หลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมง อิกนิสกับคลาริสก็ได้มาถึงบ้านเสียที แฝดคนน้องทันทีย่างก้าวเหยียบพื้นก็บิดขี้เกียจคลายความปวดเมื่อยพร้อมตะโกนดีใจที่ได้ถึงบ้านเสียที ขณะที่อิกนิสลงจากรถไม่ทันไรก็จัดการข้าวของเตรียมให้คนรับใช้ที่รอการกลับมาของพวกเขาขนขึ้นไปเก็บบนห้อง

“เฮ้อ… ให้ตายสิ” อิกนิสถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางส่ายหัวกับน้องชายที่ไม่สนสัมภาระของตัวเอง จนกระทั่งคนรับใช้สามารถแบ่งของระหว่างอิกนิสและคลาริสได้เสร็จก่อนที่เจ้าตัวจะมาแยกเอง ระหว่างจะช่วยหยิบของบางส่วนขึ้นห้อง เสียงใสก็ดังเรียกความสนใจอิกนิสกับคลาริส

“ท่านพี่กลับมาแล้ว!” เด็กผู้หญิงผิวขาวตัดกับเรือนผมสีดำยาวถึงกลางหลังได้วิ่งเข้ามาโผกอดคลาริสที่อยู่ใกล้สุด เขาอุ้มเธอคนนั้นลอยสูงจากพื้นเล็กน้อยแล้วออกแรงเหวี่ยงหมุนรอบเป็นวงกลมเบาๆ สองสามรอบพร้อมส่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน โดยที่อิกนิสยังวุ่นวายกับข้าวของในรถไม่เสร็จ

“คลาริสมาเก็บของตัวเองสิ” อิกนิสโผล่หน้าออกมาจากด้านหลังรถม้าที่ตอนนี้สัมภาระส่วนหนึ่งถูกนำเข้าบ้านไปแล้ว พอเด็กสาวคนเดิมได้เห็นหน้าพี่ชายคนโตจึงผละออกจากคลาริสแล้วตรงเข้าไปกอดเอวอิกนิส

“แฮะๆ ท่านพี่อิกนิส ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”

“ขอโทษนะมานิชา พี่ขอเอาของไปเก็บบนห้องก่อนนะ” อิกนิสบอกเสียงนุ่มละมุนพลางลูบหัวมานิชา แต่นั่นกลับให้ผลตรงกันข้าม เด็กหญิงออกแรงกอดเขามากขึ้นกว่าเดิมจนอิกนิสรู้สึกหนักใจที่จะหยุดเธอ จนคลาริสก็เข้ามาช่วยพูด

“มานิชา เดี๋ยวก็โดนดุเอาหรอก”

“ท่านพี่อิกนิสไม่ดุน้องอยู่แล้วค่ะ” มานิชาเถียงกลับรู้ดีว่าพี่ใหญ่ใจดีกับเธอมากๆ จนอิกนิสต้องผ่อนลมหายใจลูบหัวเด็กหญิงอีกรอบ

“ท่านแม่อยู่ไหนเหรอ?” อิกนิสถามถึงที่อยู่ของแม่

“ท่านแม่อยู่เรือนกระจกค่ะ” เสียงใสจากเด็กหญิงตอบทันทีทั้งที่ยังกอดอิกนิสอยู่

“งั้นไปรอพวกพี่กับท่านแม่นะ ไว้เก็บของเสร็จแล้วจะตามไป” อิกนิสยิ้มบอกมานิชาที่จ้องพี่ใหญ่ตาแป๋ว ก่อนจะพนักหน้าตกลง

“รีบมาไวๆ นะคะ” ว่าจบ มานิชาก็ปล่อยร่างของอิกนิสให้เป็นอิสระแล้วรีบวิ่งเข้าไปบ้านเพื่อไปยังเรือนกระจกซึ่งอยู่ด้านหลังของคฤหาสน์ จากนั้นเขาก็มองไปทางคลาริส “ส่วนนายก็รีบเอาของไปเก็บที่ห้องได้แล้ว”

