38 ตอน บทที่ 37: ดีใจที่ได้รู้จัก
โดย RiFourver
“แมรีแอนน์ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม”
เสียงร้อนรนถามขึ้นพร้อมยื่นมือไปหา หลังจากเกล็นกับแมรีแอนน์ตกมาจากที่สูง โชคดีที่เด็กสาวใช้เวทลมพยุงร่างลดแรงกระแทกพื้นเบาลง
“ก็แค่เจ็บนิดหน่อยค่ะ...” แมรีแอนน์ตอบเสียงสั่นเครือจับมือเพื่อนร่วมชั้นดึงตัวเองลุกขึ้น ดวงตาสีชมพูกวาดมองรอบตัวพบว่าตอนนี้พวกเธอน่าจะชั้นล่างแยกกับเพื่อนที่เหลือ ยิ่งมีเสียงดังโครมครามจากด้านบน เด็กสาวก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวกว่าเดิม
“รีบไปหาคนอื่นเถอะ” เกล็นจูงมือนำแมรีแอนน์ไปยังช่องที่น่าจะเป็นทางออก
“คะ ค่ะ!” เธอขานรับเร่งฝีเท้าตามไป
ทว่าพื้นที่ทั้งสองเหยียบย่ำเกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงจนต้องกระโดดหาที่ปลอดภัย พอเหลียวหลังดูสาเหตุเด็กหนุ่มสาวเบิกตากว้างกับ ‘โกเลม’ ร่างยักษ์ เพราะไม่อาจระบุได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน มันจึงถูกจัดให้เป็นสัตว์มายา ที่มีสติปัญญาและมีพลังเวทเป็นของตัวเอง
“แต่อย่างน้อยๆ เจ้านี่มันก็ไม่ได้ฉลาดนะ”
นั่นคือความรู้แค่หางอึ่งที่เกล็นจำมาจากชาร์ล็อตเมื่อวัยเด็กเป็นประโยคบอกเล่าให้แมรีแอนน์ได้ฟัง
“ย้าก!”
คลาริสส่งเสียงลั่นพร้อมใช้คมดาบฟันเข้าท่อนแขนของกอริลลาสีดำทะมึน ทว่ามันแค่สะบัดเบาๆ ร่างเด็กหนุ่มก็ลอยกลางอากาศกระแทกเข้ากับผนังถ้ำ แต่โชคดีที่เขาไม่ได้สู้ตามลำพัง อิกนิสใช้จังหวะเหวี่ยงดาบฟันขาหลังตอนที่ความสนใจมันถูกเบี่ยงเบน ทว่าบาดแผลก็ตื้นเกินไป
“กรร!” เพราะถูกโจมตีจากทางด้านหลังร่างยักษ์เปลี่ยนเป้าหมายไปยังแฝดคนพี่ที่กลิ้งหลบมือที่ฟาดกลางอากาศได้ทันท่วงที
“นี่มันไม่ใช่กอริลลาธรรมดาแล้ว” ชาร์ล็อตหวีดร้องไม่อยากเชื่อภาพตรงหน้า นอกจากพละกำลังที่มีมากกว่าที่ตำราเขียวไว้ ทุกครั้งที่ได้แผลจะมีของเหลวสีดำหนืดพุ่งออกมาแทนโลหิต ดูยังไงมันไม่ใช่สัตว์ธรรมดาที่เธอรู้จัก
“ถ้างั้นมันคือตัวอะไรกันล่ะ!?” ชาร์ล็อตถามกับตัวเอง “ดูยังไงก็ไม่ใช่ประเภทสัตว์มายา”
ที่สำคัญไม่ว่าการโจมตีแบบไหนก็ไม่อาจจะทำร้ายมันเป็นแผลฉกรรจ์ได้เลย ส่วนเวทมนตร์อย่าได้พูดถึง เพราะคนที่มีความสามารถโดดเด่นด้านนี้ดันตกไปพร้อมกัน เท่ากับว่าต่อให้ใช้เวทอะไรก็ไม่มีทางระคายเคืองผิวกอริลลาปีศาจตัวนั้นได้
อสูรทมิฬที่กำลังสู้อยู่กับสองพี่น้องก็คว้าก้อนหินใส่ซึ่งเป็นทิศเดียวกับที่ชาร์ล็อตยืนอยู่ เพราะเธอมันแต่คิดถึงเรื่องอื่นจึงไม่ทันสังเกตถึงอันตรายตรงหน้า แต่ชาร์ล็อตก็ได้ฟิเลน่าที่วิ่งพุ่งเข้ามาผลักออกจากที่เดิม แล้วทั้งสองก็ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า กระนั้นคุณหนูก็ได้รับบาดเจ็บจากเศษหินแตกกระจายโดนขมับเลือดไหลเป็นทาง
“ทำบ้าอะไรของเธอ!” เสียงสูงแว้ดขึ้นไม่ดูสภาพปัจจุบันตัวเอง “สนใจเรื่องตรงหน้าก่อนสิ พวกเราต้องพึ่งเธอว่าจะจัดการมันยังไงนะ!”
