หลังจากอิกนิสไปพักผ่อนจากการเดินทางที่ห้องส่วนตัวไม่นาน ธีออนหรือพ่อของเขาก็กลับมาจากธุระต่างเมืองซึ่งเป็นเวลาใกล้มื้อเย็น ทำให้ห้องรับประทานอาหารซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางรองรับสมาชิกในครอบครัวและเหล่าคนใช้ได้อย่างไม่อึดอัด

ถึงแม้ว่าธีออนคือเจ้าบ้านคนปัจจุบัน ทว่าคนที่นั่งหัวโต๊ะคือชายชราที่กำลังหัวเราะเอิ้กอ้ากกับเรื่องที่คลาริสเล่าเกี่ยวกับเพื่อนแต่ละคนให้ฟัง เริ่มจากเกล็นซึ่งเป็นหลานชายอดีตครูใหญ่ที่อีกไม่นานน่าจะมีชื่อเสียงไม่ต่างกับลินดา หลังตีสนิทกับคนไปทั่ว นานๆ ทีที่อิกนิสจะช่วยเสริมถึงพฤติกรรมแปลกๆ เป็นครั้งคราว แล้วเมื่อพูดถึงเกล็นก็คงไม่พ้นเรื่องของชาร์ล็อต ทำให้มีการโต้เถียงอย่างจริงจังกันเมื่อคลาริสบ่นเรื่องที่โดนเด็กสาวคนนั้นดีดผลบลูเบอร์รีใส่หน้าตอนกำลังให้อาหารนก

“ฉันจำได้ว่านายเป็นคนเริ่มก่อน” อิกนิสทำหน้าเครียดออกตัวปกป้อง “ไปส่งเสียงดังแบบนั้น เป็นใครก็ตกใจไม่ใช่หรือไง”

“โอ๊ะ งั้นก็จำผิด” คลาริสตอบกลับไร้ซึ่งความสำนักผิดใดๆ แล้วตัดจบเรื่องของชาร์ล็อตจนอิกนิสต้องส่ายหน้าหน่าย

“แล้วทีนี้นะ แมรีแอนน์เพื่อนผมอีกคนก็…”

พอชื่อของแมรีแอนน์ออกมาจากปากของคลาริส สามพี่น้องก็สังเกตได้ชัดว่าปู่กับย่าชะงักมือขณะตักอาหารในจาน ขณะที่พ่อแม่ยังทำตัวปกติ แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ว่าทั้งสองมีลับลมคมใน แม้กระทั่งคนรับใช้เก่าแก่ซึ่งรับใช้ก่อนที่เด็กทั้งสามคนเกิดก็ยังมีท่าทีประหลาด เกิดเป็นบรรยากาศอึมครึมจนก่อความสงสัยให้กับบรรดาลูกๆ อิกนิสส่งสายตาไปหาคลาริสที่ยักไหล่ และมานิชาที่กะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าก็ไม่มีใครเอ่ยปากถามถึงเรื่องนี้ จนธีออนเสียงถอนหายใจหนักเรียกสายตาทุกคู่มองมายังเขา

“วันนี้พ่อเพิ่งเจอเด็กคนนั้นมา” แล้วดวงตาสีฟ้าก็มองคลาริสอย่างคาดโทษ “เขาฟ้องว่าลูกไปแกล้งเขา เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

“แกล้งอะไร ไม่มี๊” คลาริสปฏิเสธเสียงสูงตักชิ้นเนื้อใส่ปาก

“ยังจะกล้าพูดได้อีกนะ” อิกนิสเหงื่อตกปรายตามองกับการโกหกหน้าซื่อ

เมื่อลูกชายคนรองไม่ยอมรับผิด ธีออนได้แต่ลอบถอนหายใจกะแล้วว่าคลาริสไม่ยอมรับง่ายๆ

“วันหลังก็อย่าทำอีก” ผู้เป็นพ่อเตือนสั้นๆ แล้วสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ทำเอาคลาริสหน้ามุ่ย แต่สักพักเด็กหนุ่มก็นึกถึงเรื่องสมัยวัยรุ่นของธีออนที่ลินดาเคยเล่าให้ฟังได้

