11 ตอน บทที่ 10: นางเอกเกมกับคุณหนูหัวโจก
โดย RiFourver
วิชาเลือกคงเป็นวิชาเดียวที่นักเรียนหน้าใหม่หลายคนกระตือรือร้นพร้อมเรียนมากที่สุด อย่างชาร์ล็อตได้แยกตัวไปก่อนใคร เพราะหลังระฆังเลิกคาบดังเธอก็มุ่งตรงไปห้องวิชาการผจญภัยอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปห้องเรียนตามที่สนใจ อย่างจูเลียสเป็นดาราศาสตร์ ลิเลียนวิชาดนตรี คลาริสที่นึกว่าจะไปวิชาเกี่ยวกับการต่อสู้ก็ฉีกไปเป็นวิชาเวทมนตร์เพิ่มเติม ทำให้เขาเดินไปอาคารปฏิบัติร่วมกับเกล็นและแมรีแอนน์
ระหว่างทางแมรีแอนน์ก็ถามด้วยความอยากรู้ว่าทำไมคลาริสถึงเลือกเรียนเวทมนตร์ เธอจึงได้รับคำตอบว่าเขาสนใจเวทมนตร์มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ฝึกฝนอย่างจริงจัง
“ในเกมรู้สึกว่าวิชาเลือกเนี่ยเป็นตัวเสริมสเตตัสกับสกิลอะไรเพิ่มหรือเปล่านะ?”
เกล็นทวนความทรงจำอีกหนว่าวิชาเลือกต่างๆ นอกจากได้ค่าสเตตัสกับสกิล ถ้าระบบเกมสุ่มให้ตอบคำถามก็มีโอกาสได้คะแนนหัวใจเพิ่ม ซึ่งตอนนี้โอกาสที่แมรีแอนน์จะเลือกวิชาเวทมนตร์เพิ่มเติมนั้นมีอยู่สูง เท่ากับว่าเธอจะได้เรียนร่วมกันกับคลาริสและเกล็น… เกล็นที่เป็นตัวละครในเกมน่ะนะ
“แล้วพวกนายเลือกวิชาอะไรล่ะ?” คลาริสเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง หลังตอบคำถามของแมรีแอนน์
“วิชาปรุงยาน่ะ/ค่ะ” เกล็นกับแมรีแอนน์ตอบเป็นเสียงเดียวกัน แล้วทำหน้าเหวอใส่กัน เพราะประหลาดใจกับความบังเอิญ โดยที่คนหนึ่งวางแผนมานานต่อให้ผิดจากต้นฉบับก็สนใจ อีกคนแหกโค้งยิ่งกว่าคลาริส ดูแล้วไม่น่าจะมาสายปรุงยาด้วยซ้ำ
“กะ เกล็นสนใจวิชานี้เหมือนกันเหรอคะ?” แมรีแอนน์ก้มหน้าทำมือขยุกขยิกถาม
“อะ อืม ฉันตั้งใจว่าทำต่อจากที่บ้าน” เกล็นตอบอย่างกั๊กๆ ไม่ยอมเผยแผนการสูงสุดที่จะเปิดเป็นธุรกิจครีมกวนบำรุงผิวหน้าและกายแบบออร์แกนิกราคาย่อมเยาเข้าถึงประชาชนทุกคน เพราะเขาเชื่อสุดใจว่าไม่ว่าโลกไหนชายหรือหญิงต้องการเสริมราศีบนใบหน้ากันทั้งนั้น
“งั้นเกล็นก็พอรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนแล้วสินะคะ”
“ประมาณหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็มีแต่เดิมๆ ต้องรอพ่อค้าเร่มาถึงจะมีอะไรใหม่ๆ” เขายักไหล่ด้วยท่าทางไม่พึงพอใจกับวัตถุดิบที่มีละแวกบ้านเท่าไร จำเป็นต้องรอของต่างแดนมาขายพอมาก็มีจำนวนน้อย ทำให้สิ่งที่เกล็นอยากทำมีข้อจำกัด ผลงานที่สำเร็จตอนนี้มีแต่ยาดมกลิ่นสมุนไพร
“แล้วเธอล่ะ? พูดตามตรงดูจากภายนอกน่าจะไปทางแพทยาคม” คลาริสถามต่อหลังรู้เหตุผลของเกล็น
“อันที่จริงก็อยากอยู่นะคะ แต่ที่เล่าว่าเคยช่วยงานกิลด์ แล้วหลายๆ คนก่อนมาถึงเมืองมักดูแลแผลไม่ค่อยดี ฉันเลยคิดว่าถ้าทำยาที่ช่วยเรื่องพวกนี้น่าจะดีน่ะค่ะ” แมรีแอนน์ยิ้มตอบอย่างมั่นใจ
“ถือว่าทายถูกครึ่งหนึ่งอยู่นะ”
“ฮ่าๆ! ก็แมรีแอนน์ดูใจดีนี่ เลยน่าจะเรียนอะไรทำนองนี้เอา” คลาริสหัวเราะดีใจขยี้ผมเอ็นดูราวกับเธอเป็นน้องสาวที่แสนน่าภูมิใจไม่ปาน พอปล่อยมือจากศีรษะแก้มเนียนนุ่มพองและจ้องอีกฝ่ายเคืองๆ “โอ๊ะ! ถึงห้องฉันแล้วล่ะนะ แล้วเจอกัน”
คลาริสโบกมือลาเลี้ยวเข้าห้องเรียน ส่วนเกล็นกับแมรีแอนน์ต้องเดินลึกเกือบสุดทางเดิน เปิดประตูเข้าไปลักษณะห้องก็เหมือนกับห้องอื่นๆ ต่างเพียงที่นี่เต็มไปด้วยอุปกรณ์และพืชพันธุ์สมุนไพรมากมายวางเป็นระเบียบเรียบร้อยหยิบจับง่ายไม่ต้องกลัวหกเลอะเทอะหรือตกแตกเสียหาย บนโต๊ะมีตำราสองเล่มและหม้อเหล็กขนาดเล็กกระปุ๊กลุกดูน่ารักพิกลวางเตรียมเอาไว้
ส่วนเจ้าของวิชาคือเคธี หญิงที่ทำให้เกล็นหน้าถอดสีเหงื่อแตกพลั่ก ถ้าเป็นไปได้เขาไม่อยากยุ่งกับเธอเท่าไร
“สวัสดี ยินดีต้อนรับทั้งสองนะจ๊ะ” น้ำเสียงละมุนทักทายนักเรียนพร้อมผายมือเชิญไปทางโต๊ะบอกเป็นนัยว่าเลือกได้ตามสบาย
เพราะคิดว่าน่าจะมีคนไม่เยอะเกล็นจึงเลือกนั่งแถวสองเยื้องหน้ากระดานดำ แมรีแอนน์เลยนั่งข้างกันโดยปริยาย ดวงตาสีชมพูคู่หวานห็นสีหน้าเกล็นชัดเจน ฝ่ามือเรียวบางสัมผัสแผ่นหลังเบาๆ กระซิบถามอย่างเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปหรือคะเกล็น”
“เอ่อ... แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ” เด็กหนุ่มฝืนเหยียดยิ้มปรายตามองตอบเสียงเบา “เขาเป็นเพื่อนกับย่าน่ะ”
“… เคยถูกดุมาก่อนเหรอคะ?”
