(ให้ตาย แค่ห่วงชาร์ล็อตกับแมรีแอนน์ก็เครียดอยู่แล้ว ต้องมานั่งพะวงสองพี่น้องอีกเรอะ) เกล็นนั่งกุมขมับปวดหัวกับความจริงที่โดมินิกเล่าเมื่อหลายวันก่อน (ปกติก็เป็นเส้นใหญ่อยู่ ยังจะใส่ไข่ดาวพิเศษมาอีก)

เกล็นมองคลาริสที่ยืนคุยกับเพื่อนร่วมหอคนอื่นด้วยสีหน้าตึงเครียด โดยวันนี้พวกเขาเดินทางมารวมตัวกันก่อนวันปฐมนิเทศหนึ่งวันเพื่อชี้แจงและแบ่งงานให้แต่ละคนดูแลเด็กที่จะเข้าเรียนในปีการศึกษาใหม่ ที่ตอนนี้นักเรียนชายหอหนึ่งก็กำลังรวมตัวกันที่ห้องโถงกลางชั่นสามเพื่อทำอะไรบางอย่าง

“เอาละ เพื่อความยุติธรรมเราจะจับฉลากกันเหมือนปีที่แล้ว” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำจริงจังพลางเขย่ากล่องกระดาษ เกล็นที่เห็นแบบนั้นก็เถียงกลับและพยายามหลบเลี่ยงการจับฉลาก

“อะไรกัน พวกนายทำแบบนี้ไม่ใจร้ายกับรูมเมตหน่อยเหรอ”

“โธ่ เกล็น จริงๆ แล้วคลาริสอยากอยู่กับนายนะ แต่อย่างที่บอกเพื่อความยุติธรรมเราต้องจับฉลาก”

“ฉันว่าแบบเดิมนั่นแหละดีแล้ว” ไม่ว่ายังไงเกล็นก็หัวเด็ดตีนขาดไม่ยอมเสียห้องเดี่ยวไป เขาพยายามหาข้ออ้างสารพัดเพื่อที่จะไม่ต้องมีการเลือกห้องขึ้นมาใหม่

“เกล็นครับ คำพูดเมื่อครู่มันดูไม่ใจร้ายกับคลาริสหน่อยเหรอ?” เสียงละมุนแฝงด้วยอำนาจของจูเลียสว่าขึ้น “ดูสิคลาริสซึมเลยเห็นไหม”

จากนั้นเหล่าเพื่อนร่วมหอก็แสดงละครทำเป็นปลอบคลาริสที่ทำหน้างุนงงไม่รู้เรื่องเป็นการกดดันให้เกล็นจับฉลากหรือยินยอมให้คลาริสเป็นรูมเมต

“เริ่มจากนายก่อนเลย”

กล่องจับฉลากก็ถูกยื่นไปอยู่เบื้องหน้าเกล็นที่ทำปากเบ้ไม่อยากให้ความร่วมมือ แต่ด้วยจำนวนหนึ่งต่อสิบห้า เขาเลยจำใจต้องล้วงเข้าไปเลือกกระดาษโดยที่ไม่รู้คำตอบ พอเกล็นหยิบขึ้นมาได้ใบหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ จึงทยอยกันจับต่อ กระนั้นจิตใจของเกล็นก็ไม่ยอมแพ้ เขาหลับตาปี๋สวดภาวนาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่คนเดิม ที่ไข่ต้มเก้าฟองนั้นยังคงให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมเช่นเคย ดังนั้นจึงเป็นอีกปีที่เกล็น ฮิลเนสัน สามารถคว้าห้องเดี่ยวได้สำเร็จ

(ดีจริงๆ ที่ชาตินี้ไม่มีเกมกาชามาแย่งดวง)

