3 ตอน บทที่ 2: ขอบคุณที่ไม่ได้เกิดเป็นวัว
โดย RiFourver
นริศรู้สึกอยากจะขอส่งคำขอบคุณนี้ให้แก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่ให้เขาสมพรปากว่าขอเกิดใหม่เป็นวัวเมื่อชาติก่อน หลังจากที่ได้ออกนอกบ้านเป็นครั้งแรก นริศก็เลยรีบทำการสำรวจบริเวณรอบบ้านทันที โดยคฤหาสน์ฮิลเนสันตั้งอยู่บนเนินเขา และเมื่อผ่านแนวป่าที่ค่อยๆ บางตาได้สักพัก ดวงตาสีดำก็เริ่มมองเห็นเมืองริมทะเลสาบกว้างใหญ่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล บ้านเรือนตั้งเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย มีทิวเขาที่ถูกย้อมด้วยใบไม้สีแดงเอกลักษณ์ของฤดูใบไม้ร่วงเป็นฉากหลัง เท่ากับเมืองและบ้านของฮิลเนสันอยู่ท่ามกลางหุบเขา
ด้านคมนาคมของโลกนี้คือการใช้รถม้าไม่ก็เกวียนในการเดินทาง ทำให้การนั่งครั้งแรกของนริศเต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจหลงลืมความเร็วของพาหนะจากชาติก่อน
ระหว่างเดินทางก็มีชาวบ้านพาวัวออกมากินหญ้าโบกมือทักทายเด็กชายตาแป๋วที่โผล่หน้าออกมาดูบรรยากาศ สีหน้าของพวกเขาเป็นมิตรและมีชีวิตชีวา บ่งบอกถึงคุณภาพการเป็นอยู่ได้ระดับหนึ่ง ไม่ได้ลำบากแต่ใช่ว่าจะดีสุด ถือว่านริศได้เกิดในยุคสมัยที่สงบสุขและหวังให้เป็นเช่นนี้จนแก่เฒ่าอีกรอบ
เมื่อเข้าเขตชุมชน นริศสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเมืองเก่าแบบยุโรปที่สะอาดสะอ้านน่าอยู่เหมือนที่เคยเห็นภาพตามอินเทอร์เน็ต ผู้คนเดินขวักไขว่ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ลินดากับพี่ชายชื่อเลียมก็ขอตัวลงกลางทางเพื่อทำธุระและซื้อข้าวของต่างๆ สำหรับใช้ในบ้านกับอุปกรณ์การเรียนส่วนตัว
แต่พอนริศจะขอไปด้วยก็กลับถูกเฟรย่าห้ามเอาไว้ เพราะรับปากว่าจะพาเขาไปรู้จักและเป็นเพื่อนเล่นกับลูกสาวของผู้หญิงชื่อคาเลนเซีย ภรรยาเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเลสาบซึ่งตั้งแยกห่างจากตัวเมืองไม่ไกลมาก อีกทั้งยังเป็นคนถือครองที่ดินบริเวณโดยรอบเพื่อสร้างเป็นที่พักของเหล่านักเดินทางต่างถิ่น เป็นโรงแรมอีกแห่งประจำเมืองกลายๆ
เมื่อไปถึงที่หมาย นริศย่างเท้าเข้าโถงกลางหน้าคฤหาสน์ที่การตกแต่งเน้นสีโทนสว่างสบายตา ที่นั่นเขาเจอผู้ใหญ่ประมาณสิบคนที่แต่งกายภูมิฐานกำลังรอการมาของสมาชิกกลุ่มสุดท้าย พวกเขาต่างให้ความเคารพฮาร์เวิร์ดในฐานะผู้อาวุโส มีการพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนที่นริศจะได้รู้สาเหตุแท้จริงในการนัดพบครั้งนี้คือ การนั่งล้อมวงเล่นไพ่ประจำเดือนที่บ้านของคุณคาเลนเซีย ณ ห้องรับแขก นริศที่รับไม่ได้ถึงกับเม้มปากแน่น เขาเลยทำการอัปเปหิตัวเองมาหมกตัวในห้องสมุดหาหนังสืออ่านเล่น