“จริงสิ ก่อนกลับบ้านได้ยินเรื่องเล่าอะไรมาด้วย” คลาริสเกริ่นอย่างอารมณ์ดี ส่วนธีออนทำเป็นไม่ใส่ใจทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจกระวนกระวายรู้ดีว่าลูกชายคนได้พบกับอดีตอาจารย์ อิกนิสที่นั่งข้างรีบจับไหล่เป็นการห้ามไม่ให้คลาริสพูดเรื่องนั้นออกมา

“คลาริสหยุด…”

แน่นอนว่าการห้ามของอิกนิสไม่มีทางสำเร็จ เมื่อคลาริสฉีกยิ้มเห็นไรฟันถามเรื่องในอดีตเสียงร่าเริง

“สมัยเรียนพ่อเคยอกหักแล้วไปโดดน้ำพุที่สวนจริงเหรอ”

“ฮ่าๆๆๆ!

หลังได้ยิน ปู่กับย่าก็ขำพรืดหัวเราะจนน้ำตารื้อคิดถึงวันวานที่จู่ๆ มีจดหมายมาส่งถึงบ้านว่า ลูกชายได้ทำผิดกฎโรงเรียนด้วยการกระโดดลงน้ำพุ พบสืบสาวหาความก็ได้เรื่องว่าธีออนดันไปพนันกับน้องและเพื่อนว่าจะไปบอกรักนักเรียนหญิงคนหนึ่ง สุดท้ายถูกปฏิเสธกลับมาเลยต้องทำตามที่เคยท้าเอาไว้ ซึ่งถ้าอาของพวกเด็กๆ อยู่ด้วยละก็มีหวังถูกซ้ำเติมมากกว่านี้เป็นแน่

“ตายจริง โชคดีจังเลยที่ผู้หญิงคนนั้นมีตาหามีแววไม่ ฮะๆๆๆ” อลิสาหัวเราะดูสะใจพิกลที่สามีโดนหักอกสมัยวัยรุ่น ก่อนจะส่งยิ้มเยาะราวกับผู้ชนะ

“เลิกคุยเรื่องนี้ได้แล้ว” ธีออนกัดฟันกรอดและกดเสียงต่ำบอก หลังที่เก็บงำเรื่องนี้มานานไม่ยอมเล่าให้ใครฟังอีกเลยโดยเฉพาะอลิสา

แล้วเมื่อธีออนพูดแบบนั้น คลาริสก็วกกลับมาคุยเรื่องเดิมว่าเพื่อนในกลุ่มมีใครบ้าง แต่ละคนเป็นยังไง หรือวิชาเรียนสนุกหรือน่าเบื่อ คลาริสที่เรียนวิชาเวทมนตร์เพิ่มเติมเลยใช้เวทน้ำอวดให้ครอบครัวได้ประจักษ์ แม้ว่ามันจะเป็นแค่สายน้ำเบาๆ ตามประสาคนเพิ่งใช้เป็น ด้านอิกนิสไม่ค่อยมีอะไรเป็นพิเศษ เล่าแค่เรื่องวิชาเลือกที่ได้เจออะไรแปลกๆ ที่ไม่เคยรู้จักเยอะแยะ หนำซ้ำได้ทักษะวาดรูปติดตัวมาที่ต้องนั่งหลังแข็งวาดภาพประกอบลงในรายงาน แล้วหลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำธุระส่วนตัวหลังรับประทานอาหารเสร็จ

 

“แฮะๆๆ ขอบคุณค่ะท่านพี่” มานิชาหัวเราะดีใจที่ได้รูปดอกไม้น่ารักเป็นของขวัญ หลังขออิกนิสวาดรูปให้ “งั้นน้องไปก่อนนะคะ”