“ก่อนจะถามคนอื่นหัดดูตัวเองก่อนเถอะ!” ชาร์ล็อตตวาดสวนคืนพร้อมดึงฟิเลน่าให้ยืนขึ้นพากันหนีไปจุดที่ปลอดภัย
“นี่ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกันนะเว้ย!” คลาริสโหวกเหวกทันทีที่สองสาวมีปากเสียงใส่กัน
“ไม่บอกก็รู้แล้วน่า เอาละ จากนี้เราต้องทำยังไงต่อ” ฟิเลน่าใช้เวทมนตร์รักษาบาดแผลหายเป็นปลิดหันไปถามความเห็นจากชาร์ล็อต
ชาร์ล็อตแสดงสีหน้าตึงเครียดพยายามเค้นวิธีกำราบกอริลลาร่างใหญ่ที่ตอนนี้มันใช้กำปั้นชกอิกนิสที่ใช้ดาบปกป้องได้ทันท่วงที แต่ก็ทำให้อาวุธเกิดความเสียหายบิดงอไปตามแรงหมัดจนใช้งานไม่ได้ คลาริสจำเป็นต้องรับไม้ต่อเป็นตัวล่อซึ่งนั่นจะเป็นภาระที่เขาแบกรับคนเดียว
ชาร์ล็อตกัดริมฝีปากล่างกวาดตามองรอบๆ หาตัวช่วยอย่างเร่งด้วย กระทั่งเห็นหลุมที่พังทลายก่อนหน้านั้น เธอรีบไปตรวจสอบก่อนจะหันไปหาจูเลียสที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“จูเลียสช่วยสร้างหนามที่ชั้นล่างที!” เด็กสาวตะโกนขอความช่วยเหลือและชี้ไปยังชั้นล่างที่เห็นพื้น โดยแผนของชาร์ล็อตคือการให้อสูรทมิฬตัวนั้นตกลงไปถูกหนามหินที่สร้างขึ้นมาแทง ซึ่งสำหรับเธอเป็นอะไรที่น่าปวดใจอย่างยิ่งที่ต้องปลิดชีพมัน แต่ถ้าไม่ทำพวกเธอนั่นแหละที่จะถูกสังหารแทน มันตรึงมือเกินกว่าที่จะเอาตัวรอดแบบต่างคนต่างไปเหมือนคราวเคฟสเนค อีกทั้งไม่รู้ว่าเกล็นกับแมรีแอนน์อยู่ไหน หากไม่จัดการกอริลลาตัวนี้ก็ไม่สามารถตามหาสองคนนั้นได้
จูเลียสที่ได้ยินก็พยักหน้าร่วมมือกันสร้างสิ่งที่ชาร์ล็อตต้องการ แต่การมีหลุมให้เห็นตำตาขนาดนี้ทั้งคู่ก็ต้องสร้างพื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จนสีหน้าคนไม่ค่อยใช้เวทมนตร์อย่างชาร์ล็อตต้องหน้าถอดสีที่ฝืนตัวเองมากไป ฟิเลน่าที่ยังมีแรงและอยู่วงนอกหลับตาคิดวิธีต่อจากชาร์ล็อต ทว่าเธอเป็นแค่คุณหนูธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องพวกนี้จึงได้แค่แนะนำแผนง่ายๆ
“ฉันส่งสัญญาณเมื่อไรรีบวิ่งมาทางนี้!” หล่อนตบอกทุกคนให้วิ่งมาจุดที่ตัวเองยืนอยู่ซึ่งเป็นอีกด้านของหลุมลวงตา แล้วชี้นิ้วสั่งให้แต่ละคนทำตามคำพูด “ท่านจูเลียสรีบพาชาร์ล็อตไปตรงอื่นก่อน! คุณอิกนิส คุณคลาริสห้ามเหยียบพื้นนั่นเด็ดขาด”
“โอ๊ะ! อ๊ะ!” โชคช่วยที่ฟิเลน่าร้องเรียกสติให้คลาริสสนใจตรงพื้น เพราะทันทีที่เหยียบมันแตกราวกับแผ่นน้ำแข็งที่แม่น้ำในฤดูหนาว แล้วนั่นก็ทำให้แฝดคนน้องร้องอ้อหันไปทางอิกนิสที่พยักหน้ารับรู้สิ่งที่เห็น “ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก!”
