2 ตอน บทที่ 1: หลักสูตรปรับพื้นฐาน
โดย RiFourver
หลังเหตุการณ์ความวุ่นวายได้จบลง นริศก็นอนซมไข้จากอาการช็อกกับความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด จนสมองของเขาทำงานอย่างหนักจากการประมวลผล จำเป็นต้องพักผ่อน แล้วเมื่อร่างกายค่อยๆ ฟื้นฟูจนเกือบแข็งแรง นริศจึงหลับตาทบทวนสถานการณ์โดยรวมว่าเรื่องราวเป็นมายังไง
อย่างแรก ร่างกายเดิมคงละสังขารตามอายุขัยเป็นที่เรียบร้อย แล้วเกิดใหม่เป็นเด็กชายชื่อ เกล็น ฮิลเนสัน อายุหกขวบ จริงอยู่ว่าเขามีความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฟังเรื่องการทำนายทายทักหรือไสยศาสตร์ แบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายไปไกล ต่อให้เคยอ่านเจอบทความเชิงวิชาการที่มีใจความว่า การเกิดใหม่คือจิตใต้สำนึกที่ถูกบรรจุไว้ในสมองซีกขวา สำหรับเขามันฟังดูย้อนแย้งกับหลักวิทยาศาสตร์ตามที่กล่าวอ้าง ไม่มีทางเลยที่สมองส่วนนั้นจะติดมาตอนเป็นวุ้นในท้องแม่ หรือถ้าใช้เกณฑ์ทางศาสนาเขาก็ไม่ได้บรรลุธรรมขนาดเก็บจิตมาด้วย
ทำให้การค้นหาคำตอบประเด็นนี้มืดแปดด้าน อยากช่างหัวมันก็ทำไม่ได้ เพราะมันค้างคาจนเขาพยายามตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย กระทั่งนริศจำเรื่องเล่าได้อีกเรื่อง มันมีเนื้อหาประมาณว่า หลังคนเราตายไปก็ต้องชดใช้กรรมในนรก เมื่อหมดกรรมแล้วก่อนเกิดใหม่ต้องดื่มน้ำเพื่อลบความทรงจำแสนเจ็บปวดที่ถูกทรมาน ไม่แน่เขาอาจจะดื่มน้ำนั่นไม่หมดเลยยังระลึกอดีตชาติได้...
“ว่าไปนั่น มันใช่ซะที่ไหนกันเล่า” นริศกัดฟันกรอดโยนทฤษฎีทั้งหลายนี้ลงถังขยะ
นริศเลิกหาเหตุผลและหันไปเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ใหม่ทันทีที่เดินเหินได้สะดวก บวกกับสมาชิกภายในบ้านผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลวันละคนสองคน เขาเลยจำชื่อเสียงเรียงนามคนในบ้านได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
โดยคนที่แวะเวียนดูแลบ่อยๆ คนแรกคือหญิงชราชื่อลินดาที่พบกันวันแรก สังเกตดีๆ หล่อนนับว่าเป็นคนจัดว่าหน้าตาดีในหมู่คนวัยเดียวกัน ผมสีชมพูซีดมัดรวบตึงบ่งบอกถึงนิสัยเจ้าระเบียบเข้ากับดวงตาดุสีแดงเข้ม เวลาเธอหันมาทีไรทำเอานริศสะดุ้งได้เสมอก ว่าจะชินก็สักพักใหญ่ ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงที่อ่อนวัยกว่าเจ้าของเรือนผมสีฟ้า ดวงตาสีเขียวชื่อเฟรย่า ซึ่งมีบุคลิกตรงข้ามกับลินดาสิ้นเชิง จนรู้สึกว่าเธอคือคุณแม่ใจดีในอุดมคติ ที่ตอนนี้ทั้งสองคนและเหล่าคนรับใช้ต่างไปทำธุระของตัวเอง นริศจึงได้อยู่ลำพัง นับเป็นโอกาสดีที่จะได้สำรวจห้อง โดยตอนนี้เขายืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่
