ระหว่างเด็กหนุ่มสาวทั้งเจ็ดคนเดินตามเส้นทางภายในถ้ำที่มีแสงสลัว จู่ๆ เกล็นก็โพล่งถามกับชาร์ล็อตขึ้น เรียกสายตาทุกคู่หันมามองเขาด้วยความสงสัย

“นี่ชาร์ล็อต พวกสัตว์อสูรในถ้ำมันมีประเภทไม่ถูกกับเวทมนตร์หรือเปล่า”

เด็กสาวผมแดงประมวลความคิดไล่ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไปทีละตัว “ส่วนใหญ่ก็เข้าข่ายหมดนะ ให้บอกว่าตัวไหนไม่กลัวบ้างยังจะง่ายกว่าอีก”

จากนั้นชาร์ล็อตก็ยกตัวอย่างชื่อของสัตว์อสูรที่น่าจะอาศัยอยู่ในถ้ำอยู่หลายชื่อพร้อมลักษณะคร่าวๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นแมลงกับสัตว์เลื้อยคลาน ทำเอาเกล็นกับฟิเลน่าที่ไม่ชอบต้องหน้าถอดสี หวังว่าเจ้าตัวที่ถูกเอ่ยมาจะไม่ใช่คู่มือสำหรับสอบปฏิบัติครั้งนี้

“เอาเป็นว่ายังไงก็ต้องเจอสักตัวอยู่ดีสินะ” เกล็นถอนหายใจไม่ค่อยอยากเจอพวกแมลงสักเท่าไร กลัวว่าจะเป็นแมงมุมอีก ถ้าใช่ขึ้นมาคงได้สลบอีกรอบแน่ๆ

“ละ แล้วมันจะมีตัวมีพิษด้วยหรือเปล่า” ฟิเลน่าซึ่งอยู่เกือบท้ายแถวถามเสียงสั่นหลังนึกถึงพวกสัตว์มีพิษที่น่ากลัวกว่าปกติ

“ถ้าสัตว์มีพิษล่ะก็ไม่ต้องห่วงหรอก อาจารย์เขายืนยันให้ตอนเรียนวิชาเลือกน่ะ” อิกนิสตอบช่วยคลายกังวล

“งั้นเรื่องสัตว์มีพิษไม่ต้องห่วงแล้ว เรากลับมาเข้าเรื่องเวทมนตร์ต่อดีกว่า ที่ฉันจะเสนอคือเราจะแบ่งการใช้แต่ละธาตุในกรณีเจอพวกที่แพ้ทางเวท” เกล็นหยุดเดินแล้วเท้าเอวมองเพื่อนแต่ละคน ซึ่งทุกคนก็หยุดนิ่งแล้วมองเขาเพื่อรับฟัง แต่ชาร์ล็อตก็ค้านขึ้นมา

“เดี๋ยวนะ แบบนี้เท่ากับว่าฉันธาตุดินอยู่คนเดียวน่ะสิ”

“เรื่องนั้นคิดไว้แล้วล่ะ เลยขอถามเพื่อความแน่ใจก่อน แมรีแอนน์ถนัดธาตุรองอะไรเหรอ ฉันได้น้ำแข็งกับไฟฟ้านิดหน่อย”

“ฉันไม้กับแสง... แต่สายรักษานะคะ” แมรีแอนน์ตอบและเสริมทิ้งท้ายเกรงว่าคนเข้าใจผิด

“ถือว่าคนละธาตุ เพราะที่ฉันคิดคือให้แต่ละคนใช้ธาตุประจำตัวเป็นหลัก ส่วนดินไว้ดูสถานการณ์หน้างานเอา”

“งั้นผมช่วยชาร์ล็อตเองครับ” จูเลียสเสนอตัวช่วย “ดินเป็นเวทที่ผมถนัดรองลงมา”

“แล้วแมรีแอนน์กับฟิเลน่า นอกจากรักษาเธอใช้เวทแสงทำอย่างอื่นได้ไหม”

“ก็ทำได้แค่แสงจ้าทั่วไปเลยน่ะ” ฟิเลน่ากอดอกตอบเสียงเรียบ ก่อนจะปรายตามองแมรีแอนน์ที่ใช้เป็นอีกคน

“ฉันก็เหมือนกันค่ะ…”

“แค่นั้นพอแล้วล่ะ” เกล็นพยักหน้าตอบพึงพอใจความสามารถของแต่ละคน

“นึกออกแล้ว ถ้ามีช่องว่างก็สบโอกาสให้สองคนนี้ใช้เวทแสงทำให้ตาบอดชั่วขณะใช่ไหม พวกเราก็ชิ่งหนี เพราะสถานที่ไม่เอื้ออำนวยสำหรับการสู้สินะ!” คลาริสทุบฝ่ามือเบาๆ ไขความคิดเพื่อนออกด้วยสีหน้ามั่นใจ แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายกันพลาด “ใช่ไหม?”

