(ถ้าเป็นแบบนั้น ไอ้การไปทุกปลายเดือนก็ไม่มีประโยชน์อะไรน่ะสิ) เกล็นกอดอกตั้งคำถามกับตัวเองระหว่างนั่งเรียนวิชาคาบเช้า หลังกลับมาจากมณฑลลูเอลต้าเมื่อวันก่อน

ในเมื่อพวกซิกมุนท์ได้เบาะแสในการตามหาผลึกเหมือนกับเขา ครั้นจะให้รอปลายเดือนเพื่อไปยังสถานที่ซ่อนต่อไปคงจะใช้แผนเดิมไม่ได้แล้ว “แล้วถ้าทางนู้นแกะอาคมได้ก่อนจะแผนไหนก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น เอาเหอะ พวกปู่อาจจะคิดแผนได้แล้วมั้ง แต่ก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าจะออกมาแบบไหน”

จากนั้นเกล็นก็ถอนหายใจเฮือกจึงถูกอาจารย์ประจำวิชาเอ็ดที่แสดงท่าทีไม่เหมาะสม เด็กหนุ่มเลยต้องกลับมาสนใจการเรียนทั้งที่ยังรู้สึกคาค้างใจจนสมาธิหลุดอีกรอบ เพราะพยายามเค้นความทรงจำว่าจริงๆ แล้วแมรีแอนน์ในเกมใช้เหตุผลอะไรเพื่อที่จะสามารถเดินทางไปต่างมณฑลได้

(ลืมไปสนิทว่าสถานะของแมรีแอนน์ในเกมเฉลยเลยนี่หว่า) เกล็นก็เหลือบมองเด็กสาวที่ตั้งใจเรียนอยู่แถวกลางของห้อง (โอ๊ย คิดยังไงก็คิดไม่ออกอยู่ดีนั่นแหละ)

เพราะเอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่ทั้งวัน สุดท้ายเกล็นก็ตัดสินใจไปหาเอราสต์หลังเลิกเรียนที่หอสองเพื่อคุยเรื่องนี้ โดยมีอิกนิสกับคลาริสขอติดไปด้วยเมื่อรู้ว่าเขาจะไปหาใคร ในระหว่างทางเกล็นก็พูดในสิ่งที่คิดไม่ตกให้สองพี่น้องฟัง ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ต่างจากเกล็นที่คิดหาเหตุผลเหมาะๆ ในการออกนอกโรงเรียนยังไงให้เนียนไม่ออก เพราะสักวันต้องมีคนสงสัยว่าพวกเขาหายไปไหนพร้อมกันห้าคน ทั้งสามคนคุยเรื่องนี้จนมาถึงห้องพักของเอราสต์ที่ต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่ยังให้ความรู้สึกน่าหมั่นไส้ในสายตาของเกล็น ทว่าท่าทางของอิกนิสกลับแสดงความไม่พอใจผ่านแววตาที่ต้องคุยกับเอราสต์

“พวกนายกังวลเรื่องนั้นสินะ” เอราสต์กอดอกพยักหน้า เข้าใจถึงปัญหาที่พวกเกล็นกำลังเผชิญ “มันก็น่าคิดจริงๆ นั่นแหละ เพราะส่วนหนึ่งมาจากที่สถานะของแมรีแอนน์ไม่สามารถเปิดเผยด้วยเหตุผลส่วนตัวได้จนทำอะไรไม่คล่องตัว แล้วจะให้รอเก้อครบเดือนตามแผนเดิมก็ไม่ได้”

“แล้วทางนายมีอะไรเสนอดีๆ หรือเปล่า” อิกนิสลองถามความเห็นจากเอราสต์ดู เผื่ออีกฝ่ายจะมีความคิดดีๆ ทว่าเอราสต์ก็ยักไหล่ส่ายหัว บอกตามตรงว่าตัวเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน

“จริงด้วย! มันก็อาจจะมีอีกวิธีนะ แต่ยังไงซะก็ต้องส่งเรื่องเข้าที่ประชุมก่อนว่าจะยอมรับกันไหม” เอราสต์ใช้กำปั้นทุบฝ่ามือเบาๆ หลังคิดอะไรได้แล้วนำเสนอให้พวกเกล็นฟัง “ได้ยินว่านาย”