“อย่างกับอยู่ในการ์ตูนเลยแฮะ…” นริศพึมพำประหลาดใจกับลักษณะภายนอกของผู้คนที่นี่ที่เหมือนหลุดจากการ์ตูน ทว่าเขาก็สามารถปรับตัวได้ไวคงเป็นเพราะเคยเห็นคนย้อมสีผมต่างๆ หรือการคอสเพลย์มาเยอะ อย่างสีผมปัจจุบันของนริศคือสีฟ้า
หลังจากนั้นนริศก็รีบกลับไปนอนบนเตียงหลังมีเสียงเคาะประตูขออนุญาต คนมาใหม่เป็นหญิงรับใช้ที่มาพร้อมกับอาหารมื้อกลางวัน ในระหว่างที่หล่อนดูแลเขา นริศจึงใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกับครอบครัวปัจจุบันด้วยการเนียนถาม จึงได้รู้สองเรื่องพร้อมกัน
เรื่องแรก ตระกูลฮิลเนสันเป็นครอบครัวจอมเวทที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ปู่ของเขาเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงเวทมนตร์ประจำเมือง ส่วนลินดาเคยดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนชื่อดังที่เมืองหลวง แต่ปัจจุบันเธอรับจ้างปรุงยาอยู่กับลูกชายหรือก็คือพ่อคนปัจจุบัน ซึ่งทั้งสองคนต่างเป็นนักปรุงยาที่มากฝีมือ เหล่าลูกค้าต่างให้ความไว้วางใจ ส่วนเฟรย่าในอดีตเคยล้มป่วยระหว่างตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม ทำให้เธอมีปัญหาเรื่องสุขภาพตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ไม่สามารถทำงานบ้านหนักๆ ไม่ค่อยไหว
“เกิดห่างคนละสามปีเหมือนกันเลยแฮะ” นริศหลับตาย้อนรำลึกอดีต เพราะโลกนี้เขาก็มีพี่น้องผู้ชายที่มีอายุห่างกันเหมือนชาติก่อน
แล้วบรรดาญาติๆ ต่างก็มีหน้าที่การงานดีและรายได้มั่นคง รู้จักเส้นสายเยอะ นริศเลยคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมปู่กับย่าถึงกล้าย้ายที่ทำงานหรือทิ้งอาชีพมั่นคงเพื่อมาดูเฟรย่าในตอนที่ป่วย ดังนั้นเรื่องการเงินก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปเมื่อเขาได้เกิดบนกองเงินกองทองอย่างแท้จริง ต่างจากชาติก่อนที่ทำงานตัวเป็นเกลียวกว่าจะได้เงินก้อนใหญ่สักก้อน
ต่อมาเรื่องที่สอง สำหรับคนที่นี่เวทมนตร์ถือเป็นเรื่องปกติ เท่าที่ความทรงจำของเกล็นกับสิ่งที่คนรับใช้เล่าให้ฟัง นริศก็ทำความเข้าใจว่าเวทมนตร์ของโลกแห่งนี้มีลักษณะเป็นพลังธาตุแบบที่พบเห็นได้บ่อยในการ์ตูนหรือเกม ซึ่งถ้าให้เดาล่ะก็หนึ่งในสี่ธาตุพื้นฐานอย่าง ดิน น้ำ ลม ไฟ คงจะเป็นธาตุประจำตัวของแต่ละคน ทำเอานริศอดตื่นเต้นไม่ได้ว่าตัวเองจะเป็นธาตุอะไร
เมื่อเขารู้เรื่องใกล้ตัวแล้ว นริศก็เริ่มตามหาว่าที่นี่คือที่ไหน โดยทีแรกเขาคาดการณ์ว่าสถานที่ที่อยู่ในปัจจุบันนั้นมีคล้ายกับกลุ่มประเทศทางตะวันตก โดยสังเกตได้จากสีผิวคนในบ้านที่ขาวแบบคนเมืองหนาวซึ่งสอดคล้องกับสภาพอากาศและใบไม้ที่เปลี่ยนสีตามฤดูกาล ทว่าโคมไฟระย้าในห้องนอนของเขากลับเป็นเชิงเทียนปลอมเสียนี่ ดังนั้นยุโรปยุคกลางจึงถูกปัดตกทันที
