ในที่สุดวันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาถึง แต่มันจะดีมาก หากนั่นไม่ใช่การนับเวลาถอยหลังสู่อีเวนต์หลักแรกของเกม ที่พวกตัวเอกจะต้องต่อสู้จนเลือดตกยางออก เกล็นจึงมีอาการเซื่องซึมเวลาที่คิดถึงมันจนเขาอยากออกจากห้องสี่เหลี่ยมไปสูดอากาศหายใจให้สดชื่นที่สวนสาธารณะในเมือง

ระหว่างเดินผ่านโถงหน้าหอ เกล็นเจอกับจูเลียสที่ออกมาจากห้องส่วนกลางพร้อมกับเด็กสาวผมสีน้ำตาลแดงเข้าพอดี เขาทักทายอย่างสุภาพพร้อมกับสงสัยสีหน้าขององค์ชายที่ก่อนหน้าดูเจื่อนๆ ก่อนจะยิ้มละมุนให้เหมือนทุกที

“พี่ไปก่อนนะ” พี่สาวของจูเลียสบอกลาน้องชายขึ้นชั้นสอง

พอพี่สาวหายลับสายตา จูเลียสก็หันมาหาเกล็นแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม

“เกล็นจะไปข้างนอกเหรอครับ?”

คนถูกถามพยักหน้าตอบ “ตั้งใจจะไปเดินเล่นที่แถวสระน้ำกับหาอะไรกินสักหน่อย”

“ถ้าผมขอไปด้วยได้หรือเปล่า ว่าจะไปซื้ออาหารให้บรูโน่น่ะครับ” จูเลียสขอไปย่านการค้าด้วยคน เกล็นเลยตกลงว่าง่าย สักพักองค์ชายก็ถามพลางกวาดสายตามองหาเพื่อนคนอื่น “แล้วคนอื่นล่ะ? เขาไปด้วยไหม”

“คลาริสลองชวนแล้วไม่ไป ส่วนพวกผู้หญิงได้ยินว่านัดไปไหนก็ไม่รู้ตั้งแต่วันก่อนแล้ว” เกล็นตอบเท่าที่รู้มา อย่างคลาริสก็แวะห้องชวนไปด้วยกันแล้ว แต่ถูกปฏิเสธเพราะอยากจะนอนต่อมากกว่า ส่วนพวกชาร์ล็อตก็คงมีนัดซื้อของกระจุกกระจิกตามประสาเด็กสาวกัน

“แบบนี้ไม่เหงาเหรอครับ ปกติเห็นเกล็นอยู่กับแมรีแอนน์ไม่ก็คลาริสตลอด”

“ถามอะไรแปลกๆ นะ บางทีคนเราก็อยากอยู่คนเดียวบ้างซิ” เกล็นเกาหัวแกรกๆ ไม่ค่อยเข้าใจ “นายก็มีช่วงอยู่คนเดียวเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”

“นั่นสินะครับ” จูเลียสหัวเราะเสียงแห้งตอบกลับ

จากนั้นเกล็นกับจูเลียสก็มุ่งตรงไปยังสวนสาธาณะริมน้ำตามที่ตั้งใจไว้ เกล็นสูดหายใจเข้าเต็มปอดรู้สึกสดชื่นหัวโล่งสบาย แต่พอคิดถึงเรื่องสอบปลายภาคเขาก็รีบสะบัดหัวแล้วชวนจูเลียสให้อาหารปลาเล่นกัน กลายเป็นสองหนุ่มยืนดูปลาว่ายแย่งอาหาร

“สภาพดูดีกว่าปลาสวายท่าน้ำแถวบ้านแฮะ” เกล็นพึมพำเรียกความสงสัยจากเด็กหนุ่มผมทองให้ตั้งคำถาม

“ปลาสวายชื่อแปลกจังเลยนะครับ ปลาท้องถิ่นที่มอสเซียน่าเหรอ?”

เกล็นสะอึกที่เผลอพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าจะไม่มีบนโลกนี้ แต่ก็พูดเฉไฉยืมชื่อชาร์ล็อตมาอธิบายเกี่ยวกับเจ้าปลาที่เคยเห็นตามวัดหรือท่าน้ำข้ามฝั่งบ่อยๆ สมัยชาติก่อน ทว่าพอมองหน้าจูเลียส ดวงตาสีเขียวใสคู่นั้นกำลังส่องประกายด้วยความสนใจ

“มันเป็นปลาต่างถิ่น อยู่แถวพูร์นามาน่ะ” เกล็นโกหกด้วยการหยิบชื่อประเทศที่มีลักษณะคล้ายบ้านเมื่อชาติที่แล้วมาใช้ “อย่าบอกนะว่าอยากเลี้ยง…?”