เอราสต์ชี้ไปทางอิกนิสแล้วเปลี่ยนเป้าหมายมายังเกล็น “แล้วก็นาย เป็นหัวหน้ากับรองหัวหน้านี่นา แล้วฝ่ายหญิงก็คือคุณชาร์ล็อตด้วย ถ้าลองส่งเสนอกับพวกมหาปราชญ์ดูว่า ให้หัวหน้ากับรองพร้อมคนติดตามไปดูสถานที่หน้างานช่วยอาจารย์อะไรทำนองนี้ก็อาจจะออกไปตามหาผลึกได้เนียนๆ นะ”

“แบบนั้นมันไม่สะดุดตาไปหน่อยเหรอ” คลาริสแย้ง “ถ้าใช้วิธีนั้นคนจากห้องอื่นก็ต้องไปด้วยนะ ถึงจะให้ทยอยไปทีละห้อง แล้วบังเอิญว่าพวกผู้ใหญ่แกะอาคมที่ซ่อนของผนึกนั้นได้สองที่พร้อมกันขึ้นมาจากทำไง ถ้าให้คิดอย่างง่ายๆ ก็คงส่งคนไปเฝ้าว่าพวกของผู้หญิงคนนั้นมาแล้วหรือยัง ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็สายเกินไปหรือเปล่า”

“ก็…ไม่อยากจะพูดแบบนี้หรอกนะ แต่การแกะอาคมที่ไม่รู้จักมันต้องใช้เวลานานพอควรเลยล่ะ ต่อให้เป็นท่านมหาปราชญ์หรือซิกมุนท์ก็ต้องใช้เวลา เพราะงั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรู้ที่ซ่อนผนึกในเวลาไล่เลี่ยกันหรอก”

“แต่ถ้ามันเป็นไปได้ล่ะ?” อิกนิสว่าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิดเผื่อในกรณีที่ทางศาสนจักรสามารถแกะอาคมรู้สถานที่ซ่อนของผนึกได้มากกว่าที่แห่ง “เพราะงั้นถ้าจะให้ไปสองรอบติด มันจะทำให้นักเรียนคนอื่นคิดใจสงสัยได้ โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบหน้าพวกเราเป็นทุนเดิม”

“เรื่องนั้นก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ว่าเราจะไม่ไปคุยกับสาวๆ หน่อยเหรอ” เอราสต์ยักไหล่พลางไล่สายตามองแต่ละคนด้วยใบหน้าทะเล้น

“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกเราไปคุยเรื่องนี้เองกันต่อได้” จากน้ำเสียงจริงจังกลายเป็นความขุ่นมัวจากอิกนิส

“หืม?” เด็กหนุ่มต่างแดนกอดอกเลิกคิ้วประหลาดใจกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปฉับพลันของอีกฝ่าย “ดูเหมือนนายจะไปค่อยพอใจที่ฉันเข้าใกล้คุณชาร์ล็อตนะ หึงเหรอ?

“อึก!” อิกนิสซึ่งถูกสวนกลับสะอึก หน้าขึ้นสีระเรื่อที่จู่ๆ เอราสต์ก็เปลี่ยนเรื่องพูด “มะ ไม่…”

ไม่ทันจะได้พูดพยางค์ต่อไป เกล็นก็ใช้สายตาเคืองๆ มองไปทางอิกนิสพร้อมอุทานเสียงเข้ม “หา???”

“โทษนะ ไอ้เรื่องพรรค์นั้นไว้ก่อนได้ปะ” คลาริสที่ไม่สนใจเรื่องนี้พูดขึ้นโดยไม่รู้ว่านั่นคือการช่วยพี่ชายไปในตัว “แต่ในเมื่อเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ก็ให้พวกผู้ใหญ่ตัดสินเองไปเลยดีกว่ามั้ง เพราะงั้นไม่ต้องตามสองคนนั้นมาคุยหรอก ให้อิกนิสนั่นแหละบอกแมรีแอนน์ ส่วนชาร์ล็อตก็ให้เกล็นคุย”