ถึงอย่างนั้นที่นี่ก็ไม่ใช่โลกแนวสตรีมพังค์ที่มีพวกเครื่องจักรไอน้ำหน้าตาประหลาด แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ที่วิธีการใช้งานใกล้เคียงกับชาติก่อน แต่หน้าตาของมันโบราณชวนนึกถึงช่วงศตวรรษที่ 18-19 อย่างที่เห็นภาพตามอินเทอร์เน็ตมากกว่า และที่สำคัญกว่านั้นสำหรับนริศ เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้เจอมันในที่แห่งนี้ด้วย ซึ่งของสิ่งนั้นคือสายฉีดชำระ! ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าโลกนี้ผลิตไฟฟ้าได้แบบไม่ต้องพึ่งหลักวิทยาศาสตร์
“แต่พอคิดอีกที… เคยได้ยินว่าที่ฟินแลนด์ก็มีใช้เหมือนกัน” คิดได้แบบนี้ นริศเลยเลิกคิดเล็กคิดน้อย หันมาเรียนวิธีการใช้งาน เนื่องจากวิธีการใช้งานมันมีความแตกต่างอยู่ไม่น้อย เพราะเขาต้องเอื้อมตัวเปิดก๊อกน้ำตรงอ่างล้างหน้าก่อนถึงจะใช้มันได้ โชคดีที่โลกนี้ยังไม่มีระบบทำน้ำร้อนอัตโนมัติ ขืนมีขึ้นมาล่ะก็คงนึกถึงช่วงหน้าร้อนที่บ้านเกิดเดิมแน่ๆ
นอกจากสายฉีดชำระซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดูทันสมัย การใช้ไฟฟ้าแบบไม่ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าโลกนี้ขับเคลื่อนด้วยเวทมนตร์เป็นหลัก ถึงแม้ว่าส่วนประกอบหลักๆ ยังเป็นตัวนำไฟฟ้าที่เป็นทองแดง ฉนวนกับเปลือกนอกปกป้องอันตราย แต่พระเอกตัวจริงในการเกิดกระแสไฟฟ้าคือแร่สีม่วงใสซึ่งมีพลังเวทสะสมอยู่ โดยนริศเห็นมันครั้งแรกในตอนที่คนรับใช้เปลี่ยนในห้องไฟ พอลองไปถามดูก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่านอกจากพลังเวทแล้ว ของจำพวกอัญมณีก็คือสื่อกลางสำหรับกระตุ้นพลังเวทให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
“ว้าว ดูเหมือนว่าเราจะหลุดมาอยู่โลกแฟนตาซีจริงๆ แล้ว…” นริศกลืนน้ำลายกับความเป็นอยู่ใหม่
พอรู้เรื่องพื้นฐานสำคัญๆ นริศก็ทำการสำรวจบ้านเรียกได้เต็มปากว่าเป็นคฤหาสน์ที่ตกแต่งเป็นสีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกโล่งสบาย ต่างจากบ้านคนรวยในจินตนาการที่ชอบเป็นสีแดงกับทอง เขาเดินดูทุกซอกทุกมุมของบ้านว่าห้องไหนเป็นห้องอะไร ระหว่างนั้นนริศก็มองออกไปนอกหน้าต่างอยู่เรื่อยๆ เลยเดาว่าบ้านหลังนี้น่าจะตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ เพราะไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ใบสีแดงหนาทึบ
หลายวันต่อนริศก็ตัดสินใจเข้าห้องสมุดเพื่อให้เข้าใจโลกนี้มากขึ้น ถือเป็นความโชคดีที่ผลพวงจากความทรงจำของเกล็น เขาจึงใช้ภาษาปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสาร เพราะสิ่งที่เขาได้ยินและอ่านมันไม่ใช่ภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนที่มีคนใช้มากที่สุดในโลก หนำซ้ำเกล็นคนนี้ยังเป็นหนอนหนังสือคลังคำศัพท์เลยเยอะ ทักษะการอ่านการเขียนของนริศตอนนี้จึงเทียบเท่ากับเด็กโต
