ตั้งแต่โดนฮันนาหมายหัว เกล็นก็พยายามย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าต้องอยู่ในรั้วโรงเรียนหรือพยายามออกไปข้างนอกน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าทางศาสนจักรจะส่งทหารมาลาดตะเวนเมืองแล้วก็ตาม โดยใช้ข้ออ้างว่ามีคนใหญ่คนโตเดินทางมาประเทศนี้ทำให้มีการคุ้มกันแน่นหนา ถึงทีแรกเกล็นถามเกรกอรี่ว่ามันจะดีเหรอหากใช้วิธีนี้ แต่มหาปราชญ์ยืนยันว่าได้ผลแน่นอน เพราะช่วงเวลาดังกล่าวผู้มีอิทธิพลจากต่างประเทศเดินทางมายังลุสกลอเรีย ซึ่งคนคนนั้นคือทวดของสองพี่น้องฟรานเซนไทน์

“หวา ต้องเป็นโคตรมหาเศรษฐีของที่นู้นแหงเลย” เพราะดูจากการให้ของขวัญที่หายากมากๆ กับจูเลียส แถมได้รับคุ้มครองอย่างออกหน้าออกตา เกล็นจึงสรุปอย่างว่าง่าย “แต่จะว่าไปคลาริสเคยบอกว่าเป็นอัศวินเวทนี่นา”

ถึงจะเอะใจกับข้อมูลที่ค่อนข้างย้อนแย้ง แต่เกล็นก็อุ่นใจกว่าตอนที่ไม่มีคนคอยดูแลความปลอดภัย

ส่วนเหตุผลที่ฮันนาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงวันเกิดขององค์ชาย มหาปราชญ์คิดว่าหญิงสาวน่าจะมาสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับของประจำตระกูลลูมิเธอร์ที่ตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของศาสนจักร

ทว่าเท่าที่เกล็นสังเกตการณ์การเคลื่อนไหว ดูท่าฮันนาจะไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขาเท่าไรนักทั้งที่เธอเดินไปทั่วงาน อาจจะเป็นเพราะสถานที่ที่อยู่ตอนนั้นมีเฉพาะคนใกล้ชิดเท่านั้นจะมาได้ ต่อให้แกล้งเดินหลงก็คงแปลก ดีไม่ดีอาจจะถูกเซซิเลียที่เป็นราชินีซักถามจนเข้าตรอกเอาได้ ต่อมาไม่นานโชคชะตาก็เข้าข้างฮันนา เมื่อเกล็นที่แยกตัวออกมาอยู่ตามลำพัง หญิงสาวที่เคยสบตากับเขามาก่อนน่าจะจับพิรุธบางอย่างได้ถึงกล้าส่งอสูรทมิฬมาโต้งๆ เพื่อใช้ข่มขู่ แต่สุดท้ายถูกบุคคลปริศนาจัดการและต้องหนีจากที่เกิดเหตุ

“มันก็แปลกนะที่ฮันนาหนีไปดื้อๆ แบบนั้น หรือเพราะมั่นใจว่าเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้?... แต่เอาเถอะ ไว้มีโอกาสเหมาะๆ ค่อยถามจากปู่เกรกอรี่ก็แล้วกัน คิดไปปวดหัวชะมัด”

หลังจากนั้นเกล็นก็พักสมอง แล้วหันไปสนใจเทศกาลประจำปีอย่างวันอมัวร์รอสหรือวาเลนไทน์ของโลกนี้ ซึ่งมีตำนานความเป็นมาคล้ายๆ กับเรื่องโรมิโอกับจูเลียตผสมกับหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า ที่ชายหญิงคู่หนึ่งต่างตกหลุมรักกันแต่โดนครอบครัวที่เป็นศัตรูกีดกัน โดยที่ตอนจบทั้งคู่ก็ถูกพลัดพราก แต่ทุกวันที่สิบสี่กุมภาพันธ์ก็จะมีดอกไม้ชนิดหนึ่งบานเพื่อทางนำให้สองชายหญิงกลับมาพบกันอีกครั้ง ดังนั้นดอกไม้ชนิดนั้นจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล โดยมันมีชื่อว่าไลโอทิสหน้าตาคล้ายฟอร์เก็ตมีน็อตที่เป็นสีเหลืองแทนจะเป็นสีฟ้าที่คุ้นตา แล้วในตอนกลางคืนจะส่องแสงน้อยๆ