คลาริสถีบตัวกระโดดขึ้นฟันลำคอรู้ทั้งรู้ว่าไม่ได้ผลเพื่อล่อหลอกให้กอริลลาหันเหความสนใจทางเขาเปิดทางให้อิกนิสวิ่งไปอีกทางใช้เวทไฟเผาไหม้แผงขนหนา มือยักษ์ปัดเพียงวูบเดียวเปลวเพลิงก็ถูกดับ นัยน์ตาสีแดงสดจ้องเขม็งพุ่งตัวไปยังแฝดผู้พี่ นั่นจึงเข้าแผนการของฟิเลน่า เธอร้องบอกให้ทุกคนก้มหน้าหลับตาในช่วงที่ใช้เวทแสงให้เกิดสว่างจ้า ปีศาจร้ายที่ไม่รู้ตัวหวีดร้องทรมานจากอาการแสบดวงตา กว่าจะรู้สึกตัวอีกที มันตกสู่เบื้องล่างกระแทกของเข้าหนามทื่อแต่อันตรายพอทะลุร่าง กระนั้นทุกอย่างยังไม่ไว้วางใจสองพี่น้องยังตั้งท่ารับมือกอริลลาปีศาจเกรงว่าแผนธรรมดานี้จะใช้ไม่ได้ เพราะขนาดแค่รุมกันฟาดฟันหรือเวทมนตร์ขนาดไหนก็แทบไม่สร้างรอยขีดข่วน แล้วหวังใช้ประโยชน์ของแรงโน้มถ่วงโลกช่วย
ไร้เสียงใดๆ อิกนิสส่งสายตาให้คลาริสก่อนเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเพื่อดูสถานการณ์ ใบหน้าสองพี่น้องซีดและหัวใจเต้นแรงจินตนาการถึงภาพไม่น่าดู ยิ่งเข้าใกล้หลุมเขาสูดลมหายใจแรงเต็มปอดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกทำตาหรี่แคบลงไม่อยากเห็นเต็มตา ทว่าสิ่งที่อิกนิสเจอกลับทำให้ดาบในมือร่วงเรียกความสนใจของคลาริสที่ค่อยๆ สมทบดูสภาพอสูรทมิฬ
“มันหายไปแล้ว…” เขาพูดทันทีที่ก้มมองดูด้านล่าง มันไม่มีซากศพของสัตว์ร้าย… ไม่สิ ต้องบอกว่า ร่างของมันกำลังสลายกลายเป็นเถ้าธุลีฟุ้งกระจายหายไปตามลมที่พัดผ่านภายในถ้ำแห่งนี้ ชาร์ล็อตรู้ว่าไม่มีอะไรก็รีบวิ่งมาดูอีกคนไม่เชื่อหูตัวเอง
“ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน” เธอบอกกับทุกคนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เพราะต่อให้เป็นสัตว์มายา แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีซากให้เห็นสิ…”
“ถ้าชาร์ล็อตไม่รู้ แล้วเราจะรู้ได้ไง” ฟิเลน่าที่โล่งใจทิ้งตัวเองนั่งลงกองกับพื้นหมดแรง
“งั้นผมว่าเราไปตามหาแมรีแอนน์กับเกล็นกันดีกว่าไหมครับ มองจากตรงนี้เหมือนจะมีลึกลงไปอีกนะ” จูเลียสบอกพลางชะเง้อคอกวาดสายตาหาเพื่อนอีกสองคน “ถ้าพวกเขาตกลงไปลึกมันน่าเป็นห่วงอยู่นะ”
“อย่างนั้นฉันไปเอง จูเลียสฝากดูฟิเลน่าทีนะ” ชาร์ล็อตอาสาเป็นคนถามหา
“ผมว่าเราแยกกันไม่ดีหรอกนะ” จูเลียสแย้งเสียงเครียด