โดยหนังสือเล่มแรกๆ ที่นริศเลือกอ่านคือพวกประวัติศาสตร์ เลยจับใจความได้ว่าดินแดนแห่งนี้มีชื่อว่า ‘เวเทอร่า’ ซึ่งมีความเชื่อเดียวกันว่า พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสรรพสิ่งกับเหล่าเทพเจ้าที่คอยช่วยเหลือ แน่นอนว่าก่อนที่โลกจะเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย กระทั่งเหตุการณ์หนึ่ง พระเจ้าได้ส่งมังกรมาคุ้มครองแต่ละประเทศเพื่อให้มนุษย์หยุดรบราฆ่าฟันกันเองด้วยหลายๆ เหตุผล
เรื่องราวนี้ นริศจึงรู้แล้วว่าตัวเองอาศัยอยู่ที่มณฑลมอสเซียน่าของประเทศลุสกลอเรีย มีเทพมังกรชื่อเบเลธเป็นผู้คุ้มครอง
“มีแต่ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมาก่อนทั้งนั้นเลยแฮะ” นริศขมวดคิ้วพยายามเค้นหาคำตอบว่าเคยได้ยินชื่อพวกนี้จากไหน อยู่มาหลายวันก็ไม่มีใครพูดถึงเลย มาจากความทรงจำของเกล็นก็ไม่ใช่ หากเป็นแบบนั้นจริงเขาก็ต้องรู้จักตั้งแต่ระลึกชาติได้แล้ว “คงคล้ายหลุยเซียน่าของอเมริกาล่ะมั้ง เบเลธก็ชื่อตัวละครเกมญี่ปุ่นธีมฝรั่งที่ชอบใช้กัน”
นริศสรุปง่ายๆ ไม่สาวความต่อ
แอ๊ด...
เสียงบานประตูเปิดออกดังพอเรียกคนในห้องตรงชั้นลอยที่กำลังเก็บหนังสือผละตัวจากตู้ไปเกาะราวระเบียง ดวงตาสีดำคู่โตจับจ้องชายชราผมสีเงินแต่งกายดูเป็นคนเจ้าสำอางที่เดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ที่ถือถุงกระดาษบรรจุหนังสือเต็มสองมือ พวกเขานำมันมาไว้บนโต๊ะใกล้สุดแล้วจัดการแยกตามหมวดหมู่
“อ้าว เกล็นหาอะไรอ่านอยู่เหรอ” น้ำเสียงเป็นมิตรเอ่ยถามหลังรู้สึกตัวว่ามีใครบางคนกำลังมองอยู่จากที่สูง เด็กชายจึงเดินลงมาหา
“อ่าน... ไปเรื่อยครับ” นริศตอบทันทีที่เข้าประชิดตัวฮาร์เวิร์ด ปู่ในชาตินี้ของเขา
จริงอยู่ว่าจุดประสงค์คือหาความรู้พื้นฐาน แต่นริศก็มีการแวะอ่านนิทานไม่ก็ตำนานเทพเจ้าของโลกนี้ที่อ่านง่ายๆ แล้วเพลินจนลืมความตั้งใจแรก
ในระหว่างยืนดูปู่กับคนรับใช้ช่วยกันจัดหนังสือเตรียมเก็บเข้าชั้น นริศก็เห็นหนังสือที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง มันเป็นปกสีน้ำตาลเข้มวาดภาพมังกรที่ส่องแสงรัศมี ทว่าชื่อหนังสือมันมีคำหนึ่งที่อ่านไม่ออก เขารู้เพียงแค่เกี่ยวกับเทพเจ้ามังกรจึงเงยหน้าถามว่ามันอ่านว่ายังไง
“มันอ่านว่าอะไรเหรอ” นิ้วสั้นจิ้มลงบนหน้าหนังสือ
“คำนั้นอ่านว่า ‘ปกรณัม’ น่ะ”
“ปกรณัมเทพเจ้ามังกรเหรอ...” นริศพึมพำทวนเสียงเบา “ผมขอเอาไปอ่านก่อนได้ไหม”
ร่างเล็กขออนุญาตเจ้าของหนังสือ
“ได้สิ เชิญเลย หรือจะให้ปู่เล่าเอาไหม” ชายเจ้าสำอางคลี่ยิ้มเอ็นดู เสนอทางเลือกกลัวว่าหลานจะอ่านคำยากๆ ไม่ออก
นริศทำปากเบ้ กอดอกครุ่นคิดลังเลคำตอบ ส่วนตัวไม่อยากให้ใครวุ่นวายนัก แต่อีกใจหนึ่งคิดว่าขนาดหน้าปกยังอ่านไม่ได้ ภาษาในเล่มคงหนักกว่านี้ จะให้ใช้พจนานุกรมก็กลัวว่าจะขี้เกียจจนล้มเลิกอ่านไปเสียก่อน โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาฮาร์เวิร์ด พฤติกรรมเด็กชายเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังพิจารณาตัวเลือกที่เป็นประโยชน์กับตัวเอง ทว่าผู้เป็นปู่ก็ไม่อยากซักไซ้หาความจริงว่าอะไรทำให้หลานเปลี่ยนไปตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุศีรษะฟาดพื้น
