21 ตอน บทที่ 20: ข้อมูลเพิ่มเติม
โดย RiFourver
“เธอเป็นใคร แล้วทำไมถึงมาอยู่ในร่างเด็กคนนี้ได้?” น้ำเสียงตึงเครียดเอ่ยถามกับเกล็นที่เบือนหน้าหนี เขาเขย่าขาข้างหนึ่งเสียบุคลิกและมารยาท
ในสมองเกล็นเต็มไปด้วยประโยคมากมาย แต่ก็ไม่มีประโยคไหนเลยที่จะสามารถตอบคำถามของเกรกอรี่ได้ดี พอนึกคำหนึ่งได้ก็ต้องย้อนกลับมาแก้ใหม่เพื่อให้มันดูดีอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น สุดท้ายเขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายสบตากับชายสูงวัยตรงหน้า
“ผมก็คือผมนั่นแหละ” มันคือคำตอบเดียวที่แน่นอนที่สุดสำหรับเกล็นในเวลานี้ แม้อดีตจะมีชื่อว่านริศ แต่ปัจจุบันเขาคือเกล็นอย่างแน่แท้ ไม่ได้ยึดร่างของใครมาทั้งนั้น “ผมรู้ว่าคุณไม่เข้าใจความหมายลึกซึ้ง แต่ที่ที่ผมจากมามีความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด เมื่อคนคนหนึ่งตายไปแล้วดวงวิญญาณจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้นอกจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ว่าจะได้ร่างกายใหม่ที่ใด”
เกล็นพยายามอธิบายโดยเอาความเชื่อโลกเดิมมาอธิบายหวังให้เกรกอรี่เข้าใจ
“ผมก็คือหนึ่งในผู้คนมากมายที่ตายจากที่อื่นแล้วได้ลืมตาดูโลกอีกครั้งในสถานที่ที่แตกต่างออกไป ซึ่งโลกที่ผมจากมาเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ‘กลับชาติมาเกิด’ แต่การได้รับร่างใหม่นี้ก็เกิดสิ่งผิดปกติขึ้น นั่นคือการที่ผมจำเรื่องราวชีวิตของร่างก่อนได้หรือก็คือ ‘การระลึกชาติ’
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ผมพูดๆ มา แม้แต่โลกเดิมที่จากมาก็มองว่าเป็นเรื่องงมงาย เพราะไม่มีใครเคยพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์อย่างเราๆ จะสามารถเกิดใหม่ได้จริงหรือไม่ มีแต่คำกล่าวอ้างเท่านั้น แต่ในมุมมองผมมันดันกลายเป็นเรื่องจริง เพราะผมจำเรื่องชาติก่อนได้ จำได้ว่าตัวเองเป็นใคร พ่อแม่พี่น้องชื่ออะไร เจออะไรบ้างในชีวิต…”
แล้วจากนั้นเกล็นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยใบหน้าเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยอยากจำมากที่สุด ด้านเกรกอรี่ที่ตั้งใจฟังก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ลูบคางโดยที่ใจหนึ่งไม่อยากเชื่อเท่าไร ทว่าภาพที่เขาเคยเห็นในความทรงจำของเด็กหนุ่มมันก็มีแต่สิ่งของแปลกๆ พิสดาร
“เป็น… ความเชื่อที่แปลกดี” เขาจำใจยอมรับว่าเรื่องที่ฟังเป็นความจริงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่นึกฝันว่ายังมีมิติอื่นที่ต้องตายเท่านั้นถึงจะข้ามไปได้ “แล้วถ้าเธอมาจากมิติเก่า แล้วทำไมถึงรู้อนาคตของพวกเราได้ล่ะ?”