ถูกต้อง!” เกล็นดีดนิ้วเป๊าะดีใจที่มีคนเดาออก “ถ้ำแคบแบบนี้ขืนสู้กันมีหวังถูกทับแบนแต๊ดแต๋แหง”

“แล้วถ้าพวกเราเจอตัวที่จำเป็นต้องสู้ระยะประชิดขึ้นมาต้องทำยังไงล่ะ เพราะกลุ่มนี้คนที่มีทักษะดาบมีกันแค่สามคนเอง”

ฟิเลน่าทักขึ้นถึงอีกกรณีหนึ่งหากเจอสัตว์อสูรที่เวทมนตร์ทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งปาร์ตี้นี้เน้นเวทมนตร์ซะมากกว่า ต่อให้ชาร์ล็อตพอใช้อาวุธเป็นได้ระดับหนึ่งแต่ก็เป็นแค่มือสมัครเล่น เท่ากับว่าปัญหานี้ต้องยกให้สามหนุ่มที่เหลือเป็นคนจัดการ

“อืม… เดี๋ยวนะครับ” จูเลียสกอดอกลูบคางครุ่นคิด “ผมว่าไม่ว่าจะเจอตัวอะไรก็ใช้แผนคล้ายๆ กับของเกล็นได้อยู่ดีนะ แค่เราต้องทำอะไรให้รัดกุมกว่าเดิมสักหน่อย…”

“แล้วที่ว่ารัดกุมกว่าเดิม เราต้องจัดการยังไงบ้าง” อิกนิสถามกลับขอรายละเอียดเพิ่มเติม

“ผมคิดว่าเราควรถ่วงเวลาด้วยน่ะครับ อย่างการใช้เวทดินสกัดทางเดินของศัตรูเอาไว้”

“ฟังดูง่าย แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจอตัวอะไรเนี่ยสิ” ถึงอิกนิสจะค่อนข้างเห็นด้วยกับวิธีการของจูเลียส ทว่าแฝดคนพี่ยังมองว่ามันจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเท่าไรนัก

“ถ้าเอาตามที่คิดไว้ ถ้าเป็นตัวเล็กพอใช้แรงช่วยกันผลักกระเด็นได้ ก็ต้องขอแรงคนใช้ธาตุดินสร้างกรงขังเอาไว้ ถ้าโชคดีไม่ใช่พวกที่แข็งแรงหรือมีกระดูกเล็กหลอกตา โอกาสที่เราจะผ่านสบายๆ ก็มีสูง ส่วนตัวใหญ่ก็… อืม ผมพูดตามตรงว่าเราจะขุดหลุมกันทันไหมเนี่ยสิ เพราะถ้ายิ่งตัวใหญ่ก็ต้องให้หลุดใหญ่กว่าอีกเท่าหนึ่ง จะกลายเป็นภาระให้พวกสายเวทแทน”

จูเลียสแสดงความหนักใหญ่กลัวว่าแผนการของพวกเขาจะไม่ดีพบ หากเจอสัตว์อสูรตัวใหญ่

“เราก็ถ่วงเวลาด้วยเวทแสงแบบที่ว่ากันก่อนหน้าก็ได้นะ” อิกนิสเสนอความคิดเดิมมาใช้ร่วมกัน “แล้วถ้าฉันกับคลาริสต้านไหวก็น่าจะช่วยได้อีกแรง”

“อา…” เกล็นครางอย่างจนปัญญาคิดแผนที่ดีกว่านี้ไม่ออก “คงต้องลองทำตามนั้น เฮ้อ… ทีแรกไอ้เราก็นึกว่าจะง่าย ที่ไหนได้ดันมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ซะงั้น หวังว่าผลลัพธ์ออกมาสวยนะ”

“เป็นว่าตกลงใช้แผนนี้เป็นอันดับแรก?” คลาริสเลิกคิ้วขอคำยืนยันจูเลียสที่น่าจะพึ่งพาเรื่องแผนได้มากสุด

“คงต้องตามนั้นไปก่อนครับ ไว้หน้างานเราคงต้องมีการเปลี่ยนแผน”

