33 ตอน บทที่ 32: วัฒนธรรมร่วมต่างโลก
โดย RiFourver
หลังงานเทศกาลจบลง เกล็นก็พยายามหมกตัวอยู่แต่ในโรงเรียนตามคำแนะนำของเกรกอรี่ที่รีบเดินทางมาหาเขาทันทีที่หลังเจอกับฮันนา เนื่องจากเขากลัวว่าถ้าส่งคนมารักษาความปลอดภัยก็กลัวว่าทางศัตรูจะจับพิรุธได้ ว่าทำไมถึงได้ส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยเอาตอนที่พวกเขาโผล่ในเมือง และด้วยเบาะแสอันน้อยนิดเกรกอรี่ก็ใช้มันสืบต่อไปแต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้าเท่าไรนัก กระทั่งวันเวลาล่วงผ่านไปเรื่อยๆ จนเกล็นเผลอลดความระวังตัว เพราะต้องออกไปซื้อวัตถุดิบสำหรับปรุงยาบางชนิดที่ไม่มีในโรงเรียน
เมื่อเกล็นได้พัฒนาสูตรยาตัวหนึ่งได้สำเร็จ มันคือยาทาภายนอกช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยร่างกายที่เด็กหนุ่มทุ่มเทมาตลอดการเรียนวิชาปรุงยา และพร่ำบอกแมรีแอนน์ว่าจะเป็นเจ้าแรกของโลก ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะไม่เข้าใจคำว่า ‘ออฟฟิศซินโครม’ มันคืออะไร แต่แมรีแอนน์ก็แสดงความยินดีกับเขาด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
ในบางครั้งหลังเลิกเรียนวิชาเลือกคลาริสก็ขอให้พวกเกล็นมาช่วยสอนเวทมนตร์เพิ่มเติมจากที่เรียน แล้วพักหลังมานี้จูเลียสเองก็มาเข้าร่วมด้วยเพราะอยากใช้ธาตุเอกได้ครบ ทำให้ทุกวันอังคารและศุกร์จะมีติวพิเศษให้สำหรับทั้งสองคน ซึ่งตัวองค์ชายไม่ค่อยมีอะไรน่าเป็นห่วงนัก เขาปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบในเกณฑ์ได้อย่างไร้ที่ติ ยกเว้นไอ้หนุ่มฟันฉลามที่ติดเล่นจนต้องพากันวิ่งหนีแอบอาจารย์เคธีตอนพลาดใช้เวทมนตร์ในเขตที่ไม่อนุญาตให้ใช้ได้
ด้านชาร์ล็อตกับอิกนิสที่เริ่มชำนาญในการทำภารกิจที่ทางโรงเรียนจัดให้ พวกเขาค่อยๆ สะสมคะแนนแบบรวดเร็วเพื่อที่จะได้สบายตอนปลายภาค แต่ก็ยังมีเข้าห้องสมุดเพื่อศึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภารกิจสำหรับทำรายงานส่ง มีบางครั้งที่ชาร์ล็อตเอาหนังสือสัตว์วิเศษมาคุยเล่นกับอิกนิส โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงนกจนคลาริสนึกสงสัยว่าพี่ชายฝาแฝดกำลังถูกเป่าหูให้ซื้อนกมาเลี้ยงตามแน่ๆ เขาจึงรีบขัดขวางด้วยการบอกว่าที่บ้านมันมีเยอะไปแล้วหรือไม่ก็ขอแม่สักตัวก็ไม่เป็นไร นั่นเลยทำให้พี่น้องเถียงกันอย่างกับเด็กๆ คนหนึ่งอยากได้เป็นคนตัวเอง ส่วนอีกคนก็เห็นว่าแม่เลี้ยงไว้เพียบจะหามาเพิ่มทำไม
“ทะเลาะกันแบบนี้ค่อยสมเป็นพี่น้องกันหน่อย…ล่ะมั้ง…?”