“ไม่รู้สิ ฉันว่าเราแยกกันน่าจะดีกว่า พวกนายสองคนรีบออกจากที่นี่ไปบอกอาจารย์เถอะ” คลาริสเห็นด้วย เพราะนี่มันไม่ใช่สถานการณ์ปกติหลังมีคนนอกมาพล่ามอะไรไม่รู้แล้วเกือบเอาชีวิตพวกเขาด้วยการส่งสัตว์ประหลาดที่แม้แต่คนรู้ดีอย่างชาร์ล็อตก็ไม่รู้จัก “พวกเราสามคนยังมีแรงเหลือ… มั้ง”
เขาหันไปทางพี่ชาย
“ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่”
“ท่านจูเลียสคะ ฉันเห็นด้วยกับคุณคลาริสนะ เราเอาเรื่องนี้บอกอาจารย์เถอะค่ะ” เสียงสั่นเครือจากเด็กสาวว่าเป็นเสียงที่สาม นัยน์ตาสีเขียวปิดลงครุ่นคิดทางเลือกที่ดีสุด
“ก็ได้ เดี๋ยวผมจะพาฟิเลน่าออกไปบอกอาจารย์” ถึงไม่ยอมรับเท่าไรแต่จูเลียสจำใจทำตามคำแนะนำของเพื่อน “แล้วพวกผมจะรีบตามคนมาช่วยนะ”
ว่าจบจูเลียสเดินไปทางฟิเลน่าหันหลังแล้วย่อตัวลงให้เด็กสาวขึ้นขี่หลัง “เราไปกันเถอะครับ”
คุณหนูรู้ตัวดีกว่าจากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเมื่อกี้ทำให้ขาสั่นจนแทบไม่มีแรงลุกจึงขึ้นเกาะแผ่นหลังจูเลียสอย่างช่วยไม่ได้
“ขะ ขอโทษนะคะ…” สำหรับฟิเลน่าตอนนี้เธอไม่ต่างอะไรกับตัวถ่วงของทีม หากรีบไปหาความช่วยเหลือจากอาจารย์น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” จูเลียสตอบอย่างเข้าใจดี ยังไงนี่ก็ไม่ใช่สถานการณ์ทั่วไป ทางที่ดีพวกเขาน่าจะไปหาอาจารย์โดยเร็วที่สุดเพื่อช่วยเหลือเกล็น
ดังนั้นจูเลียสกับฟิเลน่าแยกตัวไปกับพวกชาร์ล็อตที่เดินหน้าตามหาเกล็นโดยเส้นทางแรกที่พวกเขาใช้คือหลุมก่อนหน้าเพื่อประหยัดเวลาเดินอ้อม คลาริสที่ยังมีแรงเหลือเฟือนำหน้าดูต้นทาง มีชาร์ล็อตค่อยๆ ลงอย่างทุลักทุเล และอิกนิสอดเป็นห่วงไม่ได้จึงติดตามเด็กสาวไม่ห่าง โดยที่เด็กหนุ่มผมดำถึงพื้นก่อน
“ดูว่าตรงนี้ทะลุลงไปไม่ได้แล้ว” คลาริสบอกแล้วใช้วิธีการเดาสุ่ม “ฉันจะลองไปทางนั้นก่อนเผื่อเป็นทางแยกที่เรามากันตอนแรก”
อิกนิสพยักหน้าเข้าใจรอรับชาร์ล็อตที่ปีนใกล้จะถึงที่หมาย แต่เพราะแท่งดินที่รับน้ำหนักมากถึงสามคนก็ต้องหักลง เด็กสาวกระโดดตามสัญชาตญาณไปทางที่มีคนยืนอยู่ อิกนิสต้องกางแขนรอรับอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ แม้ชาร์ล็อตจะตัวสูงในหมู่เด็กผู้หญิงด้วยกัน แต่เมื่อได้สัมผัสรูปร่างเธอผอมเพรียวกว่าที่คิด แล้วทั้งที่เจอเรื่องขนาดนั้นมาน้ำหอมที่ใช้ก็ยังไม่หมดกลิ่นละมุน
“เอ่อ… ฉันไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจที่ช่วยนะ” ชาร์ล็อตทุบหลังไหล่อิกนิสเบาๆ ปลุกเขาตื่นจากภวังค์รีบผละตัวออกจากร่างเด็กสาวทันที
