“(ใครอะ!?)” เกล็นหลุดปากใช้ภาษาเมื่อชาติก่อน เมื่อพยายามนึกถึงตัวละครชื่อเอราสต์ โกเมซ เพราะด้วยหน้าตาและบุคลิกของเด็กหนุ่มผมม่วงคนนี้ดูเหมือนคาแรกเตอร์ที่เห็นได้ทั่วไปในเกมจีบหนุ่ม แต่เค้นความทรงจำเท่าไรก็ไม่คุ้นเสียที ทั้งที่ตัวประกอบอย่างคริสต้ากับผู้ชายอีกคนยังพอจำได้แท้ๆ

“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เอราสต์ปรายตามองเกล็นที่ตัวเล็กกว่าด้วยหางตา “ดูเหมือนเรื่องที่ชอบทำตัวแปลกๆ จะเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย”

เด็กหนุ่มคนนั้นพูดเป็นปริศนาและยิ้มอย่างมีเลศนัย

“คะ คือ… กำลังคิดว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า” เกล็นแกล้งทำทีถามข้อมูล

“สงสัยนายคงจำผิดคนแล้วล่ะ ถึงฉันจะเคยมาที่ลุสกลอเรียก็จริง แต่นั่นก็เมื่อสามปีก่อน” พูดจบเขาก็ยิ้มเยาะและส่ายหน้าตอบคู่สนทนา เกล็นที่จ้องอยู่ก็ชักรู้สึกทะแม่งๆ กับเอราสต์

“เอาเถอะ เรามาเข้าประเด็นกันดีกว่า เขาส่งนายมาทำอะไร ถ้าจะเดินทางไปกับเราด้วยคงต้องคุยกันยาวสักหน่อยนะ” เกล็นกอดอก พูดกลับเข้าเรื่องและทำสีหน้าไม่เป็นมิตรราวกับบอกว่าไม่ต้องการสมาชิกในทีมเพิ่ม

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เขาให้ฉันเป็นตัวกลางระหว่างนายกับศาสนจักรน่ะ เพราะทางคนของฉันก็อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับพวกซิกมุนท์ เรนเกอริ่ง”

“ก็คือคนรายงานการเคลื่อนไหวอะไรงี้เหรอ?” เด็กหนุ่มผมฟ้าเลิกคิ้วทวนหน้าที่ของเอราสต์ที่พยักหน้าตอบ

“ประมาณนั้น ทางนี้ขอสัญญาว่าจะไม่ก้าวก่ายฝั่งนาย ยกเว้นว่าโดนลูกหลงไปด้วยนะ” คนต่างถิ่นยืนยันตำแหน่งของตัวเองให้เกล็นมั่นใจ

“พอเข้าใจล่ะ งั้นแสดงว่าทัศนศึกษานั่นนายก็ต้องไปด้วยสินะ?”

เอราสต์พยักหน้าอีกครั้ง

“เท่ากับว่านายต้องมาเรียนกับพวกเราด้วย?”

“ใช่ แต่ฉันเรียนอยู่ห้องสี่ พักที่หอสอง” เขาตอบ “เวลาติดต่อกัน ก็อาจจะลำบากสักหน่อย แต่นั่นก็เพื่อไม่ให้ซิกมุนท์จับพิรุธได้ไวน่ะ”

“หืม? พูดอย่างกับว่าสักวันหมอนั่นต้องรู้เลยนะ”

“คนที่มาจากประเทศเดียวกัน แล้วย้ายมาเรียนลุสกลอเรีย แค่นี้ก็มากเกินพอที่จะให้ซิกมุนท์สงสัยได้แล้ว ขืนมาอยู่ใกล้ตัวนายที่ตกเป็นเป้าของพวกนั้นก็ยิ่งน่าสงสัยใช่ไหมล่ะ สิ่งที่ทำได้ก็แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น ในกรณีที่ว่าโดนจับได้อะนะ”

“ที่พูดมามันก็จริง…” เกล็นว่าเสียงเนือยๆ จากนั้นเขาก็ถามบางอย่างเพื่อความแน่ใจ “แล้วการที่นายมาหาเนี่ยให้ฉันรู้แค่คนเดียวว่านายเป็นตัวกลางให้ หรือคนที่เหลือก็ต้องรู้ด้วย”

“คนอื่นต้องรู้ด้วยสิ เผื่อในกรณีที่นายมารายงานไม่ได้น่ะ”