และแล้วก็เข้าสู่เดือนธันวาคม หิมะสัญลักษณ์ของฤดูหนาวตกโปรยปรายเปลี่ยนพื้นสีเขียวชอุ่มให้เป็นสีขาวโพลน มีนักเรียนหลายคนที่บ้านอยู่ใกล้ๆ เริ่มวางแผนสำหรับพักผ่อนในวันหยุดยาวตั้งแต่เทศกาลสเตลลิ่งและส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พร้อมทั้งมีกิจกรรมจากทางโรงเรียนจัดขึ้นโดยให้อาจารย์ประจำชั้นแต่ละห้องเป็นผู้แจ้งให้ทราบ
“ส่วนของจะเป็นอะไรก็ให้พวกเธอกำหนดเอาเองนะ” แมทธิวบอกกับนักเรียน หลังอธิบายกติกาเกี่ยวกับการจับคู่บัดดี้ปริศนาที่จะเป็นผู้ให้ของขวัญในวันก่อนปิดเทอม ทำให้เด็กๆ แต่ละคนตื่นเต้นรวมทั้งเกล็นที่ไม่ได้เล่นกิจกรรมคล้ายๆ จับสลากมานาน
ดังนั้นนักเรียนห้องสองจึงประชุมหารือว่าของขวัญที่จะให้คู่หูของตัวเองจะเป็นอะไร โดยได้ข้อสรุปมาสามข้อได้แก่
หนึ่งไม่ใช่ของแพง สองไม่ใช่ของกิน และสาม ต้องเป็นของไร้สาระ พร้อมทั้งเตือนว่าหากได้ก็ห้ามมีการโกรธเด็ดขาดเมื่อลงมติว่าใช้เงื่อนไขนี้ในการหาของขวัญ จากนั้นพวกเขาก็จับรายชื่อเพื่อนที่จะให้ เกล็นที่เห็นชื่อคลาริสบนกระดาษก็หัวเราะสะใจจนออกนอกหน้า
“เสร็จฉันแน่คลาริส!”
แต่ข้อที่สามนี้เองกลับทำให้คนคนหนึ่งต้องเครียดหนักไม่รู้จะซื้ออะไรให้ อิกนิสเลยไปขอร้องความช่วยเหลือจากแมรีแอนน์ที่เริ่มสนิทสนมมากขึ้น เนื่องจากทั้งคู่อยู่หอเดียวกันมีบ่อยครั้งที่เด็กหนุ่มจะปรึกษาปัญหาชีวิตยามที่ไม่สามารถไปหาพวกเกล็นได้ เพราะตั้งแต่ได้ตำแหน่งมิสเตอร์ประจำปีหนึ่งรอบตัวเขาเปลี่ยนไป ที่มีแต่คนทักแทบตลอดเวลา อิกนิสซึ่งมีนิสัยประหม่ากับคนแปลกหน้าง่ายจึงวางตัวไม่ถูกว่าควรทำยังไง ถึงแม้สุดท้ายมันจะจบลงด้วยการสุมหัวแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันให้เด็กหนุ่มทำตัวปกติ แล้วเตรียมรับมือกับวันอมัวร์รอสตามคำบอกเล่าของเกล็น ยิ่งทำให้เจ้าตัวเกิดความเครียดลงกระเพาะ
“งั้นอิกนิสซื้อยาแก้โรคกระเพาะเลยสิคะ” นั่นคือคำแนะนำของแมรีแอนน์ “ไร้สาระแต่ก็มีประโยชน์ตอนป่วยนะคะ ไม่ต้องเสียเวลาไปห้องพยาบาลด้วย”
นับว่าเป็นของที่น่าสนใจไม่น้อย ทว่าคนอย่างอิกนิสก็คิดมากอยู่ดีว่าควรซื้อเป็นของขวัญให้บัดดี้ดีจริงๆ เหรอ
“อ้าว สองคนนั้นกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ” เสียงเจื้อยแจ้วจากชาร์ล็อตดังถามเมื่อเห็นทั้งคู่ยืนคุยกันแถวหน้าประตูเข้าออกเขตห้องพัก
ทั้งแมรีแอนน์กับอิกนิสนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อจับจ้องยังถุงกระดาษที่สองคนถือมา
“พวกคุณได้ของกันแล้วหรือคะ?”