แล้วมานิชาก็ออกจากห้องส่วนตัวของพี่ชายคนโต แล้วไปเคาะห้องเรียกคลาริส ทำให้อิกนิสอดอมยิ้มไม่ได้กับท่าทีของน้องสาว ก่อนจะไปสนใจกองหนังสือแล้วถอนหายใจไม่รู้จะอ่านเล่มไหนก่อนดี เพราะชาร์ล็อตดันบอกแค่ว่าเล่มนั้นดีเล่มนู้นก็ดี เขาจึงสุ่มมาเล่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวกับพืชและสมุนไพรที่เคยใช้หาข้อมูลดอกแสงตะวัน ทำให้อิกนิสเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่สักพักก็นึกเรื่องสำคัญออก

“จริงด้วย ต้องบอกท่านพ่อก่อน…” อิกนิสเก็บหนังสือเข้าที่รีบลุกจากเก้าอี้แล้วออกจากห้องตรงไปยังห้องทำงานส่วนตัวของพ่อที่น่าจะอยู่ห้องนั้น

แต่พอไปถึงมือของเด็กหนุ่มต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของพ่อแม่กำลังคุยกันอยู่ ในทีแรกอิกนิสตั้งใจจะหันหลังกลับปล่อยให้ผู้ใหญ่ทำธุระให้เสร็จก่อน ทว่าไม่ทันได้ก้าวเท้าออกห่างจากประตู เสียงที่ขาดๆ หายๆ ของอลิสากลับดึงความใคร่รู้ของอิกนิสเอาไว้

“แมรีแอนน์… ยังอยู่…”

“เอ๋?” อิกนิสอุทานในใจมองประตูห้องทำงานของธีออน ด้วยความสงสัยเขาจึงตัดสินใจเงี่ยหูฟัง แม้รู้ว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาท เพราะนอกจากชื่อของแมรีแอนน์แล้ว ยังมีชื่อเกล็นอยู่ในบทสนทนาด้วย นั่นยิ่งทำให้เขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ไปไหน ทว่าประโยคมันก็ขาดๆ หายๆ จนอิกนิสปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้เลยสักนิด รู้แค่ว่าพวกเขากำลังตามหาของอะไรบางอย่าง ทว่าประโยคสุดท้ายของอลิสาที่ดังชัดก็ดึงสติของอิกนิสกลับมา

“ไว้ทางแม่จะจัดการให้เอง ผู้หญิงคุยกันเองน่าจะได้เรื่องกว่า”

เพราะกลัวว่าอลิสาจับได้ว่าแอบฟังอยู่ อิกนิสจึงเป็นฝ่ายเคาะประตูแกล้งทำทีว่าเพิ่งมาเมื่อสักครู่ และทันทีที่ธีออนอนุญาต อิกนิสที่พยายามปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เปิดประตูเข้าไป เจอแม่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี

“ทะ ท่านแม่ก็อยู่เหรอครับ…” อิกนิสแกล้งถามทั้งทีหลุบสายตาหนีอลิสา

“จ้า ก็มาดักรอลูกเนี่ยแหละ กะแล้วเชียวว่ามีเรื่องอยากคุยกับท่านพ่อ ฮุๆ” หญิงสาวยกมือป้องปากขบขันท่าทีของลูกชาย ก่อนจะหยิกแก้มอิกนิสอย่างมันเขี้ยวเบาๆ ก่อนออกจากห้อง

แล้วเมื่อประตูปิดลง อิกนิสเดินไปยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของธีออนที่เต็มด้วยเอกสาร ทว่าเรื่องที่เด็กหนุ่มได้ยินก่อนหน้านี้ทำให้เขานิ่งเงียบจนได้ยินเสียงเคาะนิ้วเบาๆ กับโต๊ะไม้และไม่ได้สังเกตว่าธีออนกำลังเท้าคางมองเขาที่ทำหน้าลำบากใจไม่ยอมพูดตั้งแต่เข้ามา อีกทั้งเรื่องที่อยากคุยจริงๆ ก็สร้างความหนักใจอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จนธีออนต้องพ่นลมหายใจนึกรำคาญความชักช้าอืดอาดจึงชิงตัดบทด้วยคำพูดใจร้ายและเสียมารยาทแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นลูกในไส้