“พอนึกถึงเรื่องเล่าแล้ว หรือว่าชาวบ้านจะอินโอเวอร์จนจัดกลายเป็นงานเทศกาลได้หว่า”

เกล็นตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตำนานที่ชายหญิงสองคนได้เจอกันกลายเป็นงานเทศกาลแห่งความรัก ต่างจากประวัติวันวาเลนไทน์เมื่อชาติก่อนที่จัดเพื่อรำลึกนักบุญท่านหนึ่งผู้ลักลอบจัดงานแต่งให้เหล่าคู่รักมีความสุขจนตัวเองรับโทษ ต่อมาเกล็นก็หยุดคิดเรื่องนั้น เพราะอย่างไรงานเทศกาลนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งงานเทศกาลครื้นเครง ที่เขาจะได้เห็นเหล่าผู้มีความรักสุขสันต์กว่าวันอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กตัวน้อยที่พากันวิ่งวุ่นซื้อดอกไม้ให้พ่อแม่ในวันพรุ่งนี้

“รักไม่มีนิยามนั้นคือสิ่งสวยงาม” เขาพึมพำกับตัวเอง

“แล้วทำไมฉันต้องมาด้วยล่ะ!?” คลาริสบ่นอุบทำลายบรรยากาศของเกล็นที่มีอารมณ์ร่วมกับงาน หลังโดนลากให้ออกมาซื้อดอกไม้ที่ขายอยู่เต็มท้องตลาด “จริงๆ เราไม่ต้องให้ด้วยซ้ำ”

“ไม่เอาน่าคลาริส ผมว่าเพื่อนคนอื่นเองก็คงหาดอกไม้ให้พวกเราเหมือนกัน เพราะงั้นซื้อตอบแทนเขาเถอะนะ” จูเลียสตอบอย่างมีเหตุผล เพราะงานเทศกาลนี้ต่างจะให้ดอกไม้ซึ่งกันและกัน ซึ่งดอกไม้แต่ละดอกย่อมมีความหมายเฉพาะตัวของมัน ทำให้งานนี้เกล็นได้เห็นดอกไม้แปลกๆ แทบทุกปี เหมาะสำหรับหาข้อมูลเพื่อนำไปเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของการปรุงยา

ทว่านั่นก็ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เกล็นจำเป็นต้องซื้อดอกกุหลาบขนาดเล็กน่ารักไร้หนามที่เรียกว่า เบบี้โรส เพื่อตอบแทนให้กับคนที่มอบดอกไม้ให้เขา โดยเบบี้โรสนั้นเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางกว่าไลโอทิสที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัดสมชื่อ หนำซ้ำพอมันเหี่ยวก็สามารถนำเอาไปใช้เป็นปุ๋ยหรืออาหารสัตว์ได้ในตัว นับว่าเป็นเรื่องดีไม่สร้างขยะให้รกเมืองในอนาคต

“ว่าแต่พอเลิกเรียนปุ๊บอิกนิสก็หายไปเลยนะครับ แทนที่จะชวนพวกเราสักหน่อย”

“หมอนั่นคงเขินแหละ” เกล็นเดาความเป็นไปได้ “พวกเราหาซื้อเบบี้โรสแล้วรีบกลับกันดีกว่า”

“แล้ววันเกิดชาร์ล็อตพรุ่งนี้เราจะซื้ออะไรดีล่ะ” คราวนี้จูเลียสเปลี่ยนคำถาม

“ซื้อเครื่องประดับนั่นแหละง่ายดี แต่ยกเว้นต่างหูนะ” เกล็นตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจกับของขวัญวันเกิดเพื่อนวัยเด็กสักเท่าไร ทว่าอึดใจต่อมาเขาก็โดนคลื่นมนุษย์พลัดพรากจากเพื่อนอีกสองคนที่ต้องวิ่งตามพาตัวกลับมา

 

“แมรีแอนน์ใจดีที่สุดในโลกเลย!” เด็กผู้ชายคนหนึ่งกู่ร้องดีใจที่แมรีแอนน์มอบถุงกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุคุกกี้เป็นของขวัญวันแห่งความรัก “อร่อยมากเลย”

“ดีใจแล้วล่ะค่ะที่ชอบ” แมรีแอนน์หัวเราะคิก ปลื้มใจที่หนึ่งในเพื่อนร่วมห้องชื่นชอบ