“ให้ตายสิ อยากจะด่าก็ไม่ได้ ไอ้เราเล่นหวยทุกงวดเหมือนกันล่ะน่า”
แล้วแทนที่จะอยู่คนเดียวสบายๆ เขาต้องอยู่กับเด็กผู้หญิงอายุหกขวบสวมชุดกระโปรงสไตล์โลลิต้าสีสดใส ผมยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังสีแดง ผิวขาวสมเป็นลูกคุณหนูที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ทั้งที่นั่งอยู่ด้วยกันนัยน์ตาสีทองคู่นั้นก้มมองต่ำไม่สนใจแขก ส่วนคนรับใช้ที่มาเป็นพี่เลี้ยงก็นั่งนิ่งไม่แพ้คุณหนูตัวน้อยราวกับรอให้มีคำสั่งแล้วคอยทำตาม
“ที่แม่พูดถึงคือเด็กคนนี้สินะ”
นริศแอบมอง ชาร์ล็อต คาเลนเซีย ลูกสาวเพียงคนเดียวของเจ้าของกิจการโรงแรมและเป็นหนึ่งในผู้บริหาร ‘กิลด์’ ที่มีเครือข่ายทั่วโลก คอยทำหน้าที่เป็นตัวกลางจัดสรรหางานตามความเหมาะสมให้กับสมาชิกตามประสบการณ์หรือแรงก์ตามภาษาปาก ซึ่งแบ่งเป็นสามกลุ่มกับอีกห้าแรงก์
หนึ่ง นักล่าสัตว์ คอยจัดการสัตว์ร้ายที่มาสร้างความเสียหายให้กับละแวกที่อยู่อาศัยหรือไร่นาของชาวบ้าน
สอง นักวิชาการที่ออกสำรวจสถานที่ต่างๆ ศึกษาทั้งพฤกษาและสัตว์ โดยรับงานประเภทตามหาพืชพันธุ์ตามแหล่งธรรมชาติ อาจจะโชคดีได้เจอต้นไม้ไม่ก็สัตว์สายพันธุ์หายาก
สาม นักคุ้มครอง คุ้มกันระหว่างเดินทางหากผู้ว่าจ้างไม่มั่นใจในเส้นทางที่ใช้ ไม่ก็รับงานประเภทขนส่งสินค้าชิ้นใหญ่หรือสินค้าจำนวนมาก
ถือว่าเป็นความรู้ใหม่ หลังเกิดความสงสัยว่ากิลด์ของที่นี่ทำงานกันยังไง เหมือนกับที่นริศเคยรู้จักหรือไม่ ทว่าในระหว่างที่อ่านหนังสืออยู่นั้น เด็กชายก็รู้สึกถึงความแปลกอย่างหนึ่งเข้า
“นี่มันภาษาอังกฤษไม่ใช่เหรอ” นริศคิ้วกระตุกเริ่มเอะใจที่คำศัพท์บางคำมีการเขียนหรือการออกเสียงที่คล้ายกับภาษาอังกฤษ
“ไว้กลับบ้านค่อยพิสูจน์เอาล่ะกัน” เขาตีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเหลือบไปที่ชาร์ล็อต “เพราะตอนนี้น่ะนะ…”
นริศอ่านจบไปหนึ่งเล่ม เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่พูดไม่จากับเขาและสร้างบรรยากาศอึดอัดจนนริศต้องลอบถอนหายใจระบายความตึงเครียด ก่อนจะลุกไปเก็บหนังสือและหาเล่มใหม่มาอ่าน นิ้วเล็กไล่หาทีละเล่มทีละชั้นอย่างตั้งใจ เท่าที่นริศสังเกตหนังสือบ้านคาเลนเซียจะเน้นวิชาการเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ การบริหาร นวนิยาย นิทาน กระทั่งเขาเจอกับสิ่งที่น่าสนใจอยู่สองประเภท
การเมืองการปกครอง ฟังดูน่าเบื่อกับเดาได้อยู่แล้วว่าน่าจะเป็นราชาปกครอง แต่ระบบขุนนางสำหรับเขาเป็นเรื่องไกลตัวเมื่อชาติก่อนก็ควรศึกษาเอาไว้ เพราะตระกูลฮิลเนสันคงมีโอกาสพบปะคนกลุ่มนี้ อย่างน้อยๆ รู้อะไรเป็นอะไร ควรทำตัวแบบไหนจะได้ไม่เสียมารยาท