“หวา คำถามยาก” เกล็นปั้นหน้าอมยิ้มทำตัวไม่ถูก “ตอบตรงๆ ว่าเป็นเกมคงได้งงตายชัก แล้วปู่แกเจอเวอร์ชันเกมหรืออนิเมะล่ะนั่น เนื้อหาเดียวกันก็จริงแต่เดินเรื่องคนละอย่างเลย”
“เอ่อ… บอกตามตรง ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้คุณเข้าใจดีนะ แต่ถ้าให้พูดแบบเห็นภาพชัดๆ ละกันว่า เรื่องราวของพวกคุณในโลกเดิมผมมันคือนิยาย มันถูกแต่งขึ้นมาโดยมีแมรีแอนน์เป็นตัวเอก เธอต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นานาเพื่อพบฉากจบอันสวยงาม” เกล็นพูดไปพลางกวาดมือประกอบเป็นสายรุ้งกินน้ำ
“ที่เธอพูดมา… แปลว่าต่อให้เชเบอร์ทอสกลับมาก็ถูกปราบได้สินะ” เกรกอรี่ไม่ซักไซ้ถามรายละเอียดเรื่องของเกล็นต่อ แต่หันไปสนใจประเด็นของมังกรร้ายแทน
“ใช่ โดนจัดการแบบไม่มีฟื้นเลยครับ” เกล็นตอบอย่างมั่นใจ เพราะหลังจากที่เล่นจบมันก็ไม่มีภาคสองต่อ แถมวันที่เขาได้เล่นเกมนี้ครั้งแรก มันก็ออกวางจำหน่ายได้หลายปีแล้ว
“แบบนี้เท่ากับว่าพวกเราชนะสินะ” นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายเมื่อพบแสงสว่างที่ปลายทาง ทว่าความหวังที่จะกำจัดเชเบอร์ทอสง่ายๆ ต้องถูกเบรกเสียก่อน
“ขอโทษนะที่ต้องขัด” เกล็นยกมือปรามขึ้น “แต่ไม่อยากให้คาดหวังเท่าไรหรอก เพราะมันเป็นความทรงจำตั้งห้าสิบกว่าปีก่อน จำบางเรื่องได้ก็บุญแล้ว ที่สำคัญหลายๆ อย่างตอนนี้ไม่ตรงกับความทรงจำของผมแล้วด้วย อย่างเรื่องดาบกับสร้อยที่เขียนบอกในจดหมาย ไหนจะตอนสอบปลายภาคอีก ทั้งที่จริงๆ แล้วพวกผมควรเจอกับอสูรทมิฬด้วยซ้ำ แต่มันกลับเป็นเคฟสเนคธรรมดาตัวหนึ่ง
สถานการณ์ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วโลกที่จากมาผมมันมีทฤษฎีที่ชื่อว่าผีเสื้อขยับปีก ที่หมายถึงการเปลี่ยนเหตุการณ์เล็กๆ ก็สามารถส่งผลกระทบบางอย่างที่ซับซ้อนหรือไม่ก็สร้างปรากฏการณ์สักอย่าง แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นแล้ว อย่างนิสัยเกล็นที่ผมรู้จักจากนิยายไม่ใช่คนแบบนี้หรอก เขาเอ่อ… นิ่งกว่านี้เยอะ แถมบางอย่างที่เกล็นคนนั้นไม่เคยทำ ผมก็ดันทำไป”
นอกจากเปลี่ยนนิสัยของเด็กหนุ่มผู้เย็นชาให้ดูเป็นเด็กปกติ เกล็นคนใหม่ก็ทำให้ครอบครัวหนึ่งมีลูกสองคน ทั้งที่ควรมีลูกคนเดียว ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าวิลลี่ที่ไม่ควรมีตัวตนจะส่งผลกระทบอะไรในภายภาคหน้าหรือไม่