“มันก็จริง” เกล็นเปลี่ยนความสนใจไปเรื่องที่คลาริสพูด อิกนิสเลยลอบถอนหายใจโล่งอกด้วยความรู้สึกอย่างที่บอกไม่ถูก “แต่ยังไงก็ลองถามๆ ไปก็ได้”

“ในเมื่อพวกนายตกลงกันก็ตามนั้น เพราะยังไงฉันก็เป็นแค่คนกลางที่คอยช่วยส่งข้อมูลให้เท่านั้นเอง” เอราสต์เหยียดยิ้มมุมปากเสียดาย ที่เรื่องน่าสนุกหายไป จากนั้นเขาก็ใช้นกหวีดอีกอันขึ้นมาเป่าเรียกนกพญาเพลิงลายทองมาเกาะบนขอบหน้าต่าง เอราสต์เอาเศษแร่เงินให้เป็นอาหารเพื่อออกคำสั่งตามที่คุยกับพวกเกล็นเมื่อสักครู่ เสร็จแล้วนกตัวนั้นก็บินจากไปด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าไอเดนสัตว์เลี้ยงของชาร์ล็อตหลายเท่า

“ได้คำตอบเมื่อไรฉันจะเรียกให้มาฟังพร้อมกันอีกที และในเมื่อไม่มีอะไรแล้วฉันก็ขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อล่ะ”

“คงไม่ใช่ว่าจะไปหอพวกฉันหรอกนะ” เกล็นพูดทีเล่นทีจริง เพราะเท่าที่สังเกตพฤติกรรมของเอราสต์เขามักมาที่หอหนึ่งเป็นประจำ

ส่วนสาเหตุน่าจะเกี่ยวข้องกับฟิเลน่า เพราะท่าทางของเอราสต์ดูก้อร่อก้อติกคุณหนูคนนั้นเป็นพิเศษ นั่นเลยทำให้เกล็นนึกได้ว่ามีเรื่องจะถามเคจเกี่ยวกับเรื่องนี้จนลืมประเด็นของอิกนิสที่โดนแซวเรื่องชาร์ล็อตไปสนิท ดังนั้นเกล็นกับคลาริสเลยขอกลับหอตัวเอง แน่นอนว่าเอราสต์ก็เดินมากับพวกเขาพร้อมกับหว่านเสน่ห์เหล่าเด็กนักเรียนหญิงไปด้วย กระทั่งเกล็นมาถึงหอ เขาก็ฝากเพื่อนคนหนึ่งไปตามชาร์ล็อตเพื่อจะเล่าเรื่องที่คุยก่อนหน้านี้ เมื่อเด็กสาวผมแดงมาเอราสต์ก็ใช้น้ำเสียงหวานละมุนกับเธอ นั่นเลยทำให้เกล็นกลับมาคิดเรื่องของอิกนิสอีกหน แต่คลาริสก็ดันหิวมื้อเย็นเลยขอให้เกล็นทำเมนูแปลกๆ ให้กินที่ห้อง กลายเป็นว่าเรื่องไร้สาระที่เกล็นอยากรู้ในวันนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าเลยสักเรื่อง

 

หลังได้ข่าวว่าการศึกษานอกสถานที่ที่จะไปสิ้นเดือนนี้คือเมืองท่าใหญ่ของประเทศ ความสนใจก่อนหน้าของเกล็นก็หายจนหมดเกลี้ยง รวมทั้งเรื่องสำคัญอย่างการตามหาผลึกว่าจะใช้แผนไหนให้พวกเขาออกจากโรงเรียนโดยไม่สะดุดตาคนทั่วไป เพราะใจของเขาจดจ่ออยู่กับอาหารทะเลที่ฝันอยากกินมานานตั้งแต่ชาติก่อน แล้วยิ่งได้ข่าวผู้เป็นพ่อจะเดินทางไปที่นั่นด้วย เนื่องจากมีงานเทศกาลประจำเมือง ยิ่งทำให้เกล็นนึกถึงของอร่อยมากกว่าเดิม