“ครับ ผมกับพี่ชายสนใจเลี้ยงปลาอยู่เหมือนกันน่ะ พอได้ยินชื่อแปลกๆ จากเกล็นก็เลยสนใจ”

“ถ้างั้นนายรู้จักปลามัง… เอ้ย ชื่อไรนะ แอโรรานา อะไรนั่นหรือเปล่า”

“อ้อ แอโรวานารู้จักสินะครับ ท่านปู่เคยเลี้ยงไว้อยู่ตัวหนึ่ง แต่ตายตามอายุขัยไปแล้วล่ะ จริงๆ ก็เคยคุยกับท่านพี่อยู่ว่าอยากเลี้ยงใหม่อยู่ เป็นปลาที่สวยมากเลย น่าเสียดายที่หาซื้อค่อนข้างยาก” แล้วจูเลียสก็รำลึกถึงวัยเด็กกับเจ้าปลาแอโรวานาหรือปลามังกรที่เกล็นคุ้นหูกว่า มันเป็นปลาสวยงามที่คนรวยๆ ชอบเลี้ยงกัน ขณะเดียวกันก็เป็นสัตว์หายากไม่ว่าจะโลกก่อนหรือโลกนี้

“ฟังดูแล้วบ้านนายก็ชอบเลี้ยงสัตว์นะ เคยได้ยินพี่สาวนายคุยเรื่องกระต่ายด้วย”

“มันแค่ตอนเด็กๆ น่ะครับ พอโตขึ้นมาพี่ชายคนโตก็เริ่มทำงานเลยไม่ค่อยมีเวลาดูแล ส่วนพี่คนรองเขาชอบเรื่องประดิษฐ์มากกว่า ตอนนี้ก็เหลือท่านพี่หลุยส์กับผมสองคนที่ยังเลี้ยงอยู่ แต่… เราสามคนก็ชอบเถียงกันเรื่องนี้ประจำด้วย” ว่าแล้วจูเลียสก็กอดอกทำหน้าลำบากใจ

“เราสามคน?” เกล็นขมวดคิ้วกับจำนวนคนที่ไม่ลงตัว

“ท่านแม่น่ะครับ ตอนที่ผมบอกว่าจะเลี้ยงงูก็คัดค้านเป็นคนแรก”

“อ้อ… อืม…” คนฟังผงกหัวตอบเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่กับพี่สาวของจูเลียสถึงได้มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงสัตว์

“เลยคิดว่าก่อนจะเรียนจบไว้ค่อยปรึกษาชาร์ล็อตเรื่องนี้ทีหลังดีกว่า เพราะถ้าเลี้ยงที่โรงเรียนก็คงไม่เหมาะเท่าไร”

“ฉันเคยได้ยินมาว่า ถ้าเลี้ยงให้กินอาหารที่ตายแล้วตั้งแต่แรกมันก็จะชินด้วยนะ” เกล็นชี้โพรงให้กระรอกให้กับจูเลียส เข้าใจว่าที่คนในครอบครัวไม่ปลื้มอาจจะเพราะอาหารการกินของสัตว์เลี้ยงอย่างงูก็เป็นได้ ต่างจากกิ่งก้าคาเมเลี่ยนที่เป็นสัตว์กินพืชหรือแมลงที่คนไม่ค่อยผูกพันเท่าหนูหรือลูกเจี๊ยบ “ฉันรู้มาแค่นิดๆ หน่อยๆ นะ ไว้จะเลี้ยงจริงไปถามชาร์ล็อตดีกว่า”

แล้วจูเลียสก็พยักหน้ารับฟังคำพูดไปเรื่อยของเกล็นอย่างจริงจัง และพอองค์ชายเห็นอาหารปลาหมด เขาก็ชวนหากิจกรรมอย่างอื่นทำต่อ

“ไปพายเรือเล่นกันไหมครับ” เขาชี้ไปที่จุดบริการเช่าเรือ

“อยากพายเหรอ?” เกล็นมองหน้าจูเลียสพร้อมทวนถามขอความแน่ใจ ซึ่งองค์ชายก็ยิ้มหน้าบานพร้อมพยักหน้ายืนยันคำตอบ “งั้นไปกัน ฉันก็อยากพายเรือเล่นเหมือนกัน”