“อ่อ อีกเรื่องหนึ่ง คุณรู้สินะว่าการคืนชีพเชเบอร์ทอสมีมนุษย์อยู่เบื้องหลัง”
“ว่ามาซิ” เกรกอรี่พยักหน้าเชิงรับรู้ให้อีกฝ่ายเล่าต่อให้จบเผื่อจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม หลังสืบได้ว่าการคืนชีพคราวนี้เองก็เกิดจากน้ำมือของมนุษย์เหมือนครั้งที่มันถือกำเนิด
“ตามที่ว่ามา เท่าที่ผมจำได้ก็จะมีมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับเชเบอร์ทอสหลักๆ ทั้งหมดสี่คน คนหนึ่งเป็นอัศวินเวท แล้วก็คนแก่คนหนึ่ง ส่วนอีกสองคนผมยังพอจำลักษณะคร่าวๆ ได้อยู่”
จากนั้นเกล็นก็พูดเรื่องผู้อยู่เบื้องหลังอีกสองคนที่ค่อนข้างจำได้แม่น คนแรกเป็นตัวละครหญิงอายุประมาณยี่สิบปลายๆ ผมหน้าสั้นเต่อเหนือคิ้ว ผมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำถักเปียสองข้างยาวประมาณกลางหลัง ดวงตากลมโตแต่เขาจำสีไม่ได้ สวมแว่นเลนส์เดียวข้างขวา และมีความเป็นผู้ใหญ่สูงพอให้ผู้ชายทั่วไปสนใจ ทว่านิสัยของหล่อนเป็นแนวพูดน้อยต่อยหนัก หน้าตาไร้อารมณ์พอๆ กับเกล็นในเกม อีกทั้งยังอยู่ฝั่งตัวร้าย บทบาทจึงไม่เยอะเท่าพวกตัวเอก ก็เลยทำให้เกล็นชอบเธอคนนั้นเป็นอันดับสี่ของเกมนี้
“น่าจะชื่อฮันนา ความสามารถคือควบคุมอสูรทมิฬได้…มั้ง”
“อีกคนล่ะ?”
“เป็นจอมเวทชื่อซิกมุนท์…”
ซึ่งตัวชายหนุ่มที่ชื่อซิกมุนท์คนนั้นก็ไม่ใช่จอมเวทธรรมดา เขานั้นเป็นถึงรองลาสต์บอสเกือบทุกรูท ซึ่งถ้าเคลียร์แฮปปี้เอนด์ทั้งหกรูทและทำเงื่อนไขสำเร็จ ซิกมุนท์ก็จะหลงใหลในตัวแมรีแอนน์แล้วหักหลังเพื่อนเพื่อช่วยให้ความต้องการนางเอกเป็นจริง โดยในฉากจบแฮปปี้เอนด์ เขาจะหายตัวไปนานถึงสิบปีแล้วกลับมาหาแมรีแอนน์
ซิกมุนท์เลยเป็นตัวละครสุดท้ายที่สามารถจีบได้ มีนิสัยที่อยากทำอะไรก็ทำ สนใจก็ทุ่มเทเต็มที่ พอเบื่อแล้วก็ทิ้งไปง่ายๆ ลักษณะการพูดจานั้นยียวนกวนประสาท ด้านหน้าตาจัดว่าสมกับเป็นตัวละครจีบได้ ซึ่งมีสาวๆ ในคอมมูนิตี้ชื่นชอบหนุ่มลุคเซอร์อายุสามสิบต้นๆ อยู่ไม่น้อย แต่เกล็นกลับไม่มั่นใจว่าผมกับตาสีไหน เนื่องจากความทรงจำเขาเป็นโทนสีอ่อนชวนให้จำสลับกับตัวละครที่มีรูปลักษณ์คล้ายกันจากเกมหรือการ์ตูนเรื่องอื่น กระนั้นภาพรวมของซิกมุนท์ก็ทำให้นริศสมัยนั้นปลื้มไม่น้อยเลยกลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่ชอบทำอันดับแซงฮันนา
“ซิกมุนท์” เกรกอรี่เลิกคิ้วทวนชื่อวายร้ายกลับใจ “เธอบอกว่าชื่อซิกมุนท์งั้นเหรอ?”