เมื่อยืนเผชิญหน้ากันทั้งคู่ต่างสังเกตว่าใบหน้าคนตรงข้ามแดงระเรื่อ เป็นครั้งแรกที่รู้จักก็ว่าได้ที่ทั้งสองสัมผัสตัวแนบชิด ชาร์ล็อตกระแอมเสียงหันหลังเดินตามคลาริสคิดว่ามันคืออุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่เกิดอาการแปลกประหลาดก็เป็นเพราะโดนสรีระส่วนหนึ่งเท่านั้น ทำให้แต่ละคนเขินยิ่งก่อนหน้ามีประเด็นน่าอายได้ยินอีกต่างหาก
“ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
อิกนิสตอบสั้นๆ แค่อืมกับขอโทษตามแบบของเขา เดินตามหลังชาร์ล็อตต้อยๆ ยกมือสองข้างขึ้นดู อันที่จริงนอกจากถูกส่วนนุ่มนิ่ม สิ่งที่เด็กหนุ่มคิดมากอีกอย่างคือรู้สึกดีที่ได้กอดชาร์ล็อต
[มีคู่หมั้นแล้วด้วยล่ะ] จู่ๆ คำพูดของแม่ในอดีตผุดขึ้นก้องหัว แววตาสีม่วงอ่อนสั่นไหวสับสน
“มันเป็นแค่ข่าวลือน่า” เขาบอกกับตัวเองในใจแล้วเพ่งสมาธิอยู่ที่จังหวะการก้าวเท้า แต่ท้ายที่สุดสมองกลับตีกันเองเสียอย่างนั้น เมื่อนึกถึงสีหน้าไม่พอใจของเกล็นในวันอมัวร์รอสวันนั้น ทำให้เขากลับมาสนใจเรื่องปัจจุบันที่เมื่อปรายตามองก็พบว่าชาร์ล็อตมีสีหน้าดูไม่สบายใจ ทว่าอิกนิสกลับไม่มีคำพูดอะไรมาปลอบใจเธอได้เลย ครั้นจะบอกว่าสองคนนั้นจะต้องไม่เป็นอะไรหรือปลอดภัยดี ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเป็นความจริงได้เลย ยิ่งผู้หญิงปริศนาสองคนนั้นมุ่งเป้ามาที่เกล็นก็ยิ่งแล้วใหญ่ แล้วคำพูดของแม่ก็ดังจากความทรงจำของเขาอีกครั้ง แต่รอบนี้มันกลับทำให้อิกนิสเริ่มปะติดปะต่ออะไรขึ้นมาได้
“พวกท่านแม่ต้องรู้เรื่องอะไรแน่ๆ…”
“กรี๊ด!” แมรีแอนน์กรีดร้องขณะที่กระโดดหลบแขนยักษ์ของโกเลมที่เหวี่ยงโจมตีใส่ เมื่อรอดมาได้เด็กสาวเร่งใช้เวทไม้ตรึงแขนข้างนั้นของมัน “เกล็นตอนนี้แขนมันใช้ไม่ได้ข้างหนึ่ง”
เธอตะโกนบอกเพื่อนอีกคนที่สภาพสะบัดสะบอมไม่แพ้กัน หลังรับศึกหนักกันแค่สองคนแทบยังเป็นสายเวทมนตร์ทั้งคู่ แถมทางออกเพียงหนึ่งเดียวก็เล็กเกินว่าจะลอดเข้าไปให้ แต่ในความโชคร้ายยังมีโชคดีที่ทั้งคู่สามารถใช้ธาตุรองคนละชนิดได้ หนำซ้ำธาตุประจำตัวเด็กหนุ่มคือน้ำจึงทำคอมโบคู่กับเวทน้ำแข็งสกัดแช่แข็งขาของมันได้ เท่ากับว่าโกเลมเหลือแค่ข้างเดียวที่โจมตีใส่พวกเขา แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงอย่างเดียว เนื่องจากไม้ที่มารัดแขนมีสิทธิ์หักได้เมื่อมันออกแรงสุดกำลัง