แต่เพราะตั้งความหวังมากไปหน่อย เมื่อไปถึงเกล็นก็ต้องทำหน้าผิดหวังที่ไม่ได้เห็นความตระการตางานสร้างของเทศกาล เนื่องจากพวกเขาเดินทางมาก่อนจัดหนึ่งวันเพื่อลดการเดินทางที่แออัด ทว่าเกล็นก็กลับมาร่าเริงได้อีกครั้งที่ได้เห็นทะเลและเรือของชาวประมงที่กำลังกลับเข้าฝั่ง เขาไปตีสนิทหวังว่าจะมีสัตว์ทะเลที่สามารถกินได้ทันทีขายให้ และความฝันเกล็นก็เป็นจริงที่เมนูอาหารทะเลจากชาวประมงผู้เป็นมิตรถูกนำมาเสิร์ฟ เกล็นจึงมีความสุขกับมื้ออาหารทะเลในรอบห้าสิบปีได้อีกครั้ง แน่นอนว่าไอเทมสำคัญอย่างน้ำจิ้มซีฟู้ดก็มาช่วยรื้อฟื้นความหลังตั้งแต่วัยเด็กเมื่อชาติที่แล้วว่าเคยทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า เล่นว่าว นั่งบาบาน่าโบ๊ท และอื่นๆ ที่จำไม่ได้ ก่อนจะนึกได้ว่ามีอีกหนึ่งประสบการณ์เฉียดเข้าโรงพยาบาลที่ดันไปเล่นน้ำทะเล ตอนคลื่นซัดแรงตอนไปบ้านญาติทางใต้

“จะว่าไป แม่เคยพาไปเล่นสระว่ายน้ำโรงแรมอื่นด้วย…” เขาพึมพำ ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีใครบางคนเดินมาจากทางด้านหลัง

“ดูนายมีความสุขจังเลยนะ” คลาริสพูดขึ้นขณะนั่งลงข้างๆ เกล็นที่ในปากเต็มไปด้วยเนื้อกุ้งย่าง “ว่าแต่นั่นมันอะไรน่ะ”

เขาชี้ไปที่ขวดน้ำจิ้มซีฟู้ดสีเขียว “นายเอามากินคู่กันเหรอ”

“ใช่” เกล็นตอบสั้นๆ ทั้งที่อาหารยังอยู่ในปากก่อนพยายามเคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนลงไปด้วยสีหน้าซาบซึ้งต่ออาหารทะเล “ว่าแต่เรื่องคราวนั้นรู้สึกดีขึ้นหรือยัง”

“เอ๋? เรื่องไหน” คลาริสเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างฉงน

“ถามกลับแบบนี้คงไม่ได้กังวลแล้วสินะ” เกล็นกอดอกพยักหน้าทั้งที่ในมือยังถือขาปูไว้อยู่ “ดีแล้วล่ะ มันจะได้ไม่ก่อกวนตอนที่นายฝึก”

“อ้อ… เรื่องนั้นเอง อืม ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ” คลาริสอมยิ้มดูสงบเสงี่ยมเจียมตัวกว่าปกติ “นั่นเพราะนายพูดให้นั่นแหละ ฉันเลยตั้งใจว่าค่อยๆ จับจุดทีละขั้น ก็ดีเหมือนกัน ขืนกระโดดข้ามทั้งแบบนั้นก็มีแต่เสีย”

“ก็ดีแล้ว ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกได้นะ แต่ถ้าใช้ธาตุประจำตัวฉันว่านายทำได้อยู่แล้ว” เกล็นพูดพร้อมหยิบหอยนางรมมาราดน้ำจิ้มซีฟู้ด คนที่มองก็ทำหน้าแหยเก ไม่นึกว่าเพื่อนข้างตัวจะกล้ากินของสดๆ ได้ “อะไร ไม่เคยกินอาหารทะเลหรือไง”

เกล็นยื่นหอยนางรมสดให้คลาริสที่ส่ายหน้าปฏิเสธไม่กล้าลองของแปลก เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากกินเกล็นก็จัดการอาหารในมือต่อ

“เฮ้อ ถ้ามีครบเซตน่าจะอร่อยกว่านี้” เกล็นบ่นเสียดายที่วัตถุดิบสำหรับทานหอยนางรมแบบครบชุดหาได้ยากในโลกนี้ แต่มันก็พอแก้ขัดไปก่อนได้ “จริงสิ ว่าแต่นายเคยไปทะเลไหม นี่ครั้งแรกของฉันเลยนะ”