“ถ้ามั่วอ้ำอึ้งอยู่แบบนี้ เอาไว้วันหลังเราค่อยคุยกัน” เสียงเคลื่อนเก้าอี้ดังปลุกสติของอิกนิสให้เงยหน้าขึ้นมา สักพักเขาก็ก้มหน้าไม่กล้าสบตาและยอมถอยอย่างว่าง่าย

ธีออนที่เห็นแบบนั้นก็ต้องส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง

“อิกนิส… มองพ่อ” เสียงสุขุมแผ่วเบาเรียกอิกนิส นั่นทำให้ธีออนได้เห็นแววตาที่สั่นไหวกับริมฝีปากที่เม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว

“ไปถามตัวเองดีๆ ก่อน ว่าชอบหรืออะไร เพราะคนที่จะโกรธมากที่สุดคือคลาริส”

อิกนิสผงะกับคำพูดของพ่อด้วยสองความรู้สึกที่ปนกัน ทั้งโล่งอกที่ธีออนยังไม่รู้ว่าเขาแอบฟังและสงสัยว่าทำไมถึงรู้เหตุผลว่าจะมาปรึกษาอะไร

“เอ่อ… ท่านพ่อรู้ด้วยเหรอครับว่าผมมาทำไม…?”

“เฮอะ!” ธีออนทำเสียงขึ้นจมูกมองลูกชาย “แค่เห็นหน้าตอนเล่าเรื่องวิชาเลือกก็รู้แล้วว่าสนใจ”

อิกนิสหลุบตาหนีอีกครั้ง โดยหนนี้ใบหน้าเขาขึ้นสีระเรื่อเขินอายที่โดนจับตามองพฤติกรรม

“เวลาน่ะมีตั้งเยอะ ค่อยๆ คิดก็ได้ ตอนนี้อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ปานนี้แม่เขาดีใจรีบไปเขียนจดหมายเล่าให้ทวดอ่านแล้วล่ะมั้งว่าลูกมีอะไรที่สนใจเหมือนคลาริสสักที”

“เอ๊ะ?” เด็กหนุ่มอุทานขึ้น

“เฮ้อ…” ธีออนกุมขมับหลังเห็นสีหน้าซื่อๆ ของอิกนิส “ไม่เคยสังเกตตัวเองเลยหรือไง ว่าเวลาใครพูดอะไรลูกก็ทำตามที่เขาว่าลูกเดียว ผิดกับคลาริสที่นึกอยากทำก็ทำจนบางทีก็น่าโมโห”

ฟังจบอิกนิสก็ยืนนิ่งไม่ตอบโต้ต่อได้แต่ไตร่ตรองกับคำพูดของพ่อ ไม่นานธีออนก็ตบไหล่ลูกเบาๆ

“นี่มันดึกมากแล้ว ไปนอนเถอะ”

ทว่าก่อนที่มือของธีออนจะเอื้อมจับลูกบิดประตูแบบก้านโยก อิกนิสก็พูดโพล่งรั้งตัวเขาเอี้ยวตัวมองด้วยแววตาฉงนสงสัย

“คะ คือ ผมจะมาขออนุญาตไปหาอะไร ทะ ที่กิลด์ทำได้หรือเปล่าครับ” เสียงตะกุกตะกักบอก “ไม่ต้องห่วง สำหรับนักเรียนเขาอนุญาตแค่ตามหาของง่ายๆ หรือไม่ก็ส่งของ”