“ก็... ใช่แหละ” เกล็นเบือนหน้าหนีนึกเซ็งเวลาที่เคธีมาเยี่ยมบ้าน เพราะหล่อนมาทีไรต้องมีเรื่องให้เขาถูกบ่นตลอด
“แหม นึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่าตอนเกล็นเด็กๆ เป็นยังไง คิกๆ อาจจะเคยมีเรื่องกับเด็กคนอื่น แล้วได้แผลกลับบ้าน ส่วนเรื่องที่ทะเลาะคงช่วยใครสักคน เพราะวันแรกเกล็นก็ช่วยฉันไว้นี่นา… ฮะๆ พูดไปนั่น คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วเนอะ ฟังๆ ดูคุณย่าท่านน่าจะดุเหมือนกันสินะคะ”
ไม่มีคำตอบใดๆ โต้กลับนอกจากเสียงหัวเราะแห้งๆ ไม่อยากเล่าเลยว่าสิ่งที่เด็กสาวเดา ว่าที่จริงแล้วเขาเคยมีเรื่องชกต่อยกับเด็กต่างเมือง ถึงเลียมบอกว่าช่วยก็จริง แต่ตอนนั้นเกล็นเป็นฝ่ายถูกรุมยำคนเดียวมากกว่า โชคดีที่ผู้ใหญ่มาช่วยได้ทัน ไม่อย่างนั้นอาการบาดเจ็บคงไม่จบตรงที่หน้าบวมกลับบ้าน
“โอ๊ย ไม่อยากจำเลยวุ้ย” เกล็นทึ้งผมละอายใจกับอดีตที่อารมณ์พาไป แมรีแอนน์ได้แค่มองงุนงงกับท่าทางของเขา
ผ่านไปเกือบสิบนาที มั่นใจแล้วว่าไม่มีนักเรียนมาใหม่ เคธีพาเข้าประเด็นบทเรียนสำหรับเทอมนี้ ชี้แจงข้อปฏิบัติต่างๆ ส่วนไหนของชั้นเก็บของมีความอันตรายด้านพิษ แม้ไม่ได้ร้ายแรงแต่ปกป้องไว้ก่อนเป็นดี วิธีการดูแลรักษาอุปกรณ์กับร้านขายหนังสือเผื่อมีอุบัติเหตุเล็กน้อยอ่านข้อความไม่ได้ ก่อนเข้าบทเรียนเบื้องต้นแบบรวบรัดจนหมดคาบ
เช้าวันรุ่งขึ้น นักเรียนปีหนึ่งสวมชุดภาคปฏิบัติตามกำหนด เนื่องจากวันนี้มีการสอบวัดระดับเบื้องต้นเพื่อสำหรับแบ่งกลุ่มในอนาคต โดยในวันนี้พวกเขาได้เรียนวิชาใหม่อีกสองวิชา คาบแรกวิชาประวัติศาสตร์ไม่มีอะไรมาก แค่เจาะจงเรื่องของลุสกลอเรียเพิ่มขึ้นว่าสมัยก่อตั้งประเทศมีเหตุการณ์อะไรขึ้น ราชวงศ์ยุคเก่าๆ มีบทบาทอะไร
ต่อมาเป็นวิชาสังคมที่สอนเกี่ยวกับประเทศเพื่อนต่างๆ ว่ามีวัฒนธรรม ประเพณี และการปกครองต่างกันยังไง รวมทั้งสถานที่สำคัญๆ หนึ่งในนั้นมีประเทศที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เกล็นกระตุกยิ้มมีความคิดอยากเยือนแคว้นแห่งหนึ่งในประเทศจะคล้ายกับบ้านเก่ามากน้อยแค่ไหน จากนั้นคาบบ่ายวิชาศิลปะการเรียนการสอนไม่ต่างอะไรจากโลกเดิมเกล็นเท่าไร แต่อย่างน้อยๆ มันก็เป็นวิชาผ่อนคลายที่สุด
และแล้ววิชาสุดท้ายของวัน ตามปกติมันคือเวทมนตร์ภาคทฤษฎี แต่นักเรียนปีหนึ่งรวมตัวกันที่หอประชุมหลัก ที่นั่นมีอาจารย์เจ้าของวิชา อาจารย์ร่างบึก เคธี แมธิวกับอาจารย์ประจำชั้นห้องอื่น และคนไม่คุ้นหน้าอีกหกถึงเจ็ดคนกำลังยืนคุยเตรียมแผนงานขั้นต่อไป นอกจากนี้บริเวณหน้าเวทีมีประตูหินตั้งตระหง่านทั้งที่วันปฐมนิเทศไม่เคยมีมาก่อน