เกล็นหาเรื่องคุยต่อ

“เคยเห็นแล้วครั้งหนึ่งก็เลยไม่ได้อะไร ตอนที่ไปหาทวดน่ะ”

“เหรอ… แล้วทวดเขาเป็นคนยังไงเหรอ ได้ยินจากปากนายบ่อยมาก แต่ไม่เคยได้ถามจริงจังสักครั้ง”

“เป็นคนแก่ที่เท่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลยล่ะ!” คลาริสยิ้มกว้างอารมณ์ดีที่ได้เล่าเรื่องของทวด “ฉันยังจำภาพที่ทวดให้ดาบไฟได้อยู่เลย มันสุดยอดมากๆ จนฉันอยากทำแบบนั้นได้”

“แต่ก็ทำได้แล้วนี่นา” เกล็นนึกถึงวันที่พวกเขาปะทะกับคริสต้า โดยที่คลาริสฝืนตัวเองใช้เวทมนตร์ผสานรวมกับอาวุธครั้งแรก “ฉันว่ามันเท่เหมือนกันนะ”

“ไม่หรอก ฉันต้องทำให้ดีกว่านี้!” คลาริสกำหมัดแน่น ตั้งปฏิธานต้องเก่งขึ้นกว่านี้ “อ้อ ช่วงหนึ่งเดือนมานี้ฉันฝึกกับอิกนิสแล้วก็ชาร์ล็อตด้วย”

“หา? อิกนิสพอเข้าใจนะ ไหงชาร์ล็อตไปฝึกกับเขาด้วย” เกล็นทำหน้าเหวอหลังได้ยินว่าชาร์ล็อตเองก็ไปฝึกการใช้อาวุธกับสองพี่น้อง เพราะเขาไม่คิดเลยว่าหล่อนจะสนใจเรื่องพวกนั้นด้วย

“ช่าย” คลาริสลากเสียงยาว “ตอนแรกๆ ก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่เอาเข้าจริงฝีมือยัยนั่นก็ใช่ย่อยนะ นายน่าจะลองไปดูเขาฝึกสักครั้งนะ ฉันเชื่อเลยว่าชาร์ล็อตต้องดีใจที่ได้เจอนาย”

“พูดแบบนี้สงสัยกลับโรงเรียนไป ฉันคงหมกตัวในห้องปรุงยาไม่ได้แล้วน่ะสิ”

“ออกมาเจอโลกกว้างบ้าง” คลาริสกวาดมือไปด้านหน้าประกอบการสื่อสาร “ถึงจะน่าเจ็บใจ แต่ยัยนั่นยอดเยี่ยมใช้ได้เลยล่ะ”

“ครับๆ ไว้มีโอกาสจะไปดูนะ”

“ไม่ใช่ไว้มีโอกาส แต่ต้องไปดูให้ได้เลยต่างหาก”

“เข้าใจแล้วๆ” เกล็นพยักหน้าตอบรับอย่างไม่จริงจังนัก

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เงียบลง คลาริสนั่งดูเกล็นเพลิดเพลินกับอาหารทะเลอยู่สักพักใหญ่ แต่แล้วจู่ๆ เด็กหนุ่มผมแดงก็ถามอะไรแปลกๆ ออกมา

“นายคิดยังไงกับชาร์ล็อตเหรอ?”

 

“โกหกน่า ดีลิเซียเนี่ยนะชอบคลาริส” แมรีแอนน์ ชาร์ล็อต และลิเลียน ประสานเสียงด้วยความตกใจ หลังจากที่เคจเปิดหัวข้อสนทนาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างอาจารย์แมทธิวกับคุณลิซ่าก่อนจะลามไปคู่อื่นเท่าที่มีข้อมูล ณ ห้องพักของโรงแรมในเวลากลางดึกที่ทางโรงเรียนไม่อนุญาตให้ออกไปไหน