หลังตัดสินกันได้เรียบร้อย พวกนักเรียนแยกย้ายจัดการสถานที่และของต่างๆ เตรียมต้อนรับเด็กปีหนึ่งที่จะเข้ามาในวันพรุ่งนี้ พอนัดแนะขั้นตอนสุดท้ายเสร็จ ทุกคนก็พากันกลับห้องพัก เกล็นที่ยังได้อยู่คนเดียวก็ยืนยิ้มปลื้มกับห้องใหม่มุมเดิมเหมือนปีที่แล้ว สักพักเขาก็นึกเรื่องที่ค้างคาใจได้

“แสดงว่าคนที่ช่วยเราวันเกิดจูเลียส ก็เป็นทวดของคลาริสน่ะสิ” เกล็นลูบคางนึกย้อนในวันที่เกือบโดนอสูรทมิฬเล่นงาน แต่ก็มีใครบางคนช่วยเอาไว้ ซึ่งพอเอาเรื่องที่โดมินิกเล่าให้ฟังมาประกอบกับตำแหน่งที่ทวดของคู่แฝดอยู่มันก็เข้าล็อกพอดี “ให้ตายสิ ชักอยากจะรู้อายุจริงๆ ของทวดแกแฮะ”

เกล็นหัวเราะเสียงแห้งกับความสามารถและอำนาจของอวินาช ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลังจากนั้นเกรกอรี่ถึงกล้าใช้วิธีส่งทหารมาคุ้มกันในเมือง เพราะพวกซิกมุนท์เลยไม่เอะใจ อีกทั้งปฏิกิริยาของฮันนาตอนงานเลี้ยง เกล็นจึงอนุมานว่าชายแก่คนนั้นน่าจะมีอะไรทีเด็ด สร้างความหวาดหวั่นให้พวกตัวร้ายได้ไม่น้อย อย่างเช่นการไปยุ่งกับเหลนหรือก็คืออิกนิสกับคลาริส ก็อาจจะโดนสวนกลับอย่างหนัก ทว่าเกล็นก็ยังมีข้อสงสัยอีกจุดว่าเหตุใดที่เขาต้องปิดบังตัวตน แล้วแกล้งทำเป็นชายแก่ผู้มั่งคั่งธรรมดาด้วย เพราะจากที่โดมินิกเล่าก็ดูจะมีพวกผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่รู้สถานะจริงๆ

(วันหลังถามปู่เกรกอรี่ดีกว่า)

เกล็นพยักหน้าตอบกับตัวเองเมื่อจะไปถามเรื่องของชายชื่ออวินาชเพิ่ม

 

เช้าวันต่อมาก็เหมือนกับปีที่แล้ว ที่ต้องเข้าห้องเรียนเตรียมปฐมนิเทศเตรียมตัวเปิดเรียนในวันจันทร์ถัดไป นักเรียนทยอยเข้าห้องเรียนประจำซึ่งย้ายไปอยู่ชั้นสอง เพื่อนร่วมห้องหน้าตาเดิมๆ ยกมือทักทายตามปกติ ยกเว้นตำแหน่งที่นั่งซึ่งเปลี่ยนไปอย่างชันเจน แมรีแอนน์และชาร์ล็อตไปนั่งรวมกลุ่มกับเด็กผู้หญิงด้วยกัน ส่วนเกล็น คลาริส และจูเลียสยังยึดแถวหลังสุดเดิมเอาไว้ เพิ่มเติมคือมีแก๊งหลังห้องเป็นของตัวเอง

เสียงเซ็งแซ่ที่ดังอยู่พักใหญ่ค่อยๆ เงียบลง เมื่อประตูห้องเรียนเปิดภาพของรอยยิ้มแมทธิวตอนนี้เป็นสิ่งที่เคยชินของพวกนักเรียนและไม่อาจจะทำให้เหล่าสาวน้อยวันนั้นหวั่นไหวได้ อีกทั้งเขาก็มีคนในใจเป็นพี่สาวร้านขนมปังในเมืองชื่อลิซ่า ชายหนุ่มเรือนผมน้ำเงินเข้มกล่าวสวัสดีและแสดงความยินดีกับการขึ้นชั้นปีใหม่ เขาวางกองเอกสารปึกหนึ่งวางบนโต๊ะ โดยเรื่องที่แมทธิวพูดก็มีแต่มีเรื่องเดิมๆ นักเรียนจึงไม่ค่อยสนใจเท่าไร กระทั่งเปิดประเด็นเรื่องเลือกกรรมการนักเรียนที่ปีสอง ซึ่งต้องมีส่วนร่วมต่างจากสมัยปีหนึ่งที่ไม่ค่อยมีอะไรทำ