“(โธ่เว้ยๆ ชีวิตจริงมันใช้ระบบธาตุในเกมสู้ได้เปล่าวะเนี่ย)” เกล็นที่สติหลุดพ่นภาษาดั้งเดิมคิดหาวิธีจัดการโกเลมเลียนแบบในเกม แต่ติดว่าเขาลืมหมดแล้วว่าธาตุไหนแพ้ธาตุอะไรเป็นพิเศษ แถมตัวสัตว์มายามีร่างกายเป็นหินจะเอาลมสู้ก็ไม่ได้ ไฟก็ไม่สะทกสะท้าน น้ำมันก็ได้แต่กว่าจะเห็นผลสงสัยต้องเกิดอีกชาติหนึ่ง
“เกล็นยังโอเคใช่หรือเปล่าคะ” แมรีแอนนีรุดมาประกบข้างตัวเด็กหนุ่ม แต่ระหว่างจะรักษาบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ เกล็นคว้ามือเธอเพื่อหยุด
“เราจะออมพลังไว้สู้กับมัน ไว้เป็นแผลหนักๆ ค่อยรักษา”
จริงถามที่เกล็นว่า เวลานี้พลังเวทเป็นข้อกำจัดของพวกเขาที่ไม่มีตัวล่อสายกายภาพอย่างพี่น้องฝาแฝด หรือความรู้ด้านสัตว์ของชาร์ล็อตหาจุดอ่อน ทีมสนับสนุนอย่างจูเลียสหรือฟิเลน่าก็ไม่มีเปลี่ยนกลางคั่น
“กะ เกล็น!” แมรีแอนน์ร้องเรียกเสียงสูงหน้าถอดสีที่อีกไม่นานโกเลมจะหลุดจากพันธนาการ
“หลบก่อนแมรีแอนน์”
ว่าแล้วเกล็นก้าวกระโดดจากจุดเดิม เสียงไม้หักดังลั่นตามมาด้วยเสียงตูมที่แขนหนักกระแทกพื้น เป็นไปดั่งความทรงจำเด็กหนุ่มที่ชาร์ล็อคเคยพูดถึงนอกจากไม่ได้หลักแหลมเป็นกรด โกเลมมีการเคลื่อนไหวช้ากว่าความคิดในบางจังหวะแลกกับการโจมตีอันหนักหน่วงทีเดียวเตรียมเฝ้าพระอินทร์ได้เลย
“ก่อนอื่นต้องเลิกเทียบกับเกมสักที” เกล็นตำหนิตัวเอง “โกเลมเป็นหิน ต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์สู้ แต่เรามันโง่วิทย์นี่หวา”
น้ำตาแทบไหลเป็นน้ำตกที่เกล็นไม่หัวเรื่องวิทยาศาสตร์มาต่อกรกับสัตว์มายา เพราะมัวแต่คิดหาวิธีการสมาธิจึงไม่จดจ่ออยู่กับโกเลม ต้องมีเสียงเรียกจากแมรีแอนน์ปลุกตื่น กว่าจะหันมาสนใจแขนท่อนยักษ์เหวี่ยงใกล้ถึงตัว สมองแล่นเอาตัวรอดเพียงเสี้ยววินาที เด็กหนุ่มใช้เวทเสกให้ดินผุดขึ้นจากบนพื้นลดแรงปะทะ กระนั้นร่างก็ปลิวไปกระแทกผนังถ้ำ เสียงร้องโอดครวญทรมานดังทั้งน้ำตา เกิดมาชาติก่อนก็ไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อนจนสถบคำหยาบคายภาษาดั้งเดิม ตัดพ้อไร้สาระว่าทำไมดันเกิดในโลกแฟนตาซี
“หืม?... โอ๊ยๆ!” เขาร้องเจ็บอีกครั้งที่ฝ่ามือถูกกิ่งไม้ที่หักตำระหว่างยันตัวยืน แล้วทำหน้าพะอืดพะอมดึงเสี้ยมออก “(ยี้ แหวะ ดีนะที่ไม่ลึก)”
เกล็นขนลุกซู่ไม่นึกสภาพมือที่เป็นแผลลึก ไหนจะวกความทรงจำเฉียดตายวัยเด็กอดีตชาติ แม้ว่าจบงานนี้จะได้รับการรักษาหายปลิดทิ้ง