“ไม่ใช่แค่ดีซิเลียนะ เห็นว่ามีเด็กห้องอื่นกับรุ่นพี่ปีสามวนเวียนอยู่เหมือนกัน” เด็กสาวผมดำทำท่าทางราวกับกระซิบความลับสุดยอดให้เพื่อนทั้งสาม ขณะที่ฟิเลน่าซึ่งมาด้วยกันกับเคจนั่งไขว้ห้างอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องดูวิวทะเลยามค่ำคืน

“เหอะ คนแบบนั้นทำไมมีคนชอบเยอะล่ะเนี่ย” ชาร์ล็อตทำเสียงขึ้นจมูก ดูไม่สบอารมณ์ที่คู่กัดมีสาวรุมล้อม เคจได้ยินก็หัวเราะคิกคักอดแซวไม่ได้

“บังเอิญว่าอิกนิสมีเธออยู่ใกล้ตัวน่ะสิ คนอื่นเลยไม่กล้าเข้าใกล้”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา วิชาเลือกฉันมันทำงานเป็นคู่นี่” ชาร์ล็อตบอกเหตุผลว่าทำไมเธอถึงตัวติดอยู่กับอิกนิส

“แต่พูดถึงอิกนิสแล้ว พอได้เป็นกรรมการนักเรียนก็เจอตัวยากด้วยล่ะเนอะ เห็นว่าพวกอาจารย์ค่อนข้างชอบเลยโดนวานให้ช่วยงานบ่อยๆ” ลิเลียนเข้ามามีส่วนร่วมในหัวข้อสนทนา

“เชื่อฉันไหม ปีหน้าคุณอิกนิสได้เป็นประธานนักเรียนแน่ๆ” ฟิเลน่าพูดแทรกขึ้นพลางเล่นปลายผมของตัวเอง

“ฮะๆ… พอจะเดาสีหน้าของอิกนิสออกเลยล่ะค่ะว่าเป็นยังไง” แมรีแอนน์หัวเราะเสียงแห้งจินตนาการถึงเพื่อนร่วมหอพักที่เจอกันในหอทีไรต้องระบายเรื่องงานสภานักเรียนให้ฟัง “เพราะเขาเคยมาบ่นว่าถ้าสลับได้ก็ขอเป็นกรรมการหอพักดีกว่าน่ะ”

“ก็ไม่แปลกใจนะที่อิกนิสจะถูกเสนอชื่อเป็นกรรมการ” เคจยิ้มแหยๆ นึกถึงตอนที่เธอเล่นเตะบอลกับพวกผู้ชายในวันหยุด แล้วจู่ๆ อิกนิสก็โผล่มาตำหนิเรื่องที่เตะลูกบอลอัดใส่กำแพง “ฉันว่าอิกนิสเป็นหัวหน้าห้องล่ะดีแล้ว แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ จะว่าไปชาร์ล็อตเธอคิดว่าอิกนิสเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“หา? ฉันเหรอ” ชาร์ล็อตเลิกคิ้ว ทำตาโตมองเคจที่พยักหน้า “เอ… ถ้าเอาเด่นๆ ก็คงห่วงคนอื่นมากเกินไป…มั้ง? หรือจะบอกว่าขี้กังวลไปดีล่ะ… อืม???”

เธอตอบอย่างไม่มั่นใจเท่าไร

“มันก็จริงนะ ฉันว่านิสัยพวกนั้นคงติดมาจากตอนที่คลาริสชอบหัวเสียใส่ก็ได้” ลิเลียนแอบเห็นด้วยกับชาร์ล็อต

“หวา แบบนี้ก็ผิดที่คาดไว้เลยน่ะสิ” เคจร้องเสียดายที่ภาพที่วาดไว้ผิดเพี้ยน แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้นึกหัวข้อขึ้นใหม่ “ว่าแต่กับเกล็นล่ะ เป็นยังไงบ้าง รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเลยนี่นา น่าจะมีอะไรบ้างนะ”

ชาร์ล็อตนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเสมองไปทางอื่น

“ท่าทางแบบนี้มีใช่ไหมเนี่ย!?” เคจเคลื่อนไหวตัวเปลี่ยนไปนั่งข้างชาร์ล็อตอย่างรวดเร็ว

