“น่ารักมากเลยจ้ะ” มิเดียเน่ปรบมือชมชุดสำหรับออกงานของแมรีแอนน์ที่แฮเรียตซื้อมาให้เป็นของขวัญพิเศษ มันเป็นชุดเดรสคอเหลี่ยม แขนพอง ชายกระโปรงยาวระหัวเข่า ดูเข้ากันกับถุงมือบางสั้นและรองเท้ามีส้น ซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นสีชมพูหวานน่ารักแบบที่เด็กสาวชอบ นอกจากชุดนี้ยังมีอีกสองสามชุดที่ยังไม่แกะจากห่อ “แมรีแอนน์ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”

หญิงสาวบอกแมรีแอนน์ที่พยักหน้า แล้วรีบหอบของเดินขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้องส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวทานอาหารเย็น เธอใช้เวลาสักพักใหญ่กว่าจะกลับมาสวมชุดไปรเวทสบายๆ จากนั้นก็เดินลงมาแล้วเลี้ยวเข้าห้องรับประทานอาหาร ทว่าระหว่างจะเข้าแมรีแอนน์ได้ยินพ่อแม่คุยเรื่องบางอย่าง

“แมรีแอนน์จะรับมือไม่ทันเอาน่ะสิคะ...”

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่มิเดียเน่คุยกับแฮเรียตก่อนจะเงียบลงเมื่อเห็นแมรีแอนน์ยืนกะพริบตาปริบๆ สงสัยอยู่ตรงกรอบประตู ทั้งที่อยากจะเอ่ยปากถามว่าพวกเขาคุยอะไรแต่สมองเด็กสาวก็ขาวโพลนไม่รู้จะเริ่มตั้งคำถามยังไง จากนั้นมิเดียเน่ก็ส่งยิ้มเลื่อนเก้าอี้ตัวประจำเชื้อเชิญให้ลูกสาวนั่ง แล้วทานอาหารเย็นเหมือนปกติ

หลังจากทานกันเสร็จเรียบร้อย มิเดียเน่ระบายลมหายใจเหนื่อยระหว่างเก็บจาน แมรีแอนน์จึงเบียดตัวให้แม่เขยิบหนีและแย่งของในมือไปจัดการล้างในห้องครัวต่อ

“ถ้าคุณแม่เหนื่อยก็ไปพักเถอะค่ะ” แมรีแอนน์บอกทั้งที่ยืนหันหลังให้ แต่เพราะรู้ว่าแม่ยังอยู่เธอเลยเอี้ยวตัวไปมองอย่างสงสัยจึงเห็นสีหน้าครุ่นคิดที่แฝงความไม่สบายใจ

“คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงใสซื่อถาม ทว่ามิเดียเน่ก็ส่ายศีรษะเบาๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ดูเหนื่อยล้า

“แม่แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ…”

ว่าจบมิเดียเน่ก็หยิบจานที่ล้างเสร็จเก็บขึ้นบนชั้น

“แต่ช่วงนี้คุณแม่ดูแปลกๆ ไปนะคะ” แมรีแอนน์ว่าเสียงแผ่วเบาเจือความทุกข์ใจ “ถ้าเรื่องที่เกิดในโรงเรียนตอนนี้ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูเชื่อว่าพวกอาจารย์ต้องมีวิธีรับมือได้”

“นั่นสินะ…” มิเดียเน่ตอบรับ จากนั้นบรรยากาศภายในห้องครัวก็เงียบสงัดไม่มีใครพูดต่อหรือขยับตัวไปไหน จนกระทั่งมิเดียเน่หันมาส่งยิ้มให้กับแมรีแอนน์ “จริงสิ อีกสักสองสามวันเราไปเบเลเทียกันไหม เพราะนี่จะครบปีที่ขอพรไว้แล้วนี่เนอะ”