“ก็ไปสิ เกี่ยวกับวิชาเรียนไม่ใช่เรอะ แต่อย่าลืมบอกคนที่บ้านด้วยล่ะว่าจะทำอะไรไปที่ไหน เกิดอะไรขึ้นจะได้รู้ แล้วถ้ามานิชาขอไปด้วยพ่อไม่อนุญาต ถึงจะบอกว่าเป็นแค่หาของง่ายๆ หรือส่งของก็ตาม” ธีออนทำหน้าดุตอบเสียงเข้ม หนำซ้ำยังย้ำไม่หยุด “ต่อให้น้องอ้อนก็ห้ามเด็ดขาด เพราะลูกชอบตามใจน้องตลอด”

“ครับ” อิกนิสกลืนน้ำลายพยักหน้ารับปากตกลงคำขอของพ่อ “งั้นผมขอตัวก่อนครับ”

อิกนิสบอกลาพ่อรีบก้าวเท้า หลังจากที่ธีออนเปิดประตูเชิญเด็กหนุ่มออกก่อนคนแรก โดยในระหว่างเดินกลับห้องส่วนตัว อิกนิสก็กลับมาคิดเรื่องที่พ่อแม่คุยกัน

“แมรีแอนน์ยังอยู่หมายความไง แล้วเกล็นเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” มันช่างเป็นประโยคที่ชวนให้อิกนิสงุนงงคิดไม่ตก พอมองย้อนกลับไปช่วงมื้อเย็นปู่กับย่าของเขาก็แสดงท่าทีแปลกๆ ออกมาเมื่อได้ยินชื่อแมรีแอนน์ “ที่สำคัญท่านพ่อท่านแม่กำลังตามหาอะไรอยู่”

อิกนิสยังตั้งคำถามกับตัวเองเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง

ถ้าแบบนั้นมันก็เป็นงานของท่านพ่อท่านแม่หรือเปล่า… ไม่ได้เกี่ยวกับเราสักนิด” เด็กหนุ่มสรุปอย่างง่ายๆ เมื่อไม่สามารถร้อยเรียงเรื่องราวได้ แล้วคิดว่าแมรีแอนน์ที่ว่าคือคนละคนกับเพื่อนของเขา ด้วยความคิดที่ว่ายังอีกมีคนอีกมากมายที่จะชื่อเดียวกัน ส่วนเกล็นก็น่าจะหาของบางอย่างเจอแล้วคืนมันไป “คงบังเอิญนั่นแหละ”

จากนั้นอิกนิสก็เข้าห้องส่วนตัว ทว่าคืนนั้นจิตใจของเขากลับระส่ำระส่ายเรื่องที่ได้ยินมาทั้งหมดราวกับลางสังหรณ์กำลังเตือนเขาอยู่ แต่อิกนิสกลับไม่เข้าใจความหมายของมันเลยสักนิด ก่อนที่เขาจะหลับตาลงหลังพยายามไล่หาความจริง

 

เมื่อได้คำอนุญาตจากธีออนให้ทำภารกิจของกิลด์ได้ อิกนิสก็ไม่ค่อยอยู่บ้า เขานมักจะตามหาของหรือส่งของในละแวกบ้านใกล้ๆ ทำเอาคลาริสประหลาดใจไม่คิดว่าพี่ชายฝาแฝดจะจริงจังกับคำแนะนำของชาร์ล็อต ทั้งที่อิกนิสสามารถนอนพักผ่อนเพื่อเตรียมร่างกายสำหรับวันประลองที่จะถูกจัดช่วงกลางเดือน เพราะงั้นคลาริสถึงอดที่จะก่อกวนประสาทอิกนิสด้วยการพูดยุแยง ว่าการทำตามที่ชาร์ล็อตจะทำให้อิกนิสแพ้ในศึกนั้น แต่ดูเหมือนคำพูดพวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรกับอิกนิสได้เลย จนกระทั่งวันหนึ่ง…

“ฉันไปด้วยสิ!” คลาริสตะโกนลั่นจากหน้าประตูไป ขณะที่อิกนิสกำลังจัดสัมภาระและสินค้าให้เป็นระเบียบก่อนเดินทางไปส่งของ ณ จุดหมายปลายทาง

“ทำไมจู่ๆ ถึงได้…” ไม่ทันที่อิกนิสจะพูดจบแฝดผู้น้องก็พูดแทรกเข้ามา

“จะไปริโคนิกไม่ใช่หรือไง ฉันอยากไปด้วย!

