47 ตอน บทที่ 46: บอสประจำดันเจี้ยน
โดย RiFourver
ทั้งที่ดาบเล่มนั้นมีขนาดที่ใหญ่ แต่คริสต้าสามารถเหวี่ยงอาวุธด้วยมือข้างเดียวอย่างชำนาญฟาดฟันสิ่งกีดขวางพังในคราวเดียว และเพียงพริบตาดาบก็เคลือบเปลวเพลิง หากหญิงสาวตวัดคมดาบมาอีกครั้ง พวกเขามีสิทธิ์ถูกย่างในเวลาอันสั้น พวกเกล็นที่ต่างกระโดดหลบไปคนละทิศละทางและเรียกอาวุธขึ้นไว้บนมือ ก่อนที่เกล็นจะเรียกไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาแล้วชิงโจมตีด้วยการใช้เวทน้ำผสมน้ำแข็งจัดการไฟที่โหมกระหน่ำบนดาบ และเป็นจังหวะเดียวที่ชาร์ล็อตใช้หินกระแทกร่างของคริสต้าให้กระเด็นออกไปนอกห้อง แต่เพราะศัตรูสามารถเอาดาบมากันแท่นหินได้ทันจึงกลับมาตั้งหลัก
คนที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิดอย่างอิกนิสกับคลาริสออกมาเป็นแนวหน้าเพื่อรับมือกับคริสต้าที่หัวเราะเสียงขึ้นจมูกดูเป็นการยั่วโมโหพลางดีดนิ้วดึงความสนใจ
“เธอคงเป็นแฝดคนน้องที่ชื่อคลาริสสินะ” คริสต้าใช้ดาบชี้มาทางเจ้าของชื่อและส่งยิ้มเชิงท้าทาย “ได้ยินว่าอยากเป็นอัศวินเวทเหมือนคุณตาทวด ฉันบอกอะไรให้ เขาเป็นคนที่วิเศษมากเลยล่ะ อายุปูนนั้นแท้ๆ กลับประมือกับคนหนุ่มสาวได้สบายๆ เพราะงั้นช่วยแสดงให้ฉันดูหน่อยสิว่าเธอจะเป็นเหมือนเขาได้หรือเปล่า”
“ทำไมเธอถึงรู้จักกับท่านทวด?” อิกนิสกดเสียงต่ำถามหญิงสาวที่กำลังยุยงอารมณ์ของน้องชายให้เดือดดาล
“จะรู้จักยังไงก็ช่างเถอะน่า!” คลาริสตะโกนขึ้นไม่อยากคิดเรื่องไร้สาระ
(แย่แล้ว! สมาธิคลาริสวอกแวกไปแล้ว ทำไงดี!?)
เกล็นขบฟัน มองสีหน้าคลาริสที่พยายามตั้งสติให้จดจ่ออยู่กับหญิงสาวตรงหน้า ครั้นจะบอกให้ใจเย็นก็เหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟที่กำลังคุกรุ่น และต่อให้การต่อสู้เป็นห้ารุมหนึ่งแต่ฝีมือก็คนละชั้น เพราะคริสต้ามีชั่วโมงบินที่สูงกว่า สามารถตั้งรับการโจมตีของสองพี่น้องได้อยู่หมัด ที่สำคัญการต่อสู้นี้แม้จะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันแต่นิสัยก็คนละขั้ว อีกทั้งไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน ดังนั้นการจะสู้แบบมองตาก็รู้ใจกันคงไม่มีทางเกิดขึ้นได้
(ต้องใช้ประโยชน์ที่คริสต้ามาคนเดียว! คิดสิตัวฉัน ในกรณีเป็นเกมคริสต้าจะมีจุดอ่อนอะไร!?) เกล็นเค้นความคิดอย่างหนักเพื่อต่อกรกับอัศวินสาว กระทั่งเห็นชาร์ล็อตตรงหางตา เกล็นก็นึกอะไรออกจึงขยับเข้าใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะกระซิบถึงสิ่งที่อยากให้ชาร์ล็อตทำ