จากนั้นเธอก็แจกจ่ายให้กับเพื่อนทุกคนทดแทนดอกไม้ ทำให้พวกนักเรียนชายที่ได้รับคุกกี้จากเด็กสาวรีบวิ่งไปหาดอกไม้มาตอบแทน และเมื่อเธอให้คุกกี้กับจูเลียส เด็กหนุ่มผมทองที่จึงยื่นดอกไม้ให้เธอเป็นของตอบแทนตามธรรมเนียม แต่ว่ามันเป็นดอกเบบี้โรสที่มีสีเขียวแปลกตา ทำเอาแมรีแอนน์กับชาร์ล็อตสงสัย

“จูเลียสทำได้ยังไงเหรอคะ?” แมรีแอนน์เบิกตากว้างตื่นตาตื่นใจที่ได้เห็นดอกไม้สีประหลาด เพราะปกติเบบี้โรสจะมีแต่สีแดง ขาว ชมพู และเหลืองเท่านั้น

“เกล็นแนะนำให้ไปแช่น้ำที่ผสมสีเขียวน่ะครับ”

“สุดยอดไปเลยค่ะ” แมรีแอนน์ปรบมือชอบใจวิธีการของเกล็น “คราวหน้าสอนให้ฉันบ้างได้ไหมคะ”

“ไว้อะไรมันสงบก่อนละกันนะ…” เด็กหนุ่มรับปากตกลงที่จะสอน ก่อนจะยื่นดอกไม้สีชมพูหวานให้แมรีแอนน์ ซึ่งมันคือดอกไลเซนทัสซึ่งเป็นไม้ดอกขนาดเล็ก คล้ายดอกกุหลาบแต่จะออกดอกเป็นช่อ มีกลีบที่บางอ่อนดูนุ่มนวลอ่อนช้อย แน่นอนว่าแมรีแอนน์ที่ชื่นชอบสีชมพูก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งรับมันอย่างเบามือ แต่พอได้สติกลับมาเด็กสาวก็ส่งถุงคุกกี้ที่เมื่อเทียบแล้วถุงนี้น่าจะมีจำนวนมากกว่า

“ขอบใจนะ” เกล็นรับถุงคุกกี้ด้วยความยินดี “ขอกินเลยได้ไหม?”

“เชิญเลยค่ะ” แมรีแอนน์ผายมืออนุญาตให้อีกฝ่ายกินขนมได้ตามใจ

เมื่อเกล็นแกะถุงก็พบเป็นคุกกี้ทรงกลมขนาดพอดีคำที่อบจนเป็นสีเหลืองทองน่ารับประทาน พอหยิบมันขึ้นมาเขาสัมผัสถึงความแข็ง แต่แทนที่เกล็นจะกังวลว่ามันจะกินได้หรือเปล่า เด็กหนุ่มกลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แล้วพอเอาเข้าปาก ดวงตาสีดำเปล่งประกายกับความกรุบกรอบและรสหวานนิดๆ เผลอโยกตัวไปมาคล้ายเต้นดุ๊กดิ๊กมีความสุข ไม่ได้สังเกตแมรีแอนน์ที่กำลังปลาบปลื้มดอกไม้ที่เขาให้

“นี่มัน คุกกี้ไข่กรอบ!เกล็นหยิบอีกชิ้นเข้าปากต่อ แล้วค่อยๆ เคี้ยวรำลึกถึงความหลังที่ไม่ได้กินคุกกี้ไข่กรอบหรือขนมไข่กรอบมานาน

เด็กหนุ่มยังจำได้เลยว่าวันนั้นตัวเองคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ขับไปยังร้านขายขนมปิ๊บ หลังรู้ว่ามันมีขายที่นั่น คุณป้าเจ้าของร้านเองก็หว่านล้อมให้เขาซื้อไปทั้งปิ๊บ แต่เงินที่พกมาไม่พอบวกกับกลัวแม่บ่นว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะ ก็เลยได้มาหนึ่งกิโลกรัมมาแทน กระนั้นพอถึงบ้านแม่กลับบอกว่าทำไมไม่ซื้อมาทั้งปิ๊บ แต่พอซื้อมาเป็นปิ๊บ แม่ก็พูดว่าซื้อมาเยอะทำไม…

“อร่อยจนหยุดไม่ได้เลยเว้ยยย!