“ให้ปู่เล่าดีกว่า”
ได้คำตอบ ฮาร์เวิร์ดได้ขอเวลาเก็บหนังสือเล่มอื่นก่อนโดยใช้เวลาไม่นาน จากนั้นสองปู่หลานจึงได้มานั่งอ่านหนังสือเรื่องเกี่ยวกับเทพเจ้ามังกรด้วยกัน ซึ่งเรื่องช่วงแรกตรงกับที่นริศเคยอ่านก่อนหน้านี้ ต่อมาก็ได้เข้าสู่ช่วงประวัติศาสตร์แปดร้อยปีก่อน
เรื่องราวมีอยู่ว่า จู่ๆ ในเวเทอร่าได้เผชิญหน้ากับมังกรปริศนาตัวสีดำทะมึน มันทำลายล้างทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า ร่อนเร่ไม่มีหยุดพักที่ใดเป็นพิเศษ ทุกเส้นทางที่มันผ่านล้วนเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์มากมายที่คืนชีพมาทำร้ายมนุษย์ ทุกสถานที่ตกเป็นเป้าโจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง โดยผู้คนในสมัยนั้นตั้งชื่อให้มันว่า ‘เชเบอร์ทอส’ และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘พิบัติมังกรมาร’
ซึ่งการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเชเบอร์ทอสได้กินเวลานานถึงสามร้อยปีกว่าจะจบลง มันถูกกำราบได้ ณ บริเวณชายหาดที่เป็นรอยต่อสองมณฑลในลุสกลอเรีย ด้วยฝีมือของอัศวินหนุ่มผู้เป็นสหายของเทพมังกรเบธ ในระหว่างที่เชเบอร์ทอสกำลังหลบหนีออกไปสู่ทะเล
“สู้กันนานขนาดนั้นเลยเหรอ” นริศทำเสียงงึมงำในคอไม่คิดว่ากว่าจะปราบมังกรตัวเดียวต้องใช้เวลาเป็นร้อยกว่าปี “ว่าแต่ทำไมเทพมังกรถึงไม่ร่วมกันสู้ทีเดียวเลยล่ะครับ มีตั้งเยอะน่าจะชนะเห็นๆ”
“ถ้าท่านเทพมังกรออกนอกอาณาเขตของตัวเองพลังจะลดลงน่ะ เหตุผลว่ากันว่าเป็นความประสงค์ของพระเจ้าเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดการรุกรานกันเอง”
“โดนเนิร์ฟ[1]ล่วงหน้าซวยแท้” นริศทำหน้าเหนื่อยใจแทนพลางเกาหัวแกรกๆ กับความซวยที่โดนสิ่งมีชีวิตจากไหนไม่รู้ถล่ม “แต่พล็อตคุ้นชอบกลแฮะ เอาเหอะ การ์ตูนส่วนใหญ่มันประมาณนี้อยู่แล้วนี่”
“แล้วปู่รู้หรือเปล่าว่ามังกรตัวนี้เกิดมาได้ไง ในนี้ไม่เห็นมีเขียนไว้เลย”
“เรื่องนั้นมันยังเป็นแค่ข้อสันนิษฐานอยู่ เขาเลยไม่ได้เขียนลงไปในหนังสือทั่วไปน่ะ” ฮาร์เวิร์ดกลอกตาขึ้นระลึกความทรงจำอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “หลักฐานล่าสุดที่นักวิชาการเจอก็เป็นเรื่องเล่าปากต่อปาก เกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจของคนในราชวงศ์หลังจากราชาคนก่อนสิ้นพระชนม์ เพราะผู้สำเร็จราชการไม่เป็นที่ยอมรับ เลยเกิดสงครามกลางเมือง เทพมังกรจึงทำการลงทัณฑ์คนเหล่านั้นจนบาดเจ็บไปด้วย ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการท้าทายพระเจ้าได้ซากชิ้นส่วนไปสร้างมังกร...”