ระหว่างนักเรียนยืนรวมตัวกัน เสียงดังจ้อกแจ้กคุยตื่นเต้นคาดคะเนไปต่างๆ นานาว่าอาจจะเป็นการจำลองสถานการณ์ให้ทดสอบพลังและทักษะ บ้างก็คุยเล่นแซวสนุกสนานไปเรื่อยตามประสาเด็ก กระทั่งเคธีผู้เป็นอาจารย์อาวุโสปรบมือส่งสัญญาณดึงความสนใจเด็กๆ
“จากนี้จะเป็นการชี้แจงเรื่องการสอบวัดระดับ ฉะนั้นขอรบกวนอยู่ในความสงบสักครู่นะคะ” เคธีเกริ่นนำกวาดสายตาสำรวจหานักเรียนที่ยังซุบซิบไม่เลิก “ทุกคนคงทราบดีจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้วว่าเราจะมีการสอบวัดระดับเพื่อแบ่งกลุ่มสำหรับสอบภาคปฏิบัติปลายเทอมนี้ เลยไม่อยากให้ทุกคนทำเล่นๆ เพราะมันมีผลต่ออนาคต ดังนั้นใครมีความสามารถอะไรก็งัดออกมาใช้ได้เลยนะ”
เธอหยุดพักหายใจเผยรอยยิ้มภูมิใจที่ไม่มีใครส่งเสียงแทรก หันไปพยักหน้ากับกลุ่มคนแปลกตาสวมเสื้อคลุมสีดำเหมือนเครื่องแบบประจำพนักงานบริษัท เพื่ออนุญาตให้คนเหล่านั้นเขียนอักขระรอบประตูบานนั้น แล้วใช้เวทมนตร์เกิดแสงเรืองรองบนตัวอักษร และมีแรงสั่นสะเทือนเบาๆ กับเสียงฟู่ของลมที่เล็ดลอดออกจากตามช่องว่างของประตูพร้อมควันสีขาว ปรากฏการณ์นี้เรียกเสียงเซ็งแซ่ในหมู่ผู้สนใจเรื่องเวทมนตร์ เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นการใช้เวทมนตร์ธาตุมืดผสมเวทอาคม แม้มันดูไม่มีพิษภัยแต่บางคนแสดงความกังวลกับสิ่งที่อยู่หลังบานประตู
ทุกอย่างเรียบร้อยเคธีกล่าวขอบคุณเหล่าจอมเวทจากกระทรวงก่อนปรบมือเรียกนักเรียนอีกหน
“ใครที่กลัวว่าเข้าประตูแล้วมีอันตรายโปรดวางใจได้ เพราะการสอบนี้พวกคุณจะไม่ได้รับการบาดเจ็บทางกายและจิตใจค่ะ เพราะมันถูกออกแบบเพื่อใช้สำหรับการเรียนโดยเฉพาะ ดังนั้นโจมตีจากสัตว์อสูรหรืออุบัติเหตุร้ายแรงจะไม่เกิดขึ้น แม้มีบาดแผลเมื่อจบการทดสอบจะถูกรักษาทันทีที่ออกจากประตู หรือใครกลัวอะไรมากๆ ก็จะไม่แสดงให้เห็น”
เสียงถอนหายใจโล่งอกอุ่นใจดังที่การทดสอบนี้ปลอดภัย ก่อนจะโห่ร้องกับความจริงอีกข้อ
“นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บ ยังคลายความเหนื่อยล้าด้วยนะจ๊ะ” ถึงไม่ต้องบอกหมดพวกนักเรียนรู้ความหมายที่เคธีสื่อ “แล้วถ้าใครสอบเสร็จแล้วก็กลับได้เลยนะ หรือจะรอเพื่อนก็ไม่ว่ากัน ขอแค่อยากยืนออหน้าประตูทดสอบหรือทางเข้าออกหอเป็นพอค่ะ”
สิ้นสุดการอธิบาย อาจารย์ประจำชั้นห้องหนึ่งรับไม้ต่อจากเคธี เขาขานรายชื่อนักเรียนเดินจูงมือเข้าประตูทดสอบเป็นคู่ๆ พวกเกล็นที่อยู่ห้องสองเลยนั่งรอกันไปก่อน