แล้วเกล็นก็คึกคักขึ้นมาเพราะอยากจะพายเรือเล่นมานาน แม้ว่าบ้านเกิดจะอยู่ใกล้ทะเลสาบแต่เขาก็ไม่เคยได้แตะเรือพายเลยสักครั้ง กระทั่งจูเลียสเอ่ยปากชวนเกล็นจึงตกลงทันที

จากนั้นสองเด็กหนุ่มก็จัดการจ่ายเช่าแล้วรีบลงเรือ ต่างคนต่างตื่นเต้นที่จะได้พายเรือเล่น แต่พอได้ลงเรือก็พากันหัวหมุนเพราะจับไม้พายไม่เป็น ทำให้เรือหมุนเป็นวงกลมไม่ออกห่างจากจุดเดิม พวกเขาปล่อยให้เรือไหลไปตามแรงพายเรื่อยๆ จนแล้วจนรอดเกล็นกับจูเลียสก็เมื่อยแขน เก็บไม้เข้าเรือเพื่อออมแรงไว้พายเข้าฝั่ง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็นั่งหัวเราะท้องคับท้องแข็งขบขันกับเรื่องที่ทำลงไป

“ฮะๆๆ เฮ้อ…” จูเลียสถอนหายใจที่เหนื่อยกับการหัวเราะเป็นเวลานาน ก่อนจะหันซ้ายหันขวามองรอบตัวแล้วเปิดประเด็นช่วงคุยเล่น ขณะที่เรือค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้า “ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ที่นี่น่าจะสวยนะครับ”

“นั่นสิ” เกล็นขานรับ แล้วลองจินตนาการถึงวันที่ต้นไม้ผลิดอกซากุระในการ์ตูน “พูดไปแล้ว แป๊บๆ ก็จะสอบปลายภาค ทั้งที่ตอนเรียนสมัยนู้นรู้สึกน้านนาน”

“สมัยนู้น…?” เด็กหนุ่มผมทองเอียงคอมองด้วยแววตาใสซื่อ

“อ๊ะ! กะ ก็ตอนเด็กไง ที่พ่อแม่จ้างครูมาสอนที่บ้าน เลยรู้สึกว่ามันนานมากๆ เลย” เกล็นหัวเราะเสียงแห้งเผลอรำลึกวัยเรียนเมื่อชาติก่อน เขาเลยพยายามเฉไฉเล่าเป็นเรื่องวัยเด็กชาตินี้แทน ยังดีที่จูเลียสเข้าใจตามที่เกล็นอธิบาย

แต่แล้วจู่ๆ จูเลียสทำสีหน้าครุ่นคิดเหมือนมีความในใจบางอย่าง เรียกความสงสัยจนคนตรงหน้าต้องเผลอปากถาม

“มีอะไรหรือเปล่า?

องค์ชายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังชั่งใจว่าจะเล่าสิ่งที่คิดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายจูเลียสก็ประสานมือบีบเบาๆ พร้อมปรายตามองไปทางอื่นแล้วถามเกล็นกลับ

“ตอนสอบกลางภาค เกล็นไม่รู้สึกอึดอัดเหรอครับ…” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูกระอักกระอ่วน

“ก็ไม่นะ ทำไมเหรอ?” เกล็นหยั่งเชิงถามกลับพอจะเดาได้อยู่ว่าความอึดอัดที่จูเลียสพูดถึงคืออะไร

“คือ… ผม… ไม่รู้สิ ก่อนหน้านั้นผมก็ดีใจที่แมรีแอนน์ปรับความเข้าใจกับฟิเลน่า แต่… พอได้มาอยู่กลุ่มเดียวกันผมกลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกน่ะครับ…” แววตาของจูเลียสเต็มด้วยความรู้สึกผิดที่พูดเรื่องนี้

“นั่นเป็นเพราะพวกนายไม่ได้คุยกันนานไปล่ะมั้ง จะบอกว่ามันเรื่องปกติที่คนเคยสนิทแต่พอห่างกันนานๆ ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกเวลาเจอหน้ากันอีกครั้งก็ใช่น่ะนะ หรือไม่ก็…” เกล็นหลุบตาลงลังเลจะพูดดีหรือไม่ แต่เมื่อเอ่ยออกไปส่วนหนึ่งแล้ว เขาจึงจำใจพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ “หรือไม่ก็นายยังอคติกับเรื่องที่เขาทำกับแมรีแอนน์ แต่ฉันก็คิดว่ามันก็ไม่แปลกเหมือนกันที่จะรู้สึกแบบนั้น ก็ในเมื่อนายเห็นว่าฟิเลน่าทำเรื่องพวกนั้นลงไปจริงๆ”