ตกลงแผนรับมือเรียบร้อย ทั้งเจ็ดเดินลึกไปตามทางต่อเพื่อเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ด้านใน หัวใจทุกคนเต้นตึกตักด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ต้องเผชิญหน้าสัตว์อสูรตัวเป็นๆ ถึงจะเคยมีประสบการณ์จากวันทดสอบในสัปดาห์แรกกับกลางเทอม แต่หนนี้มันไม่ใช่มิติจำลองที่ถูกปรับให้ปลอดภัย

“จี้มันไม่ทำงานอีกเหรอ” เกล็นขบคิดปรายตามองแมรีแอนน์เป็นระยะที่ไอเทมหลักเกมไม่ยอมนำทางไปยังผลึกตามอีเวนต์เกม แต่แล้วจู่ๆ ความสนใจเปลี่ยนไปทางชาร์ล็อตที่หยุดชะงัก

เธอก้มศีรษะต่ำแล้วค่อยๆ นั่งลง ถอดถุงมือสัมผัสพื้นตามลางสังหรณ์

“กะ เกิดอะไรขึ้น” ฟิเลน่าถามรู้สึกได้ว่ากำลังจะมีสิ่งผิดปกติ

“ตอนที่กำลังเดินฉันเห็นพวกก้อนหินเล็กๆ มันสั่นน่ะ เลยคิดว่าน่าจะมีตัวอะไรแถวนี้หรือเปล่า เพราะแรงเดินมนุษย์ไม่น่าจะทำขนาดนั้นถึงมีกันเจ็ดคนก็เถอะ”

“แล้วเธอคิดว่าเป็นตัวอะไร?” อิกนิสถามเสียงหนักแน่น แต่ได้รับการส่ายหัวเป็นคำตอบ ชาร์ล็อตลุกขึ้นปัดเศษดินก่อนสวมถุงมือตามเดิม

“ยังตอบให้ไม่ได้หรอก แต่หลังจากนี้ก็เตรียมตัวไว้ดีกว่า เราไม่รู้เลยว่าตัวเราเดินไปหามันหรือมันมาหาเรากันแน่”

พูดจบผู้ชายสามคนเรียกอาวุธเตรียมตั้งรับเหตุไม่คาดคิดและคุ้มกันพวกสายเวทซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแผนการ คลาริสที่ใจกล้าสุดเป็นผู้นำย่างเท้าเชื่องช้าตามคำแนะนำชาร์ล็อต เมื่อทั้งหมดเข้าลึกเท่าไรแรงสั่นสะเทือนยิ่งรุนแรงตามที่ชาร์ล็อตคาดคะเน เธอขมวดคิ้วรวบรวมความคิดและความรู้ ณ ตอนนี้ประกอบรวมกัน ส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดหันมาฟัง

“ฉันคิดว่าตัวที่เราน่าจะเจอคงเป็นพวกสัตว์เลื้อยคลานนะ ถ้าให้เจาะจงที่คิดออกตอนนี้ก็เคฟสเนค เป็นงูขนาดใหญ่ไม่มีพิษแต่แรงเยอะ ต้องระวังมันรัดหรือถูกฟาดใส่”

“เธอแน่ใจเหรอ?” เกล็นเลิกคิ้วผิดคาด เนื่องจากความทรงจำเกี่ยวกับศัตรูศึกแรกไม่ใช่งูแน่

ชาร์ล็อตลูบคางไตร่ตรองเพื่อความแน่ใจกับคำพูดเพื่อนสนิท “แรงสั่นมันดูต่อเนื่องมากกว่าเป็นจังหวะก้าวเดินน่ะ ถ้าให้เลียนเสียงมันจะดังครืดๆ ไม่ใช่ตึงๆ”

“ถ้าเป็นงูจริงเราต้องระวังการเดินให้มากขึ้นด้วยสินะครับ ได้ยินว่าเขารับรู้ด้วยแรงสั่นสะเทือน”

“อย่างที่จูเลียสว่า ถ้าเป็นเคฟสเนคมันรู้ตัวแล้วว่ามีอะไรเข้ามาในอาณาเขตตัวเอง” ชาร์ล็อตไล่สายตามองแสงไฟที่ทอดยาว “โชคดีหน่อยก็เป็นไส้เดือนยักษ์ แหย่ๆ นิดหน่อยเดี๋ยวก็หนีแล้ว”