“เดี๋ยวนะ นี่มันอีเวนต์แรกพบของเกล็นนี่นา!” เกล็นร้องอ้อขึ้นมาได้อย่างกะทันหันฉับไว ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นอีเวนต์แรกพบของ ‘เกล็น’ ในเกม โดยเนื้อหามีอยู่ว่าแมรีแอนน์ได้รับคู่ทดสอบกับเกล็น ระหว่างนั้นหนุ่มจอมเวทหน้าตายได้แผลเล็กน้อยจากอุบัติเหตุ นางเอกจึงอาสาช่วยรักษา แต่พวกเขากลับโต้เถียงกันประมาณว่า
[ไม่ต้องใส่ใจหรอก… เดี๋ยวออกประตูไปก็หาย]
[จะให้ไม่ใส่ใจกันได้ยังไงคะ ในเมื่อคุณเป็นแผลก็ควรรักษา]
[ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องสนใจฉัน…]
[แต่ฉันสนใจคุณค่ะ ก็เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันไม่ใช่หรือคะ]
ความหนักแน่นของนางเอกนี้ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยอมให้รักษาพร้อมรับไออุ่นประหลาดราวกับเธอคือแสงแดดอันอ่อนโยนไม่ปาน
“ให้ตายสิ พอคิดย้อนไปก็ตลกพิลึกดีแฮะ” เกล็นกอดอกยกมือข้างหนึ่งลูบปลายคงด้วยท่าทางครุ่นคิด “แต่เอาเถอะ มันไม่มีอะไรแบบนั้นแล้วล่ะ”
หลังจากอาจารย์ประกาศรายชื่อนักเรียนห้องหนึ่งครบทุกคน ถึงตาของห้องสองที่ทยอยมายืนใกล้กับประตู โดยแมทธิวเป็นคนเรียกแต่ละคู่ให้ออกมาเตรียมเข้าทดสอบ
“ฟิเลน่า ยูเรลล่ากับแมรีแอนน์ ไบลธ์ เตรียมตัว”
“เอ๋?” เกล็นอุทานขึ้นมาที่จู่ๆ คู่ของแมรีแอนน์สลับตัวกัน จากที่ควรเป็นเขากลายเป็นคุณหนูแทน กระทั่งเขาเหลือบตาเห็นเคธีกำลังคุยกับคนจากกระทรวง ไม่รู้ทำไมสมองกลับทำงานหาคำตอบเอาเอง แต่พอคิดอีกทีก็ไม่แปลกที่เหตุการณ์นี้เปลี่ยนไป ในเมื่อก่อนหน้านั้นก็ไม่ตรงกับเนื้อหาเกมเหมือนกัน
แล้วหลังจากนั้นชื่อของเกล็นถูกประกาศจับคู่กับสาวน้อยร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม
“สุ่มยังไงมาเป็นจอมเวทสองคนเนี่ย” เกล็นลูบหน้าอกปลอบ “แต่ช่างมันเถอะ ไปลุยดีกว่า เข้าอีกมิติมันจะเป็นยังไงนา”
แต่หารู้ไม่ ตอนนี้เกล็นถูกสายตาของพวกเด็กผู้ชายหลายคู่จ้องเขม็งมาที่เขาราวกับอยากกินเลือดกินเนื้อที่ได้จับคู่กับเด็กสาวคนนั้น กระทั่งร่างของสองจอมเวทตัวท๊อปประจำห้องสองได้หายวาบเข้าประตูทดสอบ
ไร้วี่แววศัตรูนับตั้งแต่ก้าวเท้าพ้นประตู บรรยากาศอึมครึมปกคลุมเด็กสาวทั้งสอง มีเพียงเสียงฝีเท้าเหยียบยำใบไม้แห้งดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอท่ามกลางป่าใหญ่ ต่างฝ่ายต่างอยู่เงียบๆ มีฟิเลน่าเดินนำหน้าอยู่ใกล้ๆ ไม่มีใครกล้าปริปากคุยคลายความตึงเครียด กระทั่งคุณหนูเจอสัตว์อสูรตัวแรกโผล่ออกมา มันคือเจ้าก้อนหนืดสีเขียวอ่อนใสเห็นทะลุไปข้างหลัง
“น่ารักจัง” เธอเผลอปากชมทำตาเป็นประกายหมายเข้าหาสไลม์ตัวนั้น แต่แมรีแอนน์รีบคว้าต้นแขนดึงกลับมา