“เกล็นไม่เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” เสียงกังวลจากฝั่งตรงข้ามดังถาม สีหน้าแมรีแอนน์ไม่ต่างอะไรกับเขาตอนนี้ หนำซ้ำเธอยังหอบหายใจแรงอีกไม่นานเรี่ยวแรงต้องหมดก่อนมีคนมาช่วยแน่
ไม่ทันจะไตร่ตรองสิ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ เกล็นเร่งฝีเท้าตรงไปยังเด็กสาว สะบัดไม้กายสิทธิ์สร้างกำหมัดดินพุ่งจากกำแพงชกเข้าไปที่แขนอีกข้างที่เจ้าโกเลมหมายโจมตีมนุษย์อีกคน ด้านแมรีแอนน์ที่ตกใจการใช้เวทมนตร์จากเพื่อนร่วมห้องเผลอตัวเบี่ยงตัวหลบสะดุดล้มหน้าคะมำ แต่อย่างน้อยเครื่องแบบที่สวมอยู่ช่วยปกป้องเรื่องพวกนี้ได้ดี ใบหน้าบิดเบี้ยวร้องไห้ไม่อยากสู้ไปมากกว่านี้ เธอเหนื่อยเกินที่จะยืนขึ้น
“ไม่เอาแล้ว... คุณพ่อ คุณแม่... ฮือ...” เด็กสาวปล่อยโฮกับสภาพจิตใจที่ถึงขีดสุด ทว่านัยน์ตาสีชมพูต้องเบิกกว้างกับภาพตรงหน้า ร่างเด็กผู้ชายคนนั้นยังยืดหยัดที่จะต่อกรกับโกเลมนี้ต่อที่แขนกับขาถูกล้อมด้วยดินหนาที่ถูกสร้างเลียนแบบมือเท้าเสริมพลังกายให้ทัดเทียมสัตว์มายา
“มะ ไม่เป็นไรมากใช่ไหม” เขาถามปนเสียงหอบถึงมันจะดูเท่ในความคิดเกล็นแต่มันก็เปลืองพลังงานใช่ย่อย
“ไม่ค่ะ… ไม่” เธอตอบอ่อนแรงพยายามลุกขึ้นอีกหน
“ดี ฟังนะ ฉันจะต่อยให้ช่องอกมันแตก ถึงตอนนั้นช่วยใช้เวทไม้ทีเพราะฉันยัดมันใส่เข้าไป” นัยน์ตาสีดำเหลือบดูปฏิกิริยาแมรีแอนน์ที่ยังฉงนต่อคำขออยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าตกลงพอเข้าใจความต้องการของเด็กหนุ่ม
ได้สติเด็กสาวยกแขนเช็ดน้ำตาสูดน้ำมูกเตรียมทำสิ่งที่เกล็นวางแผน ทว่าจู่ๆ สมองแล่นความคิดหนึ่ง ริมฝีปากเม้นแน่นชั่งใจกับตัวเลือก แล้วภาพวันเก่าๆ ปรากฏขึ้นจากความทรงจำ แม้ต้องเหนื่อยล้าสักแค่ไหนแมรีแอนน์อยากจะยืนอยู่เคียงข้างเด็กผู้ชายคนนั้น เธอใช้เวทดินทำตามเขาสร้างแขนและเท้าเทียมสูงใกล้เคียงกับเกล็นที่เบิกตากว้างตกใจที่แมรีแอนน์เอากับเขาด้วย
“ถ้าสองคนน่าจะได้ผลดีกว่านะคะ” เธอว่า
“แต่มันจะหนักเกินไปหรือเปล่า”
แมรีแอนน์ส่ายหัวตอบ แววตาที่จ้องไปยังร่างศัตรูเบื้องหน้าเต็มไปด้วยประกายความมุ่งมั่น “ฉันทำได้ค่ะ”
“งั้นนับสามแล้วลุยเลยนะ” เกล็นพยักหน้าและบอกสัญญาณ
เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยลองทำมาก่อนทั้งคู่การเคลื่อนไหวตอนนี้เชื่องช้ากว่าโกเลม อย่างน้อยเวลาถูกโจมตีใส่พวกเขายังมีชั้นดินปกป้องลดอาการบาดเจ็บได้มาก ทันที่เห็นเกล็นง้างแขนสูงแมรีแอนน์ก็เตรียมพร้อมอย่างรู้ทัน
“หนึ่ง สอง สาม!”