พอได้ยินคำเชิญชวนจากมิเดียเน่ แมรีแอนน์ก็เบิกตากว้างดีใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่แม่เป็นฝ่ายชวนออกข้างนอก ตอนสมัยยังอยู่โบสถ์ในอูรานี่กระทั่งย้ายบ้านมาอยู่ที่ริโคนิก มิเดียเน่จากออกจากบ้านต่อเมื่อไปจ่ายตลาดเท่านั้น ไม่มีความคิดออกไปเดินเล่นเลยสักครั้ง

“งั้นเราพักโรงแรมเดิมดีไหมคะ หนูชอบที่นั่น” แมรีแอนน์เสนอพลางหลับตานึกถึงภาพห้องนอนสำหรับสามคนที่กว้างขวางและมีเตียงแยกเท่ากับจำนวนผู้เข้าพัก แถมยังนุ่มน่านอนในราคาที่ไม่เกินเอื้อม จะเรียกได้ว่าถูกและดีนั่นมีจริง พอคิดคำนี้ออกมาได้ แมรีแอนน์ก็หลุดขำกับเจ้าของประโยคที่เคยพูดก่อนหน้าในตอนที่กำลังตามวัสดุสำหรับทำตุ๊กตาขายในงานเทศกาล พอคิดถึงเขาก็อดห่วงไม่ได้ว่าตอนนี้เกล็นจะเป็นอย่างไงแล้วบ้าง

“สำหรับแม่ที่ไหนก็ได้จ้ะ” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มแต่กลับดูเศร้าสร้อย

“เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ…?”

“ไม่มีอะไรหรอกจะ เอาไว้ถึงวันนั้นเราค่อยเดินเล่นในเมืองนั้นกันนะ”

ว่าจบมิเดียเน่ก็เดินตรงดิ่งขึ้นห้องนอน โดยไม่อยู่นั่งคุยเล่นกับแฮเรียตตามปกติ สามีจึงตามไปด้วยความเป็นห่วง ทิ้งให้เด็กสาวยืนตั้งคำถามในใจว่าอะไรทำให้แม่ของเธอดูแปลกไปในช่วงนี้

 

แล้วและก็ถึงวันที่แมรีแอนน์รอคอย เธอตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ไปเที่ยวเมืองเบเลเทียด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกเหมือนกันครอบครัวทั่วไป หลังจากที่พ่อคอยทำงานอยู่ตลอดส่วนแม่ไม่ค่อยอยากออกไปไหน มันเป็นไม่กี่ครั้งที่แมรีแอนน์ได้จับมือแม่แล้วเดินไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะดูน่าเบื่อไปบ้างสำหรับเด็กวัยรุ่นเวลาเข้าๆ ออกๆ วิหารแต่ละที่ แต่สำหรับแมรีแอนน์ช่างเป็นวันที่มีแต่ความสุขจนไม่รู้ลืม

กระทั่งวันต่อมา เมืองแห่งนี้ก็ยังครื้นเครงแต่เช้าเพราะเหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างนำเสนอสินค้าที่ยึดเหนี่ยวจิตใจอย่างของประดับเล็กๆ น้อยๆ หรือดอกไม้สำหรับถวายเพื่อสักการะต่อเทพแต่ละองค์

“คุณแม่จะไปได้เหรอคะ” แมรีแอนน์ถามเสียงสดใสพร้อมส่งแววตาเปล่งประกายไปทางมิเดียเน่ที่เดินนำหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นเป้าหมาย หลังจากที่หญิงสาวซื้อดอกคาร์เนชั่นสีสันสวยงามจากร้านใกล้ๆ โรงแรม

“ที่ที่แม่อยากไปมันค่อนข้างอยู่ไกลน่ะ” มิเดียเน่ยิ้มตอบแมรีแอนน์ที่ตื่นเต้นกับจุดหมายปลายทาง สักพักเด็กสาวก็เขยิบตัวเข้าใกล้แฮเรียต

“คุณพ่อรู้หรือเปล่าว่าคะว่าคุณแม่จะไปไหน” เธอกระซิบถามพ่อเพื่อหาคำตอบ แต่น่าเสียดายที่แฮเรียตเองก็ร่วมมือกับแม่ด้วยการทำสัญญาณมือจุ๊ปากเอาไว้ นั่นเลยยิ่งทำให้แมรีแอนน์วาดฝันไปไกลว่ามันคงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสวยงามหรือเป็นจุดชมวิวของเมือง

หลังจากเดินไปเรื่อยๆ ความผิดปกติก็เริ่มขึ้นเมื่อมิเดียเน่พาครอบครัวมายังวิหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากที่พัก ซึ่งมีขนาดใหญ่โตจนต้องมีทหารคอยคุ้มกันดูแลไม่ให้คนนอกเข้ามาได้ แต่หญิงสาวได้หยิบของชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าทำให้คนเฝ้าประตูหลีกทางเป็นการอนุญาตให้พวกแมรีแอนน์เข้าข้างใน เมื่อยิ่งเดินลึกเท่าไรแมรีแอนน์ก็รู้สึกหวาดหวั่นแล้วมองหาพ่อ ทว่าแฮเรียตก็ไม่ได้อยู่กับพวกเธอแล้ว

“คะ คุณแม่ คุณพ่อไม่อยู่…”

“ไม่ต้องห่วงหรอกจะ เราไปกันต่อเถอะ” มิเดียเน่ส่งยิ้มให้ ทว่าภาพที่แมรีแอนน์เห็นมันดูเศร้าสร้อย เด็กสาวจึงเดินตามเงียบๆ อย่างช่วยไม่ได้ และไม่คิดจะตั้งคำถามใดๆ กระทั่งมิเดียเน่พามาถึงด้านหลังของวิหารซึ่งเต็มไปด้วยป้ายหลุมฝังศพมากมาย แม้จะเป็นกลางวันและสุสานนี้จะดูสะอาดสะอ้าน แต่แมรีแอนน์ก็รู้สึกหวาดกลัวเข้าไปประชิดใกล้แม่ด้วยการเกาะผ้าคลุม

“คะ คุณแม่เรามาที่ทำไมเหรอคะ” แมรีแอนน์ถามขึ้นขณะซ่อนตัวเองจากความกลัว

“นี่ แมรีแอนน์ แม่น่ะสงสัยมาตลอดเลยนะ ว่าเพราะอะไรหนูถึงไม่เคยถามถึงคุณพ่อที่แท้จริงสักครั้ง มันเป็นเพราะอะไรเหรอ” จู่ๆ มิเดียเน่ก็ถามกับลูกสาว

“กะ ก็หนูมีคุณพ่อแล้วยังไงคะ…” เสียงอันแผ่วเบาตอบ

“นั่นสินะ… คนที่ไม่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เกิด ไม่แปลกหรอกที่ลูกจะไม่ผูกพัน”

(ทำไมกัน) ประโยคของมิเดียเน่เมื่อสักครู่มันถึงทำให้แมรีแอนน์รู้สึกเจ็บปวดอยู่ลึกๆ เหมือนกำลังถูกตำหนิทางอ้อม ทั้งๆ ที่ตอนเด็กสาวลืมตาดูโลกกระทั่งจำความได้ผู้ชายคนนั้นไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง มีแค่แมรีแอนน์กับมิเดียเน่อยู่สถานที่รับเลี้ยงเด็กกำพร้าของโบสถ์กันสองคน และนั่นทำให้ถูกคนนิสัยเสียซุบซิบแต่งเรื่องไปเรื่อยเพียงเพราะไม่มีพ่ออยู่ด้วย

สองแม่ลูกต่างเงียบลง เกิดบรรยากาศอึดอัดท่ามกลางสถานที่ชวนวังเวงเป็นทุนเดิม แมรีแอนน์เดินก้มหน้าก้มตา ครุ่นคิดเกี่ยวกับพ่อผู้ให้กำเนิดจนสมองตื้อ เนื่องจากเธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนและไม่ใส่ใจใคร่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร กระทั่งคำพูดนั้นออกมาจากปากผู้เป็นแม่

หลังเดินผ่านป้ายหลุมศพมากมายอยู่หลายนาที มิเดียเน่หยุดลงหน้าป้ายหนึ่งแล้ววางดอกคาร์เนชั่นไว้ด้านหน้า แมรีแอนน์เงยหน้าอ่านชื่อเจ้าของป้าย หัวใจเด็กสาวพลันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เนื้อตัวชาไปทั้งร่าง แม้จะไม่เคยได้ยินชื่อแต่จากเรื่องเมื่อสักครู่ แมรีแอนน์มั่นใจว่า ริชาร์ด ลูมิเธอร์ คือพ่อแท้ๆ คำถามใหม่มากมายวนเวียนในหันจนไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา

(ลูมิเธอร์… ถ้าจำไม่ผิด นั่นมัน…)

ต่อให้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นสมัยยังเป็นทารกไม่รู้ประสา แมรีแอนน์ก็เคยได้ยินเรื่องราวโศกนาฏกรรมของครอบครัวนี้จากปากผู้คน

“คุณแม่… หมายความว่าไงเหรอคะ?” เสียงสั่นเครือถามขึ้น แววตาแมรีแอนน์เต็มไปด้วยความสับสน เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องและมีอาการคล้ายคนหน้ามืด

“แม่ไม่ได้จงใจปิดบังลูกนะ… แต่เหตุการณ์นั้นทำให้แม่สูญเสียความทรงจำกระทั่งชื่อของลูกก็ยังจำไม่ได้ มีแค่ชื่อแม่เท่านั้นที่นึกออก” หากวันนั้นผ้าที่ห่อตัวทารกไม่ปักชื่อแมรีแอนน์เอาไว้ หญิงสาวก็คงเปลี่ยนชื่อเด็กสาวเป็นอื่น “แต่วันที่ลูกรักษาแผลแล้วเห็นคุณพ่อ แม่ถึงจำได้ขึ้นมา”

ดวงตาสีม่วงหลุบลง รำลึกถึงวันที่ความทรงจำฟื้นขึ้น สีหน้าของมิเดียเน่ที่แมรีแอนน์เห็นช่างเจ็บปวดทรมาน ครู่หนึ่งหญิงสาวก็ร้องไห้ออกมาราวกับว่าสิ่งที่ทับถมมาทั้งชีวิตได้รับการปลดปล่อย หลังเผชิญเรื่องต่างๆ มากมายและต้องฝ่าฟันอะไรหลายอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ด้านแมรีแอนน์นิ่งเงียบ เธอยืนจ้องป้ายหลุมศพอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปทางเดิมโดยไม่ใส่ใจเสียงเรียกจากมิเดียเน่ ในสมองเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านมากมายที่ไม่อาจไล่ระดับความสำคัญก่อนหลังว่าอะไรควรคิดเป็นอันดับแรก ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกย่างก้าวจะพาตัวเองไปที่ไหน แล้วในตอนที่ได้สติคืนมาคือช่วงเวลาที่แมรีแอนน์ไม่อยากพบมากที่สุด เธอรับรู้ถึงความร้อนผ่าวบริเวณดวงตา ริมฝีปากเม้มแน่นข่มอาการสั่นเทา

สองเด็กหนุ่มสาวต่างสบตามองกันกลางทางเดินที่ทอดยาว แสงตะวันยามกลางวันสาดส่องเข้ามาเผยสีหน้าเกล็นที่มึนงง เขาขยับมือไม้ไปมาราวกับอยากจะถามบางอย่างกับแมรีแอนน์ ทว่าอีกฝ่ายแสดงทีท่าที่แตกต่างไปจากทุกที ร่างเด็กหนุ่มขยับเข้ามาอย่างเป็นห่วง

“เกล็น…” เสียงแหบแห้งเรียก เจ้าของชื่อชะงัก เขายืนนิ่งรอฟังประโยคต่อไป “ทำไมถึงมาที่นี่เหรอคะ…”

ปกติเกล็น ฮิลเนสันที่แมรีแอนน์รู้จักเวลามีความลับมักแสดงออกทางสีหน้า ทว่าคราวนี้เขานิ่งสงบเหมือนรู้ว่าเธอไปเจอกับอะไรมา แมรีแอนน์ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้วจึงปล่อยให้น้ำตาไหล เธอก้มหน้าฟุบบนฝ่ามือ ส่งเสียงสะอื้น ไม่ทันสังเกตว่าเด็กหนุ่มก้าวมาหยุดตรงหน้าแล้วยื่นมือมาลูบไหล่ปลอบใจ

“ค่อยๆ หายใจนะ” มันเป็นเสียงที่ครั้งหนึ่งแมรีแอนน์อยากให้เกล็นพูด มันช่างแสนนุ่มนวลเกินกว่าเป็นมิตรภาพแต่ไม่ใช่ความรัก ทำให้เด็กสาวไม่อยากได้ยินมันอีกแล้ว กระนั้นเธอทำตามที่เขาบอก เธอค่อยๆ สูดลมหายใจเชื่องช้าเป็นจังหวะ

พวกเขานิ่งเงียบ ไม่มีใครเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน มีเพียงเสียงนกร้องด้านนอกอาคารดัง กระทั่งแมรีแอนน์พ่ายแพ้ต่อบรรยากาศชวนอึดอัดนี้ เธอจึงพูดทั้งที่กำลังร้องไห้ออกมา

“ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าตอนนี้ควรรู้สึกยังไง”

เกล็นไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นมายังไง เขาไตร่ตรองเลือกคำพูดเรียบเรียงเป็นประโยคในใจ แล้วค่อยเอ่ยถามออกมา

“ช่วยเล่าได้หรือเปล่าว่าเธอเจออะไรมาเหรอ”

“เมื่อกี้คุณแม่พาฉันไปหาคุณพ่อค่ะ คุณพ่อแท้ๆ แต่เขาไม่อยู่แล้ว ตอนนั้นฉันไม่รู้อะไรเลยว่าควรทำตัวยังไง ทั้งรู้สึกโกรธคุณแม่ที่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ แต่กลับไม่รู้สึกอะไรเกี่ยวกับคุณพ่อเลย ถึงอย่างนั้นฉันกลับรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ฉัน…​ฉันสับสนว่าควรรู้สึกยังไง…”

“เรื่องนั้น…” เกล็นหลุบตาลง ค่อยๆ วิเคราะห์ความรู้สึกของเด็กสาวว่าอะไรคือสาเหตุด้วยการนำเรื่องราวต่างๆ มาร้อยรวมกันกลายเป็นคำตอบที่ไม่รู้ว่าจะปัดเป่าความทุกข์ใจนี้ให้ได้หรือไม่ “ตัวฉันมันก็แค่คนอื่น… ก็อาจจะไม่ได้เข้าใจเธออย่างถ่องแท้หรอกนะ อย่างสาเหตุที่โกรธคุณแม่ คงเป็นเพราะเธอตั้งหน้าตั้งตารอคอยได้ไปเที่ยวกับคุณแม่หรือเปล่า ถ้าจะผิดหวังก็ไม่แปลก”

แมรีแอนน์หยุดสะอื้นมองตรงไปด้านหน้า แววตาอีกฝ่ายสั่นไหวจิตใจเขาเองก็ไม่ได้มั่นคงเช่นกัน

“ส่วนเรื่องคุณพ่อแท้ๆ คือ… แบบว่า ฉันเคยเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เขาก็เสียคุณพ่อจากอาการป่วยตั้งแต่จำความไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่าเวลาพูดถึงเรื่องคุณพ่อเด็กคนนั้นกลับมีท่าทางชินชาและเฉยเมย กลับกันตอนที่ปู่ที่เลี้ยงเธอจากไป เวลาเล่าเรื่องเกี่ยวกับปู่เด็กคนนั้นถึงจะยังยิ้มอยู่ก็จริง แต่แววตาโหยหาคิดถึงปู่… ฉันเลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับความผูกพันล่ะมั้งนะ ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณพ่อ แต่ที่เศร้ามันเป็นเพราะ…”

เกล็นกลืนน้ำลายพยายามนึกประโยคสวยหรู ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้แม้แต่คำเดียว เขาก้มมองพื้น รู้สึกเศร้าร่วมไปกับแมรีแอนน์ ตอนนี้ยากจะคิดคำปลอบว่าคำไหนไม่ทำให้แมรีแอนน์แย่ไปมากกว่านี้ ฐานะระหว่างเขาทั้งสองคือคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยสายเลือด สิ่งที่เกล็นเลือกคือการจับปลายนิ้วชี้เบาๆ ให้แมรีแอนน์รับรู้ว่าตัวเขาจะยืนอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อน

“ฉัน… จะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนนะ” เสียงแผ่วเบาตะกุกตะกักบอกให้แมรีแอนน์รับรู้ พอเธอเงยมองก็พบว่าเกล็นเบือนหน้าหนีเสมองไปทางอื่น แมรีแอนน์จึงส่งแรงบีบเบาๆ ตอบสนอง ตอนนี้ความโกรธที่มีต่อมิเดียเน่จางหายไปแทนที่ด้วยความเข้าใจว่าแม่คงมีเหตุผลบางอย่าง แต่เธอช็อกมากเสียจนสติหลุดเลยไม่สนใจความจริงที่มิเดียเน่จะเล่าหลังจากนั้น

(นี่น่ะ เป็นเพราะความประสงค์ของท่านหรือเปล่าคะ…) แมรีแอนน์เอ่ยถามต่อเทพแห่งโชคชะตาฮีมูอา ที่นำพาให้มาพบเกล็น ซึ่งเธอยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมเด็กหนุ่มถึงมาอยู่ที่นี่ เธอคาดว่าเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง… เธอจะยินดีเพื่ออยู่เคียงข้างเขาโดยหวังสิ่งตอบแทนเล็กๆ ที่เรียกว่าความใกล้ชิดก็พอแล้ว

“ขอบคุณนะคะเกล็น…” แมรีแอนน์เช็ดน้ำตาพลางส่งยิ้มแฝงความเจ็บปวด “ฉันคิดว่าควรกลับไปคุยกับคุณแม่ให้เข้าใจมากกว่านี้”

เธอบอกเหตุผลที่ทำให้ริมฝีปากอีกฝ่ายยกยิ้ม หัวใจดวงน้อยของเด็กสาวจึงเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาดื้อๆ อีกครั้ง

“งั้นฉันจะรอนะ”

เป็นไปตามที่แมรีแอนน์คาดคะเน เกล็นน่าจะมีส่วนรู้เห็นอะไรสักอย่างแล้วกำลังรอเธอ และอาจจะรอมานานมากแล้วด้วย… เพราะฉะนั้นแมรีแอนน์จึงตัดสินใจหันหลังกลับมุ่งสู่สถานที่ที่เธอจากมา ถึงมันจะน่าแปลกทว่าเด็กสาวสามารถจดจำเส้นทางที่ผ่านมาได้อย่างแม่นยำ ทั้งที่ก่อนหน้าแมรีแอนน์เดินอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

เท้าที่เหยียบย่ำก้อนดินอย่างมั่นคง เส้นผมสีเขียวอ่อนที่พลิ้วไหวตามสายลม ดวงตาที่แดงก่ำจากการร้องไห้ฉายแววความมุ่งมั่น ท่วงท่าการเดินหนักแน่นพร้อมรับมือสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ บัดนี้แมรีแอนน์ ไบลธ์ กลับมายืนต่อหน้ามิเดียเน่ที่แสดงสีหน้าประหลาดใจที่เห็นลูกสาวกลับมา โดยมีป้ายหลุมศพของผู้พ่อและสามีคั่นกลางระหว่างทั้งสอง

“คุณแม่คะ…” เธอเรียกมิเดียเน่ให้สนใจมาทางตน “รบกวนเล่าความจริงทั้งหมดด้วยเถอะค่ะ”

แล้วนั่นคือการตัดสินใจของแมรีแอนน์ ที่ได้รับกำลังใจจากเด็กผู้ชายที่อยากจะอยู่เคียงข้างเขาให้ได้นานมากที่สุด