“อาจจะเป็นอย่างที่ว่ามาก็ได้ครับ… แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็คิดว่ามันจะดีจริงๆ เหรอ”

“โทษทีนะ ไอ้เรื่องนี้ฉันตอบให้ไม่ได้หรอก มีแค่ตัวนายเองที่จะตัดสินใจยังไง” เกล็นยกมือขอผ่านที่จะออกความคิดเห็นเพิ่มมากกว่านี้ จูเลียสจึงก้มหน้าเจื่อนรับฟัง

“แสดงว่าเกล็นก็ไม่ได้คิดมากแล้วสินะครับ เลยไม่ได้รู้สึกอึดอัด”

“จะว่าไงดีล่ะ” เกล็นเปลี่ยนอิริยาบถจากท่านั่งปกติมาเป็นกอดอกทำหน้าเคร่งขรึม “ไอ้ที่ตอนสอบคราวนั้นมันก็อึดอัดแหละ เพราะชาร์ล็อตกับฟิเลน่ายังไม่ได้ญาติดีกันเลย เพราะงั้นตอนรู้ว่าอยู่กลุ่มเดียวกันก็ห่วงแค่สองคนนี้มากกว่า แต่พอเห็นฟิเลน่าช่วยรักษาแผลให้ชาร์ล็อตก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อยว่าอย่างน้อยๆ ก็ไม่หาเรื่องทะเลาะบ้าๆ บอๆ แล้ว ตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยกังวลเรื่องนั้นเท่าไร”

“แสดงว่าเกล็นก็ไม่ได้ไม่ชอบฟิเลน่าสินะครับ?

“ไม่ได้ชอบและไม่ได้เกลียด เรียกว่าเฉยๆ ก็ได้มั้ง…” เกล็นลูบคางคิดถึงความรู้สึกที่มีต่อฟิเลน่า “แล้วถ้ามองจากคนที่เพิ่งรู้จักถึงตอนแรกจะน่าโกรธอยู่หรอก แต่เอาเข้าจริงก็เด็กดีกว่าที่คิด อย่างน้อยมีคนเตือนแล้วยังรับฟังเก็บไปคิดว่าถูกหรือผิด ถึงเคยบอกว่ายัยนั่นน่าอิจฉาที่มีเพื่อนแบบลิเลียนที่บอกกันตรงๆ ว่าทำผิดอะไร แต่ที่ยังดูคาราคาซังแบบนี้คงเพราะเจ้าตัววางมาดอยู่ละมั้ง”

“แล้วหลังจากนี้ผมควรทำยังไงดีกับเขา”

“ของอย่างนี้ตอบแทนให้กันยากนะ เพราะฉันมันก็แค่คนชี้นำซึ่งไม่ค่อยอยากทำเท่าไรหรอก ที่สำคัญคนที่รู้จักฟิเลน่าดีที่สุดในกลุ่มก็คือนายไม่ใช่เหรอจูเลียส รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ นี่นา”

“นั่นสินะครับ...” จูเลียสผงกศีรษะตอบรับอย่างเซื่องซึม แล้วจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรต่ออยู่สักพัก องค์ชายก็เล่าเรื่องให้เกล็นฟัง “อันที่จริง ท่านพี่มาถามกับผมว่าพักหลังมานี้ยังคุยกับฟิเลน่าหรือเปล่าน่ะ พอผมตอบว่าไม่ได้คุย เขาก็บอกว่าดีแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างไงไม่รู้”

“ขนาดตัวนายยังไม่รู้ ฉันก็ตอบอะไรให้ไม่ได้หรอก” เกล็นย้ำความคิดเดิมว่าเป็นสิ่งที่เขาเองก็ให้คำตอบกับจูเลียสไม่ได้ “เฮ้อ... คิดว่าฉันเสี้ยมก็ได้นะ ในเมื่อนายรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่ต้องฟังพี่สาวมากก็ได้ ตัวนายกับพี่ยังไงก็เจออะไรมาไม่เหมือนกัน ต่อให้พี่สาวจะโกรธก็ไม่เห็นแปลกแล้วไม่ต้องไปใส่ใจด้วยถ้ามั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปมันถูก แต่ถ้ารู้ว่าผิดก็มาขอโทษทีหลังเอา ก่อนหน้านี้ยังบอกนี่ว่าเคยทะเลาะเรื่องสัตว์เลี้ยงน่ะ แล้วครั้งนี้จะกลัวอะไร ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดคอถึงขั้นไม่เผาผีขนาดนั้นสักหน่อย”