“จะให้ทำจริงเหรอ” เสียงหวาดหวั่นถามขึ้น เกล็นที่ตีสีหน้าจริงจังผงกศีรษะ ยืนยันจะให้ชาร์ล็อตทำตามที่บอก เด็กสาวกลืนน้ำลายและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เตรียมทำตามแผนการของเกล็น แล้วหวังว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จลุล่วง
คริสต้าที่มองสองพี่น้องไม่ละสายตารู้สึกตัวถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ก็ได้ตวัดดาบมาทางเกล็นกับชาร์ล็อตโดยที่ยังจับจ้องอิกนิสและคลาริสอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้สบตากับหญิงสาวคนนั้นทั้งเกล็นกับชาร์ล็อตรู้สึกถึงความน่าเกรงขามของหล่อน กระทั่งนั่นกลายเป็นช่องโหว่เล็กๆ ที่เกิดจากความชะล่าใจของตัวคริสต้าเองที่ไม่สนใจแมรีแอนน์ ทั้งที่เป็นบุคคลต้องจับตาดูเป็นพิเศษ ทำให้แมรีแอนน์ใช้เวทสร้างเป็นคลื่นดินพุ่งใส่ศัตรู เปิดโอกาสให้ชาร์ล็อตใช้วิธีการเดียวกันโจมตีคริสต้า ตามมาด้วยดมดาบจากอิกนิสพุ่งโจมตีด้านซ้ายของหญิงสาวที่ไม่ได้ถืออาวุธ
“ชิ!” คริสต้าเดาะลิ้นเจ็บใจที่พลาดท่า เธอรีบใช้เกราะแขนรับแรงกระแทกอันหนักหน่วงทำให้แขนข้างนั้นชาไปเสี้ยววินาที กระนั้นหญิงสาวก็ไม่ปล่อยให้ถูกบุกแต่ฝ่ายเดียว เธอออกแรงเหวี่ยงดาบขึ้นสูงพร้อมปลดปล่อยเพลิงป้องกันจากด้านบน คลาริสที่เกือบถูกแผดเผาล้มกลิ้ง แต่ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นแล้วฝืนใช้พลังเวทหลอมรวมกับดาบคู่ใจเลียนแบบคริสต้าจู่โจมใส่เธอ แต่ก็เป็นอีกหนที่หญิงสาวสามารถปกป้องตัวเองได้ทันท่วงที คลาริสจึงถูกคริสต้าถีบกระเด็น
“ฮะๆ ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกน่า เด็กที่หัดใช้ก็มีสภาพหอบแฮกแบบนั้นกันทุกคนนั่นแหละ” คริสต้าว่าเสียงขบขันที่เห็นคลาริสหน้าซีดเซียวและหอบหายใจแรงจากการใช้เวทประสานกับอาวุธเป็นครั้งแรก แต่เพราะมัวสนใจอยู่กับแฝดคนน้อง ก็เปิดโอกาสให้แฝดคนพี่โจมตีจากด้านหลัง กระนั้นหญิงสาวก็สามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยการเรียกดาบอีกเล่มแทงไป ทว่าสัมผัสที่คริสต้ารู้สึกมีลักษณะเป็นวัตถุแข็งๆ เธอจึงเหลือบตามองและเผยรอยยิ้มชอบใจที่เกล็นใช้เวทสุดประหลาดด้วยการใช้เวทดินสร้างเป็นเกราะเพื่อให้ตัวเองดูเป็นดั่งโกเลม
(ยัยคนนี้ถนัดทั้งสองข้าง!)