สองเด็กหนุ่มสาวทุ่มสุดแรงใช้กำปั้นดินชกเข้ากลางลำตัวสัตว์มายาจนเกิดรอยร้าวเป็นทางยาว เกล็นวัดดวงด้วยการยัดเศษไม้ที่ตำมือเขาเข้าร่อง แมรีแอนน์คลายเวทมนตร์ดินของเธอเปลี่ยนมาใช้ธาตุไม้ให้มันเติบโตภายในร่างของโกเลมตัวนั้น แต่มันหนักหนาเกินไปที่เด็กสาวจะทำได้ เกล็นจึงสลายแขนขาปลอมตวัดไม้กายสิทธิ์ใช้ธาตุที่ไม่ถนัดลงไปช่วย ด้วยพลังของอัญมณีที่ประดับเพิ่มศักยภาพด้านเวทมนตร์เด็กหนุ่มสูงขึ้นทำให้ไม้นั้นเติบโตแทรกร่างโกเลมที่ค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยง ยิ่งความสำเร็จอยู่ตรงหน้าทั้งคู่ใช้พลังเวทเฮือกสุดท้าย กระทั่งโกเลมไม่อาจสู้ต้นไม้ที่เกิดจะเวทมนตร์ได้ มันแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่เพราะโกเลมนั้นไม่สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อทั่วไปหรือแทบจะเป็นอมตะ ส่วนหัวมันสามารถขยับกลิ้งหนีหลบสายตามนุษย์ด้วยการเนียนเป็นหินใกล้ๆ
“สำเร็จแล้ว!”
ทั้งเกล็นกับแมรีแอนน์กระโดดกอดกันที่พวกเขาผ่านพ้นช่วงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายได้ ก่อนจะหัวเราะหยอกล้ออีกฝ่ายที่ต่างร้องไห้เหมือนกัน แต่เพราะฝืนตัวมากเกินไปร่างเกล็นล้มไปกองกับพื้นมองเด็กสาวด้วยสายตาพล่ามัวคล้ายจะเป็นลม
“(สมเป็นนางเอกเกมเลยแฮะ…)” เขากระตุกยิ้มพึมพำเป็นภาษาพิลึกชื่นชมแมรีแอนน์ที่ยังยืนไหว ขณะที่เขาหมดสติไปก่อนแล้ว
เด็กสาวเขย่าร่างเกล็นทั้งน้ำตากลัวว่าจะเป็นอะไรไป เธอใช้เวทแสงรักษาบาดแผลต่างๆ บนเนื้อตัวแล้วถอนหายใจโล่งอกที่เด็กหนุ่มแค่หมดแรงจนผล็อยหลับไป แมรีแอนน์จึงวางศีรษะเขาอย่างเบามือบนหน้าตักเพื่อให้การหลับครั้งนี้สบายขึ้นมาหน่อย
“ในที่สุดฉันก็ได้สู้เป็นเพื่อนคุณแล้วนะคะเกล็น” น้ำเสียงละมุนเอ่ยขึ้นพลางเขี่ยเส้นผมเผยใบหน้าอีกฝ่าย แต่แล้วแมรีแอนน์ก็ต้องร้องไห้อีกครั้งด้วยสีหน้าเจ็บปวดเมื่อนึกเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด มันตั้งแต่ตอนไหนกันแน่นะที่เธอมีความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาแล้วชัดเจนที่สุดยามที่พวกเขาเผชิญหน้าอันตราย แมรีแอนน์เค้นคำตอบนี้ให้กับตัวเองทั้งที่จุดประสงค์แต่แรกเธอแค่ต้องการเป็นเพื่อนกับเด็กผู้ชายที่มาช่วยเธอจากหัวโจกในวันนั้นเท่านั้นเอง แต่แล้วทำไมกันที่ความรู้สึกเกิดขึ้น มันตอนไหนกัน…
“ช่างมันเถอะ… เพราะตอนนี้ฉันชอบเกล็นนะคะ ถึงจะรู้ว่าไม่สมหวังแล้วก็เถอะ… แต่ฉันก็ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ”
Comments (0)