“มะ ไม่เอาน่าเคจ” ลิเลียนพยายามค้านเรื่องที่จะเป็นบทสนทนาถัดไปด้วยการเดินไปดึงเคจออกห่างชาร์ล็อต

“จริงสิ!” แมรีแอนน์โพล่งออกมาพร้อมปรบมือครั้งหนึ่ง “เดี๋ยวฉันไปเอาขนมกับเครื่องดื่มเพิ่มให้ไหมคะ คิดว่าโรงแรมน่าจะมีให้สั่งได้น่ะค่ะ”

พูดจบแมรีแอนน์ก็รีบออกจากห้องไปทันทีโดยไม่รีรอคำตอบจากใคร ทว่าสถานที่ที่เด็กสาวไปไม่ใช่เคาน์เตอร์สำหรับสั่งอาหารของทางที่พัก เธอเลือกไปยืนตากลมที่พัดมาจากทางทะเลที่ระเบียงของโถงกลาง แมรีแอนน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมหยิบเครื่องรางประจำตัวขึ้นมาดูด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ขณะที่ดวงตาร้อนผ่าวและหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

ไม่รู้นานเท่าไรที่แมรีแอนน์ยืนอยู่ตรงนี้ คนคนหนึ่งที่สังเกตความผิดปกติตั้งแต่แรกได้เดินมาจากทางด้านหลัง

“กะแล้วว่าไม่ได้มาเอาขนมจริงๆ ด้วย” เสียงแหลมเป็นเอกลักษณ์พูดขึ้น “เรื่องของคุณเกล็นหรือเปล่าที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้”

ฟิเลน่ามองแมรีแอนน์ที่หันกลับมาด้วยสายตาจริงจังพร้อมก้าวมาหยุดตรงหน้าอีกฝ่าย

“พูดตามตรง ฉันน่ะสงสัยตั้งแต่วันเกิดลิเลียนแล้วล่ะ เพราะตอนที่เธอเข้าห้องน้ำก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกเราคุยกันว่าสองคนนั้นเป็นคู่หมั้นกันหรือเปล่า จากนั้นเธอก็ดูแปลกไป จนเมื่อกี้ก็ค่อนข้างมั่นใจเลยล่ะว่าใช่”

ไร้เสียงตอบจากแมรีแอนน์ มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ดูเศร้าปรากฏบนใบหน้า เธอได้ยื่นเครื่องรางชิ้นสำคัญให้ฟิเลน่าที่รับมาอย่างงุนงง คุณหนูสังเกตเห็นว่ามันมีฝาปิดอยู่ ดวงตาสีแดงมองแมรีแอนน์ครู่หนึ่งเชิงถามว่าเธอแน่ใจจะให้ตัวเองเปิดดูจริงๆ เหรอ ดังนั้นเจ้าของเครื่องรางจึงพยักหน้าตอบอนุญาต ฟิเลน่าเลยเปิดดูของภายในเครื่องรางและพบแผ่นกระดาษที่ถูกม้วนเอาไว้ เธอคลี่อ่านตัวอักษรที่ถูกเขียนด้วยลายมือเด็กน้อย

“เดี๋ยวนะ พวกเธอเคยรู้จักกันมาก่อน?” ฟิเลน่าขมวดคิ้ว สบตามองแมรีแอนน์ที่ส่ายหน้า

“อย่าเรียกว่ารู้จักเลยค่ะ ฉันกับเกล็นเจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น… แต่ว่าการเจอครั้งนั้นก็ทำให้ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปจนมาถึงทุกวันนี้นี่แหละค่ะ…” เสียงเศร้าสร้อยตอบคำถาม “สาเหตุที่ฉันอยากเข้าโรงเรียนนี้ก็เพราะรู้ว่าเกล็นจะต้องเข้ามาแน่ๆ แล้วโชคดีที่มีท่านบารอนคอยช่วยเหลือเรื่องเงินค่าเทอม ฉันถึงได้เจอเกล็นอีกครั้ง แต่… ไม่นึกเลยว่าเกล็นกับชาร์ล็อตจะเป็นคู่หมั้นกัน…”