“เออ รู้แล้วน่า” คลาริสตอบกลับเสียงห้วน

คลาริสก็ไปจัดข้าวของส่วนตัวไปเก็บที่ห้องตามที่พี่ชายบอก ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีสัมภาระของคลาริสก็หายไปจากหน้าบ้าน ขณะที่ของอิกนิสนั้นมีมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่ห้องสมุดอนุญาตให้ยืมช่วงปิดเทอมได้ โดยแต่ละเล่มล้วนแล้วเป็นหนังสือที่ชาร์ล็อตแนะนำมา ในระหว่างที่ตรวจสอบความเรียบร้อยหลังจัดห้องเสร็จ อิกนิสก็เห็นคลาริสวิ่งตรงไปยังเรือนกระจกผ่านหน้าต่างห้อง เขาจึงไปที่นั่นตามน้องชายไปเพื่อพบแม่

โดยเรือนกระจกที่อิกนิสกำลังไปตั้งอยู่ข้างหลังคฤหาสน์ มีลักษณะเป็นทรงโดมซึ่งมองจากทางข้างนอกก็เห็นต้นไม้หนาทึบ เมื่อก้าวเท้าพ้นบานประตูที่ต้องปิดตลอดเวลาเพื่อปกป้องไม่ให้นกที่เลี้ยงภายในป่าจำลองบินออกไป เดินลึกเข้าไปอีกเล็กน้อย นอกจากคลาริสกับมานิชา ที่นั่นยังมีหญิงสาวผิวแทน เรือนผมสีแดงไวน์ไว้ยาวสลายในชุดสาหรี่สีขาวที่ส่วนกระโปรงถูกดัดแปลงให้เป็นทรงสุ่มและปักด้วยเลื่อมสีทองเป็นลวดลายอ่อนช้อยซึ่งดูแปลกตา กับหญิงสูงวัยผมดำแซมขาวมัดรวบเรียบร้อยในชุดกระโปรงดูเรียบไปเลยเมื่อเทียบกับอีกคน

และทันทีที่ดวงตาสีม่วงอ่อนสังเกตเห็นอิกนิสเดินเข้ามา อลิสา ฟรานเซนไทน์จึงตบเก้าอี้ตัวข้างๆ เบาๆ เป็นการเชิญชวนเด็กหนุ่มให้มาร่วมวงด้วยกัน อิกนิสจึงนั่งลงตามที่แม่บอกอย่างว่าง่าย

“สี่เดือนเลยเนอะที่พวกเราไม่ได้เจอกัน” เสียงแปร่งมีเอกลักษณ์ว่าขึ้นพลางรินน้ำชาให้ลูกชายคนโต “แล้วที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างจ้ะ ได้เจออาจารย์ชื่อเคธีไหม ทั้งท่านพ่อกับท่านอาชอบพูดเสมอเลยว่าเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดน่าดู”

“ได้เจอครับ เขาเป็นอาจารย์สอนเวทมนตร์ภาคปฏิบัติ” อิกนิสตอบพร้อมเอื้อมมือหยิบขนมปังในตระกร้าขึ้นมากิน

“พ่อพูดถูกจริงๆ ด้วย เข้มงวดขนาดที่ว่าแค่จะใช้เวทนิดเดียวยังไม่ได้เลย” คลาริสเสริมถึงความเข้มงวดของอาจารย์เคธีที่มาเห็นในตอนที่เขาจะใช้เวทมนตร์อวดเกล็นที่ระเบียงทางเดินทางหลังจากหมดคาบวิชาเลือก

“ก็มันเป็นกฎ” แฝดผู้พี่ว่า “อีกอย่างห้องที่นายเรียนกับปรุงยาก็อยู่ใกล้กันขนาดนั้น ไม่แปลกที่อาจารย์เขาจับได้น่ะ”

อลิสาส่งเสียงขบขันที่เห็นลูกสองคนเริ่มมีปฏิสัมพันธ์ดีขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพวกเขามักจบเงียบเวลาคุยกันแต่ละครั้งก็เป็นลักษณะถามคำตอบคำ ไม่ใช่แค่ผู้เป็นแม่รู้สึก ทั้งมานิชาและย่าเองก็สัมผัสได้ แต่ก็ไม่มีใครเปิดปากทักเรื่องนี้ เพราะกลัวว่าจะมีฝ่ายหนึ่งเขินซะจนพาเสียบรรยากาศ