“ใครจะเสนอชื่อหัวหน้าห้องบ้าง?” สิ้นเสียง นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้น หากเป็นไปตามเกมจูเลียสจะถูกตัวประกอบเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าห้อง

“ผมเสนออิกนิสครับ”

แหกเนื้อหาเกมฉลองเทอมใหม่ เมื่อชื่อของอิกนิสโดนเสนอ ทำเอาเจ้าตัวหน้าซีดสะดุ้งโหยงพยายามปฏิเสธ แล้วรีบหาชื่อคนที่เหมาะกว่าแทน

“ฉะ ฉันว่าจูเลียสเหมาะกว่านะ...”

“ผมว่าอิกนิสเหมาะกว่าครับ” จูเลียสตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หนำซ้ำยังเอาเหตุผลเข้าสู้ “ลองคิดดูนะครับ ถ้าให้ผมไปเป็นกรรมการนักเรียนห้องอื่นต้องคิดว่า เจ้าห้องนี้คิดจะใช้อำนาจเจ้าชายสั่งตามอำเภอใจแน่ๆ ซึ่งผมว่าคงไม่ดีต่อห้องของเรา”

“พะ พูดไปก็กระดากปากหรอกนะ แต่ฉันกับนายก็คล้ายๆ กัน...”

จริงอย่างที่อิกนิสว่า หากว่าด้วยตำแหน่งทางบ้านคนที่ใหญ่รองมาจากจูเลียสที่เป็นเจ้าชายไม่พ้นสองพี่น้องฝาแฝดจากตระกูลดยุก แต่เจ้าชายก็สู้ไม่ถอย

“ถ้าเป็นอิกนิสไม่มีใครคิดแบบนั้นแน่นอนครับ ก็ใครๆ ก็รู้ว่าคุณจริงจังต่อกฎของโรงเรียนขนาดไหน”

จูเลียสพูดจบ ก็มีเสียงเชียร์จากเด็กหอสองสนับสนุนแนวคิดนี้ อิกนิสผู้จริงจังมักเตือนหรือตำหนิเพื่อนเวลาละเมิดกฎของหอพัก เพราะเป็นเอกฉันท์อย่างท่วมท้นอิกนิสกลายเป็นหัวหน้าห้องโดยปริยาย คนถูกโยนภาระได้แต่นั่งหน้าเครียดในหัวมีแต่เรื่องที่ควรทำในฐานะหัวหน้าห้อง

“งั้นต่อไปก็รองหัวหน้าห้องฝ่ายชาย...”

ไม่ต้องรออาจารย์หนุ่มถามจบประโยค เคจยกมือขัดด้วยแววตาเปล่งประกายและเสนอออกมาสองชื่อพร้อมกัน

“เกล็นกับชาร์ล็อตค่ะ!

เหมือนกรรมตามสนอง ทั้งเกล็นและชาร์ล็อตสำลักน้ำลายที่ถูกขานชื่อ เพื่อนทุกคนยกเว้นอิกนิสต่างเห็นด้วย

(ทีอย่างนี้ตรงตามบทเชียวนะ!) ว่าที่รองหัวหน้าฝ่ายชายโวยวายในใจ

และเพื่อไม่ให้สองเพื่อนสนิทค้านได้ เด็กสาวคนเดิมรีบบอกเหตุผลการแนะนำครั้งนี้

“ถึงอิกนิสจะจริงจัง แต่ถ้าเรื่องเถียง… เอ๊ย ถกประเด็นกับห้องอื่นต้องสองคนนี้” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ปรบมือเร่งปิดหัวข้อประชุมห้อง เพราะหน้าที่ไม่ตกเป็นของตน พวกเพื่อนคนอื่นร่วมกันยินดีและอวยพรกับตำแหน่งหัวหน้ากับรองหัวหน้าของห้อง