“เพราะงี้เลยอยู่หอสองที่แมรีแอนน์กับอิกนิสอยู่สินะ” เกล็นเกาหัวแกรกๆ จำลองสถานการณ์ที่เขาติดธุระแล้วต้องมีคนไปรายงานแทน “ก็ดีนะที่หอสองมีอิกนิสด้วย ถ้ามีอะไรก็คุยกับหมอนั่นแทนเอาก็ได้”

“จริงๆ ก็ไม่ได้เจาะจงอะไรขนาดนั้นหรอก แค่บังเอิญว่าหอนั้นนักเรียนชายครบคู่พอฉันเพิ่มเข้าไปเลยได้ห้องเดี่ยวน่ะ เพราะเขาต้องการให้อยู่คนเดียวมากกว่า” เอราสต์แก้ความเข้าใจผิด “ถ้าว่ากันตามจริง ฉันอยากจะอยู่หอนี้มากกว่า”

แล้วดวงตาสีเงินก็หลุบลงดูน่าสงสัยว่าอะไรที่ทำให้เอราสต์อยากอยู่หอเดียวกับเขา

“ที่มาวันนี้ก็จะมาคุยแค่นี้ก่อนละนะ ไว้เริ่มภารกิจจริงจังเราค่อยว่ากันอีกที” จากนั้นเอราสต์ก็หมุนตัวเตรียมออกจากห้อง แต่ไม่ทันเอื้อมมือจับลูกบิด เขาก็เพิ่งนึกอีกเรื่องออก “รู้สึกว่าในกลุ่มนายมีคนเลี้ยงนกเป็นใช่ไหม”

“ใช่” เกล็นตอบสั้นๆ และมองเอราสต์กลับด้วยสีหน้าใคร่รู้

“งั้นเรียกเขาให้หน่อยสิ เพราะมีคนให้ยืมนกสำหรับสื่อสารใช้น่ะ”

พอเอราสต์บอกแบบนั้น เกล็นก็ผงกหัวเข้าใจ เขาเปิดประตูห้องให้แขกออกไปก่อน จากนั้นก็ไปถามหาชาร์ล็อตกับพวกนักเรียนหญิงที่ยังอยู่โถงกลางชั้นหนึ่ง พวกเธอจึวอาสาขึ้นไปดูให้ ประมาณห้านาทีต่อมาชาร์ล็อตก็เดินลงมาทำหน้าตาสงสัยว่าเกล็นจะมีธุระอะไร

“ชาร์ล็อต นี่เอราสต์ เขาจะมา ช่วย เราทำงานน่ะ พอดีเขามีนกมาด้วยตัวหนึ่งอยากให้เธอช่วยดูแล” เกล็นแนะนำคนต่างถิ่นให้เพื่อนสนิทรู้จัก ชาร์ล็อตจึงยิ้มยินดีพร้อมยื่นมือไปหาเอราสต์เพื่อจับมือทักทายตามมารยาท ทว่าอีกฝ่ายทำเกินทักทายด้วยการกุมมือเด็กสาวพร้อมส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจคนละอารมณ์กับที่ยิ้มให้เกล็น

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณชาร์ล็อต ผมดีใจเหลือเกินที่ได้พบกับคุณ ณ สถานที่ห่างไกลจากบ้านเกิดผม”

“คะ?” เพราะน้ำเสียงละมุนละไมฟังรื่นหูของเอราสต์ ทำเอาชาร์ล็อตเบิกตากว้างอย่างงุนงง ส่วนเกล็นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ผงะเลิกคิ้วมอง

(ไอ้หมอนี่ หรือว่า!?)

“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณเอราสต์...” ชาร์ล็อตยกยิ้มมุมปากแหยๆ กับเด็กหนุ่มผมม่วง แล้วค่อยๆ ดึงมือตัวเองกลับมา เธอหันไปถามเกล็นที่กอดอกตีสีหน้าขึงขัง “ว่าแต่อยากให้ฉันดูนกอะไรเหรอ”

“ไม่รู้สิ ต้องให้เอราสต์พาไป” เกล็นตอบเสียงแข็งกระด้าง

“งั้นเราไปหาที่สงบๆ กันดีกว่าครับ ระหว่างนั้นก็ทำความรู้จักไปด้วยก็ดีเหมือนกันนะ”

(เหอะ เราที่ว่ารวมตูไปด้วยเปล่าฟะ) เกล็นจ้องอย่างหมั่นไส้ที่ต้องฟังเอราสต์ใช้น้ำเสียงหวานๆ