เธอหัวเราะไม่ให้เพื่อนร่วมกลุ่มเครียด แต่เพราะตีวงแคบลงว่าสิ่งมีชีวิตเจ้าของแรงสั่นสะเทือนเป็นตัวประเภทไหน สมาชิกในทีมตื่นตัวกว่าเดิมโดยเฉพาะฟิเลน่าที่หน้าซีด ยิ่งเดินลึกมาเท่าไรแรงสั่นมีมากขึ้น กระนั้นพวกเขาสามารถมาถึงลานกว้างซึ่งไร้วี่แววสัตว์อสูร แต่ก็ไม่มีใครลดแนวปกป้องคอยเป็นหูเป็นตาสังเกตรอบตัวและพยายามก้าวเท้าเบาที่สุดเท่าที่ทำได้

“นี่มันลานบอสไฟท์ชัดๆ” เกล็นกระตุกยิ้มมุมปากหัวเราะแห้งในใจ “แต่มาขนาดนี้แล้วยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรอีกเรอะ หรือต้องมีดาบติดตัวมาด้วย?”

“มันซ่อนตัวรอพวกเราอยู่หรือเปล่า” ฟิเลน่ากระซิบถามมองโลกแง่ร้าย

“คิดว่าใช่...” ชาร์ล็อตเหงื่อตกไม่ค่อยอยากตอบกลัวว่าคุณหนูจะกลัว จากนั้นนัยน์ตาสีทองเหลือบไปทางสองพี่น้อง “คิดว่าพร้อมไหม?”

“มาขนาดนี้ยังจะถามอีกนะ ลุยเป็นลุย” คลาริสยิ้มกว้างหมุนแขนเตรียมพร้อมการสอบภาคปฏิบัติ ผิดกับคนพี่ที่เม้นปากแน่นไม่ใช่ว่าเขาไม่พร้อมหรอก แต่เป็นห่วงสวัสดิภาพเพื่อนคนอื่นมากกว่า

“สมมุติว่ามันซ่อนตัวอย่างที่ฟิเลน่าคิดละก็...” ว่าแล้วชาร์ล็อตก็ก้มหยิบก้อนหินขนาดเล็กไว้ในมือหลายก้อน “เท่ากับว่าโอกาสตัวที่เจอเป็นเคฟสเนคค่อนข้างสูง เพราะสัตว์นักล่าบางชนิดจากซ่อนตัวไม่ให้เหยื่อหรือผู้บุกรุกรู้ตัว เพราะงั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือแสดงตัวให้มันรู้ว่าพวกเราไม่ใช่อาหาร ท่าทางมันจะเปลี่ยนจากโจมตีเป็นตั้งรับเพื่อปกป้องตัวเองแทน จำเป็นต้องมีตัวล่อเพื่อให้คนอื่นหนี ส่วนเรื่องส่งสัญญาณขอเป็นส่งเสียงได้เต็มที่ ธรรมชาติของงูไม่ได้ยินเสียงอยู่แล้ว”

จากนั้นชาร์ล็อตชี้ทางฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นทางเชื่อมไปต่อ

“พอมาครบแล้วก็ใช้เวทกันมันไว้ข้างนอก กว่าจะกลับมาที่เดิมคิดว่าน่าจะใช้เวลาอยู่ ถ้าโชคดีสุดๆ ก็มีทางออกอีกด้านของถ้ำ”

“ถ้าเกิดกลับมาแล้วมันยังเฝ้าอยู่ละคะ” แมรีแอนน์ถามขึ้น “ตอนเปิดทางอีกรอบ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ให้มีแรงสั่นนะคะ”

“เรื่องนั้น...” ชาร์ล็อตกอดหลับตาใช้ความคิดนึกไม่ออกว่าควรทำยังไง

“ถ้ามันโผล่มาเราใช้เวลาแสงทำให้มันตาบอดแป๊บหนึ่งก็ได้ ระหว่างนั้นก็รีบช่วยเปิดทางกัน ติดแค่ว่าไอ้เจ้าเคฟสเนคอะไรนั่นมันฉลาดหรือเปล่า” เกล็นเสนอทางออกง่ายๆ ทว่ากังวลว่าเจ้างูมันเจ็บแล้วจำ อาจจะทำให้ใช้วิธีการเดิมๆ ไม่ได้

พอตัดสินลำดับการเข้าก่อนหลังเสร็จ โดยฟิเลน่าจะเป็นคนแรก ถัดมาก็คือจูเลียส แมรีแอนน์ เกล็น ชาร์ล็อต ปิดท้ายด้วยอิกนิสหรือคลาริสตามสถานการณ์

“มีใครอยากเสนออะไรอีกไหม” เกล็นโบกมือถาม ทุกคนส่ายหัวไม่คัดค้านหรือเพิ่มเติมแผน ก่อนจะเคลื่อนสายตาจับจ้องฟิเลน่าที่แม้ว่าจะตีหน้านิ่งแต่ใบหน้ากลับซีดบ่งบอกถึงความกลัวต่อสิ่งมีชีวิตไร้ขา หากหล่อนพร้อมพวกเขาจะดำเนินตามแผนการทันที