ไม่มีทางสู้คะแนนเสียงได้ ทั้งสามคนต้องทำใจยอมรับหน้าที่ แต่คิดอีกทีมันอาจจะเป็นการดีก็ได้ที่ได้อำนาจมาอยู่ในมือ ถ้าคุยกับอิกนิสอย่างมีเหตุผลก็คงตกลงกันง่าย ส่วนชาร์ล็อตที่สนิทกันเป็นสิบปียากที่จะเห็นต่าง ว่าแล้วมุมปากเกล็นได้กระตุกยิ้มกับแนวคิดอันชั่วร้ายที่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ใช้หรือเปล่า จูเลียสที่เห็นการกระทำก็พยักหน้าราวกับอ่านความคิดอีกฝ่ายออกและโล่งใจที่ให้เพื่อนรับหน้าที่ไป

“ในเมื่อเราได้หัวหน้ากับรองหัวหน้าแล้ว ก็ขอชี้แจงการศึกษาสำหรับปีการศึกษาใหม่นี้ นักเรียนชั้นปีสองจะทดลองการเรียนการสอนแบบใหม่กัน”

เกิดเสียงฮือฮาจากพวกนักเรียนที่พากันสนใจวิธีการเรียนใหม่ ขณะที่เกล็นเลิกคิ้วพร้อมเอนหลังพิงเก้าอี้อยากรู้ว่ามันจะใช้แผนการที่เกรกอรี่กับพวกอาจารย์อาวุโสหรือไม่

“ทุกๆ ปลายเดือนจะมีการทัศนศึกษาในมณฑลต่างๆ เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์โดยจะเริ่มในเดือนหน้า เพราะฉะนั้นทางโรงเรียนขอความร่วมมือนักเรียนทุกคนเคร่งครัดต่อกฎระเบียบใหม่ที่จะแจกให้อ่านกันด้วย” ว่าแล้วแมทธิวก็แจกเอกสารซึ่งเขียนกฎของการศึกษานอกสถานที่โดยเฉพาะ

(มาอีหรอบนี้เองเรอะ) เกล็นกอดอกครุ่นคิดในหัวและเห็นด้วยกับวิธีการนี้ที่น่าจะเนียนที่สุด หากต้องตามหาผลึกอีกสามชิ้นที่เหลือในสถานที่ต่างๆ (เท่ากับว่าเรามีเวลาตามหาของประมาณสามสี่วันหรือเปล่านะ เอาเถอะ เดี๋ยวรอฟังจากอาจารย์อีกรอบค่อยวางแผนเอาแล้วกัน)

“ถึงจะเป็นระบบทดลองอยู่ ครูก็อยากให้พวกเธอดูแลตัวเองดีๆ” แมทธิวเตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง และเมื่อไม่มีอะไรต้องแจ้งนักเรียน อาจารย์ประจำชั้นหนุ่มจึงปล่อยนักเรียนแยกย้ายตามอัธยาศัย พวกเกล็นก็รวมตัวกันก่อนจะออกจากห้องเตรียมไปโรงอาหาร

ระหว่างที่เดินลงบันไดนั้นเอง ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเสียงใสแจ๋วหนึ่งทักทายแมรีแอนน์จากทางด้านซ้ายมือ โดยเจ้าของเสียงคือเด็กหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้มดูมีพลังงานเต็มเปี่ยมสมเป็นนักเรียนปีหนึ่ง เขามีเรือนผมสีน้ำตาลเข้มดูหนุ่มฟูน่าขยี้หัว ดวงตาสีเขียวเข้มมองมายังแมรีแอนน์ที่ทำหน้างุนงง