มหาปราชญ์เคาะนิ้วใช้ความคิด สีหน้าแสดงถึงความไม่แน่ใจว่าชื่อที่ถูกกล่าวถึงถูกต้องจริงหรือไม่ “อย่างที่เธอรู้ เบื้องหลังของการคืนชีพเชเบอร์ทอสเป็นฝีมือมนุษย์ แต่คนชื่อซิกมุนท์คนนั้นก็เป็นคนที่ลากคอเจ้าพวกนั้นออกมา ชื่อเต็มๆ คือซิกมุนท์ เรนเกอริ่ง”
จากนั้นชายสูงวัยก็ลดเสียงเบาลงอย่างสลดกับเรื่องที่จะพูดต่อ “แต่เขาก็ตายไปแล้ว โดนคนที่รอดจากการจับกุมฆ่าปิดปากเมื่อสองปีก่อน ปัจจุบันยังหาคนร้ายไม่พบ…”
เกรกอรี่ถอนหายใจต่อการจากไปของชายผู้นั้น ผิดกับอีกคนที่กระตุกยิ้มรู้ดีว่านั้นเป็นการจัดฉากลวงโลกแบบที่พบเห็นได้ตามนวนิยายบางประเภท
“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแกล้งตายมาก่อน แล้วโผล่มาเป็นศัตรู” เกล็นหัวเราะเสียงขึ้นจมูกรำลึกถึงวันวานที่นั่งสู้กับซิกมุนท์ในเกมที่เอาชนะยากกว่าบอสตัวจริงอย่างเชเบอร์ทอสเสียอีก
“ไม่หรอกครับปู่ หมอนั่นยังไม่ตาย ไม่งั้นผมจะพูดว่าเป็นตัวการได้ยังไงกัน” เด็กหนุ่มพูดดักคอ “เพราะงั้นทุกอย่างที่พวกคุณเห็นมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ”
ถึงอธิบายแล้วมันค่อนข้างย้อนแย้ง ทว่าเกรกอรี่เลือกที่จะส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่เกล็น คนจากเวสพีเรียถึงกับแจ้งข่าวนี้ให้ทุกประเทศรู้เลยนะ โดมินิกเองก็เป็นพยานในวันฝังศพด้วย”
“ปู่รู้ความสามารถเจ้านั่นปะ? แบบเวทธาตุมืดอะไรงี้”
“เอ่อ...” เกรกอรี่ชะงักชั่วขณะ “ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่เขาลือกันว่าซิกมุนท์เรียนจบจากสถานบันเวทธาตุมืดได้ภายในสองปีเชียวล่ะ”
“ว้าว” เกล็นอุทานเสียงแข็งทื่อเป็นความตกใจที่ไม่แปลกใจ เพราะเท่าที่รู้มาการเรียนเวทมนตร์ธาตุมืดล้วนแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ถึงห้าปีเป็นอย่างต่ำ บางคนเรียนไม่ไหวแล้วถอดใจเลิกกลางคันก็มี แม้แต่เกรกอรี่ที่ใครๆ ต่างชมว่าเก่งก็ใช้เวลามากกว่า
“แล้วมันทำไมเหรอ” เกรกอรี่ถามกลับ
“งั้น... ที่นั่นมีสอนการใช้เวทเคลื่อนย้ายไหม แบบว่าจะอีกที่ไปอีกที่” เกล็นถามพร้อมทำมือประกอบเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งที่อยู่หน้าเขา แล้วขยับไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง เกรกอรี่ที่นั่งฟังก็ยังมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาสงสัยพร้อมคิดถึงซิกมุนท์ไปด้วย หากเขาเป็นคนฉลาดก็สามารถแกล้งตายได้แนบเนียนอยู่แล้ว แต่วิธีออกจากหลุมเนี่ยสิ ผู้ชายคนนั้นทำได้ยังไง
“มี แต่ก็ต้องจดจำสถานที่ได้แม่นก่อน แล้วก็...มีขอบเขตของ...มัน...” ไม่ทันบอกจบประโยค ใบหน้าเกรกอรี่ซีดอ้าปากค้างเข้าใจที่เด็กหนุ่มต้องการบอก “ที่นั่นมันคือสุสานประจำตระกูลเรนเกอริ่ง และมีมุมอับสายตาคนเยอะ ถ้าจะใช้ย้ายอยู่ในขอบเขตก็ยังทำได้ง่ายๆ”