“ไม่ได้นะคะ ถึงไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตแต่พิษของมันอาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ได้ค่ะ”
ฟิเลน่าหน้าซีดกลืนน้ำลายดังเอื๊อกรีบลนถอยหลังหนีตามคำเตือน ได้สติเธอกระแอมเสียงสะบัดหน้าไม่กล่าวขอบคุณจ้ำอ้าวหนีแมรีแอนน์ เพราะไม่ได้ดูทางดีๆ กิ่งไม้ปะทะเข้าหน้าผากเต็มๆ เธอร้องโอดครวญเบาๆ
“ทะ ท่านยูเรลล่าเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” คู่หูจำเป็นถามเสียงตื่นรีบไปดูอาการ
ไม่มีคำตอบจากฟิเลน่าที่หันหน้าหนีซ่อนความรู้สึกชอบใจที่ถูกเรียกแบบนั้น จากนั้นเธอก็หยิบตลับกระจอกขึ้นส่องเช็กบาดแผลบนหน้าผาก
“ไม่นะ เป็นแผลเลยเหรอ”
ฟิเลน่าบ่นหัวเสียที่หน้าผากได้แผลเลือดออก
“ฉันขอดูหน่อยสิคะ” นิ้วเรียวเขี่ยเส้นผมสีชมพูเข้มดูแผล แมรีแอนน์ยิ้มบางๆ ดีที่มันเป็นแค่แผลตื้น “เดี๋ยวฉันรักษาให้นะคะ”
“ไม่จำเป็นหรอก อาจารย์ก็บอกอยู่ทดสอบเสร็จแผลก็หายแล้ว” ฟิเลน่าปัดมือแมรีแอนน์ให้ออกห่างจากหน้าเธอ
“แต่…” แมรีแอนน์แย้ง “เมื่อเป็นแผลก็ควรรักษานะคะ”
“ก็บอกว่าไม่ต้องยังไงล่ะ” คุณหนูขึ้นเสียงหงุดหงิดใส่อีกฝ่ายที่ไม่ยอมทำตามคำพูด “คุณนี่น่ารำคาญจริงๆ เลย”
เด็กสาวสามัญชนสะอึกกับคำพูดของอีกฝ่ายจึงเบือนหน้าหนี ฟิเลน่าจึงหน้าเสียมองมือครู่หนึ่งก่อนลดลงแล้วไขว้หลังไม่ให้ทำแบบเดิม
“ไปกันเถอะ…” เสียงอ่อนบอกให้เดินทางกันต่อแต่ถูกดึงมือรั้ง เด็กสาวผมลอนหน้าขึ้นสีด้วยความโกรธที่มีคนขัดใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตวาดพร้อมสะบัดมือ “ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!? บอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไรสิ เซ้าซี้อยู่ได้ ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก”
“ตะ ตอนนี้คุณเป็นคู่หูฉันนะคะ จะไม่ให้ใส่ใจอาการบาดเจ็บได้ยังไง” ครั้งนี้แมรีแอนน์ไม่ยอมบอกคุณหนูเสียงแข็งกระด้างสู้ กำหมัดแน่นระบายอารมณ์คุกรุ่นลึกๆ ในใจ
“แค่รอยเล็กๆ เท่านั้นแหละ จบการทดสอบมันก็หายแล้ว”
“ที่คุณพูดมามันก็จริง แต่ให้เมินบาดแผลไปฉันว่าไม่ใช่เรื่องนะคะ” แมรีแอนน์ยืนกรานคำเดิมต้องการรักษาแผลเล็กๆ บนหน้าผาก “หรือต้องให้เจ็บหนักมากกว่านี้ถึงค่อยรักษาเหรอคะ”
“เฮ้อ” ฟิเลน่าถอนหายใจแรงต่อหน้าคู่หูจำเป็น “ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น ก็ได้ฉันจะรักษามัน”
พอคุณหนูพูดจบ เธอได้เคาะนิ้วลงบนหน้าผากเกิดแสงสว่างในเสี้ยววินาที บาดแผลจากกิ่งไม้ก็หายสนิท
“ฉันรักษาเองได้” ฟิเลน่ากอดอกยืนตัวตรงส่งสายตาเย่อหยิ่ง “มากกว่านี้ฉันก็ทำได้ ไม่จำเป็นให้ใครมาช่วยหรอก หึ!”