“อืม” เด็กสาวผมแดงพยักหน้าตอบ “พอเป็นของไร้สาระมันคิดออกง่ายน่ะว่าจะเอาอะไร ถึงจะมีตัวเลือกเยอะแยะก็เถอะนะ”
“แต่ว่าวันที่จะจับกันอีกตั้งนานเลยไม่ใช่เหรอ” คราวนี้อิกนิสเป็นฝ่ายถามสงสัยว่าทำไมทั้งคู่ถึงได้ซื้อกันไวขนาดนี้
“ฮ่าๆ ถ้าเรื่องทำอะไรไร้สาระแบบนี้งานไวอยู่แล้ว” เกล็นหัวเราะร่วนมีความสุขในการซื้อของขวัญของให้คลาริส เขายอมรับเลยว่าไม่ได้รู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เกษียณอายุจากที่ทำงานเมื่อชาติก่อนซึ่งมันคือครั้งสุดท้ายที่นั่งลุ้นรางวัลใหญ่ซึ่งเป็นทองคำแปรรูป “จะว่าไปพวกนายกำลังคิดอยู่ใช่หรือเปล่าจะซื้ออะไรดี”
“ทางฉันยังไม่เท่าไรหรอกค่ะ แต่อิกนิสเนี่ยสิ…” แมรีแอนน์ถอนหายใจเบาๆ เหมือนคุณแม่ที่กังวลในตัวลูกชาย “เอาแต่คิดเยอะแยะไปหมดเลย”
“ฮะๆ ก็สมเป็นเธอดีนี่นา” ชาร์ล็อตขบขันใช้ศอกสะกิดแขนอิกนิสแซว “ไม่ลองซื้อยารักษาโรคกระเพาะดูล่ะ ตอนไม่ป่วยก็ไร้สาระแหละ แต่พอเป็นขึ้นมาก็มีประโยชน์ได้นะ”
“… เดี๋ยวคิดดูอีกทีล่ะกัน” อิกนิสกระตุกยิ้มตอบ นี่เป็นคนที่สองเสนอความคิดให้ซื้อยาแก้โรคกระเพาะ
“แต่พอพวกชาร์ล็อตซื้อแบบนี้รู้สึกตื่นเต้นจนอยากให้ถึงวันจับเร็วๆ มากเลยล่ะค่ะ จริงสิ อิกนิสไหนๆ มีคนซื้อมาก่อนแล้ว พวกเราออกไปดูด้วยกันไหมคะ” เธอชักชวนเพื่อนร่วมหอออกไปซื้อ “ตอนนี้ยังมีเวลาอีกตั้งเยอะกว่าประตูจะปิดนะคะ”
“ตอนนี้เลยเหรอ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วปรายตามองแมรีแอนน์ที่ประสามือส่งยิ้มอ้อนวอน
“ไปด้วยกันก็ระวังจะจับได้กันเองล่ะ” เกล็นเตือนขึ้น
“พูดไม่ดูตัวเองเลยนะ พวกนายก็ไปซื้อด้วยกันไม่ใช่หรือไง” อิกนิสเท้าเอวมองเกล็นสลับกับชาร์ล็อต
“ไม่ใช่สักหน่อย พวกเราบังเอิญเจอขากลับต่างหาก” ชาร์ล็อตแย้งและบอกความจริง “เพราะงั้นฉันไม่รู้หรอกว่าเกล็นซื้ออะไรมา”
“สงสัยว่าเราต้องแยกกันซื้อแล้วล่ะค่ะ” แมรีแอนน์กอดอกไม่อยากจับได้ของที่ตัวเองเห็นแล้ว “แล้วแบบนี้พวกลิเลียนจะจับได้กันเองหรือเปล่าคะเนี่ย ฉันได้ยินว่าสามคนนั้นออกไปพร้อมกันแล้ว”
“ไม่เอาน่า ฉันก็แหย่ไปเท่านั้น ใครจะจับได้พวกกันเองล่ะ…” เกล็นปัดมือไม่ให้แมรีแอนน์คิดมาก
“ถึงมันจะเคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นก็เถอะ… เมื่อชาติที่แล้วน่ะนะ”