ทันทีที่ปะติดปะต่อความเป็นไปได้เรื่องที่ซิกมุนท์จะแกล้งตายตามที่เกล็นบอก เกรกอรี่ลุกพรวดเตรียมสั่งให้คนรับใช้ส่งสาสน์ด่วนเรียกประชุม แต่ก็ถูกเด็กหนุ่มเอื้อมตัวคว้าแขนรั้งเอาไว้
“ตอนนี้ซิกมุนท์จะยังไม่ปรากฏตัวออกมา แล้วสถานการณ์ตอนนี้เพี้ยนไม่รู้จะออกหัวหรือก้อย เพราะงั้นอย่าเพิ่งทำให้มันบานปลายดีกว่า ถ้าหมอนั่นไหวตัวทันขึ้นมาบอกเลยว่าความทรงจำผมก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว เหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรจนแก้ไขกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว”
เพราะกลัวสิ่งที่เกล็นพูดเป็นความจริง เกรกอรี่จึงถอยหลังตัวเซกลับไปนั่งลงที่เดิม ชายสูงวัยถอนหายใจอีกครั้งตระหนักถึงความอันตรายที่กำลังคืบคลานมา อีกทั้งในใจยังมีเรื่องสงสัยอีกมากมาย
“เรื่องแกล้งตายฉันจะพอเดาเหตุผลได้ว่าเพราะอะไร แต่ฉันกลับไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ส่งครอบครัวของตัวเองเข้าคุกด้วย”
“ครอบครัวเหรอครับ?” เกล็นเอียงคอมองอย่างฉงน
“จากรายงานที่ฉันเคยอ่าน ครอบครัวเขาตั้งใจจะคืนชีพเชเบอร์ทอส” เกรกอรี่บอกตามที่รู้ สักพักเขาก็นึกเอะใจสงสัยเรื่องหนึ่งขึ้นมา “หรือว่าสาเหตุที่คนพวกนั้นไม่มีความทรงจำอะไรเลย ไม่ใช่อุบัติเหตุระหว่างการทดลอง... แต่เป็นตัวซิกมุนท์เองที่ลบความทรงจำทิ้ง...?”
“เอ่อ... เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้หรอก” เกล็นยักไหล่ไม่สามารถใช้คำตอบได้ “ว่าแต่ที่เราคุยๆ มาเนี่ย มีใครรู้เรื่องบ้างครับ”
“ถ้าไม่นับเธอ ก็มีอีกสามคน ฉัน ท่านเบเลธ แล้วก็โดมินิก เขาเป็นหัวหน้ากองอัศวินเวท”
“โอเค...” เกล็นพยักหน้าพึมพำ “งั้นต้องเตือนเรื่องซิกมุนท์ให้สองคนนั้นรู้ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นเรายังมีคนรับไม้ต่อทัน แต่ก็อย่าเพิ่งให้คนประเทศอื่นรู้น่าจะดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่านิสัยคนอื่นจะเผลอปากสว่างเล่าอะไรให้ใครฟังจนถึงหูหมอนั่น”
“ได้ ฉันเองก็คิดแบบเดียวกับเธอ แต่วันนี้ฉันเรียกคนใกล้ชิดพ่อแม่ของแมรีแอนน์มา เพราะงั้นนอกจากพวกเราสี่คนก็คงมีคนอื่นอีก”
“อะฮะ...” เกล็นเอียงคอกอดอกขานรับ ก่อนจะหลับตาลงเพื่อระลึกเรื่องเก่าๆ “ถ้าอิงจากความทรงจำ หลังสอบเสร็จแมรีแอนน์จะส่งผลึกให้กับทางโรงเรียน จากนั้นครูใหญ่ที่เห็นว่าผลึกมีพลังเวทผิดปกติเลยเข้ามาปรึกษากับพวกปู่ เลยเกิดความเคลือบแคลงในตัวแมรีแอนน์ ไหนจะทั้งพลังที่มากกว่าคนอื่นที่สงสัยกันมาตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน หลังจากที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บหนึ่งในอาจารย์ที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วดาบก็ดีเกินกว่าที่สามัญชนจะครอบครอง เลยสืบหาประวัติว่าเป็นใครมาจากไหน... แล้วสักราวๆ ตอนขึ้นปีสองก็โดนเรียกให้ไปเจอท่านเบเลธเพื่อยืนยันว่าเป็นทายาทตระกูลลูมิเธอร์”