ช่างเป็นน้ำเสียงและประโยคชวนน่าหมั่นไส้ ทำเอาแมรีแอนน์ทำหน้ามุ่ยใส่ลับหลังเมื่อคุณหนูหมุนตัวเดินฉับๆ ต่อ
“ขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้คุณลำบากใจ” แมรีแอนน์กดเสียงต่ำกล่าวขอโทษไล่หลังฟิเลน่าต่อ
ไม่นานความเงียบกลับมาเยือนเด็กสาวทั้งสองคน ทุกอย่างภายในมิตินี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่มีศัตรูหรือภัยอันตรายให้ประสบ นอกจากเจ้าสไลม์เขียวที่โผล่มาแล้วจากไป แมรีแอนน์เกิดวิตกกังวลกับความผิดปกติอยากให้มีตัวอะไรโผล่มาหรือมีอุปสรรค
ส่วนฟิเลน่าเร่งฝีเท้าและอยากให้การทดสอบนี้จบลงเร็วที่สุด เพราะเธอรู้สึกอึดอัดที่ต้องอยู่กับแมรีแอนน์สองต่อสอง แต่เพราะความเงียบนี้ฟิเลน่าคิดถึงคำพูดของลิเลียน
“ตะ แต่มันไม่เห็นจะต่างอะไรกับยัยโจเอลนี่นา!” ฟิเลน่ายกคนอื่นอ้างเพื่อลดความผิดที่ตัวเองก่อ ทว่าพิจารณาดีๆ กรณีของแมรีแอนน์แตกต่างกว่านั้น เด็กสาวจึงหน้าซีดแล้วเริ่มทบทวนการกระทำของตัวเองตั้งแต่เจอแมรีแอนน์ครั้งแรก มันไม่มีครั้งไหนเลยที่อีกฝ่ายเริ่ม มีแต่เธอนั่นแหละเป็นคนพูดจาดูหมิ่นก่อน
และที่ผ่านมาแมรีแอนน์ไม่เคยเถียงสู้กลับเลยสักหน มีชาร์ล็อตคนเดียวที่กล้าต่อปากต่อคำเพื่อปกป้องแมรีแอนน์ ฟิเลน่าที่เหลืออดจึงตั้งใจพูดเหยียดหยามความรู้สึกของแมรีแอนน์ที่มีแต่คนคอยช่วยเหลือ แต่นั่นก็ทำให้เธอเจออีกมุมหนึ่งแทน ใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวและท่าทีที่พร้อมตอบโต้นั่นทำให้ฟิเลน่ากลัวจับใจ
“เสียงเขาเมื่อกี้เหมือนจะไม่พอใจด้วย… เราควรทำไงดี” ฟิเลน่าคิดวิธีปลดปล่อยความรู้สึกผิดซึ่งมันก็มีอยู่เพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น ทว่าในใจฟิเลน่ากลับมีบางสิ่งที่หนักอึ้งกดทับเอาไว้ซึ่งมันส่งผลต่อการหายใจของเธอที่แรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังเผชิญสิ่งน่ากลัวซึ่งเธอต้องข้ามมันให้ได้
ฟิเลน่ากลืนน้ำลายและบีบมือตัวเองแน่น “ฉะ ฉันเองก็ด้วย…”
“คะ?” แมรีแอนน์ที่เดินตามหลังมองไปทางต้นเสียง
จากนั้นไม่นานเด็กสาวทั้งสองคนก็หยุดเดินต่อ ดวงตาสีชมพูมองแผ่นหลังของฟิเลน่าอย่างสงสัยว่ามีเรื่องอะไรอยากพูดต่อ