เอราสต์เดินนำไปยังจุดหมายปลายทาง โดยที่เด็กหนุ่มผมม่วงก็อยู่ไม่ห่างชาร์ล็อตและไม่สนใจสายตาเอือมที่จ้องมาจากทางด้านหลัง แต่ระหว่างเดินผ่านหอสองอยู่ดีๆ อิกนิสก็ทำหน้าตาตื่น เข้ามาแทรกกลางระหว่างชาร์ล็อตกับเอราสต์ แล้วหันหน้าไปทางเกล็นเพื่อถามสิ่งที่สงสัย

“เกล็นคนคนนี้ใครเหรอ?”

“เอ่อ… เรื่องนั้น…” เกล็นตอบอย่างตะกุกตะกัก ไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี แต่สักพักก็ขอยืมประโยคที่เอราสต์บอกก่อนหน้านี้มาใช้บ้าง “ระหว่างทางก็ทำความรู้จักไปด้วยละกัน”

อันที่จริงเกล็นก็รู้สึกแปลกๆ กับอิกนิสช่วงที่อยู่กับชาร์ล็อตนิดหน่อย แต่พอมีสถานการณ์นี้การมีเด็กหนุ่มผมดำคนนี้น่าจะเข้าท่ากว่ากันเยอะ แล้วเมื่อปรายตาไปยังเอราสต์ใบหน้านั้นยังเปื้อนรอยยิ้มอยู่ ทว่าไม่ได้ดูเสน่ห์เหลือล้นเท่าตอนแรก ด้านอิกนิสที่ประหม่ากับคนแปลกหน้าง่ายกลับไม่มีอาการหวั่นวิตกเท่าไร เขาสามารถแนะนำตัวอย่างเป็นกันเองได้ดีขึ้นกว่าตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ เมื่อปีที่แล้ว

เพราะมัวแต่ยืนคุยอยู่หน้าหอ คลาริสกับแมรีแอนน์ก็ปรากฏตัวเข้ามารวมตัวด้วยความใส่ใจ กลายเป็นว่าอยู่กันครบทีมตามหาผลึกซึ่งขืนยืนอยู่ต่ออาจจะส่องพิรุธ เกล็นจึงเร่งให้เอราสต์พาไปที่ที่พูดถึง ทั้งห้าคนจึงเดินตามหลังคนต่างแดนต้อยๆ จนมาถึงบริเวณใกล้กับป่าหลังโรงเรียนซึ่งปลอดผู้คน เอราสต์หยิบนกหวีดไม้ไผ่ขึ้นเป่าส่งสัญญาณเรียกนกชนิดหนึ่งบินให้มาหา มันมีลักษณะผอมเพรียวได้รูปงดงาม บริเวณหัวมีขนสีทองสองเส้นยาวเกือบเท่าลำตัวซึ่งตัดกับสีแดงเพลิงที่มีลวดลายสีทองแซมตามปลายหาง ปากเรียวยาวดูสวยสมส่วน ทันทีที่นกเกาะบนแขนของเอราสต์ แววตาชาร์ล็อตเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น

“นะ นี่มัน! นกพญาเพลิงลายทอง!” จากนั้นเด็กสาวผมแดงก็เดินวนไปมาสำรวจนกพญาเพลิงอย่างตื่นตาตื่นใจ “ระ เราใช้นกตัวนี้สื่อสารเหรอ?

“ครับ” น้ำเสียงหวานเอ่ยตอบ “เพราะถ้าภารกิจได้รับรายงานเร็วก็ยิ่งดีต่อตัวพวกเราทุกคนครับ”

“แสดงว่านกตัวนี้ส่งจดหมายได้เร็วกว่าไอเดนของชาร์ล็อตเหรอคะ?” แมรีแอนน์เอียงคอมองดูนกพญาเพลิงสีทอง

“อย่าว่าแต่ส่งจดหมายเลย ถ้าให้อาหารพิเศษกับมัน มันก็จะสามารถพูดเลียนเสียงของอีกฝ่ายได้ด้วยนะ” คลาริสอธิบาย

“หืม? สมเป็นคนจากตระกูลดยุกนะครับเนี่ย” เอราสต์ยิ้มมุมปากและลองหยั่งเชิงความรู้อีกฝ่าย “แล้วนายรู้หรือเปล่าว่าอาหารพิเศษที่ว่ามันคืออะไร”

“เศษเงิน ไม่ก็เศษทองไงล่ะ!