แล้วภาพเพื่อนร่วมงานสามคนที่อยู่แผนกเดียวกันจับได้กันเองผุดขึ้นในความทรงจำ หากพวกสามสาวยังจับได้กันเองอีกคงขำพิลึก แต่คิดๆ ไปก็อยากเห็นสีหน้าตอนนั้นเหมือนกัน
“จะว่าไป คลาริสได้คุยเรื่องนี้กับพวกนายหรือเปล่า” อิกนิสถามถึงน้องชายฝาแฝด
“เห็นว่าไปกับพวกโจนาธานนะ แต่ตอนนี้คงไปเล่นอยู่แถวหอสองตามเดิมล่ะมั้ง”
“จริงสิ! นานๆ ทีอิกนิสน่าจะไปซื้อของกับคลาริสบ้างก็ดีนะคะ เผื่อจะได้ของขวัญให้บัดดี้มาสักชิ้นก็ได้” แมรีแอนน์ปรบมือทีหนึ่งบอกความคิดในหัว เรียกสีหน้าซีดๆ จากตัวพี่ชายที่ส่ายหัว
“ไม่มีทางหรอก คลาริสไม่ยอมมาด้วยหรอก”
“แหม ทีตอนมาเยี่ยมบ้านฉันคุณยังลากคลาริสมาด้วยกันสองคนได้เลยนี่คะ”
“นั่นเพราะบอกว่าจะแวะบ้านเธอ หมอนั่นถือได้ยอมมาด้วยน่ะ” อิกนิสเถียงกลับ
“โอ๊ยเนอะ ก็ชวนผู้ชายคนอื่นไปด้วยสิ จูเลียสงี้หมอนั่นไปด้วยอยู่แล้ว หรือจะให้ฉันไปด้วยอีกคนก็ได้”
“แบบนั้นไม่ได้หรอกนะคะ อุตส่าห์จะได้มีช่วงเวลาพี่น้องช่วยกันซื้อกันทั้งที” แมรีแอนน์ทำหน้าตาขึงขังยืนกรานให้สองพี่น้องฝาแฝดไปด้วยกัน “อ๊ะ จริงด้วย ถ้าฉันชวนไปคลาริสต้องยอมมาแน่ๆ จากนั้นฉันก็จะหาจังหวะดีๆ ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน”
“แหม อย่างกับแผนให้คู่รักอยู่ตามลำพังเหมือนในการ์ตูนตาหวานเลยวุ้ย”
“ฉันว่าคลาริสจะโวยวายตามหาเธอเอาน่ะสิแมรีแอนน์” ชาร์ล็อตค้านความคิดของแมรีแอนน์ “เพราะงั้นลองชวนจูเลียสหรือผู้ชายอีกสักคนไปด้วย แล้วทิ้งให้อยู่กันสามคนนั้นแหละ”
“แบบนี้ไม่ต่างกับที่เกล็นพูดเมื่อกี้เลยนะคะ”
“แล้วก็นะ ถ้าเธอจะใช้แผนตัวเองที่ว่า ตอนนี้หนึ่งในสองดันรู้แล้วนี่สิ มีหวังความแตกแน่ๆ” เกล็นว่าต่อนึกภาพอิกนิสทำตัวมีพิรุธจนคลาริสจับได้ “แต่ฉันก็เห็นด้วยกันแมรีแอนน์เรื่องนี้อยู่นะ ลองชวนดูไปเถอะ”
กลายเป็นสองเสียงที่เชียร์ให้อิกนิสชวนน้องไปซื้อของด้วยกัน เด็กหนุ่มผมดำทำหน้าลังเลและไม่รับปากที่จะทำ กระนั้นหลังจากนั้นหลายวันที่พวกลิเลียนออกไปข้างนอกหาขนมหวานทานตอนวันหยุดก็เห็นสองพี่น้องเถียงอะไรไม่รู้กันในเมือง แมรีแอนน์ที่ได้ยินก็พลอยยิ้มแก้มปริดีใจที่อิกนิสรับข้อเสนอแล้วคลาริสก็ไปตามคำชวน
ทว่าตกดึกคืนนั้นเกล็นกลับต้องมานั่งฟังคลาริสบ่นอะไรไม่รู้สารพัดที่พี่ชายจุกจิกเรื่องการซื้อของ หนำซ้ำยังสวมวิญญาณพ่อศรีเรือนมายุ่งกับข้าวของเขาอีก จนความแตกเรื่องที่แอบทำอาหารด้วยอุปกรณ์ที่มี ยังดีที่คลาริสปิดปากเงียบไม่ป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้เรื่องนี้ ถึงต้องแลกกับทำอาหารในวันที่เขาหิว ซึ่งก็ไม่เลวร้ายเท่าไรเพราะคลาริสไม่ได้มาบ่อยจนน่ารำคาญ