เกล็นเหวี่ยงหมัดพุ่งเข้าใส่คริสต้าสุดแรงเกิด ทว่ามันก็ช้าเกินไปอยู่ดีสำหรับหญิงสาว เธอกระโดดหลบได้อย่างสบาย แล้วได้ตวัดดาบเล่มแรกฟาดเข้าที่แขนหินของเกล็นอย่างรุนแรงจนหแตกร้าวในทันทีที่คมดาบผละจากเกราะหิน เกล็นเซไปมาจนล้มลงและคลายเวทกลายเป็นร่างมนุษย์เปล่าๆ
แต่ในจังหวะเดียวกับที่คริสต้าเงื้อมดาบขึ้นสูงหมายทำร้ายเกล็น ก็มีเถาวัลย์พุ่งไปรัดแขนข้างนั้นเพื่อหยุดการโจมตีได้ทัน เกล็นจึงรีบหนีจากที่เกิดเหตุพร้อมตะโกนสั่งให้ทุกคนวิ่งหนีตามเส้นทางใต้ดินของคฤหาสน์ เพราะดูยังไงพวกเขาก็ไม่มีทางเอาชนะผู้หญิงคนนี้ได้เลย
แล้วเพื่อเป็นการถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด แมรีแอนน์จึงใช้เวทไม้พันธนาการร่างของคริสต้าเอาไว้แน่นหนาที่สุดเท่าที่ทำได้ พวกเขาวิ่งหนีศัตรูออกห่างไม่ทันไร คริสต้าก็เผารากไม้และเถาวัลย์ไหม้เป็นจุณ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าหล่อนพึมพำอะไร จากนั้นก็วิ่งไล่จี้หลังมาติดๆ เกล็นจึงขอให้ใครสักคนใช้เวทอะไรก็ได้ช่วยขวางทาง ส่วนใหญ่คือการร่ายดินให้ผุดขึ้นจากบนพื้นแต่ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ถูกตัดเรียบเนียนด้วยคมดาบใหญ่ของคริสต้าที่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นพวกเกล็นหนีไม่คิดชีวิต
“โธ่เว้ย ทำเป็นหนังไล่ล่าไปได้!” หากไม่โวยวายเสียงดังเกล็นมีหวังสติได้หลุดก่อนใครเพื่อน
แต่ในระหว่างที่พากันหนีอยู่นั้น ชาร์ล็อตที่เพิ่งจะสังเกตว่าเส้นทางมีน้ำกำลังไหลขนาบข้างกับที่พวกเธอใช้จึงตะโกนบอกความหวังที่จะได้ออกสู่อิสรภาพ เพราะหากไปด้านนอกได้ก็สามารถส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากพวกอาจารย์ที่ตามอยู่ห่างๆ เกล็นเลยใช้ประโยชน์ของน้ำสร้างเป็นน้ำแข็งให้เกิดไอเย็นจับตัวกันเป็นหมอกพรางตา
คริสต้าซึ่งถูกขวางทางด้วยเสาน้ำแข็งได้ทำลายมัน เกิดเป็นเสียงโลหะปะทะน้ำแข็งที่ค่อยๆ ดังห่างไปไกลเรื่อยๆ แล้วเงียบหายไปในที่สุด คาดว่าตัวคริสต้าเองก็ไม่อยากเสี่ยงโจมตีซี้ซั่ว
พวกเกล็นสามารถออกจากคฤหาสน์ได้สำเร็จ ซึ่งจุดที่อยู่นั้นน่าจะทางระบายน้ำบริเวณป่าด้านหลัง หลังจากซ่อนตัวกันภายในป่าอยู่พักใหญ่ ทุกคนก็แน่ใจแล้วว่าคริสต้าจะไม่ตามมาอีกจึงเดินมารวมตัวกันอีกครั้ง ทว่าเกล็นกลับสงสัยการกระทำของหญิงสาวที่ยอมถอยง่ายๆ
“หวังว่าจะไม่มีแผนอะไรนะ…”
“คลาริสไม่เป็นอะไรใช่ไหม” อิกนิสถามอาการคลาริสที่นั่งหายใจแรงหน้าถอดสีเหนื่อยล้าจากการใช้ทักษะของอัศวินเวทครั้งแรก
“บอกมาตรงๆ เถอะนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันก็ช่วยรักษาให้ไม่ได้หรอก” แมรีแอนน์เดินเข้ามานั่งข้างๆ คลาริสด้วยความเป็นห่วง “ถ้าแค่เหนื่อยฉันยังพอช่วยได้นะ”