จูเลียสที่นั่งก้มหน้าช้อนตามองอีกฝ่าย ใจหนึ่งก็รับฟังสิ่งที่เกล็นพูด อีกใจก็อยากนอกเรื่องถามความหมายประโยคไม่คุ้นหูอย่างไม่เผาผี สุดท้ายดวงตาสีเขียวก็กลับไปจ้องท้องเรือ

“อีกเรื่องหนึ่งขอเตือนหน่อยนะ ตอนสอบต่อให้รู้สึกฝืนที่ต้องช่วยหรือให้ความร่วมมือกับฟิเลน่าก็ทำๆ ไปซะ เพราะนั่นคือการสอบแบบกลุ่ม จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปนจนทำทีมวุ่นวายขึ้นมาจนคนอื่นต้องเก็บกวาดปัญหาให้ไม่เอาหรอกนะ ตอนนี้พวกเราก็โตพอจัดการความรู้สึกได้ด้วย”

“จริงๆ ประโยคนี้ควรบอกคนของเราซะมากกว่าแฮะ…” เกล็นขยี้ผมนึกถึงภาพของชาร์ล็อตที่ยังตั้งแง่กับฟิเลน่าหนักกว่าจูเลียส เขาเลยได้แต่หวังว่าเพื่อนวัยเด็กจะแยกปัญหาระหว่างส่วนตัวกับเรื่องงานออก ถึงแม้ว่าตอนสอบกลางภาคผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจก็ตาม

“ครับ… ผมจะเก็บไปทบทวนดู” จูเลียสตอบรับคำพูดของเกล็นเสียงอ่อย

ถ้าให้พูดเพิ่ม ฉันว่านายน่ะมีคำตอบของตัวเองแล้วล่ะ เพราะงั้นก็ค่อยๆ คิดเอาว่าจะยังไงต่อ” ว่าจบเกล็นก็ยืดตัวบิดขี้เกียจที่นั่งอยู่บนเรือเป็นนาน “แต่พอได้นั่งกันสองคนนี้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พูดเรื่องที่อยากโดยไม่ต้องกลัวใครมาได้ยิน”

จูเลียสพยักหน้าตอบเห็นด้วย “คิดถูกจริงๆ ที่เรามาพายเรือเล่นกัน”

จากสีหน้าดูไม่สดชื่น ใบหน้าของจูเลียสกลับมาประดับรอยยิ้มละมุนอีกครั้ง

“งั้นพายเรือกลับกันดีกว่า เดี๋ยวขากลับผมจะได้แวะซื้ออาหารให้บรูโน่”

“จะพายเองหรือจะใช้เวทมนตร์” เกล็นถามขึ้นหน้าตาจริงจังพลางจุ่มมือข้างหนึ่งลงน้ำตรงท้ายเรือเตรียมพร้อมใช้เวท

“ไม่เห็นต้องเลือกเลยนี่ครับ” จูเลียสทำหน้ามุ่ยก่อนจะส่งไม้พายให้เป็นคำตอบ เกล็นจึงรับมาแต่โดยดี จากนั้นก็ค่อยๆ พากันพายเข้าฝั่งอย่างทุลักทุเล แต่ระหว่างออกแรงพาย องค์ชายได้ส่งยิ้มและแววตาสดใส ทำเอาเกล็นที่จ้องหน้าเอียงคอสงสัยกับท่าทีของจูเลียส

“สอบปลายภาคเรามาพยายามด้วยกันนะครับ!

“อะ อืม…” เกล็นยิ้มแหยตอบพลางลูบหน้าอก ก่อนจะคิดเรื่องการสอบปลายภาคที่กำลังมีศัตรูตัวร้ายคืบคลานเข้ามา

“ของแบบนี้จะมีวิธีเลี่ยงได้หรือเปล่านะ… เฮ้อ ช่วยไม่ได้ดันเกิดในโลกเกมที่มีฉากต่อสู้ด้วยนี่เนอะ ฮือ”