“ฉันพร้อมแล้ว รีบๆ เถอะ” ฟิเลน่าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพยายามทำตาแข็งตั้งสมาธิจดจ่ออยู่ที่ทางเข้าอีกฝ่าย

เมื่อฟิเลน่าส่งสัญญาณ สมาชิกคนอื่นพนักหน้าทำตามแผนที่ตกลงไว้ ชาร์ล็อตโยนหินทั้งหมดไปที่ลานกว้างเต็มแรงหวังหลอกสิ่งมีชีวิตปริศนา หากเป็นเคฟสเนคจริงอาจจะเข้าใจผิดว่าเหยื่อเข้าอยู่ในระยะจู่โจม ทว่าแผนนี้ดูท่าจะไม่สำเร็จ ทุกอย่างยังเงียบสงบไม่มีอะไรเคลื่อนไหว

“แปลว่าปลอดภั…”

โครม!

ไม่ทันคลาริสพูดจบ เสียงถล่มจากที่สูงดังสนั่นพร้อมปรากฏร่างของงูตัวใหญ่สีดำที่ส่งเสียงขู่ข่มขวัญศัตรูแข่งกับเสียงกรี๊ดจากฟิเลน่าที่ตกใจกับการมากะทันหัน จูเลียสที่ยืนอยู่ใกล้สุดที่ได้สติรีบโอบร่างเด็กสาวพาไปยังจุดปลอดภัยให้เร็วที่สุด หน่วยโจมตีระยะประชิดอย่างสองพี่น้องยกดาบขึ้นตั้งรับ

“ข้างบนมันเป็นโพลง! แคก!” เกล็นแหกปากโวยวายจนสำลักน้ำลายพร้อมชี้ไปยังเพดานที่เป็นรูปขนาดใหญ่

“มันตัวเล็กกว่าที่ควรหรือเปล่า” อิกนิสเลิกคิ้วสงสัยไล่สายตากะขนาดตัวผิดกับที่เคยอ่านในหนังสือว่ามันจะมีขนาดลำตัวยาวประมาณสองเมตร

“น่าจะยังไม่โตเต็มที่ครับ ตาขุ่นแบบนั้นน่ากำลังจะลอกคราบด้วย คิดว่ากำลังหงุดหงิดได้ที่เลย” จูเลียสตะโกนบอกจากทางด้านหนังคาดเดาพฤติกรรมเคฟสเนคจากลักษณะภายนอก

“นี่กลายเป็นว่าเรามารบกวนมันแฮะ” ชาร์ล็อตปั้นหน้ายิ้มแหยกับดวงซวยที่เจอเจ้าถิ่นกำลังอารมณ์เสียที่มีตัวประหลาดมาขัดขวางการเจริญเติบโต

ฟ่อ!

ทันทีที่เคฟสเนคส่งเสียงขู่ เกล็นรีบใช้เวทไฟโจมตีใส่เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขาไม่ใช่อาหาร ทำให้มันทำคอเป็นตัวเอสพร้อมต่อสู้เพื่อปกป้องจากอันตรายแทน  ได้จังหวะเคฟสเนคพุ่งฉกเข้ากลางวงเหล่ามนุษย์ตัวจ้อยที่ต้องกระโดดหลับไปคนละทิศละทาง เพียงชั่วอึดใจอิกนิสกับคลาริสที่ตั้งตัวได้ก็เปิดฉากโต้ตอบไล่สัตว์อสูรให้ถอยร่อน เปิดช่องว่างให้จูเลียสพาฟิเลน่าไปอีกฝั่งหนึ่ง

คลาริสคว้าหินปายั่วโมโหใส่เคฟสเนคให้หันมาสนใจที่ตัวเอง ทว่ามันนั้นมีความเร็วเหนือความคาดหมาย ทำเอาคนแหย่ใจหายใจคว่ำเกือบพลาดท่าโดนกัดเข้ากลางลำตัวหลังล้มกลิ้งไม่เป็นท่า เห็นว่าคนเป็นน้องยากจะป้องกันตัวเองให้ทันจากการโจมตีครั้งถัดไป อิกนิสจึงใช้เวทไฟลนหลังสัตว์อสูรที่ดิ้นพรวดพราดให้เปลี่ยนเป้าหมาย เขารีบกระโดดหลบจากหางขนาดใหญ่ที่ฟาดลงมาได้ทันท่วงทีพลางพ่นลมหายใจแรงนึกว่าจะไม่รอด ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่จูเลียสพาฟิเลน่าหนีได้สำเร็จ ถือว่าแผนขั้นแรกเป็นไปด้วยดี