ไม่รีรอคำตอบจากคลาริส แมรีแอนน์ก็จัดการใช้เวทบรรเทาอาการเหนื่อยล้าให้ได้ประมาณหนึ่ง ทำให้เด็กหนุ่มผมสีไวน์ปรับการหายใจมาเป็นปกติ กระนั้นร่างกายก็ยังไม่สามารถแบกสังขารได้ดีเท่าที่ควร
“ขอบใจ…” คลาริสกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เขาเจ็บใจที่อาการเหนื่อยกลายเป็นตัวถ่วงของทีม
“ดูเหมือนผู้หญิงคนนั้นจะไม่ตามเรามาแล้วล่ะ” ชาร์ล็อตที่อยู่นอกวงพูดขึ้น “ทางที่ดีเรารีบออกจากที่นี่ก่อนเถอะ ส่วนทางกลับเมือง ฉันพอกะเส้นทางได้อยู่”
ถ้าไม่เจอคริสต้าตอนท้ายถือว่าเป็นภารกิจที่จบสวยอยู่ไม่ใช่น้อย ในระหว่างทางเพื่อไม่ให้เพื่อนคนอื่นมาวุ่นวายพวกเกล็นลงความเห็นว่าควรให้พญาเพลิงลายทองส่งสิ่งที่จดมาให้เกรกอรี่ทันที เพราะระยะทางที่ไอเดนจะบินไปถึงต้องใช้เวลาสมควร จากนั้นพวกเขาจึงเดินทางกลับโดยยังมีความรู้สึกบางอย่างค้างคาใจ รู้แก่ใจดีว่านี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น
กว่าพวกเกล็นจะกลับมาถึงที่พักก็ถึงเวลาเย็นพอดี นับว่าโชคดีที่ยังทำตัวเนียนเหมือนเพิ่งกลับมาจากการเที่ยวเล่นมาหมาดๆ ทว่าคลาริสที่เสียพลังงานเยอะก็เข้าห้องพักผ่อนโดยมีเกล็นอยู่เป็นเพื่อน จูเลียสที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรก็ได้เข้ามาถามเกล็นอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาหายไปไหนกันมาทั้งวัน
“ชาร์ล็อตบ่นอยากไปเห็นกวางแฟลดีนให้ได้น่ะ ไปๆ มาๆ เจ้าพวกนี้ก็ตามมาด้วย” เกล็นใช้ชื่อเพื่อนมาอ้างหลังมีการตกลงแล้วว่าหากใครถามจะเอาเหตุผลนี้ตอบไป ทว่าจูเลียสแสดงท่าทีไม่ปักใจเชื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปั้นหน้ายิ้มหัวเราะขบขัน
“อย่างนั้นเหรอครับ แล้วได้เจอหรือเปล่า”
(ดูท่าจะโกหกจูเลียสไม่ได้แฮะ) เกล็นคิดในใจและนึกสงสัยว่าทำไมจูเลียสเลือกที่จะตามน้ำไปด้วย “ต้องเตรียมแผนกรณีจูเลียสเข้ากลุ่มซะแล้วสิ”
“ไม่ได้เจอหรอก แต่ดันเจอมูเอลก์ป่าแทนน่ะสิ เพราะงั้นถึงได้มีสภาพแบบนี้ไง” เมื่อจูเลียสทำเป็นไม่สนใจสิ่งที่บอกไป เกล็นจึงเฉไฉแกล้งทำท่าทีถอนหายใจหน่าย “ใครจะไปคิดว่าแถบนี้จะมีมูเอลก์ป่าด้วย”
“มิน่าล่ะคลาริสถึงได้เหนื่อยขนาดนั้น คงลำบากน่าดูเลยนะครับ”
(โอ๊ย ทำไมทางนี้เป็นฝ่ายอึดอัดแทนล่ะเนี่ย) ด้วยรอยยิ้มละมุนที่มีเลศนัยของจูเลียสกลับทำให้เกล็นเป็นฝ่ายรู้สึกไม่ดีแทน แม้พวกเขาจะเพิ่งคุยกันไม่กี่ประโยค จากนั้นองค์ชายก็ขอตัวออกไปข้างนอกต่อ
“งั้นผมไม่รบกวนแล้ว”
เมื่อเสียงประตูปิดไล่หลังจูเลียสที่ออกไป เกล็นก็ทรุดตัวนั่งพลางถอนหายใจระบายความอึดอัดที่สะสมเมื่อสักครู่เฮือกใหญ่ และคาดเดาว่าตัวจูเลียสเองก็ไม่อยากแสดงพิรุธว่าจับโกหกได้
“นายคิดว่าจูเลียสจะรู้ไหม” จู่ๆ คลาริสที่ยังนอนอยู่ก็ถามขึ้น ดูท่าเขาเองก็จับสังเกตจูเลียสได้เช่นกัน