“อะ อะ อะไรนะคะ!” แมรีแอนน์ที่ได้ยินถึงกับตัวเซคล้ายคนจะเป็นลม “ขะ ของแบบนั้น พะ พวกเราจะหามาจากไหนได้”

“ไม่ต้องห่วงหรอกแมรีแอนน์” อิกนิสจับไหล่เด็กสาวที่หน้าถอดสีช็อกกับอาหารพิเศษของนกพญาเพลิงลายทอง “ถ้าผมไปขอท่านแม่ก็น่าจะแบ่งมาให้ ปกติท่านใช้สื่อสารกับท่านทวดอยู่เสมอน่ะ”

“บะ บะ บะ แบบนั้นจะเป็นการรบกวนหรือเปล่าคะ ถึงเศษเงินเศษทองสำหรับพวกคุณจะหาง่ายก็เถอะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณแมรีแอนน์” เอราสต์สลับมาใช้เสียงละมุน กุมมือแมรีแอนน์ที่ตื่นตระหนก “เรื่องที่เราจะใช้นกตัวนี้เป็นตัวกลางสำหรับสื่อสารทางบ้านฝั่งท่านดัชเชสแห่งนาสเป็นผู้สนับสนุน อยากได้มากแค่ไหนพวกเขาก็สามารถจัดแจงให้ได้ตามที่ต้องการเลยครับ”

(บ้านฝั่งดัชเชส… หมายถึงทวดคนนั้นหรือเปล่านะ ถ้าใช่ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้าลงทุนขนาดนี้) เกล็นลูบคาง คาดคะเนความเป็นไปได้ที่เจ้าของนกพญาเพลิงสีทองตัวจริงจะเป็นของราชาอวินาชที่อาจจะให้ยืม หรือไม่ก็หาตัวใหม่มาเลย

“ดูเหมือนว่าท่านทวดคงช่วยด้านนี้ล่ะมั้ง…” อิกนิสกระซิบบอกกับคลาริสที่พยักหน้าเห็นด้วย

“เดี๋ยวแสดงว่าพวกเธอก็มีพญาเพลิงลายทองด้วยน่ะสิ” ชาร์ล็อตเปลี่ยนเป้าหมายมาทางพี่น้องฝาแฝด ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มจนแก้มปริ “สุดยอดเลยนะ คนที่ได้เลี้ยงนกชนิดนี้น่ะ นอกจากต้องมีเงินมากพอแล้วความเชื่อใจระหว่างคนกับนกก็ต้องมีสูงมากเลยด้วย เพราะว่าพญาเพลิงลายทองไม่ได้ใช้วิธีจับปกติ”

แมรีแอนน์ที่ไม่เข้าใจความหมายที่ชาร์ล็อตพูดก็ได้แต่ทำหน้างง ดังนั้นเอราสต์จึงเก๊กหล่อด้วยการเขี่ยเส้นผมตัวเองเบาๆ หนึ่งทีแล้วส่งสายตาไปทางเธอ

“นกพญาเพลิงสีทองจัดเป็นประเภทสัตว์เวทที่ต้องใช้วิธีสะกดจิตในการจับน่ะครับ”

ถึงได้คำตอบมาแมรีแอนน์ก็ส่ายหน้าไม่เข้าใจอยู่ดี

“สัตว์บางชนิด ต้องใช้เวทที่ทางกิลด์สอนมา มันเป็นเวทธาตุมืดบทหนึ่งสั้นๆ ที่ทางการอนุญาตให้กิลด์เอามาสอนกับสมาชิกได้” ชาร์ล็อตอธิบายลงรายละเอียด “อย่างฉันกับอิกนิสสักปีสามก็จะได้เรียนเบื้องต้นแล้วล่ะ ถึงจริงๆ ก็แอบรู้มาบ้างแล้วก็เถอะ แฮะๆ”

แล้วเด็กสาวก็ทำหน้าตาน่ารักอย่างการขยิบตาแลบลิ้นให้เพื่อนสาว แต่มันก็เรียกเสียงปรบมือจากเอราสต์ที่ประทับใจในคำตอบ

“สุดยอดเลยนะครับ สมเป็นลูกสาวผู้บริหารกิลด์เลยรู้ได้ลึกขนาดนี้”