“จริงสิ ย่ารู้จักคนนามสกุลฮิลเนสันไหม” คราวนี้คลาริสเปลี่ยนความสนใจหันไปทางย่าด้วยแววตาเปล่งประกาย

“แน่นอนสิจ้ะ ใครจะไม่รู้จักหนึ่งในตระกูลจอมเวทใหญ่เชียวนะ อ้อ! รู้สึกว่าอาจารย์ที่เคยสอนพวกพ่อหลานก็แต่งงานกับคนบ้านนั้นด้วย แต่ได้ข่าวว่าเกษียณก่อนกำหนดแล้วนี่นา…” หญิงสูงวัยยกมือกอดอกและเท้าคางรำลึกถึงเรื่องเก่าๆ “ว่าแต่มีอะไรเหรอถึงได้ถาม”

พอรู้ว่าย่ารู้จักคนบ้านฮิลเนสัน คลาริสก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีนึกเรื่องสนุกออก ด้านอิกนิสที่ปรายตามองอยู่ก็รีบชิงตัดบทของน้องชาย เพราะรู้ดีว่าคลาริสจะพูดเรื่องอะไรออกมา

“จะว่าไปวันนี้ท่านพ่อไม่อยู่เหรอครับ”

“เห็นว่ามีธุระด่วนที่เบเลเทียน่ะจ๊ะ สักเย็นๆ ก็กลับมาแล้ว…” อลิสาตอบก่อนจะเหลือบตามองอิกนิส “มีอะไรหรือเปล่า?”

“คะ แค่ถามดูน่ะครับ…” จากนั้นอิกนิสก็คว้าขนมปังตรงหน้าขึ้นมาปิดปากตัวเองแล้วไม่ใส่ใจสายตาเคืองจากคลาริสที่ถูกขัดคอ ถึงอย่างนั้นอลิสาก็สามารถพากลับมาเรื่องเดิมได้

“แล้วคนชื่อฮิลเนสันเขาทำไมเหรอ?” หญิงสาวทำหน้าตาฉงนสงสัยมองคลาริส

“สงสัยจะเป็นหลานของอาจารย์คนนั้นหรือเปล่า ได้ยินว่าลูกหลานแกมีเยอะ ก็คงไปเรียนที่เอลเซียส์เหมือนกันนั่นแหละ” ผู้เป็นย่าตอบแทน

“ใช่! ชื่อเกล็น เป็นคนที่แปลกๆ ดี ผมชอบเขานะ” คลาริสบอกชื่อเพื่อนคนแรกให้ฟัง ทำให้อลิสาสนใจเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ ต่อ

“แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะจ้ะ”

“ก็…คนดี” คลาริสลูบคางนิยามสั้นๆ “ถึงจะมีคนหนึ่งน่าหงุดหงิดก็เถอะ”

“นั่นเป็นเพราะนายหาเรื่องเขาก่อนไม่ใช่หรือไง” อิกนิสโต้กลับ “เวลาพวกนายเถียงกันคนอื่นเขาลำบากใจนะ”

“เฮ้ยๆ ความผิดมันต้องหารครึ่งดิ” คลาริสแย้งแยกเขี้ยวไม่ยอมเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียว “บางทียัยนั่นก็เริ่มก่อนด้วยซ้ำ”

“เรียกเด็กผู้หญิงว่ายัยนั่นไม่ดีเลยนะคลาริส” อลิสากล่าวเตือนลูกคนรอง “แต่ไม่นึกเลยนะว่าลูกชายแม่จะสนิทกับเด็กผู้หญิงด้วย นึกว่าจะคบแต่พวกผู้ชายกันเองซะอีก ว่าแต่เด็กคนนั้นชื่ออะไรเหรอ?”

