของเก่าออกจากท้อง แม้จะผ่านไปเพียงแค่ชั่ววินาทีเดียว แต่เกล็นก็รีบยกมือปัดสิ่งที่สัมผัสบนหัวทันที แล้วถลาไปอยู่หลังจอห์นที่ยืนงงกับท่าทีของลูกชาย
“เป็นอะไรไปเกล็น?” จอห์นผู้ไม่รู้เรื่องอะไรเอ่ยถามสงสัย ก่อนสังเกตเห็นชายเจ้าของสีผมเดียวกันยืนยิ้มอย่างเป็นมิตรให้
“ลูกชายคุณทำเจ้านี่ตกไว้น่ะครับ” ซิกมุนท์ยื่นกระเป๋าเงินส่งให้จอห์นด้วยรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วราวกับเป็นคนใจดี ขณะที่เกล็นคว้านหากระเป๋าเงินที่ว่าเพราะมั่นใจไม่ได้ทำตกแน่ๆ เชื่อได้เลยชายคนนั้นต้องใช้จังหวะขโมยเอาไปเพื่อสร้างสถานการณ์
(นี่มันความบรรลัยมาเยือนชัดๆ)
“อา… ขอบคุณครับ” ยังดีที่จอห์นเป็นฝ่ายรับของให้แทน ส่วนตัวเขาก็ยังใช้พ่อเป็นเกราะกำบังไม่ให้ซิกมุนท์เข้าใกล้ “เกล็น เขาอุตส่าห์เอามาคืนให้นะลูก”
ไม่ต้องพูดตรงประเด็นเกล็นรู้ดีจอห์นต้องการให้เขาขอบคุณ เด็กหนุ่มพยายามข่มเสียงให้เรียบและดูปกติก่อนจะเอ่ย แต่ดูจากรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นการแสดงของเกล็นไม่น่าได้ผล จากนั้นซิกมุนท์ก็ขอตัวลาทำตัวสมเป็นพลเมืองดีที่เอาเข้ามาคืนให้
พอมั่นใจว่าซิกมุนท์ลับสายตา เกล็นก็ขอลาพ่อแล้วมุ่งตรงไปหาเอราสต์ซึ่งเดินอยู่แถวทะเลกับสาวๆ ที่หลงใหลในเสน่ห์ของเขา เกล็นรีบคว้าแขนจนอีกฝ่ายตัวเซ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่น่ารักเท่าไร เอราสต์มองอีกคนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ด้วยใบหน้าซีดและเคร่งเครียดทำให้เขารู้ทันทีว่าต้องเกิดอะไรขึ้น เขาจึงขอแยกตัวจากเหล่าเด็กสาวเพื่อปลีกตัวคุยธุระสำคัญกับเกล็น
“ซิกมุนท์ เรนเกอริ่งอยู่เมืองนี้!” ไม่พูดพร่ำทำเพลง เกล็นเล่าเหตุการณ์ที่เจอมาทั้งหมดและย้ำว่าเอราสต์คือคนแรกที่ได้ฟัง และต้องการให้รู้กันแค่สองคนตอนนี้ “แล้วฉันโดนหมอนั่นจับหัวด้วย!”
“แบบนั้นเท่ากับว่าข้อมูลส่วนหนึ่งรั่วไหลเลยนะ!”
“ใช่ ฉันเลยคิดว่าเรื่องนี้ต้องบอกให้ปู่เกรกอรี่รู้ พวกผู้ใหญ่น่าจะรับมือดักทางได้ แน่นอนว่านอกจากฉันกับนายก็รู้กันแค่นี้ก่อน” เกล็นย้ำเป็นครั้งที่สอง เอราสต์จึงพยักหน้าเข้าใจ
“สงสัยว่างานนี้ใครไวใครได้แล้วล่ะ” เด็กหนุ่มเรือนผมม่วงเอ่ยขึ้นลอยๆ “ฉันคิดว่าข้อมูลที่ซิกมุนท์ได้ไปน่าจะเป็นข้อมูลเก่าๆ ถึงจะเก่าก็ประมาทไม่ได้ด้วย ตอนนี้เราต้องแข่งกับเวลาแล้วว่าใครจะตีความหมายของอาคมของตระกูลลูมิเธอร์ได้ก่อน”
(ถ้าได้แค่นั้นคงดี… แต่ที่น่าห่วงน่ะ… คือความทรงจำสมัยชาติที่แล้วต่างหาก)
เกล็นไม่รู้เลยว่าความทรงจำที่ถูกซิกมุนท์ล่วงรู้จะเทียบเท่ากับเกรกอรี่หรือไม่ ถ้าคนอย่างซิกมุนท์รู้ทุกอย่างขึ้นมา ผู้ชายคนนั้นจะต้องแก้เกมได้ แถมพวกซิกมุนท์ก็มีเบาะแสในการแกะอาคมในมือด้วย โอกาสที่ความทรงจำที่เป็นแต้มต่อให้พวกเกล็นจะไร้ประโยชน์ทันทีหากทั้งสองฝ่ายแข่งกันทำเวลา
“งั้นเรารีบกลับที่พักเถอะ ขืนใช้นกพญาเพลิงลายทองตรงนี้คนได้แตกตื่นกันพอดี ดีไม่ดีซิกมุนท์อาจจะกำลังอยู่แถวนี้ก็ได้” เอราสต์เสนอความคิดให้รีบกลับไปโรงแรม เพราะอย่างน้อยๆ ที่นั่นจะเป็นที่เดียวที่ซิกมุนท์ไม่สามารถเข้าถึงตัวเกล็นได้ ดังนั้นสองหนุ่มรีบรุดกลับที่พัก
มันช่างเป็นวันดีอะไรเช่นนี้นะ หรือมันเป็นโชคชะตาที่ท่านเทพฮีมูอากำหนดมาให้ซิกมุนท์ได้พบกับเด็กหนุ่มผมฟ้าที่น่าสนใจในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ที่สำคัญยังเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเสียด้วย ซิกมุนท์จึงฮัมเพลงอารมณ์ดีกลับฐานที่มั่น คริสต้าที่นั่งโซฟาสีแดงตัวประจำถาม
“มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอ?”