แมรีแอนน์เล่าเรื่องของตัวเอง พยายามข่มเสียงไม่ให้สั่น ฟิเลน่าหลุบตาลง หลังรู้ความจริงว่าแมรีแอนน์คิดยังไงกับเกล็นจึงรู้สึกผิดที่ทำพฤติกรรมหึงหวงใส่

“ขอโทษนะที่ทำแบบนั้นโดยไม่รู้อะไรมาก่อนแท้ๆ” ฟิเลน่ากล่าวขอโทษแมรีแอนน์เรื่องสมัยปีหนึ่งที่ทั้งสองมีเรื่องบาดหมาง “ถ้าฉันใจเย็นหรือมีเหตุผลมากกว่านี้เหมือนที่ลิเลียนเคยบอก มันคงไม่เกิดปัญหา”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ​ ฉันเข้าใจคุณ… เพราะลึกๆ ฉันเองก็น่าจะเหมือนกันค่ะ” แมรีแอนน์สัมผัสหน้าอกเบาๆ “ฉันน่ะอิจฉาชาร์ล็อตมากเลยค่ะ แต่การทำแบบนั้นก็ไม่ดี เพราะงั้นสำหรับฉันที่มาทีหลังก็คงได้แต่มองพวกเขาอยู่ห่างๆ ในฐานะเพื่อน”

“นี่เธอคิดว่าสองคนนั้นหมั้นจริงๆ เหรอ?” ฟิเลน่าทวนถามหน้าเครียด แมรีแอนน์พยักหน้าตอบตามความรู้สึก “มันก็เป็นแค่ข่าวลือของพวกชนชั้นสูงเท่านั้นแหละแมรีแอนน์ สองคนนั้นไม่ได้หมั้นกันจริงๆ ซะหน่อย ฉันเองก็เคยโดนเหมือนกันว่าเป็นคู่หมั้นของท่านจูเลียส แล้วสุดท้ายเป็นอย่างที่เห็น พวกเราก็เป็นแค่คนรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เพราะงั้น…”

“ถึงคุณบอกว่าเป็นข่าวลือ... แล้วถ้ามันเป็นความจริงล่ะ?” แล้วน้ำตาของแมรีแอนน์ก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว “ทางเดียวที่จะรู้ก็ต้องถามกับสองคนนั้น แต่ฉันกลัว... ฉันทำใจยอมรับไม่ได้หรอกค่ะ”

ครั้นจะปริปากโต้ ฟิเลน่าก็ต้องหลุบสายตาลงและนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิดว่าต่อให้พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยสำหรับตอนนี้ รวมทั้งยังนึกสมเพชตัวเองในอดีต เพราะแค่แมรีแอนน์คุยเล่นกับจูเลียสคราวนั้น เธอยังโมโหโทโสทั้งที่ยังพิสูจน์เจตนาไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าอีกใจหนึ่งของฟิเลน่ากลับรู้สึกหงุดหงิดแมรีแอนน์อย่างบอกไม่ถูก

“อย่าทำตัวขี้แพ้หน่อยเลย เมื่อกี้ฉันก็พูดอยู่ว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ แล้วเธอยังมีหน้ามาพูดว่า ถ้า เป็นจริงอีกเรอะ ทั้งที่ฉันคนนี้รู้จักเรื่องไร้สาระในวงสังคมมากกว่าเธอด้วยซ้ำ”

แมรีแอนน์เช็ดน้ำตาแล้วมองอีกฝ่ายอย่างมึนงงที่จู่ๆ ใช้น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ก่อนหน้ายังดูเห็นใจเธออยู่หมาดๆ แต่สีหน้าของแมรีแอนน์กลับยิ่งทำให้ฟิเลน่าไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม หล่อนถอนหายใจหนักแล้วเท้าเอวทำสายตาดุใส่

“เรามาพนันกัน ถ้าสองคนนั้นไม่ได้หมั้นกันเธอต้องยอมทำตามที่ฉันพูดหนึ่งอย่าง แน่นอนถ้าเกล็นกับชาร์ล็อตหมั้นกันจริงฉันก็จะทำตามที่เธอสั่งหนึ่งอย่างเหมือนกัน ห้ามปฏิเสธ เพราะฉันมั่นใจว่าพนันครั้งนี้ฉันชนะ!`