“สะ สวัสดีค่ะ…” เธอทักทายเจ้าหนุ่มคนนั้นอย่างไม่มั่นใจนัก

“ผมเองครับ แมรีแอนน์จำได้หรือเปล่า”

“…” แล้วนัยน์ตาสีชมพูหวานก็เหลือบไปหาเพื่อนใกล้ตัวขอความช่วยเหลือ เพราะแมรีแอนน์จำตัวละครรุ่นน้องชื่อ ฟริทซ์ คอร์เรย์ ไม่ได้ ถือว่าผิดแปลกจากข้อมูลในเกมที่เธอสามารถจำเขาได้ทันที เนื่องจากทั้งคู่เคยอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าด้วยกัน ก่อนที่รุ่นน้องจะมีครอบครัวขุนนางยศบรรดาศักดิ์เอิร์ลรับเลี้ยง เพราะมีสายเลือดเดียวกัน

เมื่อมีคนหนึ่งช่วยไม่ได้ สายตาก็ถูกทอดมองต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเกล็นที่รู้ดีว่าเด็กปีหนึ่งคนนี้เป็นใคร แต่ครั้นจะบอกว่ารู้จักได้ไงก็ไม่รู้เหตุผลมาอ้าง เลยโยนหน้าที่นี้ให้กับคนที่อยู่ใกล้เขา คลาริสที่ถูกจ้องก็ชี้หน้ามาทางตัวเองส่งสายตาเชิงถามว่าทำไมต้องเป็นเขา แต่ท้ายที่สุดก็มีอีกเสียงขึ้นจากด้านหลังที่เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์มาโปรด

“มารยาทที่ดีจะต้องแนะนำตัวมากกว่าจะบอกว่าผมเองจำได้หรือเปล่านะคะ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกสมเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ดังบอกรุ่นน้องปีหนึ่งคนนั้น โดยมีเคจกับลิเลียนหัวเราะคิกคักท่าทางเอ็นดูประกอบเป็นฉากหลัง

“จะ จริงด้วยนะครับ!” ฟริทซ์ผงกศีรษะเข้าใจความหมายที่ฟิเลน่าสื่อ “ผม ฟริทซ์ คอร์เรย์ ครับ แมรีแอนน์จำได้หรือเปล่า”

“ฟริทซ์…หรือคะ? อ่อ จำได้แล้วค่ะ ไม่อยากเชื่อเลยนะคะว่าเราจะได้บังเอิญเจอกันที่โรงเรียน… ไม่สิ ต้องบอกว่ากะแล้วเชียวว่าฟริทซ์ต้องมาเรียนที่นี่ต่างหาก” โชคดีของฟริทซ์ที่แมรีแอนน์ยังนึกออก แม้ว่าเจ้าตัวแน่นิ่งไปชั่วคราวก็ตาม “แต่ว่ากำลังจะเดินเล่นกับเพื่อนๆ สินะคะ งั้นฉันไม่กวนดีกว่า”

หากเป็นแมรีแอนน์ในเกม เธอจะเสนอตัวพาพวกน้องปีหนึ่งชมโรงเรียน ทว่าเจ้าหล่อนเลือกตัดบทเพราะไม่อยากรบกวนการผูกมิตรของเหล่านักเรียนใหม่ และที่สำคัญเธอยังมีนัดกับพวกสาวๆ คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยหลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ ทำให้อีเวนต์แรกพบอีกครั้งของพ่อหนุ่มฟริทซ์จบลงตรงนี้

(ก็น่าสงสารนะ แต่เนื้อเรื่องมันไม่ได้เป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ) แล้วพวกนักเรียนปีสองก็เดินแยกตัวไป ปล่อยรูทรุ่นน้องจางไป

จากสถานการณ์ตอนนี้การมีหรือไม่ของฟริทซ์ก็ไม่ส่งผลอะไรเป็นพิเศษ

(ลาก่อนไอหนุ่ม) เกล็นบอกลาฟริทซ์ในใจที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับภารกิจ

หลังจากพักทานอาหารกลางวันเสร็จ นักเรียนแต่ละคนก็แยกย้ายไปธุระส่วนตัวหรือรวมกลุ่มกัน เกล็นที่ปีนี้ขนของมาเยอะ ก็ขึ้นห้องทำการจัดระเบียบอุปกรณ์ที่ดัดแปลงเป็นเครื่องครัวและซ่อนจากสายตาจากอาจารย์ที่นานๆ ทีจะมีการตรวจความสะอาดของห้องพัก เหล่าต้นไม้อย่างพริกเขาก็พามาด้วย โดยวางกระถางใกล้หน้าต่างห้องเพื่อให้รับแดด ก่อนจะวุ่นวายกับเครื่องปรุงที่มีกลิ่นแรง เพราะปีก่อนเกล็นปิดฝาขวดน้ำปลาไม่สนิททำให้ความแตก แต่โชคดีที่เขาเรียนวิชาปรุงยาเลยโกหกเอาตัวรอดไปได้

“ถ้าอ้างแบบเดิมมีหวังอาจารย์ไปถามย่าเคธีแหง” เขาพึมพำ ขณะทดลองเอากระดาษปิดซ้อนอีกชั้นหนึ่งไม่ให้กลิ่นออกแล้วนำไปซ่อนกล่องใต้โต๊ะอีกที

เมื่อจัดห้องเสร็จ เกล็นก็เท้าเอวมองรอบๆ อย่างภาคภูมิใจกับอาณาจักรของตัวเอง ทว่าสักพักได้มีเสียงเคาะประตูดังเรียกให้เจ้าของห้องเปิดประตูต้อนรับโดยไม่ลืมถามว่าใคร

“เอราสต์ โกเมซครับ” เพราะทั้งชื่อและน้ำเสียงไม่คุ้นหู ทำให้เกล็นชะงักมือก่อนจะจับลูกบิดประตูรู้สึกหวั่นใจที่จะเปิดประตูให้ชายปริศนาเข้ามาดีไหม เกล็นจึงดูท่าทีอีกครู่หนึ่งว่าเขาคนนั้นจะทำอะไรต่อ

“เกล็น ฮิลเนสันอยู่ไหมครับ?”

ยืนยันแน่ชัดว่าคนคนนั้นจงใจมาหาเขา ทำให้เกล็นเกิดความสงสัยว่าคนหลังบานประตูมีธุระอะไร เขาจึงเปิดประตูอนุญาตให้เข้ามาได้ โดยชายชื่อเอราสต์ โกเมซ เป็นเด็กหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกับเกล็น มีรูปร่างสูงพอๆ กับสองพี่น้องฝาแฝด ใบหน้าดูหล่อเหลาเข้ากับน้ำเสียงนุ่ม ผมยาวหยักศกน้อยๆ สีม่วงยาวประบ่าที่มัดรวบเรียบร้อย ดวงตาคมสีเงินซึ่งหางตาข้างซ้ายมีไฝเสน่ห์

“เอ่อ… มีธุระอะไรกับผมเหรอ…?” เกล็นถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคง ก่อนจะสังเกตเห็นจดหมายในมือของเอราสต์ที่มีชื่อเกรกอรี่จ่าหน้าซอง เจ้าของห้องจึงอนุญาตให้เอราสต์เข้ามาด้านใน และปิดประตูล็อกกรปกป้องไม่ให้มีคนทะเล่อทะล่าเข้ามาในจังหวะคุยเรื่องสำคัญ

เมื่อได้เข้าห้องมาได้สักพัก เอราสต์กระแอมเสียงปรับอารมณ์และแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“ฉันชื่อเอราสต์ โกเมซ เป็นคนจากเวสพีเรียจะมาเป็นผู้ช่วยพวกนายทำภารกิจตามหาผลึกด้วย”

“หา???” เกล็นอุทานเสียงสูงมองหน้าเอราสต์ไม่วางตาก่อนจะพูดภาษาดั้งเดิมของชาติก่อนออกมา

“(ใครอะ!?)”