“ชาร์ล็อต คาเลนเซียครับ” แฝดผู้พี่ตอบ

“อ้อ คุณคาเลนเซียนี่เอง” อลิสาร้องอ้อนึกถึงหน้าตาเจ้าของชื่อออก

“ท่านแม่รู้จักด้วยเหรอ?” อิกนิสเงยหน้ามองแม่อย่างสนใจ

“ก็เจอตามงานเลี้ยงนั่นแหละ ถึงนานๆ จะเจอสักครั้ง แต่แม่ยังจำเขาได้เลยคงเพราะเขาตัวสูงกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปล่ะเนอะเลยดูโดดเด่น ได้ยินว่ามีคู่หมั้นแล้วด้วยล่ะ”

“หา!?” สองพี่น้องทำตาโตอุทานขึ้นพร้อมกันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเองว่าชาร์ล็อตจะมีคู่หมั้นแล้ว

“อะ อีกฝ่ายหรือใครท่านแม่” อิกนิสถามต่อด้วยความอยากรู้ว่าฝ่ายชายเป็นคนประเภทไหน ทำเอาอลิสามึนงงกับท่าทีของลูกชายคนโต แต่เธอก็ตอบตามเท่าที่รู้จากวงซุบซิบนินทาในหมู่คุณหญิงคุณนาย

“เห็นว่าเป็นเพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ น่ะ แต่แม่ก็ไม่เคยเห็นคนที่ว่านั่นเลยสักครั้ง”

“เพื่อนที่สนิทกันตั้งแต่เด็กๆ เรอะ?” คลาริสทวนคำตอบของแม่พลางสบตากับอิกนิส ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นเรือนกระจก ส่วนอิกนิสนั่งกลั้นขำจนท้องแข็งและโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

“โอ๊ย ข่าวพวกแม่ต้องมั่วแน่เลย” คลาริสมือขึ้นซับน้ำตา “เพื่อนสนิทที่ว่านั่นก็คือเกล็นคนเดียวกับที่พูดนั่นแหละแม่ สองคนนั้นตัวติดกันก็จริงแต่เหมือนพ่อกับลูกมากกว่า ฮ่าๆๆๆ”

“กะแล้วเชียวว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่คนที่นี่ก็ชอบจับคู่ลูกคนอื่นไปทั่วจริง” อลิสาว่าอย่างไม่ใส่ใจเรื่องซุบซิบ “แล้วนอกจากสองคนนั้นมีใครอื่นอีกหรือเปล่าจ้ะ?”

“มีสิ! เจ้าชายจูเลียสก็อยู่กลุ่มเดียวกันด้วยแหละ!” คลาริสยึดอกภูมิใจที่มีเพื่อนระดับองค์ชาย

“ถ้าเจ้าชายจูเลียสหนูก็เคยเห็นเขาบ่อยๆ ค่ะ” มานิชาเอ่ยขึ้นต่อด้วยสีหน้าเบิกบาน ทำเอาพี่คนรองแอบผิดหวังหน่อยๆ

“โธ่ นึกว่าจะตื่นเต้น” คลาริสตอบเสียงเซ็ง แล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “พอพูดถึง เจ้านั่นก็แปลกเหมือนกัน เพิ่งจะหนีเคฟเสนคตอนสอบอยู่แท้ๆ ยังมีหน้าถามอีกนะว่างูแบบนี้มีขนาดตัวปกติหรือเปล่า ให้ตายสิ”

ลูกคนรองบ่นถึงวันสอบให้คนในครอบครัวฟัง ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากที่พวกเขาหนีออกจากถ้ำได้สำเร็จ เขาเปลี่ยนท่านั่งอีกครั้งเพื่อยื่นมือจะไปหยิบขนม

“ล่าสุดก่อนกลับบ้านยังบอกว่าอยากหาอิกัวน่ามาเป็นเพื่อนกับได้ตัวที่เลี้ยงไว้อีก อ๊ะ! ขนมหมด” คลาริสมองความว่างเปล่าในถาด

“จะเอาเพิ่มหรือเปล่า เดี๋ยวแม่จะได้ให้คนไปเอามาเพิ่ม” อลิสากวาดตามองหากระดิ่งบนโต๊ะพลางจับต้นแขนคลาริส โดยที่ไม่รู้ว่าแขนข้างนั้นบาดเจ็บจากการสอบ