“อ๊ะ จริงสิ อีกเดี๋ยวฉันจะไปทำธุระที่หอต่อ นี่คะ ชาร์ล็อตสุขสันต์วันเกิดนะ” แมรีแอนน์ที่เพิ่งนึกว่ามีธุระบอกกับทุกคน แต่ก่อนจะแยกตัวกลับหอเธอได้หยิบของขวัญให้เจ้าของวันเกิดอย่างชาร์ล็อต ซึ่งมันเป็นตุ๊กตานกแก้วสีแดงให้

“น่ารักจังเลยเหมือนไอเดนเป๊ะเลย” ชาร์ล็อตกล่าวชมฝีมือการตัดเย็บของแมรีแอนน์  พอมีคนหนึ่งให้ไปแล้ว คลาริสก็โยนของตัวเองให้บ้าง

“ให้ดีๆ ไม่เป็นหรือไง” เด็กสาวผมแดงทำหน้าเบ้ใส่พลางแกะห่อกระดาษ แต่จากอารมณ์เซ็งๆ ที่โดนอีกฝ่ายกวนประสาทเหมือนทุกที แววตาก็เปลี่ยนไปเพราะของที่ได้รับคือชุดเอี๊ยมสำหรับนก

“แหม กำลังคิดอยู่เลยว่าจะโดนแกล้วอะไร แต่ได้ของน่ารักแบบนี้มา ยอมดีด้วยวันหนึ่งก็ได้” เธอว่าแล้วหัวเราะคิกคักแล้วอาชุดเอี๊ยมใส่กับตุ๊กตาแทน “ดูสิ น่ารักมากเลย”

ชาร์ล็อตอวดตุ๊กตานกแก้วสีแดงใส่เอี๊ยมสีน้ำเงินให้กับแมรีแอนน์ดู หลังจากนั้นเด็กสาวก็ได้รับของขวัญที่ถูกใจจากจูเลียสกับลิเลียนอย่างถุงมือคู่ใหม่กับน้ำหอม กระทั่งมาถึงเกล็น เพื่อนที่รู้ไส้รู้พุงทุกอย่างให้ยาดมกลิ่นสมุนไพร แต่หนนี้เขาปรับปรุงให้ชาร์ล็อตโดยเฉพาะ ถึงทีแรกที่สูดกลิ่นเข้าไปสีหน้าจะดูขยาดก็ตาม

“อิกนิสก็หายไปเลยนะคะ” แมรีแอนน์กวาดตามองหาเจ้าของชื่อทั่วห้องเรียน

“ฮะๆ สงสัยหนีกลับหอแล้วล่ะมั้งจ๊ะ” ลิเลียนว่าติดตลกเพราะนึกถึงผลโหวตเมื่อตอนงานเทศกาล

“คะ คลาริสจ๊ะ” เสียงเล็กน่ารักจากด้านล่างเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มให้ก้มมองลงมายังสาวน้อยผมดำหยักศกร่างบอบบาง ผู้กำลังเดินขึ้นมาหา เธอยื่นดอกเบบี้โรสจำนวนหนึ่งให้แต่ในจำนวนสีแดงมากกว่าโดยมีดอกกุหลาบปกติสีขาวเด่นอยู่ดอกเดียว “มีคนฝากมาน่ะจ้ะ”

“มีคนให้ฉันเรอะ ขอบใจ” คลาริสรับมันมาต่อจากดีลิเซียที่พยักหน้าหงึกๆ เกล็นที่อยู่ข้างๆ ใช้ศอกกระทุ้งสีข้างเป็นสัญญาณ คลาริสเลยตอบแทนด้วยการมอบเบบี้โรสให้ เมื่อดีลิเซียได้รับเสร็จก็กล่าวขอบคุณรีบวิ่งลงไปหาเพื่อนๆ ก่อนจะรีบพากันออกจากห้องพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคัก

หลังจากนั้นพวกเกล็นเลยพากันออกจากห้องเรียนตาม ซึ่งระหว่างเดินกลับหอพักจู่ๆ มีนักเรียนทั้งชายหญิงจำนวนไม่น้อยมอบดอกเบบี้โรสให้คลาริสจนเจ้าตัวรู้สึกงุนงง แมรีแอนน์ต้องเฉลยว่ามันเป็นผลพวงจากตอนโหวตหาตำแหน่งมิสเตอร์เมื่องานเทศกาลเอลเซียส์ แล้วไม่ใช่แค่คลาริส จูเลียสเองก็ได้รับดอกไม้จากเพื่อนนักเรียนเช่นกัน