กับอีกประเภทคือสัตววิทยา ถ้าโลกนี้มีมังกร แสดงว่าย่อมมีมอนสเตอร์ชนิดอื่นๆ อีกทั้งเมืองนี้อยู่กลางหุบเขา ประกอบหน้าที่หลักของสมาชิกกิลด์ มีความเป็นได้สูงคงมีสัตว์ประหลาดแบบไหนเดินเพ่นพ่านในป่า ถ้าเรียนรู้สัตว์แต่ละชนิดมีพฤติกรรมยังไงก็น่าจะเอาตัวรอดได้
นริศแทบไม่ต้องคิด เขากวาดหนังสือที่พออ่านได้เกี่ยวกับสัตว์ของที่นี่ไว้ในอ้อมแขน แล้วกลับไปนั่งจมดิ่งไปกับเนื้อหาภายในเล่ม เห็นภาพของสิ่งมีชีวิตโลกนี้ทีละนิด แบ่งเป็นประเภทใหญ่หลักๆ คือสัตว์ธรรมดากับสัตว์วิเศษ ซึ่งเจ้าสัตว์วิเศษยังมีแยกย่อยลึกลงไปอีกสี่ชนิดคือ สัตว์อสูร สัตว์เวท สัตว์มายา และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
“มีต้องจำอีกเยอะเลยแฮะ…”
นริศหน้าซีดยกมุมปากมองกองหนังสือบนโต๊ะที่เลือกไม่ถูกจะเริ่มเล่มไหนก่อนดี แล้วในจังหวะที่เคลื่อนสายตาอ่านชื่อบนสันหนังสือ ดวงตาของเด็กหญิงก็ทำให้เขาชะงัก ทั้งสองต่างมองหน้ากันไม่มีใครปริปากเปิดบทสนทนาและแข่งกะพริบตาปริบๆ ใส่กัน
ชาร์ล็อตที่ไม่เคยพูดคุยด้วยก็เปลี่ยนตำแหน่งที่นั่งมาอยู่ข้างแขก แล้วเริ่มคัดหนังสือแต่ละเล่มแยกออกมาเป็นกองๆ มีส่วนหนึ่งที่เธอคืนใส่ชั้น โดยไม่อธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงเอาไปเก็บ แล้วกลับมานั่งที่หยิบหนังสือใกล้มือส่งให้นริศพร้อมบอกประโยคสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงหวานใสซื่อ
“อ่านเล่มนี้ก่อนค่ะ”
ไม่ทันจะได้เปิดดูด้านในดี เด็กหญิงจับและดึงข้อมืออีกฝ่ายเบาๆ เหมือนต้องการสื่อเป็นนัยว่าให้ไปด้วยกัน
นริศทำตามว่าง่ายเดินเคียงคู่กับชาร์ล็อตขึ้นชั้นสองของคฤหาสน์ พวกเขาเดินลึกเข้าไปด้านใน ก่อนจะเข้าไปในห้องหนึ่ง ซึ่งดาดว่าเป็นห้องนอนชาร์ล็อต สังเกตได้จากเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งและของเล่นตุ๊กตามากมาย มันมีขนาดกว้างขวางพอให้วิ่งเล่นสบายๆ ทำให้แขกที่ย่างกรายเข้าห้องเกิดอาการเกร็งอย่างช่วยไม่ได้ เพราะการอยู่ห้องคนอื่นเท่ากับต้องระมัดระวังไม่ให้ข้าวของเสียหาย แน่นอนว่านอกจากพวกเขา สาวใช้นางเดิมตามมาด้วยติดๆ
ชาร์ล็อตพาเด็กชายมานั่งตรงมุมหน้าต่างแบบเบย์วินโดว์ที่ยื่นออกนอกตัวบ้านเพื่อเพิ่มเนื้อที่ให้กับที่พักอาศัย โดยจัดคล้ายเคาน์เตอร์บาร์ ใช้นั่งจิบชากาแฟมองทะเลสาบและทิวเขาผ่อนคลาย เจ้าของห้องเลื่อนบานหน้าต่างขึ้นรับสายลมอ่อนๆ อากาศบริสุทธิ์เสียจนนริศที่สูดลมหายใจเต็มปอดรู้สึกสดชื่น ก่อนจะกลับมาสนใจท่าทีของเด็กหญิงอย่างฉงนสงสัย
“พาฉันมาที่นี่ทำไมเหรอ”