เมื่อได้ยินคลาริสร้องเจ็บ อลิสาผละทุกอย่างแล้วรีบถกแขนเสื้อลูกชายคนรองดูรอยฟกช้ำ

“ตายจริง! ลูกไปโดนอะไรมา”

“ล้มตอนที่สอบปลายภาคมาน่ะ” คลาริสตอบแม่อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับอาการบาดเจ็บ

“แต่แผลนั่นดูเหมือนเป็นมานานแล้วนะคลาริส” คราวนี้ผู้เป็นย่ากล่าวด้วยความกังวล เธอสั่นกระดิ่งเรียกคนรับใช้ให้ไปตามหมอประจำตระกูลมา “ปล่อยให้หายเองแบบนี้ไม่ได้นะ”

“จริงๆ ฟิเล… หมายถึงคุณยูเรลล่าเขาช่วยรักษาให้คลาริสแล้วน่ะครับ เหลือแค่ทายาให้ครบวัน” อิกนิสตอบแม่และย่าที่แตกตื่นให้ใจเย็นลง

“หลานก็น่าจะให้อาจารย์รักษาต่อให้เรียบร้อยเลยนะ” ย่าตำหนิเสียงเรียบ

“ก็มันแค่นิดหน่อยเอง…” คลาริสบ่นอุบอิบที่แม่กับย่าตื่นตระหนกเกินเหตุกับรอยฟกช้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับการรักษาอย่างดีจากแพทย์ประจำตระกูล ทำให้บาดแผลหายสนิทไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดจี๊ดๆ เวลาขยับแขนไปมา

“เอาเป็นว่าให้พวกลูกไปพักกันก่อนดีว่า” อลิสาลุกขึ้นพร้อมสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดโต๊ะ “เดี๋ยวเราค่อยมาคุยอีกทีตอนที่ปู่กับพ่อเขาอยู่ด้วยดีกว่านะ”

ได้ยินคำว่าพ่อจะอยู่ฟังด้วย คลาริสก็กลายเป็นเด็กดีเชื่อฟังแม่ไปพักผ่อนที่ห้องส่วนตัว ขณะที่อิกนิสได้แค่ถอนหายใจรู้ดีว่าน้องชายวางแผนอะไรอยู่ และดูเหมือนว่าเขาจะห้ามเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย จนนึกสงสารพ่อขึ้นมาที่จู่ๆ คลาริสเอาเรื่องสมัยเรียนขึ้นพูด แต่ระหว่างจะเดินกลับเข้าตัวคฤหาสน์ มือเล็กๆ ของมานิชาดึงชายเสื้ออิกนิสเบาๆ ให้เขาก้มไปหาเธอ นัยน์ตาสีฟ้าใสจ้องเขาตาแป๋วพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆ

“ว่าแต่ท่านพี่อิกนิสไม่มีเรื่องเล่าให้ฟังบ้างเหรอคะ?” น้ำเสียงใสๆ ถามขึ้นแล้วเริ่มคะยั้นคะยอพี่ใหญ่เล่าบ้าง หลังจากที่ฟังเรื่องของคลาริสมาเล็กน้อย

“เอาไว้ตอนกินข้าวพี่จะเล่าให้นะ” อิกนิสลูบหัวน้องสาวอย่างเอ็นดู เพราะเขาเองก็อยากพักผ่อนแล้วเหมือนกัน แต่ในหัวก็ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่ามีเรื่องไหนน่าเล่าให้ฟังบ้าง จนกระทั่งวิวของดอกแสงตะวันผุดขึ้นมาพร้อมกับเด็กสาวผมแดงคนนั้น แต่เสียงของแม่ก็ดังแทรกเข้ามา

[ได้ยินว่ามีคู่หมั้นแล้วนะ]

อิกนิสส่ายหัวสลัดประโยคนั้นหลุดออกจากความคิด แล้วลอบหายใจเบาๆ ก่อนจะจูงมือมานิชาเดินกลับเข้าคฤหาสน์เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวลงมาทานมื้อเย็น