“ชาร์ล็อตเขารู้ได้เพราะตัวเองต่างหาก” จู่ๆ อิกนิสก็โพล่งเสียงห้วน

แล้วบรรยากาศที่ดูสนุกสนานครื้นเครงก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ จากมุมมองของเกล็นแล้วดูท่าอิกนิสจะไม่ค่อยลงรอยกับเอราสต์สักเท่าไร ทำเอาสมองเขาต้องแล่นทำงานเพื่อหาวิธีสมานฉันท์ให้ได้ก่อนที่จะมีปัญหามากกว่านี้

“อะ เอาน่า อย่างที่อิกนิสบอกนั่นแหละ ชาร์ล็อตเขาเรียนรู้เรื่องพวกนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะงั้นเกี่ยวกับสัตว์อสูรก็มาถามชาร์ล็อตได้ตลอดเลย เพราะที่นี่คงมีตัวที่เวสพีเรียไม่มีใช่ไหมล่ะ เอ่อ อย่างมูเอลก์ป่างี้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอรบกวนคุณชาร์ล็อตด้วยนะครับ” เอราสต์ที่ดูไม่ใส่ใจอารมณ์หุนหันพลันแล่นขึ้นมาดื้อๆ ของอิกนิสก็ยังใช้เสียงหวานปานน้ำผึ้งอยู่ดี “จริงสิ งั้นคุณเป็นคนเก็บนกหวีดนี้ไว้ดีกว่า”

พูดจบ เอราสต์ก็ยื่นนกหวีดที่เคยใช้ก่อนหน้าให้ชาร์ล็อตเป็นคนเก็บดูแล

“ถ้าไม่มีอะไรคุยนอกจากเรื่องนกนี่ งั้นก็กลับเลยไหม” คลาริสพูดขึ้นดูท่าเขาจะเริ่มเบื่อหน่าย เลยก้าวเดินกลับหอเป็นคนแรก

“ก็ดีค่ะ ที่จริงฉันยังจัดของไม่เสร็จด้วยซ้ำ แต่เห็นว่าทุกคนอยู่กันก็เลยแวะมาน่ะ” แมรีแอนน์สนับสนุนความคิดของคลาริส แล้วเร่งฝีเท้าตามเขาไปติดๆ คนอื่นจึงเดินกลับพร้อมกัน

ทว่าเอราสต์ที่บอกว่าตัวเองพักอยู่หอสองเหมือนแมรีแอนน์กับอิกนิสกลับมาหอหนึ่งด้วยสีหน้าระรื่น จากที่เกล็นจับสังเกตได้สายตาของเขาเหมือนกำลังหาอะไรสักอย่างที่นี่ แต่ระหว่างนั้นก็ไม่วายพูดจาหวานเลี่ยนกับชาร์ล็อต แล้วเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติเวลาที่หันมาคุยกับเขา อีกทั้งเอราสต์คือคนแปลกหน้าที่ไม่เคยมีนักเรียนคนไหนเห็นมาก่อน สายตาหลายคู่จึงหันมายังเขาด้วยความสงสัย

“เกล็น หาอะไรกินกันเหอะ” คลาริสกระตุกแขนเสื้อเกล็น ทำเสียงราวกับเด็กน้อยที่บ่นหิวข้าวกับแม่

“ขอเวลาแป๊บหนึ่ง”

เกล็นขอเวลาอีกสักครู่ เพราะอยากดูว่าเอราสต์ที่ยังคุยจ้อกแจ้กกับชาร์ล็อตอยู่จะทำอะไรต่อ กระทั่งจู่ๆ มีคนคนหนึ่งกำลังเดินลงบันไดจากฝั่งห้องพักหญิง ดวงตาสีเงินจึงเบิกกว้างราวกับค้นพบสิ่งล้ำค่า ทำให้ฟิเลน่าซึ่งถูกมองเปลี่ยนการแสดงสีหน้าจากแจ่มใสกลายเป็นคนไร้อารมณ์

“มันคงจะเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เราได้พบกันอีกนะครับคุณหนูยูเรลล่า” น้ำเสียงกังวานของเอราสต์เอ่ยขึ้นท่าทางดูดีใจที่ได้พบฟิเลน่า

(พรหมลิขิตบ้าบออะไร เอ็งรู้แต่แรกแล้วมากกว่า) ไม่ใช่แค่ฟิเลน่าที่เหยียดมองเอราสต์ แม้แต่เกล็นเองก็มีสายตาไม่ต่างกัน แต่สุดท้ายก็มีคนพูดแทนใจทั้งสอง ส่วนลิเลียนกับเคจที่อยู่ข้างหลังก็ยิ้มเจื่อนสบตากัน