เนื่องจากอะไรก็เกิดขึ้นได้ สถานการณ์ตอนนี้เกล็นอยู่ใกล้ทางเชื่อมมากที่สุด จึงจะเป็นต้องผลัดเปลี่ยนตำแหน่งจากที่ตกลงไว้ โดยที่ชาร์ล็อตวิ่งตรงไปช่วยดึงคลาริสกลับมาตั้งหลักใหม่

“โอ๊ยๆ เบาหน่อยสิ!” คลาริสกัดฟันพูดรู้สึกเจ็บบริเวณต้นแขนทั้งที่ไม่มีเลือดซึม แต่มันก็ไม่ใช่เวลามาดูอาการอย่างละเอียด แต่ต่อให้หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดไหนคลาริสยังสามารถยิ้มมั่นใจและเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างทะมัดทะแมงลืมไปเลยว่าเจ็บอยู่

“อ๊ะ อะไรขวาง…” เกล็นบ่นพึมพำหัวเสียหลังเท้าเตะเข้ากับกล่องไม้เก่าๆ เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า เขาก้มเก็บเตรียมบอกข่าวดีกับเพื่อนๆ ในระหว่างนั้นคลาริสสังเกตอะไรไวๆ ตรงหางตา ไม่ทันจะได้ทักถามจูเลียสก็วิ่งพรวดพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก อีกทั้งยังใช้เวทลมอัดเคฟสเนคจนตัวเซและมึนงงชั่วขณะ

“ตรงนี้มันทางตัน!” จูเลียสมองทุกคนที่ต่างหน้าเหวอลืมคิดจุดนี้ไปเลยว่ามีโอกาสที่มันไม่ใช่ทางไปต่อ เท่ากับว่าพวกเขาต้องแก้ปัญหาหน้างานโดยด่วน

ทันทีที่สัตว์อสูรได้สติตาขุ่นมัวจ้องเขม็งขู่คำรามใส่จูเลียส องค์ชายจำเป็นต้องวิ่งเอาตัวรอดทางอื่นเพื่อไม่ให้คนที่ซ่อนตัวอยู่เป็นอันตราย อิกนิสที่ใกล้สุดอาสาไปรับฟิเลน่าเอง เมื่อมั่นใจเพื่อนร่วมกลุ่มหลบพ้น ชาร์ล็อตจำเป็นรับหน้าที่ล่อให้หันมาอีกทางเปิดทางให้อิกนิส เนื่องจากระยะระหว่างคลาริสกับจูเลียสไม่ห่างจากอิกนิสมากอาจจะทำให้เคฟสเนคสนใจสิ่งใกล้ตัวกว่า ช่วงเวลาเดียวกันนั่นแมรีแอนน์เห็นเศษไม้ที่ร่วงลงมาจากช่องที่สัตว์อสูรโผล่มา เธอตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีใช้เวทให้รากไม้เหนือศีรษะพุ่งลงมาขัดขวางเส้นทางเคฟสเนคขยับตัวลำบาก สร้างผลดีให้กับทุกคน

“เยี่ยม!” คลาริสร้องดีใจ

“ไม้มันไม่ได้แข็งแรงมาก ต้องรีบหนีแล้วค่ะ!

เธอตะโกนบอกให้สมาชิกรวมตัวที่ปากทางออกให้ไวที่สุด อิกนิสที่อุ้มฟิเลน่าในท่าเจ้าหญิงกอดกล่องไม้เก่าๆ ออกมาแทน เพราะเด็กสาวมีน้ำหนักเบาเมื่อเทียบพละกำลังองอิกนิส เขาจึงสามารถพาฟิเลน่ามายังจุดเริ่มต้นได้รวดเร็ว ขณะที่คนอื่นยังหลอกล่อความสนใจ เกล็นที่ถึงจะไม่ถนัดเวทไม้ก็ใช้วิธีเดียวกับแมรีแอนน์เพื่อซื้อเวลาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ยังถือว่าโชคดีที่ทุกคนยังไม่กระจุกรวมตัวกัน เจ้างูทำลายรากไม้แล้วหันไปทางตัวการคนล่าสุดที่หน้าซีดยกมุมปากค้าง เกล็นที่ตกเป็นเป้าหมายเลยใช้เวทน้ำแข็งสร้างละอองเย็นให้ศัตรูสะดุ้งกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงฉับพลัน

เห็นดังนั้นชาร์ล็อตก็เพิ่งนึกถึงเรื่องสำคัญออกจึงรีบบอกให้เพื่อนรับรู้

“เกล็นใช้เวทแถวปากมัน ตรงนั้นเป็นจุดใช้ตรวจหาเหยื่อ!