“พอดีไปงานเทศกาลเจอของที่น่าสนใจมาแน่ะ” เขาตอบกลับเสียงใสพลางถอดเกราะแขนวางทิ้งไว้บนโต๊ะใกล้ๆ แล้วตระเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ที่ได้จากงานมาเรียงเป็นหมวดหมู่ให้ง่ายต่อการจัดเก็บ “เพราะงั้นขอเวลาอีกสักหน่อยก็พอจะรู้สถานที่ต่อไปแล้วล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอผ่านนะ อยากจะพักบ้างน่ะ” คริสต้าปัดมือไปมาประกอบคำพูด “อีกอย่างปล่อยให้เจ้าคนน้องฝึกเพิ่มก่อนดีกว่า”
“แต่ถ้าเด็กนั่นดันเก่งแบบก้าวกระโดดขึ้นมาล่ะ เธอจะรับมือไหวเรอะ ยิ่งมีทั้งสายเลือดของฟรานเซนไทน์ทั้งตรีปาฐิ” ซิกมุนท์ผิวปากพูดทีเล่นทีจริง “ถึงผ่านมาตั้งสามรุ่นแล้วก็อย่าประมาทเชียวนะ ไม่แน่อาจจะเก่งเหมือนกันหรือเหนือกว่าก็ได้นะ”
“ไม่เอาน่าซิกมุนท์ เอาไปเทียบกับปีศาจแบบนั้นได้ไงกัน”
“อะไรกันเธอ โกรธที่ฉันเอาทวดกับเหลนมาเทียบกันเหรอ? หรือว่าชอบเขาจนยอมไม่ได้ว่าจะมีคนที่เก่งกว่า”
“พวกที่เป็นอัศวินเวทมีใครบ้างไม่ชอบตาแก่นั่นล่ะ อายุเยอะแล้วแท้ๆ แต่ยังจับดาบไหวอยู่เลย ก็สมแล้วที่ยังนั่งบัลลังก์ของสุรัชตาได้ทั้งๆ ที่มันวุ่นวายขนาดนั้น”
“ก็เพราะมันวุ่นวายน่ะสิ ตาแก่นั่นถึงได้ไม่ลงจากบังลังก์สักที ว่าแต่เขาเก่งขนาดไหนล่ะ ชักอยากรู้แล้วสิ” ซิกมุนท์เลิกคิ้วมองคริสต้าที่ปรายตามาทางเขาเช่นกัน
ดังนั้นหญิงสาวจึงดีดตัวลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเลียนแบบการกระทำของชายคนนั้นในอดีตด้วยการเรียกอาวุธประจำกายขึ้นแล้วเหวี่ยงคมสีแดงเพลิงเบาๆ เป็นการสาธิต
“บอกเลยนะว่านี่ยังช้ากว่าที่ผู้ชายอายุแปดสิบกว่าทำต่อหน้าพวกลูกเจี๊ยบแบบฉันซะอีก คนในกองเลียนแบบได้ก็จริงแต่ใช้เวลานานพอควรเลยล่ะ”
“แหม ก็เขาอายุตั้งขนาดนั้นจะใช้ชำนาญกว่าพวกเธอที่อายุยี่สิบกว่าๆ เป็นเรื่องปกติหรือเปล่า ฮะๆ” ซิกมุนท์หัวเราะพร้อมดีดนิ้วลดเปลวเพลิงใบดาบของคริสต้าลงแล้วจนหายไปในที่สุด “จุดไฟในนี้ไม่ดีหรอกนะ ถ้าฮันนาหรือคุณเจอรัลด์มาเห็นได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่เลย ฮะๆ”
“ก็จริงนะ” ว่าจบคริสต้าก็จัดการเก็บอาวุธให้กลายเป็นละอองแสงสีทอง
“เดี๋ยวรอบหน้าฉันจะไปกับฮันนาละกัน”
“จะออกโรงเองบ้างแล้วเหรอ?” หญิงสาวกลับมานั่งลงบนโซฟาตัวเดิม “นึกว่าชอบออกไปเก็บข้อมูลซะมากกว่าอีก”
“อืม… ตอนนี้ไม่ค่อยมีที่อยากรู้แล้วล่ะ มีแค่ทดลองอะไรนิดๆ หน่อยๆ แต่ผลคงออกมาแบบเดิม” ซิกมุนท์ทำคอตกราวกับคนหมดกำลังใจในการทดลองของสิ่งหนึ่ง
“ตอนนี้ก็เหลือแค่จัดการเรื่องผลึกนั่นอย่างเดียวแล้วสิ?”