ไร้คำตอบใดๆ จากชาร์ล็อต เธอคว้าหนังสือในมือคนตรงหน้ามากางบนเคาน์เตอร์ระหว่างกลางพวกเขา นิ้วเล็กชี้ไปที่ภาพวาดขาวดำของสัตว์ชนิดหนึ่ง มีรูปร่างผอมเพรียวเหมือนกวาง แต่เขาของมันมีพืชปกคลุมและยาวโค้งไปด้านหลัง
“เดียเทล เป็นสัตว์ท้องถิ่นของที่นี่ ถือเป็นสัตว์ประเภทธรรมดาค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นมอสที่ขึ้นบนเขาถือว่ามีประโยชน์เกี่ยวกับการปรุงยาค่ะ คุณเกล็นคงน่าจะเคยได้ยินสินะคะ แค่ยังไม่เคยเห็นหน้าตาเป็นยังไง” ชาร์ล็อตเริ่มอธิบายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและหยิบกล้องส่องทางไกลแบบผู้ดีฝรั่งสมัยก่อนให้ “ลองส่องทางนู้นดูสิคะ แล้วจะเจอฝูงหนึ่ง”
ชาร์ล็อตชี้ไปจุดหนึ่งริมทะเลสาบฝั่งตรงข้ามเมือง นริศที่ยังงุนงงหลังโดนยัดข้อมูลอย่างไม่ทันตั้งตัวก็ยกกล้องส่องไปยังตำแหน่งที่เด็กหญิงบอก เจอเป็นฝูงเจ้าเดียเทลสิบกว่าตัวกำลังดื่มน้ำ แต่แค่อึดใจเดียวพวกมันทยอยเข้าป่า เลยส่งกล้องคืน
“พวกมันไปแล้ว” นริศบอกเหตุผล “แล้วนี่… ห้องเธอเหรอ”
ถึงรู้ตัวดีว่ามันเป็นการตั้งถามฟังดูงี่เง่า แต่นั่นก็ทำไปเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดช่วงไป เพราะการกระทำอันปุบปับของชาร์ล็อตมันทำให้เขาจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ใช่ค่ะ” น้ำเสียงเล็กหวานตอบซื่อๆ
“แล้ว... ทำไมถึงพามาที่นี่ล่ะ แบบว่ามันห้องส่วนตัว”
“เพราะมันเป็นมุมที่ดีที่สุดสำหรับมองวิว มีโอกาสได้เห็นสัตว์แถวนี้ออกมาดื่มน้ำได้ด้วยค่ะ”
จริงอย่างที่ชาร์ล็อตว่า มุมที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่โอเคใช้ได้ กะจากสายตาที่ดินของคฤหาสน์น่าจะสูงกว่าในเมือง และตำแหน่งห้องนอนเด็กสาวก็อยู่ชั้นสองบวกกับประดับหน้าต่างบานใหญ่ ถ้ายิ่งอยู่สูงภาพเบื้องหน้าก็สวยเอาเรื่อง เพราะฝั่งหนึ่งเป็นเมืองริมทะเลสาบที่บ้านเรือนตั้งรวมกันเป็นกลุ่ม คนละแบบที่เห็นจากเส้นทางบ้านเขา อีกด้านคือป่าอุดมสมบูรณ์ต้นไม้หนาทึบกับเทือกเขายาวสุดลูกหูลูกตา หากใช้กล้องส่องทางไกลอีก ไม่แน่นริศอาจจะได้เจอสัตว์ตัวอื่นนอกจากเดียเทลก็เป็นได้
และถ้าชะโงกตัวหรือเขย่งเล็กน้อย อาจจะเห็นบริเวณริมทะเลสาบใกล้คฤหาสน์คาเลนเซีย มันดูเหมาะสำหรับลงเล่นน้ำในอากาศร้อน
“ชาร์ล็อตเธอเคยไปเล่นน้ำตรงนั้นไหม”
เด็กสาวส่ายหัวก่อนบอกสาเหตุว่าทำไม “ตรงนั้นเป็นที่สำหรับให้พวกนักเดินทางพาสัตว์แวะดื่มน้ำค่ะ เลยไม่ค่อยเหมาะที่จะลงเล่นค่ะ”
“งั้นแสดงว่าเธอก็เจออะไรมาเยอะเลยน่ะสิ น่าอิจฉาชะมัด รอบบ้านฉันไม่มีอะไรอย่างนี้หรอก”