เพราะทุกอย่างยังปกติสุขเสียจนเกล็นหลงลืมเผลอปล่อยตัวใช้ชีวิตเหมือนทุกวัน กระทั่งวันสุดท้ายของการสอบกลางภาค นักเรียนหลายคนเริ่มตระเตรียมเก็บสัมภาระกลับบ้าน แล้วร่วมตัวกันห้องเรียนประจำเพื่อทำกิจกรรมสุดท้ายก่อนปิดเทอม โดยเกล็นยื่นเงื่อนไขใหม่ในวินาทีสุดท้ายก่อนแมทธิวจะประกาศชื่อบัดดี้ของแต่ละคน ว่าถ้าได้ของจากอีกฝ่ายแล้วจะต้องแกะห่อทันที
เกล็นซึ่งเป็นตัวริเริ่มเลยกลายเป็นคนแรกที่ได้รับของขวัญจากคู่หูจำเป็น ซึ่งของที่เขาได้รับคือวัตถุทรงกลมแบนในห่อกระดาษสีน้ำตาลไหมด้วยแววตาไร้อารมณ์ เกล็นสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยนี้ที่พบเจอมันในทุกๆ ปีของงานฉลองส่งท้ายปี เขาเดาได้เลยว่าสิ่งนั้นคืออะไรจึงทำการแกะห่อตามที่วางเงื่อนไขไว้ก็พบเป็นกล่องคุกกี้ แน่นอนว่าถูกห้ามเป็นของกิน ดังนั้นของภายในก็คืออุปกรณ์ตัดเย็บครบเซต
“ฉันเห็นย่าชอบใส่พวกด้ายในนั้นเลยเลียนแบบน่ะ” เด็กเจ้าของของขวัญอธิบาย ทำเอาเกล็นต้องกู่ร้องในใจไม่คิดว่าเกิดใหม่ต่างโลกยังจะมีวัฒนธรรมร่วมกันแบบนี้
“จะลามมาถึงโลกนี้ไม่ได้นะเว้ย”
แล้วหลังจากนั้นเกล็นก็ได้ประกาศชื่อของคลาริสด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทำเอาเจ้าตัวหน้าถอดสีไม่ไว้ใจของที่ตัวเองจะได้ ซึ่งการล้างแค้นจากวันเกิดก็สำเร็จเพราะของที่เกล็นซื้อคลาริสคือข้าวสารน้ำหนักหนึ่งกิโลกรัมให้ จากนั้นการประกาศว่าใครเป็นบัดดี้ใครก็ดำเนินเรื่อยๆ จนเรียกเสียงฮือฮาเมื่อแก๊งสามสาวประจำห้องสุ่มชื่อได้ของกันเอง จนเกล็นไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นเหตุการณ์นี้อีกครั้ง แถมยังเป็นการจับคู่หูซึ่งโอกาสจะได้กันเองยากกว่าจับสลากทั่วไป ดังนั้นฟิเลน่า ลิเลียน และเคจ ต่างมองหน้ากันเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงได้ซื้อของที่ถูกใจตัวเอง เพราะมันคือตุ๊กตากระเบื้องสัตว์ที่แต่ละคนชอบ
“ฮะๆ... มันก็ดูตลกดีนะจ๊ะ...” ลิเลียนกล่าวปลอบเพื่อนทั้งสอง
แต่ยังไงมันก็ยังดูดีกว่าจูเลียสที่ได้เขียงไม้ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวกลับดูดีใจเป็นพิเศษที่ได้มา หลังใช้อย่างอื่นเป็นที่รองหั่นอาหารให้กิ่งก่าคาเมเลี่ยนแสนรักมานาน