“อืม... พลังของเป้าหมายจีบหรือไงกันนะ” เกล็นลูบคางสงสัยหลังได้รับเบบี้โรสจากนักเรียนชายคนหนึ่งอย่างไม่เคอะเขิน เพราะสำหรับโลกนี้คู่รักเพศเดียวกันถือว่าเป็นปกติ กระนั้นเกล็นก็รู้สึกจั๊กจี้หัวใจกับวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เพราะนี่เป็นวันแรกของชีวิตที่ได้รับดอกไม้ในเทศกาลแห่งความรัก

“อ้าว อิกนิสมาแล้วเหรอคะ” แมรีแอนน์ที่เห็นอิกนิสปรากฏตัวจากมุมตึกส่งเสียงทัก เขามาพร้อมกับช่อดอกไม้มากมาย สีหน้าบ่งบอกชัดเลยว่าต้องการความช่วยเหลือ

“ใครก็ได้ช่วยที...”

ทว่าสภาพตอนนี้ทั้งคลาริสกับจูเลียสไม่ต่างกันเลย กลายเป็นว่าเกล็นกับสาวๆ ต้องช่วยอิกนิสออกจากกองดอกไม้ พอภาระอันหนักอึ้งพ้นตัว อิกนิสนั่งลงไปกองกับพื้นไม่สนสายตาคนรอบข้าง เขาถอนหายใจเหนื่อยล้าที่ต้องฝ่าผู้คน ทั้งที่พยายามหลบหลีกแล้วก็ตาม

“สมเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีนะ”

“แต่เจ้าตัวดูไม่มีความสุขเลยแฮะ” เกล็นหัวเราะเสียดายแทน “เอาเถอะ พาหมอนี่กลับหอน่าจะดีกว่า”

ว่าแล้วพวกเกล็นที่ยังมีพลังเหลือเฟือก็ช่วยพาอิกนิสกลับหอ เอาดอกไม้ทั้งหมดขึ้นไปเก็บยังห้องพักเด็กหนุ่มที่รูมเมตยังไม่กลับมา อิกนิสนั่งพักบนเตียงอยู่สักพักก่อนจะชวนเกล็นกลับลงชั้นล่างเพื่อจะเอาของขวัญให้ชาร์ล็อต

“ฝากฉันก็ได้นะ” เกล็นอาสานำของขวัญวันเกิดเพื่อนวัยเด็ก ทว่าเขาส่ายหัวปฏิเสธ

“ไม่เป็นไร ถ้าอยู่ในหอแล้วคงไม่มีอะไร... แล้วมั้ง”

เมื่ออีกฝ่ายว่าอย่างนั้น เกล็นจึงได้แต่ยักไหล่ยอมอิกนิสทำตามใจชอบโดยดี พวกเขาลงจากชั้นสองก็พบว่าตอนนี้เหลือแค่ชาร์ล็อตยืนรออยู่โถงกลางหน้าหอเพียงลำพัง

“คนอื่นไปไหนหมดล่ะ กลับไปแล้ว?”

“ใช่ เพราะจูเลียสเองก็เริ่มเหนื่อยแล้ว เลยขอตัวกลับก่อน”

“แต่วันนี้มันก็เหนื่อยจริงๆ นั่นแหละนะ” เกล็นขยี้ผมพอเข้าใจที่ต้องรับมือกับคนจำนวนมาก

“ว่าแต่คนข้างหลังไม่พักหน่อยเหรอ” ชาร์ล็อตชะเง้อหน้ามองด้านหลังเพื่อนสนิทสงสัยว่าทำไมอิกนิสถึงไม่ยอมไปพัก

“อ้อ อิกนิสบอกว่าจะให้ของขวัญวันเกิดน่ะ” เขาพยักพเยิดไปทางเจ้าของชื่อ “งั้นฉันกลับก่อนละกัน”