คราวนี้เธอพยักหน้าเปิดสมุดภาพว่าเคยเจอตัวไหนบ้าง หนำซ้ำพูดจ้อแทบลบภาพจำสาวน้อยผู้เงียบงันก่อนหน้านี้จนเกลี้ยง เพราะชาร์ล็อตสามารถบอกชื่อ ประเภท ถิ่นกำเนิด และพื้นที่ที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากไม่ได้อย่างไม่ติดขัด เต็มไปด้วยความมั่นใจด้านข้อมูล ถึงนริศจะรู้สึกสะดุดกับชื่อสัตว์บางตัวอย่างเจ้าตัวที่มีรูปร่างและหน้าตาเหมือนเสือโคร่งสีขาวติดปีกชื่อไทเกอร์เพกาซัส
“ใครมันเป็นคนตั้งชื่อให้เนี่ย ฟังดูขี้เกียจคิดยังไงไม่รู้” เขาทำหน้าหน่ายกับชื่อที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา “จะว่าไปไอ้คำนี้ก็ด้วย ไทเกอร์มันแปลว่าเสือพอดีด้วย”
นอกจากจะได้รู้จักกับพวกสัตว์ต่างๆ ของโลกนี้ นริศได้ความรู้เกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านเสริมมาด้วย เนื่องจากสัตว์ที่แวะเวียนคฤหาสน์คาเลนเซียจัดเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่ลุสกลอเรียไม่มี ไทเกอร์เพกาซัสเป็นหนึ่งในนั้นซึ่งมีถิ่นกำเนิดแถบประเทศที่ชื่อเอธาไลนอาห์อยู่ติดกันทางตอนใต้ของที่นี่ ส่วนมอสเซียน่าอยู่ติดประเทศเซียงเฟยจึงมีโอกาสได้เจอไก่ฟ้าสีเลือดที่นานๆ ข้ามฝั่งมาโชว์ตัวตามคำบอกเล่าของชาร์ล็อต
“คราวนี้ชื่อทำนองจีนมาเลย ชักแปลกๆ แฮะ” เป็นอีกหนึ่งชื่อที่นริศประหลาดใจที่ได้ยิน
แต่เพราะมีเทือกเขากั้นกลาง การจะไปอีกประเทศหนึ่งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งว่ากันว่าทางนั้นมีสัตว์ป่าอันตรายอยู่ เส้นทางตัดเขาจึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักเดินทางสายปลอดภัยไว้ก่อน
“ชาร์ล็อตเนี่ยรู้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย” นริศพูดชมพลางหยิบกล้องส่องตามริมทะเลสาบอีกหน ตั้งใจหาไก่ฟ้าสีเลือด อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นยังไงจะเท่สมชื่อหรือไม่
“ไม่หรอกค่ะ ฉันแค่เห็นบ่อยเท่านั้นเอง” เด็กหญิงก้มหน้าซ่อนใบหน้าแดงระเรื่อไม่รู้ตัว หลังถูกชมจากคนแปลกหน้าครั้งแรก
“เกี่ยวตรงไหน ถึงเห็นบ่อยแต่ไม่ได้สนใจมันก็เท่านั้น อ๊ะ นั่นใช่ไก่ฟ้าอะไรนั่นใช่ไหม”
นริศกวักมือเรียกและส่งกล้องให้ชาร์ล็อตยืนยัน หลังเห็นตัวหน้าตาเหมือนนกกระทามากกว่าไก่ที่มีขนรุงรังสีเทา หน้าอกสีแดงสดคล้ายเลือดซึมตามขนสมชื่อเรียก ปะปนกับตัวสีน้ำตาลทึมๆ เดาว่าน่าจะเป็นตัวเมียที่สีไม่โดดเด่นเท่าตัวผู้ ลงจากเขาเป็นหมู่คณะ
“ใช่ค่ะ แต่ถ้าคุณเกล็นเห็นไก่ฟ้าสีทองน่าจะชอบนะคะ สีมันสวยดี คนนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงสวยงาม เห็นว่าจัดงานประกวดกันเลยทีเดียวค่ะ”
ว่าจบ ชาร์ล็อตวางกล้องส่องทางไกล เปิดหนังสือหารูปไก่ฟ้าสีทองตัวที่ว่า ขณะที่นริศหยิบกล้องดูฝูงไก่ พอชาร์ล็อตเจอรูปที่ไล่หา เธอก็สะกิดให้คนข้างตัวดู น่าเสียดายที่เป็นภาพสีขาวดำ นริศเลยจินตนาการถึงสีสันของมันได้ยาก