“ฉันไม่ได้ไปหาแมรีแอนน์สักหน่อย” อิกนิสว่าเสียงหน่ายคิดว่าสาเหตุที่คลาริสขอติดรถไปด้วยคงเพราะอยากแวะบ้านแมรีแอนน์ที่อยู่มณฑลเดียวกัน

“แต่ที่ที่นายจะไปมันเมืองใกล้ๆ หมู่บ้านที่แมรีแอนน์อยู่นี่นา”

“นายรู้ได้ไงว่าหมู่บ้านแมรีแอนน์อยู่แถวนั้น” อิกนิสเลิกคิ้วสูงสงสัยว่าทำไมคลาริสถูกรู้รายละเอียด

“ไม่เห็นจะยาก แมรีแอนน์ก็เคยบอกน่ะสิว่าบ้านเขาอยู่แถวนั้น เพราะงั้นไปส่งของเสร็จแวะไปให้เขาตกใจเล่นกันเถอะ!

“ถ้าไปเพื่อแกล้งไม่เอาด้วยหรอก” อิกนิสเบือนหน้าหนีหันไปจัดการของต่อ คลาริสก็เบ้ปากไม่พอใจที่ถูกปฏิเสธ

“พวกลูกทะเลาะอะไรกันน่ะ เสียงเข้ามาในตัวบ้านเลยนะ” เสียงแปร่งเอกลักษณ์ดังถามพร้อมปรากฏกายมายืนมองลูกชายทั้งสอง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ เล่าให้แม่ฟังจะได้หรือเปล่า”

อลิสาหันไปทางอิกนิสเพื่อขอคำตอบจากเขา

“คือผมจะทำภารกิจกิลด์ไปส่งของที่ริโคนิก แต่คลาริสจะขอแวะไปบ้านเพื่อนก่อนกลับน่ะครับ”

“บ้านเพื่อน? เพื่อนคนไหนเหรอ?” อลิสากะพริบตาปริบๆ มองสลับไปมาระหว่างพี่กับน้อง

“แมรีแอนน์น่ะ หมู่บ้านเขาอยู่ใกล้เมืองที่อิกนิสจะไป” คลาริสตอบแม่ด้วยน้ำเสียงเซ็งที่โดนอิกนิสห้าม

“งั้นก็ไปสิ อุตส่าห์ไปทั้งที่ก็แวะหาเขาหน่อยสิ เด็กคนนั้นต้องดีใจแน่ๆ ที่พวกลูกแวะไปหา อ๊ะ จริงด้วยๆ ถ้าอย่างนั้นเอาของไปฝากสักหน่อยก็ดีนะ” พูดจบอลิสาก็หายตัวกลับเข้าไปในคฤหาสน์อีกหน เธอหายไปหลายนาทีพอให้พี่น้องคุยได้กันต่อ

“แม่อนุญาตแล้ว” คลาริสยักไหล่กวนประสาทอิกนิสที่ถอนหายใจ “เอาน่า จะได้เขียนจดหมายไปเยาะเย้ยชาร์ล็อตด้วยไง”

“นั่นมันนายคนเดียวแล้ว” อิกนิสตอบกลับเสียงหน่าย สักพักเขาก็นิ่งเงียบไป

“เขียนจดหมายไปหาชาร์ล็อตก็ดีเหมือนกัน…”

“เอาไง จะห้ามไม่ให้ฉันไปอีกอยู่หรือเปล่า?” คลาริสเท้าคางราวกับผู้มีชัยรู้ดีว่าอิกนิสกำลังใจอ่อนแล้ว