เกล็นที่ขี้เกียจรอโบกมือลาให้อยู่กันสองคน แต่ก่อนจะเดินจากไปเสียงเรียกจากบนบันไดเรียกความสนใจจากเด็กหนุ่มให้หันไปทางแมรีแอนน์ที่หอบเอาต้นไม้กระถางเล็กๆ มาด้วย ในจังหวะที่เกล็นเดินไปหาแมรีแอนน์ อิกนิสปรายตามองเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกขัดจังหวะ เขากลืนน้ำลายเหมือนทำใจ เอาดอกไม้ที่ซ่อนไว้ออกมาส่งให้ชาร์ล็อต

นัยน์ตาสีทองเบิกกว้างพร้อมยื่นมือรับดอกไม้จิ๋วพลางหัวเราะขบขันไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาดอกแสงตะวันให้

“แค่ดอกเดียวเองเหรอ” เธออมยิ้มถาม

“ก็...” อิกนิสเบือนหน้าหนีคิดหาข้ออ้าง

“เอาเถอะ เธอคงไม่กล้าซื้อเยอะเพราะกลัวว่าจะไม่เหลือให้คนที่ต้องการใช้จริงๆ สินะ”

“ฮะๆ...” อิกนิสหัวเราะเสียงแห้งที่โดนรู้ทัน เพราะเจ้าดอกแสงตะวันถูกจัดเป็นพืชสมุนไพรมากกว่าดอกไม้สวยงาม ขืนซื้อมาเป็นช่อคงรู้สึกเกรงใจคนที่ต้องใช้งาน

“ว่าแต่ทำไมถึงเลือกดอกนี้ล่ะ?” เธอถามต่อด้วยความรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่อิกนิสเลือกเอาดอกแสงตะวันให้

“เอ่อ... บังเอิญเจอแล้วนึกถึงวันที่เธอพาไปทำวิชาเลือกครั้งแรกน่ะ” อิกนิสหลับตากระแอมเสียง แล้วสักพักก็รีบเปลี่ยนเรื่องตอนที่เห็นเกล็นซึ่งกอดกระถางดอกมะลิที่เคยให้แมรีแอนน์เดินมาสมทบ “นี่ของขวัญวันเกิด”

ว่าจบเด็กหนุ่มก็ส่งกำไลเชือกถักสีน้ำตาลเข้มห้อยจี้หินสีเหลืองใสให้เด็กสาว และทันทีที่ได้รับมา ชาร์ล็อตก็สวมทันทีแล้วอวดให้แมรีแอนน์

“ว้าว น่ารักจังเลย”

“เนอะ จะใส่บ่อยๆ เลยล่ะ” ชาร์ล็อตยิ้มกว้างตอบ อิกนิสที่ทำให้ตัวไม่ถูก เซตามองทางอื่น ไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังโดนสายตาอีกคู่จ้องเขม็ง

“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” แมรีแอนน์ขอตัวเป็นคนแรก “เพราะวันนี้ฉันตั้งใจว่าจะเอาดอกไม้ที่ทุกคนให้มาทำเป็นที่คั่นหนังสือเก็บไว้”

เธอทำท่าฮึบเบ่งพลังด้วยหน้าตาจริงจัง เนื่องจากจำนวนดอกไม้ที่เด็กสาวได้ก็มีพอตัวเหมือนกัน หากไม่รีบขึ้นไปมีหวังดอกไม้เหี่ยวเฉาไม่ทันการพอดี

“พวกเราก็ไปกันเถอะ อิกนิสจะได้พัก” เกล็นทำเสียงเล็กเสียงน้อยยกยิ้มมุมปาก ชาร์ล็อตเลยโบกมือลาแยกย้ายกลับหอพร้อมเพื่อนสนิทให้แต่ละคนได้ทำเรื่องส่วนตัว

 

แมรีแอนน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจัดการดอกไม้ที่ได้มาทำเป็นที่คั่นหนังสือเพื่อเก็บเป็นของที่ระลึก แม้ว่ามันจะเพิ่งขั้นตอนแรกที่ต้องใช้เวลานานก็ตาม เธอบิดขี้เกียจที่นั่งหลังคดหลังแข็งแล้วลุกมองออกนอกหน้าต่างที่ท้องฟ้าย้อมเป็นสีน้ำเงินเข้มส่องแสงดาวระยิบระยับ ก่อนก้มดูดอกไลเซนทัสสีชมพูที่แช่น้ำในแจกันด้วยแววตาสั่นไหว

“นี่เราทำถูกต้องแล้วใช่ไหมนะ?”