ไม่กี่นาทีต่อมา นริศสังเกตอะไรไวๆ แถวหางตา พอหันไปก็พบสัตว์อีกชนิดบินตรงมาทางนี้ เขารีบดึงแขนเสื้อชาร์ล็อตแล้วชี้ไปทางเจ้าครึ่งนกครึ่งม้า
“นั่นใช่ฮิปโปกริฟฟ์หรือเปล่า!?” เสียงตกใจถาม บนใบหน้าเด็กชายปกปิดรอยยิ้มตื่นเต้นไม่มิด ที่ได้เห็นฮิปโปกริฟฟ์ตัวจริงเสียงจริงกับตา ภาพลักษณ์ของมันตรงกับภาพจำในอดีตชาติไม่มีผิดเพี้ยน เป็นสัตว์สี่ขาที่ครึ่งหน้าเป็นอินทรีหัวขาวหน้าตาดุดัน ส่วนครึ่งหลังเป็นม้า
“ชะ ใช่ค่ะ อาจจะเป็นของแขกก็ได้นะคะ” เวลานี้ชาร์ล็อตกระโดดโหยงเหยงดีใจ ตาลุกวาวยิ่งกว่าอีกคน “เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นตัวจริง”
ทันทีที่เท้าฮิปโปกริฟฟ์แตะพื้น มันก็เดินวนบริเวณริมน้ำ ตรวจสอบความปลอดภัยอยู่พักหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรเป็นอันตรายต่อตัวมันและเจ้าของซึ่งเป็นชายตัวสูงแต่งตัวจัดเต็มตรงกับอิมเมจนักผจญภัยที่กระโดดลงจากอานเพื่อพามันไปดื่มน้ำและนั่งพักผ่อน
“เราไปขอดูใกล้ๆ ได้ไหม” นริศถามเก็บอาการและสีหน้าไม่อยู่ว่าอยากลงไปดูขนาดไหน ทว่าสีหน้าเด็กหญิงกลับเหี่ยวเฉาในพริบตา “เป็น… อะไรไปเหรอ”
ชาร์ล็อตหลุบตาลงส่ายหัวเนือยๆ “ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยคงไม่ได้หรอกค่ะ”
“อีโธ่ แค่นี้เอง” ว่าแล้วนริศคืนกล้องเตรียมเดินออกจากห้อง ตั้งใจไปขออนุญาตพ่อแม่พาไปดูฮิปโปกริฟฟ์ใกล้ๆ ถึงอย่างนั้นชาร์ล็อตรีบคว้าชายเสื้อห้าม
“แต่ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ติดธุระอยู่นะคะ แล้วก็ห้ามเด็กๆ เข้าไป”
ได้ยินแบบนั้น ริมฝีปากเล็กแสยะยิ้มและส่งสายตาเจ้าเล่ห์ รู้ดีว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ไม่ยอมให้เด็กวัยรู้เรื่องเข้าไป ขณะที่เนลล์ซึ่งเป็นน้องชายยังอยู่กับแม่ได้ เขาบอกไม่เป็นไรกับเด็กหญิงด้วยท่าทางมั่นใจ พาลงไปยังสถานที่รวมตัวหารายได้เสริมทางลัด ถึงการโผล่ของเด็กทั้งสองเกิดขึ้นกะทันหัน แต่พวกผู้ใหญ่ที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดกับไพ่บนมือในห้องก็ไม่สะทกสะท้านทำ มีเพียงคนเดียวที่หันหน้ามาทางประตูเท่านั้นที่รับรู้การมาถึงของแขกตัวน้อย เขาจึงบอกให้บุรุษผมสีแดงไปรับมือ
“เด็กๆ มีอะไรกันเหรอ” เสียงละมุนและอ่อนโยนถามขึ้น
“ท่าทางแบบนี้พวกตามใจลูกแหง” นริศคาดคะเนในใจกับนิสัยชายตรงหน้าหลังได้ยินน้ำเสียงและสายตาที่มองชาร์ล็อต ก่อนจะบอกสาเหตุที่มาหา
“พวกเราเจอฮิปโปกริฟฟ์ครับ แล้วอยากไปดู แต่ชาร์ล็อตบอกว่าถ้าไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วยก็จะไปไม่ได้ เลยมาขอไปดูกับพี่สาวคนนั้น” นริศทำหน้าซื่อตาใสเนียนเป็นเด็กไร้เดียงสาเล่าสิ่งที่ต้องการให้พ่อของชาร์ล็อตฟัง พร้อมชี้ไปทางคนรับใช้ที่ดูแลมาตั้งแต่อยู่ห้องสมุดยันปัจจุบัน