“ตัวอะไรไม่รู้หรอกแต่มันน่ารักมากเลย”
ชาร์ล็อตหัวเราะชอบใจที่ได้ของขวัญ เกล็นที่มองดูอยู่ห่างๆ ก็ไม่เข้าใจความน่ารักของพวงกุญแจแกะไม้สลักที่บิดไปบิดมา แถมยังมีตากับปากที่ชวนนึกถึงตุ๊กตาดินเผาฮานิวะของประเทศแห่งหนึ่งเมื่อชาติก่อน ต่อมาเธอก็ประกาศคู่ของตัวเองซึ่งไม่รู้เป็นความบังเอิญหรือโชคชะตาที่คนจากมอสเซียน่าจับชื่อคนบ้านฟรานเซนไทน์ทั้งคู่ ซึ่งของที่อิกนิสได้จากชาร์ล็อคเป็นหินอำพันใสๆ ธรรมดาขนาดเล็กที่ไม่รู้เอาไปทำอะไร นอกจากวางทิ้งไว้เฉยๆ
“ถือว่าเอาไปประดับโต๊ะได้น่า” ชาร์ล็อตฉีกยิ้มท่าทางภูมิใจที่อย่างน้อยของขวัญของเธอยังมีประโยชน์ในแง่ความสวยงาม
“จริงๆ เอาไปทำเป็นพวกจี้ก็ได้นะคะ” แมรีแอนน์เสนอความคิดเห็น “หรือไม่ก็ใช้เชือกถักเป็นกำไลข้อมือก็ดีนะ”
“ฮ่าๆ เห็นไหมล่ะ ของฉันมีประโยชน์ขึ้นมาแล้ว”
แล้วชาร์ล็อตก็หัวเราะคิกคักไม่ได้สนใจว่าอิกนิสเอาของที่ได้รับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูท แล้วหันไปสนใจของที่แมรีแอนน์ที่เป็นของแปลกตา ซึ่งมันคือแท่นไม้ขนาดเท่ากันสองชิ้นมีลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยสีทอง
“คนขายบอกว่ามันคือตะเกียบ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นบัดดี้ของแมรีแอนน์บอก “คนแถบๆ เซียงเฟยเขาใช้กันกินอาหารน่ะ”
“แล้วมันใช้ยังไงเหรอคะ” แล้วแมรีแอนน์จับตะเกียบทั้งสองมือเหมือนถักนิตติ้ง
“ได้ยินว่าคนที่นู้นกินอาหารที่เป็นเส้นๆ คล้ายสปาเกตตี้อยู่นะ” เพื่อนอีกคนบอกแต่ก็ไม่รู้วิธีใช้อยู่
“ตะเกียบฉันใช้เป็นๆ” เกล็นโบกมือรู้วิธีใช้ตะเกียบ
“จริงสิ มอสเซียน่าอยู่ติดเซียงเฟยนี่นา คงเคยเห็นอยู่ใช่ไหม”
“ชะ ใช่! ฉันเคยเห็นพ่อค้าทางนู้นใช้กินข้าวด้วย” เด็กหนุ่มเฉไฉเอาตัวรอดไปเรื่อยแล้วหันไปสอนการจับ พอเห็นแมรีแอนน์เริ่มชินมือกับตะเกียบ เขาก็แทบน้ำตาไหลเหมือนพ่อที่เห็นลูกน้อยเดินได้คล่องปร๋อ
“จะว่าไปนายได้ของใครนะ” คลาริสที่มัวแต่คุยเล่นกับเพื่อนคนอื่นหันมาถามพลางตีถุงข้าวสารเล่นอย่างสนุกมือ
“ชาร์ล็อตน่ะ…” แล้วแฝดคนพี่ก็หยิบขึ้นมาให้อีกฝ่ายดี
“ถือว่าเอาไปประดับโต๊ะเอานะ”
ได้ยินประโยคนั้น อิกนิสถึงกลับหลุดขำพรืดออกมาจนถูกสายตาไม่พอใจจากแฝดน้องจ้องตาเขียว
“เมื่อกี้นายพูดเหมือนชาร์ล็อต...”