“เรื่องตอนเปิดเทอม…ขอโทษด้วยที่ทำตัวไม่ดีใส่คุณแบบนั้น…” เสียงฟิเลน่าตอนนี้ทั้งเบาและสั่นเครือ แต่แมรีแอนน์ก็ยังพอจับใจความคำพูดของอีกฝ่ายได้ชัด เธอจึงรอให้ฟิเลน่าพูดจบ “จะไม่ยกโทษให้ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะสิ่งที่ฉันทำไปมันน่าละอายเกินกว่าจะรับคำให้อภัยด้วยซ้ำ”
มันคือการขอโทษอย่างไม่ทันตั้งตัว แมรีแอนน์จึงเบิกตากว้างไม่คาดคิดว่าฟิเลน่าจะเปิดประเด็นเรื่องในอดีต ถึงไม่เห็นสีหน้าตอนนี้ แต่แมรีแอนน์ก็รู้สึกถึงความจริงใจของอีกคน เธอจึงยิ้มรอให้ฟิเลน่าหันกลับมา แต่เป็นอีกครั้งที่การกระทำของคุณหนูแสดงท่าทีผิดจากที่คิด เธอนั้นหันกลับมาแสดงใบหน้าขึงขังน้ำตาคลอชี้นิ้วเสียมารยาทใส่
“แต่ก็กรุณาจำไว้ให้ดีว่าคนที่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลิเลียนคือฉัน! ไม่ใช่คุณ”
“เอ๋?”
“ยังจะมาเอ๋อีก อย่าลืมว่าคุณมาทีหลังไม่มีทางสนิทกับลิเลียนเท่ากับพวกฉันที่คบกันมาอย่างยาวนานได้หรอก”
“คะ???”
แมรีแอนน์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจที่จู่ๆ คนตรงหน้าพูดฉอดๆ อย่างกับเธอแย่งเพื่อนไป หนำซ้ำยังข่มอีกด้วยว่าหล่อนคือเพื่อนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของลิเลียน ถ้าชาร์ล็อตมาเห็นฉากนี้มีหวังปะทะคารมชวนปวดหัวอีกเป็นแน่
“อะไร? ฟังไม่เข้าใจหรือไง เอาเถอะ ฉันให้อภัยตรงจุดนั้น แต่ขอบอกอีกอย่างว่าต่อให้มีคนใจกล้าอย่างคุณคาเลนเซียหรือคุณฮิลเนสัน หรือคนบ้านฟรานเซนไทน์ แม้กระทั่งท่านจูเลียส ก็ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ ถึงไม่มีฉันแล้วยังมีกลุ่มของยัยโจเอลนั่นอยู่ แม่นั่นมันร้ายซะจนคุณไม่มีทางรับมือได้หรอก”
“เอ่อ… คุณหมายความว่ายังไงคะ” ถึงคำพูดคำจาดูแปลกๆ ทว่าแมรีแอนน์รับรู้ถึงคำเตือนที่แฝงมาเอ่ยถามขอรายละเอียดชัดเจน
“หึ หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ หรือจะวิ่งแจ้นให้ท่านจูเลียสช่วยก็ไม่ว่ากัน ฉันอนุญาตให้แค่ครั้งนี้เท่านั้น” ฟิเลน่าเบือนหน้าหนีเล่นปลายผม “เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว ฉันอยากทดสอบให้มันเสร็จๆ ขี้เกียจยืนเสวนากับคุณ”
แล้วคุณหนูก็เดินกระแทกส้นหน้าเชิดหน้านำลึกเข้าไปในป่า แมรีแอนน์ถอนหายใจงุนงงกับท่าทีปุบปับแทบรับมือไม่ทัน เธอหยิบเครื่องรางและยิ้มให้อย่างปลงๆ
“ถึงจะงงแต่คงไม่เป็นไรแล้วเนอะ”
Comments (0)