“พรหมลิขิตบ้าอะไร ไร้สาระ” คลาริสโพล่งขึ้นตรงๆ เหมือนหลุดสิ่งที่คิดในหัวออกมาดังๆ แต่เอราสต์ก็ไม่ได้ใส่ใจยังหยอดคำหวานกับฟิเลน่าต่อ

“ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน คุณยังดูสง่างามเช่นเคยนะครับ”

“ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาว่างคุยเล่นกับคุณนักหรอก” ฟิเลน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระต่อคำชมของอีกฝ่าย และตัดจบบทสนทนาอย่างรวดเร็ว “ลิเลียน เคจ เราไปหอสามกันเถอะ”

(เอ๋? สองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนด้วยเรอะ) เกล็นคิด ไม่นึกเลยว่าฟิเลน่ากับเอราสต์จะเคยพบกันมาก่อน แต่ท่าทีของเด็กสาวตอนนี้ทำให้เขาหาจังหวะถามดีๆ ไม่ได้ ปล่อยให้ฟิเลน่ากับพวกไปหอสามตามที่บอก แต่ไม่ทันไรก็มีอีกเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลังของเกล็นต่อ

“คุณมาทำอะไรที่นี่ครับ?”

เป็นครั้งแรกที่เกล็นได้ยินจูเลียสทำเสียงแบบนี้ แม้กระทั่งสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มเสมอก็หายไป เปลี่ยนเป็นความไม่สบอารมณ์ที่ได้เจอกับเอราสต์ นั่นยิ่งก่อความสงสัยให้เกล็นมากยิ่งขึ้น

(จูเลียสก็รู้จักหมอนี่เหมือนกัน?) เกล็นมองสลับไปมาระหว่างจูเลียสกับเอราสต์ที่สบตากัน

ทั้งที่โดนปฏิบัติอย่างไร้มิตร แต่เอราสต์ก็ยังสามารถยิ้มต่อไปได้

“แหม องค์ชายจูเลียสนี่เอง สามปีแล้วสินะที่ไม่เจอกัน ไม่ทราบว่าท่านพี่ของท่านสบายดีไหม จริงสิ! องค์หญิงหลุยส์เองก็ยังเรียนอยู่ที่นี่เหมือนกันสินะ ไว้ว่างๆ…”

ไม่ทันที่เอราสต์จะพูดจบประโยค จูเลียสที่ทำหน้าบึ้งตึงก็พูดเสียงห้วนแทรก

“ท่านพี่สบายดีครับ”

“ขอโทษที่ต้องขัดนะ พวกนายรู้จักกันเหรอ” คลาริสถามขึ้น ปรายตามองจูเลียสพร้อมชี้ไปทางเอราสต์ที่ยังหัวเราะกับปฏิกิริยาขององค์ชาย

“ครับ เอราสต์ โกเมซ ลูกชายของขุนนางจากเวสพีเรีย” จูเลียสตอบโดยไม่ละสายตาจากเอราสต์ “เราเคยเจอกันเมื่อสามปีก่อนในงานฉลองสู่สังคมของท่านพี่หลุยส์ ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วทำไมถึงใส่ชุดนั้น”

“พอดีทำตัวเหลวแหลกไปหน่อยเลยโดนท่านพ่อไล่ออกมาใช้ชีวิตลำพังน่ะ” คนต่างถิ่นยักไหล่กับการโกหกคำโต

(เหตุผลคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินเมื่อชาติก่อนจังวุ้ย…) เกล็นคิด ทั้งๆ ที่ยังมองจูเลียสกับเอราสต์

“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันว่าขอตัวกลับไปจัดของที่ห้องตัวเองต่อดีกว่า” ว่าแล้วเอราสต์ก็หมุนตัวกลับหอพักตัวเองพร้อมโบกมือลาชาร์ล็อตที่ยังยืนงงปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ไม่ทัน

เมื่อเอราสต์จากไป เกล็นเลยชวนคลาริสไปหาอะไรทานที่ห้องของเขา ส่วนชาร์ล็อตแยกตัวขึ้นฝั่งผู้หญิงไป เหลือเพียงจูเลียสที่ขบคิดกับสิ่งที่ผิดปกติโดยไม่ถามเพื่อนหนุ่มทั้งสองที่หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว