“ท่านแน่ใจนะว่าไม่อยากให้กระหม่อมไปขอรายชื่อนักเรียนปีนี้” เกรกอรี่ถามอย่างทีเล่นทีจริงกับเทพมังกรเบเลธ

แม้เกอรกอรี่ มิสเทย์จะย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่นิสัยเจ้าสำอางจึงทำให้เขาดูไม่แก่และยังมีเสน่ห์เฉพาะตัว ถ้าไม่บอกก็หลงคิดว่าเป็นขุนนางไหนสักตระกูลมากกว่าเป็นมหาปราชญ์ผู้รับใช้เทพมังกร

โดยตอนนี้เกรกอรี้และเบเลธนั่งรับแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าที่สาดส่องจากด้านบนหลังคา สวนจำลองแห่งนี้ไม่ต่างไปจากเมื่อเก้าปีก่อน เพิ่มเติมคือมีสัตว์บางชนิดอย่างกระรอกเข้ามาอยู่อาศัยร่วมกับเจ้าของร่างยักษ์ที่น่าเกรงขาม ส่วนมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวจิบชาและทานขนมอย่างสบายใจ ช่างเป็นการพบปะที่ผ่อนคลายเหมือนเพื่อนมากกว่านายบ่าว

“หากนี่เป็นสิ่งที่เทพฮีมูอากำหนดก็ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเสียเถอะ ไม่ต้องเร่งรัด เพราะอย่างไรสักวันพวกเราจะได้พบกันอีกครั้งเป็นแน่” ต่อให้อยากจะเจอทายาทตระกูลลูมิเธอร์มากแค่ไหน ทว่าเบเลธไม่อยากฝืนโชคชะตา แล้วอดทนรอจนกว่าจะถึงวันนั้นที่ไม่รู้ว่าเมื่อไร “แล้วเด็กคนนั้นละเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“ฮะๆ เหมือนทุกทีนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ พูดกี่ทีก็เล่นเอาใจหายใจคว่ำตอนที่ถามเรื่องเวทธาตุมืด กระหม่อมว่าเขาคงรู้แล้วล่ะ” เกรกอรี่หัวเราะอย่างชอบใจเมื่อคิดถึงเด็กในบทสนทนา

“เป็นคนที่หัวไวจนน่าตกใจ แต่มันก็น่าแปลกที่เขากลับไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับเชเบอร์ทอสเลยสักครั้ง” เบเลธถอนหายใจกังวลเล็กน้อยที่บุคคลในบทสนทนาไม่เคยเผยข้อมูลของมังกรร้ายเลย ราวกับว่าความทรงจำถูกอะไรบางอย่างปิดผนึกเอาไว้ อีกทั้งยังไหวตัวเรื่องเกรกอรี่ใช้พลังอ่านความทรงจำ ไหนจะมีนิสัยไม่ชอบให้คนนอกครอบครัวสัมผัสหัวอีก เลยยากจะเข้าถึงมากขึ้นเท่าตัว ครั้นจะไปบุกรุกเวลานอนมันคงการกระทำที่น่าเกลียดเกินไป

“สำหรับเรื่องนั้น ถ้าเขายังนึกไม่ออกจริงๆ อย่างน้อยกระหม่อมก็ตั้งใจพูดให้ฉุกใจสักนิดก็ยังดี” เกรกอรี่ลูบคางบอก

จริงอยู่เรื่องทายาทลูมิเธอร์พวกเขาพยายามไม่ข้องแวะ แต่ความทรงจำของเกล็นคือสิ่งจำเป็นกว่าสำหรับต่อกรกับเชเบอร์ทอส

“ยิ่งสองถึงสามปีมานี้ การเคลื่อนไหวดูแปลกกว่าปกติ โจมตีน้อยลงเรื่อยๆ ไม่พอ เป้าหมายส่วนใหญ่เป็นพวกสัตว์วิเศษซะมากกว่า”

“เห็นว่าสมควรก็ทำได้เลย ข้ารู้สึกว่าเกล็นต้องรับมือเรื่องนี้ได้”

“เมื่อท่านอนุญาต กระหม่อมก็ขอตัวไปยินดีกับเกล็นหน่อยล่ะ” เกรกอรี่ลุกจากที่นั่งปัดเศษขนมบนหน้าตัก ขอตัวลาเพื่อไปเจอกับความหวังในการกำจัดเชเบอร์ทอสให้สิ้นซาก

 

“จอห์นนายคิดจะโกงพวกเราหรือไง?” เสียงหงุดหงิดของชายวัยกลางคนถามขึ้น หลังจากที่จอห์นเล่นไพ่ชนะหลายตาติด

“นี่ อย่าทำตัวแบบนั้นสิ ดวงคนเราก็มีขึ้นมีลงบ้าง” ชายผมสีเงินสวมแว่นทรงเหลี่ยมเอ็ดเจ้าของเสียงที่กล่าวหาว่าจอห์นโกง

“ถ้าแม่รู้เข้าพี่โดนดีแน่ คิกๆ” คราวนี้เป็นผู้หญิงร่างอวบทำเสียงคิกคักพูดจาเป็นเด็ก “ก็นะ ตอนไปขอพรที่เบเลเทียคงแวะขอโชคลาภด้วยล่ะมั้ง”

“ฮะๆๆๆ” น้องเล็กหัวเราะแห้งๆ ปรายตาไปทางเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีรูปร่างเล็กเมื่อเทียบกับคนวัยเดียวกัน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาจากการบำรุงสม่ำเสมอ ผิวพรรณขาวราวกับหิมะตามแบบฉบับคนทางเหนือ ผมสั้นระต้นคอสีฟ้า นัยน์ตาสีดำแสดงความรู้สึกไร้อารมณ์ร่วม

เพราะเกล็นเชื่อสุดใจเลยว่าคนอย่างจอห์นไม่มีทางโกง แต่แค่กำลังมีความเชื่อผิดๆ อย่างเช่นการให้เขาอยู่ใกล้ๆ แล้วจะดวงดี

“ตายจริง! นั่นใครเอย ลุงเกรกอรี่ไม่ใช่เหรอ” ป้าคนเดิมทักขึ้นทันที หลังสังเกตเห็นเกรกอรี่เดินเข้าห้องรับแขกที่พวกเขานั่งล้อมวงอยู่​ “สนใจมาเล่นกับพวกเราไหมคะ หรือจะคุยกับหลานก่อน?”

“งั้นฉันขอคุยกับเกล็นก่อนแล้วกัน” เขาปัดมือเชิงบอกให้พวกลูกๆ ของเพื่อนสนิทเล่นกันไปก่อน ส่วนตัวเองไปนั่งบนโซฟาข้างๆ เกล็นที่โตเป็นหนุ่มทำหน้าบอกบุญไม่รับ

“สวัสดี ยินดีด้วยนะที่สอบเข้าโรงเรียนได้”

“พอดีเจอคนสอนดีน่ะครับ เลยไม่ได้กดดันแบบเมื่อก่อน” เกล็นกระตุกยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์สลัดภาพเด็กน้อยแสนซื่อไม่เหลือคราบ “แต่ปู่จะไม่บอกผมจริงๆ เหรอว่า เวทธาตุมืดเขาทำอะไรได้บ้าง?

“ฮะๆๆ หลังเรียนจบเธอก็มาต่อที่สถาบันสิ เดี๋ยวฉันเขียนหนังสือรับรองล่วงหน้าให้เลย”

เป็นอีกครั้งที่เกล็นถามซ้ำซาก และเกรกอรี่ก็ตอบประโยคเดิมๆ หนำซ้ำยังขายตรงอีกต่างหาก เพราะลึกๆ ในใจของชายสูงวัยเสียดายฝีมือคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะหลังพลังเวทของเกล็นตื่น เด็กหนุ่มก็เรียนรู้แบบก้าวกระโดดซะจนฮาร์เวิร์ดเขียนจดหมายมาหา แต่น่าเสียดายที่เกล็นเลือกเส้นทางเดียวกับพ่อ

“ไม่ล่ะ” เด็กหนุ่มปฏิเสธไร้ความลังเล “อ้อ ถ้าจะให้ของขวัญ ผมขอเป็นเงินนะ”

“เธอนี่จริงๆ เลย ปกติมีแต่ขอเป็นสิ่งของเลย”

“ก็อยากได้แหละ แต่เอาเงินไปซื้อเองให้ถูกใจเลยดีกว่า” เกล็นอธิบายเหตุผลว่าทำไมต้องการเงินมากกว่าสิ่งของ

“แล้วได้มาเท่าไรแล้วล่ะเนี่ย”

“ก็ประมาณหนึ่ง”

“เอาไว้ฉันเล่นได้ค่อยว่ากัน” เกรกอรี่ยิ้มกลับ เปลี่ยนที่นั่งจากโซฟาตัวยาวไปเป็นเก้าอี้ไม้ธรรมดาที่เอามาเสริมรับคนเพิ่ม

แล้วเสียงผู้ใหญ่ดังครึกครื้นความลุ้นระทึกกับโชค ส่วนเด็กเพียงหนึ่งเดียวในห้องก็นอนนั่งอ่านหนังสือนิยายเพราะไม่รู้จะทำอะไร อยากจะร่วมวงอายุก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะขืนไปเล่นด้วยแล้วมีคนเจอเอาเรื่องนี้ไปฟ้องลินดาขึ้นมา มีหวังได้เห็นย่าโกรธหัวลุกเป็นไฟและเฉ่งลูกๆ เรียงตัวเป็นแน่

แต่การที่พวกผู้ใหญ่มัวฝึกทักษะคณิตคิดไวกับเกล็นที่จดจ่อฉากตื่นเต้นในนิยาย ก็เลยทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงเคาะประตู กว่าเด็กหนุ่มที่ใกล้ประตูสุดจะรู้สึกตัวเสียงเคาะได้หยุดลงแล้วถือวิสาสะเข้าห้อง

“ขออภัยครับ” เพราะเป็นเสียงจากคนรับใช้ที่นอกจากเจ้าของบ้านไม่คุ้นเคย ทุกคนในวงไพ่จึงหันไปมองเป็นตาเดียวกันและเงียบเพื่อรอฟังประโยคต่อไป

“คุณเฟรย่าแจ้งว่าช่างถ่ายภาพมาแล้วครับ”

ได้ยินดังนั้นเกล็นกับจอห์นจึงขอตัวแยกไปถ่ายรูปครอบครัวที่ห้องนั่งเล่นใกล้ๆ ระหว่างเดินไปผู้เป็นพ่อแสดงท่าทีวิตกกังวล

“ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้นเลยนี่พ่อ แค่ถ่ายรูปเอง”

“ตะ แต่เขาว่ามันจะดูดวิญญาณเราไปนะ”

“โธ่พ่อ เอาความเชื่อนี้มาจากเขาไหนล่ะเนี่ย ไม่มีหรอก มันใช้หลักการบลาๆ” เกล็นอธิบายมั่วซั่วไม่ค่อยเข้าใจหลักการทำงานของกล้องของโลกนี้สักเท่าไร ถึงเพื่อนสนิทคอยพร่ำเพ้อถึงความสุดยอดข้างหูแทบทุกวัน “เอาเป็นว่าแม่อยากให้ถ่ายก็ถ่ายเถอะ เห็นอยู่ว่าชอบบ่นว่าทำไมไม่ออกมาก่อนพี่เลียมเข้าเรียน ยังดีที่มีรูปวันจบ”

เมื่อสองพ่อลูกไปถึงสถานที่นัดหมาย นอกจากเฟรย่า ช่างภาพ และคนรับใช้ที่กำลังง่วนกับการจัดฉากสำหรับถ่ายรูป ที่นั่นพวกเขายังพบกับเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาอย่างนมนามด้วย จอห์นจึงเดินเข้าไปทักทายสามีภรรยาคาเลนเซีย

หากเทียบกับสิบปีก่อน ลูกสาวบ้านนี้ตอนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กและค่อนข้างขี้อาย พูดน้อย พอตัดมาปัจจุบันดูเป็นคนละคน เพราะได้ขยับร่างกายบ่อยจากการวิ่งเล่นกับทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ

ชาร์ล็อตวัยสิบหกปีจึงมีรูปร่างเพรียวสูงที่อีกนิดก็เกือบเท่าเกล็น ผิวที่ขาวผ่องสมเป็นคนเมืองเหนือตัดกับเรือนผมสีแดงตัดสั้นระคอดูหนาฟูมีน้ำหนักทำให้มีลุกมาดนักกีฬา แม้ว่าใบหน้าและดวงตาสีทองจะดูเป็นสาวหวาน ชุดที่เธอสวมใส่เป็นเสื้อสูทครึ่งตัวสีแดงเข้มปกขาวปักขอบด้วยริบบิ้นสีทอง บริเวณคอเสื้อผูกโบสีน้ำเงินเข้มสีเดียวกับกระโปรงจีบรอบยาวขลิบทองลายเรียบๆ ซับในเป็นระบายสีขาวโผล่พ้นชายกระโปรงดูน่ารักสไตล์คุณหนูนิดๆ แดดยามบ่ายกระทบกับต่างหูสีเงินแท่งยาวส่องแสงวิบวับ

ไม่ทันที่เกล็นจะได้ทักทายแขก เฟรย่าก็ส่งเครื่องแบบนักเรียนให้ “นี่จ้ะ เร็วหน่อยก็ดีนะ จะได้ไม่เสียเวลา”

ลูกชายคนรองรับอย่างว่าง่ายก่อนไปเปลี่ยนชุดที่ห้องข้างๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายชุดนักเรียนหญิง ต่างแค่ของผู้ชายเป็นสูทปกติ ผูกเนกไทแทนโบ และกางเกงสีน้ำเงินเข้ม แต่พอกลับเข้าห้องอีกครั้งเขากลับถูกนกแก้วสองตัวสีแดงและสีเขียวรุม ตามมาด้วยเสียงตำหนิจากคุณนายคาเลนเซีย

“ชาร์ล็อต! วิลลี่! นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ ถ้าคุมไม่ได้ก็เอามันไว้ในกรง!

ถึงตัวลูกคนโตจะไม่คิดมากกับคำพูดของแม่ แต่เด็กชายอายุแปดขวบกลับทำหน้าเศร้าไม่อยากพาสัตว์เลี้ยงเข้ากรง

“พี่เข้าใจนะ แต่คุณแม่พูดถูกที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา” ชาร์ล็อตลูบผมสีน้ำตาลเข้มอย่างอ่อนโยนและยิ้มปลอบ “พาไอเดนกับไอเคียวเข้ากรงก่อนนะ แล้วไว้ถึงบ้านคุณอาเราค่อยมาเล่นกัน”

ทั้งที่บรรยากาศพี่น้องมาดีๆ แต่เสียงห้วนปนหงุดหงิดของเกล็นกลับแทรกไม่ดูตาม้าตาเรือ “ไอ้แดงกับไอ้เขียวต่างหาก ออกเสียงให้มันถูกหน่อย”

“อะไรของเธอเนี่ย” ชาร์ล็อตสวนทันควันมองค้อนไปทางเพื่อน “ที่สำคัญคนที่ผิดคือเธอมากกว่านะ”

“เดี๋ยวๆ ฉันเป็นคนคิดชื่อให้ ต้องยึดการออกเสียงตามคนตั้งสิ”

“ไม่นะ พี่เกล็นต่างหากที่ผิด” เด็กน้อยช่วยพี่สาวเถียงสู้กับคนต้นคิด

เพราะอีกฝ่ายเป็นวิลลี่ เกล็นเลือกไม่สู้กลับและปล่อยวางให้สองพี่น้องคาเลนเซียออกเสียงผิดต่อไป สร้างความไม่พอใจให้กับคนพี่ แต่ไม่ทันจะอ้าปากบ่น เฟรย่าเรียกลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มให้มาถ่ายรูปครอบครัว หลังทีมงานเซตฉากเรียบๆ เสร็จ ที่ประกอบด้วย เก้าอี้หนึ่งตัว โต๊ะประดับแจกันดอกไม้หนึ่งชุด ใช้ผนังห้องดั้งเดิมซึ่งเป็นลายหลุยส์แบบที่พบได้ตามวอลล์เปเปอร์บ้านคนรวยสีครีมขาวสบายตา

การถ่ายรูปด้วยกล้องเก่ายุคโบราณจำเป็นต้องใช้เวลา เกล็นจึงเข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมคนสมัยนั้นเขาถึงไม่ค่อยยิ้ม เมื่อครอบครัวฮิลเนสันถ่ายเรียบร้อย ถึงตาครอบครัวเพื่อนบ้าน ที่กว่าจะถ่ายรูปเสร็จแต่ละครั้ง เล่นเอาอ้าปากหาวรู้สึกเบื่อหน่ายจนอยากกลับห้อง แล้วโดดขึ้นเตียงนอน เว้นเสียแต่อนาคตจะมีกล้องรุ่นที่ชาร์ล็อตสาธยายข้างหูไม่หยุดจะราคาถูกลง ถึงหน้าตามันยังดูโบราณคร่ำครึในความคิดเกล็น แต่ยังดีกว่ายืนแช่นานหลายนาที

“จริงๆ เธอขอพ่อซื้อได้เลยไม่ใช่หรือไง?”

เกล็นถามกับชาร์ล็อตด้วยความอยากใส่ใจเล็กน้อย เพราะต่อให้แพงแค่ไหน ระดับความรักที่มีต่อลูกสาวของคุณคาเลนเซียกับเงินในกระเป๋าน่าจะซื้อกล้องรุ่นที่ว่ามาถมที่ได้สบาย

“ก็เมื่อวานคุณพ่อเพิ่งซื้อมูเอลก์มาน่ะสิ” เด็กสาวป้องปากกระซิบ

เกล็นพยักหน้าเข้าใจทันที เพราะเจ้ามูเอลก์ที่ว่ามันคือสัตว์วิเศษหน้าตาคล้ายกวางมูสที่เคยเห็นตอนเด็ก แม้ตัวใหญ่กลับมีความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เป็นที่นิยมใช้เทียมรถในหมู่พ่อค้าแม่ขายหรือขุนนางที่ต้องเดินทางระยะไกลๆ และแข่งกับเวลา ด้วยความสามารถนี้เลยแลกกับต้นทุนในการเลี้ยงดูสูงมากกว่าจะได้มูเอลก์คุณภาพดีสักตัว

ส่วนสาเหตุที่ซื้อ เกล็นแทบฟันธงได้เลยว่าคุณคาเลนเซียอยากให้ชาร์ล็อตกลับบ้านช่วงปิดเทอมไวๆ เลยควักเงินไถ่ตัวมันมา เนื่องจากระยะทางจากบ้านเขามาถึงเมืองหลวง ถ้าใช้ม้าธรรมดาก็เสียเวลาถึงห้าวัน กลับกันมูเอลก์ช่วยลดเหลือหนึ่งวันแบบไม่ต้องแวะค้างแรม

“อ้าว ถ่ายเสร็จกันพอดีเลยนี่” เจ้าของบ้านซึ่งมาพร้อมกับเกรกอรี่ทักขึ้น จอห์นที่เห็นพี่ชายเข้าห้องก็ถอนหายใจเสียดายที่ไม่ได้เล่นไพ่ต่อ

“อ้าว กลับกันแล้วเหรอ?

“ใช่ มีคนต้องกลับไปเลี้ยงหลานน่ะ” ลุงของเกล็นตอบก่อนจะหันไปสนใจแขกหน้าใหม่ “ทางด้านนี้คงเป็นครอบครัวคาเลนเซียสินะครับ คุณพ่อเล่าเรื่องพวกคุณให้ฟังตลอดเลย”

ระหว่างที่ลุงแนะนำตัวและมีการฝากฝังดูแลเด็กๆ เกรกอรี่ก็ไปสนใจนกแก้วสองตัวที่กำลังแทะของกินเล่นบนโต๊ะ โดยมีวิลลี่คอยทำความสะอาด

“โอ้ นี่มันแรคตัส เธอเลี้ยงทั้งสองตัวเลยเหรอ? เก่งจังเลย”

“ไม่ครับ ตัวนั้นของพี่” เด็กชายส่ายหน้าและชี้ไปทางตัวสีแดง เกรกอรี่จับปลายหนวดครุ่นคิด แล้วหันไปถามไถ่รายละเอียดกับชาร์ล็อต

“เธอจะเอาไปเลี้ยงที่โรงเรียนเหรอ?”

“ค่ะ ทางโรงเรียนอนุญาตหนูเลยพาไปด้วย”

“งั้นให้มันติดต่อมาหาฉันได้ไหม?

“ด้วยความยินดีค่ะ”

ทันทีที่เจ้าของอนุญาต เกรกอรี่ดึงผมเส้นหนึ่งให้เจ้านกกิน ซึ่งนกแก้วสายพันธุ์แรคตัสเป็นสัตว์ปีกที่มีความสามารถหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น บินไปหาเจ้าของเส้นผมหรือส่วนหนึ่งของร่างกายที่กินเข้าไปได้แม่นยำ การส่งสาสน์ก็จดจำคำพูดที่ต้องการให้อีกฝ่ายฟังแทนอ่านจดหมาย รวมทั้งส่งของที่มีน้ำหนักมากว่าตัวเองถึงสองเท่า

ด้วยความสามารถนี้เอง มันจึงเป็นภาพที่ไม่น่าอภิรมย์นักในสายตาเกล็น ทุกรอบที่เห็นก็ชวนนึกถึงหนังสยองแนวสิ่งมีชีวิตกินคน

“น่าเสียดาย ถ้ารู้ว่าคุณหนูชาร์ล็อตมาคงซื้อของขวัญมาให้ด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ทางเราก็ซาบซึ้งแล้ว” พ่อของชาร์ล็อตที่ได้ยินก็รีบโบกมือพัลวันเกรงใจมหาปราชญ์จะซื้อให้ ทั้งที่ไม่ได้สนิทสนมเท่าบ้านฮิลเนสัน

“ฮะๆๆ ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้” ชายสูงวัยมาดเนี้ยบหัวเราะพลางหยิบนาฬิกาพกขึ้นดูเวลา “สงสัยฉันต้องไปก่อนล่ะ”

ไม่ใช่แค่เกรกอรี่ สมาชิกคาเลนเซียเองก็เช่นกัน พวกเขากล่าวลาและขอบคุณสำหรับวันนี้กับเฟรย่าที่ชวนมาถ่ายรูปด้วยกัน แต่ก่อนแยกย้ายกลับที่พักอาศัย มหาปราชญ์กวักมือเรียกเกล็นขอคุยเป็นการส่วนตัว เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเกรกอรี่ทำสีหน้าจริงจังและน้ำเสียงหนักแน่นไร้ความขี้เล่น

“ถ้ามีอะไรใช้นกคุณหนูชาร์ล็อตติดต่อมาหาได้ทุกเมื่อเลยนะ” ว่าจบเกรกอรี่ยัดถุงผ้าสีดำใส่มือเกล็น แล้วค่อยยิ้มเป็นมิตรก่อนจาก ปล่อยให้เกล็นงงงวยต่อพฤติกรรมแปลกประหลาด สุดท้ายเด็กหนุ่มขี้เกียจคิดเยอะหันมาสนใจของในถุงแทน

“เอาเหอะ มีเพื่อไว้ก็ไม่เสียหายอะไร… โอ้ว มีแบงค์ใหญ่ใบหนึ่ง!

 

หลังจากปราบเชเบอร์ทอสสำเร็จ โรงเรียนเอลเซียส์ก็เกือบถูกปิดเพราะความสงบ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นที่ต้องฝึกฝนนักเรียนเพื่อออกไปต่อสู้อีกแล้ว แต่ต่อมาได้มีการประชุมในสภาขุนนางให้มีการเปิดทำการต่อ เพราะถ้าปิดไปก็เสียดายพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา รวมทั้งสถาปัตยกรรมต่างๆ จึงมีการบริจาคเงินทำนุบำรุงโรงเรียนกลับมางดงามเพื่อให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีหน้ามีตาของประเทศ

ส่วนเด็กที่เรียนจบมาได้รับโอกาสในหน้าที่การงานที่ดี ไม่นานโรงเรียนนี้จึงเต็มไปด้วยเหล่าลูกหลานคนชั้นสูง

ทว่าช่วงปีหลังๆ มานี้ ถ้าประชาชนทั่วไปวางแผนการเงินดีหรือทำงานอย่างหนักราวกับแลกวิญญาณจนมีรายได้สูงๆ ก็มีกำลังพอส่งบุตรหลานเข้าเรียนเพื่อหน้าที่การงานมั่นคงในอนาคต ไม่ต้องนั่งแข่งขันทำคะแนนสูงเสียดฟ้าชิงทุนการศึกษาที่มีเพียงไม่กี่ตำแหน่ง