เคฟสเนคนั้นถูกจัดอยู่ในวงศ์ของงูหลามทำให้จุดอ่อนอยู่บริเวณปากโดยปริยาย เกล็นทำตามไม่อิดออดเปิดโอกาสหนีให้กับเพื่อนคนอื่นที่ย้อนกลับมาได้สำเร็จ แมรีแอนน์จึงรับช่วงต่อจากเกล็นให้วิ่งสุดแรงเกิด

เมื่อเกล็นอยู่ในเส้นทางต่อให้ปิดตาก็มาถึงจุดปลอดภัยได้ ฟิเลน่าจึงส่งสัญญาณบอก “ทุกคนหลับตา!

สิ้นเสียง แมรีแอนน์หยุดการใช้เวทแล้วหลับตาปี๋สลับไปใช้เวทดินช่วยจูเลียสกับชาร์ล็อตเพื่อเตรียมสร้างแท่นหินกั้นเส้นระหว่างพวกเขาทั้งเจ็ดกับสัตว์อสูร แม้หลับตาอยู่ชาร์ล็อตสัมผัสว่ามีบางอย่างวิ่งผ่านไปและมั่นใจว่านั่นคือเกล็นที่ร้องโหวกเหวกให้คนที่เหลือรับทราบว่าเขาได้เข้ามาร่วมกลุ่มแล้ว ทั้งสามช่วยกันสร้างกรงขังพร้อมกับแสงที่ค่อยๆ จางหายไปกลับมาสู่สภาวะปกติ กระนั้นสายตาพวกเขาต้องปรับเล็กน้อย แต่ไม่มากเท่าเคฟสเนคที่โดนไปเต็มๆ

ถึงเสาถูกสร้างสะเปะสะปะเพราะมองไม่เห็น แต่อย่างน้อยๆ กว่าสัตว์อสูรตัวนั้นกลับมามีสติก็ต้องใช้เวลา สิ่งแรกที่มันเห็นคงเป็นแค่ทางตันเท่านั้น ต่อให้จับแรงสั่นสะเทือนก็ไม่อาจจะไล่ตามได้ทัน แต่พวกเด็กๆ ต่างเร่งฝีเท้าไม่คิดชีวิตออกให้พ้นปากถ้ำได้สำเร็จ เกล็นกับแมรีแอนน์ช่วยกันปิดอีกชั้นหนึ่งดันเหนียวก่อนจะไปกองกับพื้นพร้อมเพื่อนที่เหลือ

พวกเขาต่างหอบหายใจเหนื่อยจากการใช้พลังกายอย่างหนักหน่วงจนคอแห้งผากขอน้ำดื่มจากคนที่มี แม้ทุกคนจะหายเหนื่อยแล้วก็ตามก็ไม่มีใครพูดเลยสักคนราวกับสมองหยุดทำงานต้องการพักให้เต็มที่ จนกระทั่งน้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยขึ้นปนหัวเราะนิดๆ

“ฟิเลน่าเอาสมบัติให้พวกเขาดูสิ”

เจ้าของชื่อทำตามว่าง่ายหยิบเอากล่องมาวางไว้บนหน้าตักโชว์ “นี่น่าจะเป็นสมบัติที่ว่า”

“ว่าแต่เขาอนุญาตให้เปิดได้หรือเปล่าคะ?” แมรีแอนน์ชะโงกหน้าสงสัย

ฟิเลน่าที่ไม่สนว่าใครจะว่ายังไงก็เปิดกล่องเผยของภายในให้เห็น มันคือข้อความที่เขียนบนกระดาษทากาวติดแน่นว่า สอบผ่าน ทำเอาคลาริสร้องโวยหัวเสียรู้สึกไม่คุ้มกับที่ฝ่าฟันมาได้เลยสักนิด

“พวกเราเจ็บตัวเพื่อไอ้ข้อความแค่เนี้ยนี่นะ!