“ขอโทษที่ให้รอนานนะจ้ะ” อลิสาออกมาอีกครั้ง โดยคราวนี้ในมือเธอถึงตะกร้าใบหนึ่งมาด้วย “ช่วยเอาไปฝากครอบครัวเพื่อนลูกทีนะ”

“นี่มันชาจายนี่นาท่านแม่” อิกนิสรับมาและสงสัยของฝากซึ่งเป็นชาจากบ้านเกิดของแม่ “เขาจะรู้วิธีชงเหรอครับ”

“เดี๋ยวเขาก็หาวิธีเองได้นั่นแหละจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มกว้างกับคำตอบมักง่าย ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจนน่าสงสัย เพราะแม่ไม่เคยแสดงอารมณ์แบบนี้มาก่อน

“แม่?” น้ำเสียงฉงนจากคลาริสดังเรียก อลิสาจึงหัวเราะในลำคอ

“ขอโทษทีจ๊ะ แค่นึกคำถามของท่านทวดที่เคยถามแม่มาก่อนน่ะ”

“หา มานึกอะไรตอนนี้” ลูกชายคนรองถามกลับเสียงสูงไม่เข้าใจว่าทำไมอลิสาถึงมานึกเรื่องเก่าๆ ตอนที่พวกเขาจะเดินทางไปต่างเมือง

“แหม ก็เมื่อเช้าท่านทวดเพิ่งจดหมายมานี่นา แม่ก็นึกขึ้นได้น่ะสิ” อลิสาบีบเสียงหวานน่ารักพร้อมเอียงศีรษะเล็กน้อยและยกมือแตะแก้มมองคลาริส “งั้นมาถามลูกชายของแม่บ้างดีกว่า”

แล้วเธอหัวเราะคิกคักนึกสนุก “สมมุติว่าวันหนึ่งเพื่อนของลูกต้องไปตามหาของสิ่งหนึ่งในป่าที่เต็มด้วยอันตรายเพียงลำพัง พวกลูกจะไปกับเขาหรือเปล่า?”

สิ้นคำถามจากผู้เป็นแม่ สองพี่น้องต่างสบตากันด้วยสีหน้าสงสัยไม่ต่างกัน

“ถามอะไรแปลกๆ ก็ต้องไปสิ” คลาริสยักไหล่ไม่เข้าใจว่าทำไมอลิสาถึงตั้งคำถามแบบนี้ขึ้นมา อันที่จริงต้องบอกว่าทวดต่างหากที่ถามอะไรกับแม่ซะมากกว่า

“นั่นสิ จะปล่อยให้ไปคนเดียวได้ที่ไหนล่ะ ยิ่งอันตรายด้วย…” อิกนิสกดคิ้วลงต่ำอย่างเคร่งเครียด

“ถามจริงนะแม่ ทวดนึกไงถึงถามแบบนี้น่ะ”

“ไม่รู้สินะ ทุกวันนี้แม่เองก็สงสัยเหมือนลูกนั่นแหละ แต่รู้อะไรไหม ถ้าท่านทวดได้ยินคำตอบ ท่านต้องภูมิใจมากแน่จ๊ะ” อลิสายิ้มบอกลูกๆ ที่กลับมามองหน้ากันรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก “งั้นแม่ไม่กวนล่ะ เดี๋ยวจะเสียเวลาเปล่าๆ เดินทางปลอดภัยกันนะจ้ะ”

จากนั้นหญิงสาวก็โบกมือลาเป็นสัญญาณให้ลูกทั้งสองเตรียมตัวออกเดินทาง อิกนิสกับคลาริสที่ยังงุนงงก็ได้แต่ขึ้นรถม้าที่บรรทุกสัมภาระมากกว่าปกติ โดยไม่ทันสังเกตรอยยิ้มมีเลศนัยให้ผู้เป็นแม่ ไม่นานอลิสาก็หมุนตัวกลับเข้าคฤหาสน์เป็นจังหวะเดียวกับที่รถม้าได้เคลื่อนตัวออกนอกอาณาเขตบ้าน