“การที่เธอพูดแบบนี้เท่ากับว่าแมรีแอนน์คือทายาทลูมิเธอร์จริงๆ สินะ แต่ถ้าอยากให้เหตุการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เธอจำได้ เราควรต้องเก็บความลับนี้ไว้ก่อน”
“เห็นด้วยครับ ว่าแต่คนที่จะมาเนี่ยเชื่อใจได้หรือเปล่า?” เกล็นย้อนถามเพราะยังไม่ไว้ใจคนอื่นนัก ขืนทำอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมา คนที่ซวยสุดอาจจะเป็นแมรีแอนน์ ดังนั้นความปลอดภัยของเธอต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่เมื่อเกล็นปรายตามองไปทางเกรกอรี่ที่ทำหน้าตาขึงขัง โดยที่แววตาของเขาดูเป็นห่วง เด็กหนุ่มก็เลิกคิ้วมอง
“หืม? มีอะไรเหรอครับ”
“แล้วหลังที่พวกเธอขึ้นปีสองจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้น
“ก็ตามหาผลึกชิ้นที่เหลือต่อ... อ๊ะ!” เกล็นยกมือปิดปากอุทานหลังนึกอีกเรื่องหนึ่งออก “จริงด้วยตอนปีสองจะออกเดินทางตามหาผลึกที่เหลือกัน แบบนี้ต้องมีปัญหาเรื่องเรียนแน่”
“สำหรับเรื่องนั้นไว้เราค่อยคิดกัน ว่าแต่ตอนนี้เธอจะเอายังไงกับเรื่องนี้ล่ะ?”
“เอายังไง? คืออะไรเหรอ” เด็กหนุ่มทำหน้าเหลอหลายังไม่เข้าใจที่เกรกอรี่บอก
“ถ้างั้นฉันจะขอพูดใหม่” มหาปราชญ์กระแอม แล้วเรียบเรียงเรื่องที่พูดกับเกล็นใหม่ “เกล็นจากนี้ไปเธอจะช่วยพวกเราจัดการเชเบอร์หรือเปล่า”
ได้ยินคำถามจากเกรกอรี่ เกล็นก็ขมวดคิ้วและยกมือทั้งสองข้างปิดปากพร้อมปล่อยตัวไหลไปตามเก้าอี้อย่างเสียมารยาท สีหน้าเขาเคร่งเครียดเพราะครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหนัก เนื่องจากสิ่งที่เล่าออกมาทั้งหมดมันไม่ต่างอะไรกับการที่เกล็นได้ก้าวเท้าข้างหนึ่งช่วยพวกเกรกอรี่ในการหาทางปราบมังกรมารที่กำลังคืนชีพ ทั้งที่ใจจริงของเขาต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนชาติก่อน
“มันเป็นเพราะเราเกิดเป็นหนึ่งในตัวเอกเหรอ…” เขาถามกับตัวเองถึงสาเหตุที่เข้ามาพัวพันเรื่องพวกนี้ “ไม่สิ… เป็นเพราะเรารู้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ต่างหากล่ะ ก็เลยบอกปู่เกรกอรี่ให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…”
“เกล็น…” น้ำเสียงนุ่มนวลของเกรกอรี่เรียกเกล็นที่อยู่ในห้วงความคิด ตัวเขาเองก็ไม่อยากบังคับเกล็นให้มาช่วยงานทางนี้ ทว่าความรู้ที่เด็กหนุ่มมีนั้นจำเป็นต่อการทำงานของศาสนจักรอย่างมาก แม้เจ้าตัวเคยบอกแล้วว่านั่นคือความทรงจำหลายสิบปีก่อนก็จริง แต่ถ้าเกล็นไม่พูดชื่อของซิกมุนท์ขึ้นมา ชายคนนั้นก็จะไม่มีวันตกเป็นผู้ต้องสงสัยเพราะทุกคนต่างคิดว่าเขาได้ตายไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว มันเลยทำให้เกรกอรี่เริ่มรู้ว่าควรจะจัดการปัญหาอย่างไรต่อ “ถ้าเธอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