ดังนั้นเงื่อนไขการเข้าเรียนจึงมีสามอย่าง หนึ่งมีเวทมนตร์ สองมีเงิน และสามสอบผ่าน

โดยสถานที่ตั้งโรงเรียนแห่งนี้อยู่ในเมืองชื่อเดียวกัน อาคารบ้านเรือนและร้านค้าเรียงรายเป็นสัดส่วนไม่แออัด ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ย่านการค้าต่างชาติที่อนุรักษ์ของดั้งเดิมไว้ ถือเป็นการผสมผสานระหว่างยุคได้แปลกตาในความคิดเด็กหนุ่มต่างโลก

พอยิ่งเข้าใกล้เขตโรงเรียนที่มีฉากหลังเป็นป่าหนาทึบและทิวเขาสีเขียวชอุ่ม เกล็นก็เห็นจำนวนผู้ปกครองมากมายที่ร่ำลาลูกหลานอยู่หน้าทางเข้าโรงเรียน เนื่องจากรถม้าต้องไปอีกด้านหนึ่งของโรงเรียนเพื่อขนสัมภาระลง

กว่าพวกเกล็นจะแยกตัวกับพ่อแม่ก็ใช้เวลาเอาเรื่อง เพราะคุณพ่อท่านหนึ่งเอาแต่พร่ำถึงความเหงาในวันที่บ้านปราศจากเสียงลูกสาว จนคุณนายคาเลนเซียต้องลากตัวขึ้นรถ ปล่อยให้เด็กหนุ่มสาวเข้าประชุมปฐมนิเทศ ณ ตึกที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนสีขาวหน้าตาคล้ายโบสถ์เด่นสุดในโรงเรียน

ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงครื้นเครงของเหล่ารุ่นพี่ที่ไม่ได้เจอเพื่อนนาน ฝั่งน้องใหม่เปิดหูเปิดตาได้เจอคนมากหน้าหลายตา เกล็นที่เคยผ่านวัยเรียนก็ยังตื่นเต้นไม่แพ้กันที่จะใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนรอบที่สอง หนำซ้ำยังอยู่กินแบบเด็กหอที่เหมือนกับพวกหนังหรือนิยายแฟนตาซี

รู้สึกตื่นเต้นเป็นบ้า!”

ขณะรอบข้างกำลังดูสนุกสนาน เสียงแว้ดแหลมๆ หาเรื่องก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทการได้ยิน เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบกับเด็กคนหนึ่งยืนก้มหน้ารับคำดูหมิ่นจากเด็กผู้หญิงท่าทางหยิ่งยโส ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายเดินชน ขณะที่อีกสองคนทำได้ยืนดูเพื่อนหัวเสียกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ชาร์ล็อตที่เห็นเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นเดินปรี่ไปหากลุ่มเด็กสาวสี่คนหวังช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา

“ไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมต้องรับพวกสามัญชนเข้ามาเรียนด้วยก็ไม่รู้” สาวลูกผู้ดีพูดจาเหยียดหยามทิ้งท้าย ก่อนกระแทกส้นเท้าไม่สบอารมณ์จากไปพร้อมเพื่อนอีกสองคน ยังดีที่คนหนึ่งผงกศีรษะเชิงขอโทษ ลดอาการหัวร้อนชาร์ล็อตไปได้บ้าง

“ให้ตาย! หงุดหงิดอะไรของเขาเนี่ย” ชาร์ล็อตพึมพำไม่เข้าใจอีกฝ่าย แล้วแตะไหล่สาวน้อยผู้โชคร้ายที่เจอประสบการณ์ไม่น่ารื่นรมย์ตั้งแต่วันแรก “เป็นอะไรหรือเปล่า?”

ชาร์ล็อตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยกับเด็กสาวที่มีผิวพรรณขาวอมชมพูดูมีสุขภาพ ผมสีเขียวอ่อนตัดเป็นทรงแปลกตาที่ผมชั้นนอกตัดเป็นบ๊อบประบ่า ชั้นในปล่อยยาวสลวยถึงเอว ถักเปียเส้นหนาคาดศีรษะผูกด้วยโบสีแดงหลังใบหูซ้ายดูโดดเด่น ดวงตากลมสีชมพูหลุบลงมองพื้นไม่กล้าสบตา ริมฝีปากเล็กเม้มแน่นข่มอารมณ์

“มะ ไม่ค่ะแค่ชนกันเบาๆ เท่านั้นเองค่ะ” น้ำเสียงละมุนสั่นเครือตอบกลับ

“เอ๊ะ?” เกล็นชะงักเล็กน้อยแล้วจ้องคนตรงหน้าเพื่อนสนิท “เหมือนเคย…เจอที่ไหนมาก่อน?