“จากนั้นก็ควบคุมพลังไม่ได้ เชเบอร์ทอสเลยอาละวาดใช่ไหมครับ” นริศขนลุกซู่กับภาพชิ้นส่วนมังกรถูกทดลองเหมือนหนังไซไฟสยองขวัญ และพอจะเดาเหตุผลได้ว่าทำไมพวกเทพเจ้าไม่มีบทบาทเรื่องนี้สักองค์ โดยเฉพาะพวกสายต่อสู้อย่างเทพแห่งสงคราม “ส่วนสาเหตุที่เทพเจ้าไม่ยอมช่วยก็เพราะมนุษย์ทำกันเอง เลยต้องปัญหาเอาเองสินะครับ”
“ใช่แล้วล่ะ”
ฮาร์เวิร์ดเผยยิ้มอ่อนโยนพลางลูบศีรษะเอ็นดู ทว่านริศกลับสะดุ้งตัวโยนแล้วชักสีหน้าไม่พอใจพร้อมรีบถอยออกห่างจากปู่ นัยน์ตาสองคู่ประสานมองกันและตื่นตระหนกกับท่าทีอีกฝ่าย ไม่มีใครปริปากพูดส่งผลให้บรรยากาศเริ่มอึดอัด นริศเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำตัวไม่ดีจึงกล่าวขอโทษ ส่วนฮาร์เวิร์ดที่เห็นท่าทีของหลานชายก็สำนักผิด
“ขอโทษครับ…”
“ไม่เป็นไร ปู่ทำให้ตกใจล่ะสินะ”
“ก็… ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” นริศเฉไฉคำตอบ ทั้งที่ความจริงมันเป็นนิสัยติดตัวมาจากความเชื่อแต่ชาติก่อน
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวเย็นกันดีกว่าเกล็น” ชายสูงวัยบอกพลางเงยมองท้องฟ้าที่ถูกย้อมเป็นสีส้มผ่านหน้าต่างห้องสมุด “ถ้าไม่รีบไป เดี๋ยวย่าเขาจะดุเอานะ”
ฮาร์เวิร์ดลุกขึ้นจากเก้าอี้ส่งมือไปให้หลานชายที่กะพริบตาปริบๆ มองปู่ก่อนตอบสนอง ทั้งคู่เดินจูงมือออกจากห้องสมุดเดินไปตามทางเงียบๆ จนถึงห้องรับประทานอาหารที่กว้างพอรองรับสมาชิกครอบครัวทั้งเจ็ดได้สบายๆ
แม้ว่าระลึกชาติมาได้หลายวันแววตาของนริศยังลุกวาวกับอาหารตรงหน้าเสมอ อย่างในวันนี้เป็นสเต็กเนื้อราดด้วยกุ้งคลุกซอสครีมกระเทียม ที่เนื้อนั้นเหนียวนุ่มเคี้ยวง่าย ส่วนกุ้งก็เด้งกรอบเข้าได้ดีกับซอสครีมกระเทียมที่เขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อน ยิ่งลองบีบน้ำเลมอนได้ความเปรี้ยวนิดๆ กลายเป็นความอร่อยที่กลมกล่อมอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่คิดว่าเมนูอาหารฝรั่งจะมีรสชาติถูกปาก
ทุกๆ คำที่นริศตัดเข้าปากก็เต็มไปด้วยความสุขที่สามารถกินอาหารได้ตามใจปาก เพราะตลอดสามสิบกว่าปีที่ต้องปรับวิถีการกินตามหมอสั่ง สิ่งที่เคยเป็นของโปรดก็ถูกจำกัดปริมาณ ทว่าในอีกความคิดหนึ่งก็นึกกังวลว่าจะทนได้กี่วัน เกิดอยากกินอาหารรสชาติจัดจ้านขึ้นมาจะทำยังไง ได้แค่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าคนอยู่ต่างประเทศยังกินอาหารท้องถิ่นได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน
หลังรับประทานอาหารเสร็จ สมาชิกฮิลเนสันแยกย้ายเข้าห้องนอน เหลือฮาร์เวิร์ดกับคนรับใช้ชายบางคนที่ช่วยกันตรวจตราความเรียบร้อยภายในบ้าน เมื่อไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฮาร์เวิร์ดจึงเดินกลับขึ้นห้องนอน เขาเปิดประตูโดยไม่เคาะอย่างเคยชิน แล้วพบกับลินดาที่กำลังสางผมเตรียมนอนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“นี่แม่ พ่อว่าจะตามเกรกอรี่มาดูอาการเกล็นหน่อย”
“อะไรกันเล่า เปลี่ยนใจแล้วรึ ไหนบอกว่าชอบหลานแบบนี้ยังไงล่ะ” เสียงดุเหน็บสามี เพราะก่อนหน้านั้นเธอเคยขอร้องให้ฮาร์เวิร์ดขอความช่วยเหลือจากเพื่อน แต่กลับถูกปฏิเสธด้วยข้ออ้างว่าชอบเกล็นแบบนี้มากกว่า
“เอ่อ… มันก็จริง แต่รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้น่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนหลานไม่ชอบให้โดนหัว ทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
“ตั้งแต่หัวกระแทกเกล็นก็ทำตัวแบบที่เราไม่เคยเห็นทุกทีไม่ใช่เหรอ” ลินดาวางแปรงหวีผมแล้วหมุนตัวเท้าเอวเลิกคิ้วมองฮาร์เวิร์ด
“อืม ครั้งนี้พ่อว่ามันดูแปลกๆ น่ะ ก่อนกินข้าวพ่อลูบหัวแต่เกล็นกลับทำหน้าไม่พอใจ เหมือนไปเสียมารยาทยังไงไม่รู้”
ลินดาพยักหน้าเข้าใจวิเคราะห์ความเป็นไปได้ สุดท้ายยอมแพ้และเห็นด้วยกับความคิดของฮาร์เวิร์ด
“เอาสิ ดีเหมือนกันเราจะได้รู้สาเหตุ ติดแค่ว่าเขาจะว่างมาวันไหน”
“เรื่องนั้นมันก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เกล็นเองก็ไม่ได้แย่ลงด้วย” ฮาร์เวิร์ดยักไหล่ขอไปที รู้ดีว่าเพื่อนคนที่ว่า อาจจะไม่ว่างมาสถานที่ไกลปืนเที่ยงติดชายแดนอย่างมอสเซียน่า “ไหนๆ พรุ่งนี้แม่เข้าเมือง พ่อฝากจดหมายไปส่งให้หน่อยแล้วกัน”
“ไม่มีปัญหา… โอ๊ะ ตายแล้ว!” ลินดาอุทานและเบิกตากว้างหลังนึกเรื่องหนึ่งออก “พรุ่งนี้พวกพ่อมีนัดที่บ้านคาเลนเซียไม่ใช่รึ พวกเขาไม่ตกใจแย่เหรอ”
“ไม่หรอกมั้ง ทางนั้นไม่เคยเจอเกล็นเลยนี่นา”
“แต่วันก่อนแม่บอกว่าเกล็นเป็นเด็กเงียบๆ ตอนเจอคุณนายคาเลนเซียน่ะสิ เพราะกลัวว่าเอ่อ… ลูกสาวเขาชื่ออะไรนะ เออ! ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันกลัวลูกเขาจะเบื่อเอา”
ฟังจบประโยค ฮาร์เวิร์ดหัวเราะร่วนจนน้ำตาเล็ดใช้นิ้วเช็ดให้แห้ง
“ฮ่าๆๆๆ งั้นเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าหนูชาร์ล็อตจะเบื่อแล้วน่ะสิ เอาล่ะ เราเข้านอนกันเถอะ”
“ก็จริงนะ”
ลินดาผงกศีรษะเห็นพ้อง เปลี่ยนไปนั่งบนเตียงเตรียมเข้านอนพร้อมเอื้อมมือดับโคมไฟหัวเตียง โดยไม่ลืมรอให้สามีล้มตัวนอน และแล้วภายในห้องก็มืดสนิท ทุกคนในคฤหาสน์ฮิลเนสันเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่นริศผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ส่งเสียงละเมอฝันเห็นงูกำลังรัดขาระหว่างกินข้าวใต้ต้นไม้
“งู 6… 2… 7… ชัวร์…”
Comments (0)