“เรื่องนั้นเอง ได้สิ เดี๋ยวพ่อตามคุณลุงดอนไปเป็นเพื่อนนะ พวกลูกไปรออยู่หลังบ้านได้เลย” เขาบอกกับพวกเด็กๆ ก็หันไปทางสาวใช้ “ฝากดูพวกเด็กๆ ให้ทีนะ”
เป็นอันสำเร็จ พวกเขาสามารถเข้าใกล้ฮิปโปกริฟฟ์ โดยมีลุงที่เป็นคนดูแลสัตว์ประจำโรงแรมตามไปดูแล เพราะระยะทางจากตัวคฤหาสน์กับริมทะเลสาบไม่ไกลกันมาก ทั้งหมดใช้วิธีเดินเท้า ระหว่างทางชาร์ล็อตดึงชายเสื้อเรียกเพื่อนใหม่เบาๆ
“ขอบคุณนะคะคุณเกล็น ถ้าไม่ไปขอคุณพ่อ คงไม่ได้เห็นใกล้ๆ แบบนี้”
“ไม่เห็นต้องขอบคงขอบคุณอะไรเลย อีกอย่างถ้าไม่เสียหายก็ถามๆ ดูไปเหอะ ได้ก็โชคดี ไม่ได้ก็แค่พอ” นริศยักไหล่มองเป็นเรื่องเล็กน้อย บางสถานการณ์หากไม่มีใครเดือดร้อนเขาก็ยึดคติว่ามีปากก็ถามให้มันรู้แล้วรู้รอด “แล้วก็นะ เรียกริ… เอ้ย เกล็น เฉยๆ ก็พอ ถูกคุณเรียกจากเธอแล้วรู้สึกแปลกๆ”
“คะ?”
“ก็เธอกับเกล็น เอ้ย ฉันเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
“พะ เพื่อนเหรอคะ” ชาร์ล็อตเบิกตากว้าง เมื่อได้ยินคำว่าเพื่อนจากเด็กที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน แถมยังต่างเพศอีกต่างหาก
“มันแปลกตรงไหนล่ะนั่น?”
“เปล่าค่ะ คือแค่คุ… เกล็นเป็นเพื่อนคนแรกก็แค่นั้นเองค่ะ”
“ฉันก็ด้วย” นริศผงกศีรษะเห็นด้วย สำหรับเขาชาร์ล็อตถือเป็นเพื่อนคนแรกในโลกนี้ อีกทั้งอายุรุ่นเดียวกัน อย่างน้อยๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นที่ปรึกษาบางเรื่องได้ดีกว่าคนในครอบครัว “ไว้วันหลังเล่าเรื่องสัตว์ตัวอื่นให้ฟังทีนะ ดูท่าเธอน่าจะรู้เยอะเลย ดีไม่ดีอาจจะเจอตัวอื่นนอกจากฮิปโปกริฟฟ์นั่นด้วย”
“มะ มันก็ไม่ขนาดนั้นค่ะ ฉันรู้แค่เท่าที่เคยอ่านในหนังสือเท่านั้น ไม่ได้เยอะเท่าที่เกล็นคิดหรอกค่ะ…” ชาร์ล็อตก้มซ่อนใบหน้าเขินอาย แต่ถึงอย่างนั้นชื่อสัตว์ต่างๆ พรั่งพรูออกจากปากไม่หยุด ว่าตัวไหนหน้าตายังไง นิสัยแบบไหน ถิ่นกำเนิดและแหล่งอาศัยอยู่แห่งใด จนนริศที่รับความรู้ใหม่ไม่ทันต้องแกล้งตัดบทด้วยการท้าวิ่งแข่ง
“นี่ขนาดไม่ได้เยอะนะเนี่ย แต่เอาเถอะชาร์ล็อตดูเป็นเด็กดี ไม่ซนจนน่ารำคาญ อยู่ด้วยกันไหวแหละ”
และแล้วหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นริศค่อยๆ เรียนรู้โลกนี้ไปพร้อมกับชาร์ล็อตในฐานะเด็กคนหนึ่ง จนทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด ไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์นี้จะส่งผลกระทบบางอย่างในอนาคตที่ผิดแปลกไปจากความทรงจำที่รอการปลดล็อก
Comments (0)