เกรกอรี่บอกกับเกล็นอย่างห่วงใย เพราะถ้าดึงเกล็นมาเกี่ยวด้วยอาจจะให้เขาคิดถึงเรื่องเลวร้ายเมื่อครั้งอยู่อาศัย ณ ดินแดนต่างมิติ
“คุณน่ะรู้ว่าผมเคยเจออะไรมาถึงได้เป็นห่วงใช่ไหมล่ะ ก็ขอบคุณอีกครั้งที่คิดถึงใจผม แถมผมเองก็อยากใช้ชีวิตสงบๆ ไม่ต่างอะไรจากชาติก่อนด้วย” เกล็นพูดขึ้นพร้อมขยับตัวให้กลับมานั่งท่าปกติแล้วดันตัวขึ้นยืน เขามองไปทางเกรกอรี่ “แต่ถ้าผมไม่ทำเท่ากับว่าจะมีแค่แมรีแอนน์คนเดียวที่ต้องตามหาผลึกนั่น ถึงจะไม่อยากยุ่งเรื่องพรรค์นั้น แต่ผมคงทิ้งแมรีแอนน์ไว้คนเดียวไม่ได้หรอก เพราะเธอเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าเธอจะไปไหนผมก็จะขอตามไปช่วย”
“เกล็น… เธอแน่ใจแล้วนะว่าจะทำแบบนั้น?” เกรกอรี่ลุกขึ้นสบแววตาที่แน่วแน่ของเด็กหนุ่ม
“เรื่องมันมาขนาดนี้ ผมคงถอยหลังไม่ได้แล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็จะช่วยแมรีแอนน์เท่าที่ทำได้” เกล็นพยักหน้ายืนยันความต้องการที่จะช่วยเหลือแมรีแอนน์ตามหาผลึก “ผมสัญญาว่าจะไม่ให้แมรีแอนน์เป็นอะไร แน่นอนว่าตัวผมก็จะไม่เป็นอะไรด้วย”
“ทางฉันก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือพวกเธออย่างสุดความสามารถเหมือนกัน”
จากนั้นเกล็นกับเกรกอรี่ได้จับมือยินยอมที่จะร่วมมือกันที่จะตามหาผลึก ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับตัวร้ายอย่างซิกมุนท์ที่มีความเก่งกาจกว่า
“เอาล่ะ เกล็นจากนี้โชคชะตานายก็ไม่ต่างจากเนื้อหาเกมแล้วนะ… ไม่สิ ต้องบอกว่านายต้องทำให้ดีกว่านั้นให้ได้ เพื่อช่วยแมรีแอนน์กับกู้…โลก... อา รู้สึกทำอะไรเกินตัวไปแล้วสิเนี่ย แต่ก็จะไม่หันหลังกลับหรอก เพราะงั้นสู้เข้าล่ะตัวฉัน!”
ในช่วงที่เกล็นปลุกใจตัวเองอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขัดอารมณ์ขึ้น เด็กหนุ่มปรายตาไปหาเกรกอรี่ที่เป็นเจ้าของบ้าน
“ดูเหมือนว่าสองคนที่ฉันพูดถึงมาแล้ว” ชายสูงวัยบอกก่อนจะขานรับอนุญาตให้คนรับใช้พาแขกสองคนเข้าห้องได้
เมื่อบานประตูเปิดต้อนรับแขกที่ว่า ร่างของสองชายหญิงวัยกลางคนก็ย่างเท้าพ้นกรอบประตูเข้ามาด้านใน
ฝ่ายผู้หญิงที่มีรูปร่างเล็กและผอม สวมชุดกระโปรงยาวดูเรียบง่ายเหมือนจงใจปิดบังสถานะตัวเอง แต่ก็ไม่อาจจะซ่อนท่วงท่าการก้าวเดินที่อกผ่ายไหล่ผึ่งดูมีสง่าราศีสมเป็นชนชั้นสูงได้ เส้นผมสีน้ำตาลแดงมัดรวบเรียบร้อยประดับด้วยหวีสับลวดลายผีเสื้อฝังเพชรเม็ดงามบ่งบอกถึงฐานะอย่างดี นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นช่างคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ได้มาก่อน ส่วนชายอีกคนที่มาด้วยกันนั้น...
“หน้าตาแบบนั้น พ่ออิกนิสแน่นอน!”
Comments (0)