“ทำนองนั้น ถ้าสถานที่อำนวยก็อยากจะเจอเกล็น ฮิลเนสันเป็นการส่วนตัวหน่อยก็ดี” ซิกมุนท์หัวเราะหลังนึกเรื่องตลกขึ้นมาดื้อๆ เรียกสายตาสงสัยจากหญิงสาวที่ไม่เข้าใจความหมาย
“รู้ตัวหรือเปล่าว่าอารมณ์ดีผิดหูผิดตามากเลยนะ ขนาดฉันไม่สนิทกับคุณเท่าฮันนายังรู้สึกเลย”
“ก็เหมือนคริสต้าที่เจอเด็กมีอนาคตอย่างพี่น้องคู่นั้นไงล่ะ รออยู่ไม่ใช่เหรอคนน้องน่ะน่าสนใจกว่าคนพี่อีกนี่”
“มันก็ใช่นะ ถึงจะแอบเสียดายคนพี่อยู่ก็เถอะ” คริสต้ายักไหล่ขอไปที “จะคนไหนก็ช่างมันเถอะ เล่นมาจากสองตระกูลใหญ่ยังไงเชื้อไม่ทิ้งแถวกันอยู่แล้ว”
“อะไรกัน อะไรกัน เมื่อกี้ยังดูถูกอยู่แท้ๆ เลยนะ” ซิกมุนท์ส่งเสียงขบขัน “แต่ว่าโชคดีจริงๆ ที่เกล็น ฮิลเนสัน ยังไม่โดนฮันนาเค้นถามวันสอบปลายนะ จะได้มีเรื่องคุยเยอะๆ”
จบประโยค คริสต้าต้องสะดุ้งตัวโยนหันขวับไปทางซิกมุนท์ที่การพูดของเขาเหมือนจะดูธรรมชาติก็จริง แต่หญิงสาวก็รู้สึกเคลือบแคลงใจแม้เป็นพวกเดียวกัน
“ที่กระซิบกระซาบกันวันนั้น แสดงว่ารู้แล้วล่ะสิเนี่ย” คริสต้ายิ้มแหยเหงื่อตกที่เรื่องบุกในวันเกิดจูเลียสความแตก “แต่ก็แปลกนะที่ฮันนาไม่โกรธคุณน่ะซิกมุนท์”
“แหม คนเราทำอะไรผิดไว้ก็ไม่กล้าโกรธกันหรอกนะ ไม่อย่างนั้นฉันคงโดนฮันนาปาหนังสือใส่ไปแล้ว ฮะๆๆๆ”
แล้วคริสต้าก็ถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา ไม่ชินกับความสัมพันธ์อันคลุมเครือของซิกมุนท์กับฮันนาที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน บางทีสองคนนี้ก็ชอบคุยผ่านทางความคิดอย่างรู้ใจ แต่บางทีฮันนาก็โมโหใส่ซิกมุนท์ราวกับเกลียดขี้หน้า เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ของชายหนุ่มเองที่มักทำตัวมีความลับหลายๆ อย่างเกี่ยวกับการคืนชีพให้มังกรร้ายเชเบอร์ทอส อย่างเช่นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงส่งคนในตระกูลตัวเองเข้าคุกแล้วสานงานต่อเองคนเดียว
“ว่าแต่คุณอยากคุยอะไรกับเจ้าหนูนั่นล่ะ”
“ก็ไม่สำคัญหรอก แค่อยากคุยสารทุกข์สุกดิบจากปู่แกนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง มันต้องเป็นอะไรที่น่าสนใจแน่เลย อดใจรอเจออีกครั้งไม่ไหวแล้วสิ ฮะๆ”
Comments (0)