“เอาน่า ต่อให้เป็นสิ่งของ สุดท้ายอาจารย์ก็เอาคืนอยู่ดีนั่นแหละ” อิกนิสพูดปลอบน้องสีหน้าปลง คิดแบบเดียวกัน “ว่าแต่มีใครเป็นอะไรมากหรือเปล่า โดยเฉพาะนายน่ะ”

“ตอนล้มก็เอาเรื่องอยู่” คลาริสถกแขนเสื้อขึ้นดู “เหวอ ช้ำเลยเรอะ”

“ก็กระแทกกับพื้นหินนี่นา มาเดี๋ยวฉันจัดการให้” ว่าแล้วฟิเลน่าเขยื้อนเข้าใกล้คลาริสแล้วสัมผัสลงบนรอยฟกช้ำเกิดแสงสลัวครู่หนึ่ง สีผิวจากเข้มน่ากลัวกลายเป็นสีเขียวและเหลือง “ที่เหลือก็ดูแลเองต่อล่ะ”

“สุดยอดไปเลย! คุณรักษาแผลฟกช้ำได้ขนาดนี้เลยเหรอคะ!?” แมรีแอนน์ยกมือป้องปากตกตะลึง แววตาส่องประกายชื่นชมความสามารถอีกฝ่าย

“กะ ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ใบหน้าของฟิเลน่าขึ้นสีระเรื่อหลังถูกชม “แค่ตอนเด็กๆ ท่านจูเลียสกับท่านพี่เรเดลชอบเล่นอะไรแผลงๆ ไหนจะเอาตัวอะไรไม่รู้มาอุ้มเล่นจนได้แผลออกบ่อย เลยคิดว่าศึกษาไว้น่าจะดีกว่า”

“ไอ้รักษารอยช้ำแค่นี้มันสุดยอดขนาดนั้นเลยเชียว?” คลาริสเลิกคิ้วสูงไม่เข้าใจความวิเศษวิโสเท่าไร

“สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนแพทยาคมจริงจังถือว่ายากมากเลยค่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิดน่าจะเป็นบทเรียนระดับกลาง เพราะแผลฟกช้ำตามปกติต้องใช้เวลาประมาณสองสัปดาห์ถึงจะหาย ถึงคุณฟิเลน่าไม่ได้รักษาจนหายดีก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นลดเวลาและขั้นตอนรักษาทั่วไปค่ะ เอ่อ... ดูจากแผลตอนนี้น่าจะเข้าช่วงสัปดาห์ที่สองได้ค่ะ หลังจากนี้คลาริสต้องคอยหมั่นประคบร้อนให้เลือดไหลเวียนดีๆ นะคะ จริงสิ ไม่แน่ใจห้องปรุงยามีว่านหางจระเข้ไหม... เกล็นพอจำได้หรือเปล่า?”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ ดวงตาสีชมพูจึงกะพริบปริบๆ สงสัยโน้มศีรษะมองเพื่อนร่วมกลุ่มที่หน้านิ่วคิ้วขมวดคิ้วไม่ยอมคุยกับใครตั้งแต่ออกมา

“เกล็นคะ?” แมรีแอนน์ทักอีกหนพร้อมโบกมือไปมาตรงหน้า “เกล็น!?

“ฮะ! มะ... มีอะไรเหรอ?” เกล็นเอียงคอสงสัยหันขวับมองคนเรียก

“ที่ห้องปรุงยามีว่านหางจระเข้ไหมคะ ก่อนปิดเทอมฉันว่าจะทำยาให้คลาริสทารอยฟกช้ำน่ะ”

“เอ่อ... มีอยู่ตู้สามชั้นสองแถวล่างสุดล่ะมั้ง...” ตอบเสร็จเกล็นกลับมานั่งนิ่งจ้องแมรีแอนน์ไม่วางตา

“เกล็นเป็นอะไรหรือเปล่าคะ...?” เสียงหวาดหวั่นเอ่ยถาม

“ขะ ขอโทษที แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย... แบบว่าเธอใส่สร้อยมาด้วยไหม คือฉันเห็นอะไรส่องแสงแถวคอน่ะ”

ในที่สุดเกล็นหลอกถามสิ่งที่ค้างคาใจมาตั้งแต่เหยียบเข้าถ้ำ นัยน์ตาสีดำมองเจ้าของไอเทมชิ้นสำคัญของเกมทำหน้าเหลอหลาส่ายหัวปฏิเสธ

“ฉันไม่ได้ใส่สร้อยค่ะ”

ได้รับคำตอบเกล็นใช้ช่วงเวลาเพื่อนไม่สนใจเขาเพื่อเก็บผลึกสีแดงใสทรงว่าวใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโยนกล่องไม้ทิ้งข้างทาง ก่อนจะเงยมองท้องฟ้าที่ยังเป็นสีครามสดใสนึกถึงเพื่อนของปู่ที่น่าจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

“ต้องคุยกับปู่เกรกอรี่จริงจังแล้วล่ะ”