“ฉันว่ารู้… ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
ไม่มีเสียงตอบจากคลาริส นอกจากดวงตาสีม่วงอ่อนที่เสมองทางอื่นแทน เกล็นจึงกอดอกดูพฤติกรรมของคนตรงหน้าเลยเห็นว่ามือข้างหนึ่งกำแน่น เด็กหนุ่มผมฟ้าจึงลุกขึ้นยืนครุ่นคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับคลาริส
“นายเจ็บใจขนาดนั้นเลยเหรอ” เกล็นถามตรงๆ แล้วนั่งลงบนขอบเตียงเดียวอีกครั้ง ทว่าคลาริสก็ไม่ปริปากพูดแล้วหันหน้าหนี “มันไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอกคลาริส เห็นฉันอย่างงี้แต่กว่าจะใช้เวทมนตร์ได้ก็ปาไปตั้งแปดขวบ เพราะงั้นการที่นายทำแบบนั้นทั้งที่ไม่รู้หลักการของมันก็เจ๋งมากเลยล่ะนะ”
“หา? เมื่อกี้นายว่าไงนะ” คลาริสโพล่งขึ้นมองหน้าเกล็นที่กะพริบตาปริบๆ งุนงง “พูดเป็นเล่น นายเกิดตระกูลจอมเวทไม่ใช่หรือไง ไหงพลังเวทถึงเพิ่งตื่นล่ะ ตอนฉันก็ยังหกขวบเอง”
“อ้อ เรื่องนั้นเป็นเพราะฉันกดดันตัวเองล่ะมั้ง” เกล็นเกาแก้มพลางนึกถึงคำพูดของเกรกอรี่ในวันที่เจอกันครั้งแรก “จริงสินะ วันนั้นปู่เกรกอรี่ก็อยู่ด้วย พูดไปแล้วเขาก็เป็นคนช่วยให้ฉันใช้เวทมนตร์ล่ะนะ ตอนนั้นปู่บอกว่า ‘ถ้ากดดันตัวเองมากไปก็จะส่งผลเสีย’ แล้วเอ่อ… ยังไงต่อนะ แต่ช่างมันเถอะ! เอาเป็นว่าการที่นายคิดว่าถ้าตอนนั้นเก่งได้มากกว่านี้ทั้งที่เพิ่งใช้ครั้งแรกก็ลืมๆ ไปซะเถอะ เปลืองพื้นที่สมองเปล่าๆ ไหนจะรู้สึกจิตตกอีกต่างหาก”
“แต่ทวดเขา…”
“โอ๊ยเนอะ ทวดนายตอนนั้นอายุอานามเท่าไรแล้ว เอามาเทียบได้ไง” เกล็นมือไวตีขาของคลาริสเบาๆ แล้วไม่ทันที่เด็กหนุ่มผมสีไวน์จะลุกไปเอาคืน เสียงเคาะประตูก็ดังเรียกความสนใจคนในห้องทั้งสอง เกล็นขานรับแล้วเดินไปเพื่อเตรียมต้อนรับ
“นั่นใคร?” เขาถามก่อนเปิดประตู
“ฉันเอง แล้วก็…เอราสต์ด้วย” เสียงทุ้มจากอิกนิสดังตอบ ดังนั้นคนในห้องจึงอนุญาตให้เข้ามาได้ อิกนิสจึงมองน้องชายที่หน้าบึ้งตึงพยุงตัวนั่งบนเตียงนอนแล้วจ้องเอราสต์ตาแข็ง คนถูกมองจึงเลิกคิ้วกลับอย่างสงสัยก่อนจะเปิดประเด็นคุยด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ
“อิกนิสเล่าให้ฉันฟังคร่าวๆ แล้ว”
“งั้นนายอยากรู้อะไรเพิ่มเติม” เกล็นถามขึ้น “เพราะถ้าจะเอารูปที่วาดไว้ล่ะก็ตอนนี้ฉันส่งให้ปู่… มหาปราชญ์ไปแล้วล่ะ ไม่มีเวลาคัดลอกหรอก”
“เข้าใจอยู่ พวกนายเจอ… ผู้หญิงคนนั้นสินะ” จากนั้นเอราสต์ก็หลุบสายตาลงเหมือนจะปิดบังความรู้สึกบางอย่าง
“นายรู้อะไรเกี่ยวกับคนคนนั้นหรือเปล่า” คราวนี้คลาริสเป็นคนถามบ้าง เพราะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มจากต่างแดนน่าจะมีข้อมูลที่น่าสนใจ เอราสต์จึงพยักหน้าหน้าตอบ