“งั้นขอถอดคำพูด เอาไปทับกระดาษเถอะ” คลาริสทำหน้ายี้ที่ดันพูดเหมือนกับคู่กัด “ว่าแต่หยุดยาวจะกลับบ้านหรือเปล่า จะได้รีบส่งจดหมายไปให้วันนี้”
“ไม่ล่ะ” อิกนิสส่ายหัวไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไร “ก็สงสารมานิชาอยู่หรอก แต่ฉันไม่อยากเจอพวกผู้ใหญ่ที่แวะมาบ้าน”
“ตามนั้น ฉันเองก็ไม่อยากกลับเหมือนกัน” คลาริสยักไหล่ไม่สนใจจะกลับบ้านเหมือนกัน เพราะพวกเขารำคาญพวกผู้ใหญ่ที่เอาแต่พูดจานู้นนี่เสี้ยมให้พวกเขาผิดใจ “ไหนต้องไปงานวันเกิดจูเลียสอีก ฉันยังไม่ได้ซื้อของให้เจ้านั่นเลย จะไปด้วยกันมะ”
ฟังจบอิกนิสเลิกคิ้วกอดอกมองน้องชายที่เป็นฝ่ายชวนเอง ทั้งที่วันก่อนเพิ่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งให้เกล็นฟังอยู่แท้ๆ แต่คิดอีกทีก็ช่างมันล่ะกัน
หลังทุกคนได้รับของขวัญจากบัดดี้ปริศนากันเสร็จเรียบร้อย เพื่อนร่วมห้องต่างทยอยแยกย้ายกลับหอพักโดยเฉพาะคนที่จะต้องกลับบ้านในวันพรุ่งนี้อย่างกลุ่มของเกล็นก็จะมีแมรีแอนน์ จูเลียส และแก๊งสามสาว ดังนั้นจูเลียสจึงไม่ลืมนัดแนะให้ทุกคนไปงานเลี้ยงวันเกิดซึ่งตรงกับเทศกาล เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นระดับองค์ชาย แมรีแอนน์จึงกังวลเรื่องเสื้อผ้า
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะแมรีแอนน์ ไว้ก่อนวันงานพวกเรามาหาชุดสวยๆ กันเนอะ” ลิเลียนจับหัวไหล่ปลอบเพื่อนพลางหันไปทางชาร์ล็อตที่จะไปแวะค้างคืนที่บ้านตัวเอง
แล้วจากนั้นทั้งหมดจึงแยกย้ายเพื่อต้อนรับวันหยุดยาวช่วงวันส่งท้ายปีก่อนต้อนรับปีใหม่ โดยตั้งหน้ารอคอยวันสเตลลิ่งที่เปรียบเสมือนวันคริสต์มาสในโลกเดิมของเกล็น
“อืม... ถ้ำนี้สินะ”
เสียงทุ้มเข้มของชายสวมฮู้ดพึมพำ นัยน์ตาสีทองสำรวจปากทางเข้าออกของถ้ำที่ฮันนาเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินลึกเข้าไปด้านในด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ต้องกลัวมีคนจับได้ว่ามีผู้บุกรุกอยู่ป่าหลังโรงเรียนในวันหยุดยาว ซิกมุนท์ เรนเกอริ่งสังเกตสิ่งรอบตัวก็พบว่าถ้ำแห่งนี้ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากสภาพสีของดิน เขาถอดถุงมือแล้วสัมผัสกับผนังถ้ำค่อยๆ ไล่เรียงลำดับเหตุการณ์จากบันทึกลอกคัดของเจอรัลด์เคยแอบเข้าโรงเรียนไปสืบมาให้ในวันงานเทศกาลเอลเซียส์
สักพักยิ้มฝีปากของชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มคิดแผนการบางอย่างได้ขึ้นมา เขาขบขันในลำคอหมุนตัวออกจากถ้ำ ผิวปากเรียกอสูรทมิฬที่เป็นกริฟฟอนซึ่งมีสภาพร่างกายดูดีไม่เหมือนซากศพจนมากเกินไปจนผิดปกติ
“สงสัยงานนี้ต้องลองเสี่ยงดูสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง แต่ขอไปเคลียร์เรื่องที่แกล้งตายแตกก่อนนะ เพราะงั้นแล้วค่อยเจอกันตอนสอบปลายภาคนะเด็กๆ”
จากนั้นซิกมุนท์เหวี่ยงตัวขึ้นขี่กริฟฟอนแล้วบินจากอาณาเขตโรงเรียนแล้วหายลับไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะ
Comments (0)