“ก็เพราะชนเบาๆ น่ะสิ ไม่เห็นต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นเลย คนอะไรมารยาทแย่ชะมัด!” ชาร์ล็อตบ่นอุบไม่เลิกจนเธอต้องเงยหน้าฝืนยิ้มให้ผู้หวังดีใจเย็นลง

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”

แค่เสี้ยววินาทีที่ดวงตาสองคู่ประสานกัน สีหน้าอมทุกข์ถูกแทนที่ด้วยความสดใสมีชีวิตชีวาทันตา รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นคือของจริง น้ำเสียงหวานละมุนกล่าวขอบคุณผู้ใจดี ผิดกับเด็กหนุ่มที่รู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าลงมาดังเปรี้ยงใส่ร่าง ใบหน้าซีดเป็นไก่ต้มพยายามประมวลผลในสมองอย่างหนักจนทรงตัวไม่อยู่ นิ้วที่ชี้ยังเด็กสาวสั่นเป็นเจ้าของ ทำปากพะงาบๆ พ่นภาษาประหลาดออกมาให้คนฟังทำหน้างุนงง

“(กะ โกหก... ไม่จริงน่า...)”

ความทรงจำถูกขุดไม่หยุดเหมือนคราวที่ระลึกชาติได้ แต่หนนี้ตีกรอบให้แคบลงอยู่ในเทศกาลลดราคาช่วงหยุดยาวสากลที่วันหนึ่งเพื่อนของนริศส่งเกมมาเป็นของขวัญให้ผิดคน ทว่าภาพสาวน้อยน่ารักบนปกดันเชิญชวนให้นริศกดอ่านรายละเอียดเกม พอเข้าไปอ่านก็พบว่าเป็นเนื้อหาง่ายๆ อีกทั้งระบบการต่อสู้น่าสนใจ นริศเลยขอซื้อต่อไม่ต้องมานั่งวุ่นวายทำเรื่องขอเงินคืน ถึงมันเป็นประเภทเกมจีบหนุ่มก็ตาม

“มะ แมรี…แอนน์???”

นั่นคือชื่อจริงๆ ของนางเอกเกมนั้น เธอผู้เป็นหนึ่งในบรรดาไวฟุ[1] สองมิติเมื่อชาติก่อน…

หลังปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่ระลึกชาติยันปัจจุบันลงล็อก นอกจากแมรีแอนน์คนนั้น ทั้งเกล็น ฮิลเนสันและชาร์ล็อต คาเลนเซีย ล้วนเป็นตัวละครในเกม ‘Time of Love’ หนึ่งในเป้าหมายจีบกับเพื่อนสาวผู้ผันตัวเป็นศัตรูหัวใจ ยามที่นางเอกหลงรักเพื่อนสมัยเด็กของเธอ

“อา... แย่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เปลี่ยนไปใช้ Lost ที่แปลว่าฉิบหายตรงๆ ได้สินะ”

และแล้วบทนำของเกมก็ได้เริ่มต้นขึ้น ในขณะที่หนึ่งในตัวละครสำคัญหงายท้องหมดสติไปท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่งต้อนรับนักเรียนใหม่



[1] ไวฟุ (ワイフWaifu) คำแสลงเฉพาะกลุ่มของผู้ที่ชื่นชอบในเกม อนิเมะและมังงะ มีต้นกำเนิดมาจากคำว่า Wife ที่แปลว่าภรรยาในภาษาอังกฤษ แต่วิธีออกเสียงของคนญี่ปุ่นจึงกลายเป็นไวฟุแทน มักใช้กับตัวละครหญิงที่รักมากประหนึ่งคนรัก ถ้าเป็นตัวละครชายเรียกว่า ฮัสแบนโดะ (ハズバンドHusbando) ที่มาจาก Husband บางครั้งอาจมีการใช้สลับตามรสนิยมของผู้เสพสื่อเช่น ตัวละครชายคนนี้น่ารักจังขึ้นตำแหน่งไวฟุไปเลย