“ฟังจากรูปพรรณสัณฐานน่าจะเป็น… คริสต้า ไวท์ อดีตอัศวินเวทที่อยู่สังกัดในเครือศาสนจักร แต่เมื่อสามปีก่อน หลังพ่อของเธอเสียชีวิต คริสต้าก็หายตัวไป ไม่คิดว่าจะร่วมมือกับพวกซิกมุนท์” แววตาดูเศร้าจากเอราสต์ปรากฏขึ้นเมื่อพูดถึงคริสต้า นั่นเลยทำให้เกล็นซักไซร้ต่อ
“ดูเหมือนนายจะรู้จักกับเขานะ”
“แน่นอน เธอเป็นอาจารย์ฉันอยู่ได้ประมาณปีหนึ่งก่อนหายตัวไปน่ะ ไม่อยากเชื่อว่าคนเก่งๆ อย่างคริสต้าจะทำเรื่องพรรค์นั้น” เป็นครั้งแรกที่เอราสต์แสดงสีหน้าที่ทั้งโกรธเคืองและเศร้าในเวลาเดียวกัน
“มันไม่เกี่ยวกับเก่งไม่เก่งหรอก…” คลาริสพึมพำเบือนหน้าไปทางอื่น
(ถ้าถามเรื่องนั้นจะดีหรือเปล่านะ…) เกล็นลูบคางชั่งใจกับความคาใจเรื่องหนึ่ง (แต่เผื่อมาเป็นสไตล์พล็อตหนังก็น่าเก็บเป็นข้อมูลอยู่)
“ขอถามอะไรที่รู้สึกไม่ดีหน่อยนะ แต่คุณพ่อของผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรตายเหรอ”
“ระ เรื่องนั้น…” เอราสต์อ้ำอึ้ง ยังไม่กล้าเล่าความจริง
“ที่ฉันถามก็เพราะเผื่อมันอาจจะเป็นข้อมูลได้น่ะ” เกล็นบอกเหตุผลที่ต้องเซ้าซี้ถามเรื่องส่วนตัว เอราสต์จึงถอนหายใจอย่างหนักอกแล้วบอกตามที่อีกฝ่ายต้องการ
“พ่อของคริสต้า… ถูกฆาตกรรมน่ะ ยังไม่รู้ตัวคนร้าย แต่คิดว่าน่าจะเป็นซิกมุนท์นั่นแหละ”
“ไม่ใช่ซิกมุนท์” เกล็นปฏิเสธเสียงแข็งและมั่นใจว่าคนที่ทำเรื่องนี้ไม่ใช่ซิกมุนท์ ทั้งที่มันเป็นแค่ลางสังหรณ์ “เพราะถ้าจำไม่ผิดช่วงเวลามันน่าจะเกิดภายในปีเดียวกันที่ซิกมุนท์ลากครอบครัวเข้าคุก ไม่แน่การตายของพ่อคริสต้าอาจจะเป็นชนวนอะไรบางอย่างก็ได้ แต่เพื่อความแน่ใจนายก็ช่วยไปตรวจสอบทีว่าเหตุการณ์ไหนเกิดก่อนเกิดหลัง เพราะที่พูดๆ มาก็เป็นแค่ข้อสันนิษฐานกับลางสังหรณ์ล้วนๆ”
“ถ้านายคิดว่ามันเชื่อมโยงกันล่ะก็ เดี๋ยวฉันจะบอกคนทางนั้นให้” เอราสต์พยักหน้ารับปากข้อเสนอของเกล็น “แล้วมีอะไรที่พวกนายอยากรู้หรือจะบอกอีกไหม ถ้าไม่มีฉันจะได้ส่งรายงาน”
“ตอนนี้ไม่มีแล้วล่ะ ข้อมูลที่น่าจะช่วยแกะรอยผลึกก็ส่งไปให้มหาปราชญ์แล้วด้วย ที่เหลือก็ขึ้นกับเวลาเท่านั้นแหละว่าฝั่งไหนจะแกะอาคมได้ก่อน เพราะทางซิกมุนท์ก็น่าจะได้เบาะแสเดียวกัน”
“ได้ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ฉันก็ขอลาล่ะ ตอนนี้พวกสาวๆ คงกำลังรอเดินเล่นกับฉันต่อ” แล้วเด็กหนุ่มผมม่วงก็สะบัดปอยผมหน้าเรียกความหมั่นไส้ให้เกล็นกับคลาริส ส่วนอิกนิสก็ได้แค่หัวเราะแห้ง จากนั้นเอราสต์ก็ออกจากห้องไป เหลือเกล็น คลาริส และอิกนิสอยู่ตามลำพัง
เสียงตะโกนโหวกเหวกภายในร้านเหล้าอยู่ห่างจากตัวเมืองใหญ่ที่สุดของมณฑลลูเอลต้านั้น ทำให้ฮันนาปวดหัว เธอจึงขอตัวกลับทันทีที่มาส่งคริสต้าถึงโต๊ะที่มีซิกมุนท์กำลังดื่มเบียร์อยู่ เมื่อแก้วถูกวางลงชายหนุ่มก็ไม่รีรอคุยเรื่องที่เกิดขึ้นจากคริสต้า
“เล่นละครครั้งนี้สนุกไหม?”
“ก็ดี แค่แอบผิดหวังนะที่เจอกันแค่ห้าคน” คริสต้าสั่งเบียร์จากพนักงานระหว่างบอกความรู้สึกที่เจอมาวันนี้ “แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือไม่ได้ลองประมือกับแฝดคนพี่เนี่ยสิ เสียดายชะมัด ทั้งที่เป็นเด็กมีพรสวรรค์กลับไม่แสดงฝีมืออะไร”
“เธอเนี่ยนะ เล่นของสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า ทำเหลนเขาเจ็บตัวขึ้นมา เดี๋ยวหัวได้กระเด็นหรอก ฮะๆๆๆ”
“ก็แหม มันน่าสนใจดีออกไม่ใช่เหรอที่เจอคนมีพรสวรรค์น่ะ แต่เอาเถอะยังไงงานนี้เจ้าคนน้องก็สร้างความประทับใจได้ดี ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย แต่กลับใช้พลังเลียนแบบตาแก่นั่นได้สำเร็จ วิเศษมาก!” คริสต้าหัวเราะชอบใจ เธอคว้าแก้วเบียร์ที่เพิ่งถูกเสิร์ฟยกดื่มทันที “อยากรู้จังเลยเนอะว่าระหว่างพรสวรรค์กับพรแสวงแบบไหนจะดีกว่ากัน”
“ถึงมีพรสวรรค์แต่ถ้าไม่ได้ฝึกฝนมันก็เปล่าประโยชน์นะคริสต้า ทางที่ดีผมว่าเธอเลิกคาดหวังดีกว่า เพราะดูท่าหลังจากวันนี้เจ้าคนน้องคงฝึกเอาเป็นเอาตายเพื่อชนะเธอแน่”
“ชักอยากเห็นวันนั้นเหมือนกันนะ ว่าแต่แผนจากนี้จะเอายังไงต่อ?”
“ก็แผนเดิมนั่นแหละคริสต้า จุดประสงค์ดั้งเดิมเราคือตามหาผลึก ส่วนที่เหลือก็แค่ปัจจัยภายนอกที่เราต้องช่วยกันคุมให้อยู่เท่านั้นเอง” ซิกมุนท์ว่าพลางปรายตามองทางหญิงสาวคลี่ยิ้ม แล้วสักพักคริสต้าก็นึกอะไรออก
“จริงสิ ยังจำเจ้าเด็กที่ทำให้ฮันนาหัวเสียได้อยู่ไหม”
“แน่นอนได้สิ เกล็น ฮิลเนสัน บอกตามตรงเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อยเลยล่ะ”
“ใช่ น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละ อย่างตอนใช้เวทดินมาสร้างเกราะนี่มันสุดยอดจริงๆ นะ น่าเสียดายที่อดดูว่าจะมีไม้เด็ดอะไรอีกหรือเปล่า”
“หืม…?” ซิกมุนท์เลิกคิ้วกอดอกมองคริสต้าอย่างสนใจ “เธอพูดขนาดนี้มันยิ่งทำให้ผมอยากเจอเขามากขึ้นนะ ฮะๆ”
“ทำเป็นพูด แต่ตัวเองวางแผนจะเจอเขาอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“โดนจับได้แล้วซะแล้ว” ซิกมุนท์หัวเราะขบขัน “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องฝากความหวังไว้ที่ท่านเทพฮีมูอาแล้วล่ะนะ ว่าเราจะได้บังเอิญเจอกันหรือเปล่า ไม่สิ… ก็ในเมื่อผมมีแผนการที่จะได้เจอเกล็น ฮิลเนสันอยู่แล้วนี่นา จะไปพึ่งท่านเทพทำไมละเนอะ”