55 ตอน หมายมั่นปั้นมือ
โดย Beloved_Moouan
“ฟ้าครับพี่อยากกินส้มตำปูปลาร้าแบบเผ็ดๆน่ะครับ เดี๋ยวพี่ขอเคลียร์งานอีกนิดเดียวแล้วเราไปกินกันนะครับ แล้วพี่ก็อยากกินทองหยิบทองหยอดฝอยทองด้วยครับ พอกินส้มตำเสร็จแล้วเราไปเดินตลาดกันนะครับ” ดินบอกกับฟ้าครามเมื่อทั้งคู่เพิ่งเลิกประชุมกันและกำลังเดินกลับไปที่ห้อง โดยที่ดินก็คอยประคองฟ้าครามอยู่ไม่ห่าง เพราะตอนนี้ท้องของฟ้าครามนั้นเริ่มที่จะใหญ่แล้ว
“ได้สิครับ ฟ้าจะได้ซื้อไปฝากอิฐด้วย” ฟ้าครามพูดออกมายิ้มๆเมื่อนึกถึงว่าที่คุณพ่ออีกคนที่มีอาการแพ้ท้องแทนเมียเหมือนกับดินไม่มีผิดเพี้ยน เพราะพอเค้าและข้าวปั้นท้องเข้าสู่เดือนที่ 5 ว่าที่คุณพ่อทั้งสองคนก็ไม่มีอาการเหม็นอาหารหรือเวียนหัวและตื่นขึ้นมาอาเจียนในตอนเช้าอีกแล้ว แต่กลับอยากกินของที่ไม่เคยกินมาก่อนอย่างเช่นส้มตำปลาร้ารสจัดๆแทน ทั้งที่ทั้งคู่ไม่เคยคิดที่จะแตะมันเลย โดยเฉพาะของหวานที่เค้ารู้สึกว่ามันหวานจนแสบคออย่างเช่นพวกทองหยิบทองหยอดแล้วก็ฝอยทองที่กลับกลายมาเป็นของโปรดของคนทั้งสองไปแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ว่าที่คุณพ่อทั้งสองคนแทบจะไม่แตะของหวานกันเลยด้วยซ้ำไป เค้ากับข้าวปั้นยังคุยกันว่าตัวเองนั้นโชคดีมากที่ไม่มีอาการอะไรเลย เพราะอาการทั้งหมดไปลงอยู่ที่ว่าที่คุณพ่อขี้เห่อทั้งสองคนหมดนั่นเอง
ตอนนี้ฟ้าครามตั้งท้องได้ 5 เดือนกว่าแล้วและกำลังจะเข้าสู่เดือนที่ 6 ซึ่งทั้งคู่ก็รู้เพศลูกแล้วด้วย พวกเค้าทั้ง 6 คนได้ลูกผู้ชายกันทั้งหมด จะยกเว้นก็แต่สายน้ำที่ได้ลูกแฝด ซึ่งก็ค่อนข้างสมใจอยากของคุณพ่อทุกๆคน เพราะทั้งพ่อของน้องของขวัญและบรรดาลุงๆทั้งหลายหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้ลูกชายและหลานชายทั้ง 7 คนของตัวเองนี่แหละที่คอยดูแลน้องของขวัญแทนพวกเค้า พอคิดได้ถึงตรงนี้เค้าก็คิดสงสารหลานสาวคนเดียวล่วงหน้าเอาไว้เลย เพราะคงจะโดนตามติดแจอย่างแน่นอน
…
“ไอ้อิฐกูซื้อส้มตำปูปลาร้าแล้วก็ทองหยิบทองหยอดฝอยทองมาฝาก” พอก้าวเข้ามาในบ้านของวายุดินก็บอกกับอิฐที่นั่งอยู่ที่โซฟากับข้าวปั้นทันที โดยที่ตัวเองก็ยังเดินไม่ถึงด้วยซ้ำไปเพราะว่าคอยประคองฟ้าครามอยู่ ทั้งๆที่ฟ้าครามก็บอกอยู่ว่าสามารถเดินเองได้เพราะท้องเค้ายังไม่ได้ใหญ่มากเหมือนของสายน้ำที่รายนั้นไม่สามารถที่จะเดินเหินไปไหนมาไหนเองได้แล้ว ช่วงนี้วายุจึงต้องหอบงานมาทำที่บ้านเพราะกลัวว่าสายน้ำจะมีอาการเหมือนกับท้องแรกและคลอดก่อนกำหนดนั่นเอง
“โหเฮียโคตรรู้ใจผมเลยว่ะ กำลังอยากอยู่กะว่าจะโทรสั่งอยู่พอดี” อิฐรีบลุกเดินไปหาดินทันทีที่ได้ยินและรีบเดินเข้าไปในครัวเพื่อเทส้มตำกิน จนทุกคนได้แต่ยิ้มขำให้กับท่าทางของว่าที่คุณพ่อ
“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับน้องน้ำ หลานพี่ดิ้นดีมั้ยครับ” ดินที่ประคองฟ้าครามลงนั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้วก็เดินมานั่งลงใกล้ๆกับสายน้ำและลูบไปที่ท้องของสายน้ำที่มันใหญ่จนน่ากลัวไปมาอย่างเบามือ เค้าเองก็กังวลไม่น้อยไปกว่าวายุและทุกคนเลยที่กลัวว่าสายน้ำนั้นจะเกิดอาการครรภ์เป็นพิษและอาจจะคลอดก่อนกำหนดขึ้นมาอีกเหมือนอย่างกับท้องแรก และยิ่งท้องนี้เป็นท้องแฝดด้วยแล้วพวกเค้าก็ยิ่งกังวลหนักเข้าไปอีก
พอสายน้ำท้องเข้าสู่เดือนที่ 8 เค้าเลยปรึกษากับวายุ อิฐ ข้าวปั้นและฟ้าคราม ว่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้านของวายุชั่วคราวกันก่อนจนกว่าสายน้ำจะคลอดลูก เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิม ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมาเหมือนอย่างคราวที่แล้วเค้าและอิฐจะได้ช่วยทัน และข้าวปั้นกับฟ้าครามเองก็ยังช่วยเหลือตัวเองได้ดีอยู่จนแทบจะไม่เหมือนคนท้องเลยด้วยซ้ำไป ต่างจากเบล ออกัส และวาริ ที่สามรายนั้นท้องค่อนข้างที่จะใหญ่และเริ่มเดินเหินลำบากแล้ว
“ดิ้นครับดิ้นแรงมากเลยล่ะครับ ทั้งดิ้นทั้งถีบน่าดูเลยยิ่งตอนที่พ่อเค้าคุยด้วยล่ะก็ยิ่งถีบแรงน่าดู” สายน้ำบอกกับดินไปยิ้มๆและหันมายิ้มให้กับวายุที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเอง ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าสามีและพี่ๆทุกคนเป็นห่วงเค้ามากแค่ไหน
“ไงครับหลานลุงอยากออกมาแล้วเหรอครับ ยังไม่ต้องรีบนะครับพวกลุงรอได้อดทนหน่อยนะครับอีกไม่ถึงเดือนเราก็ได้เจอกันแล้ว” ดินลงไปนั่งยองๆอยู่ตรงหน้าท้องของสายน้ำ พร้อมกับลูบท้องของสายน้ำไปมาและก้มลงไปคุยกับหลานแฝดซึ่งมันดูเป็นภาพที่อ่อนโยนและอบอุ่นมากเลยทีเดียว
“โอ๊ะ! โอ๊ย! สงสัยอยากจะคุยกับลุงแน่ๆเลยครับ ถีบแม่ซะแรงเลย ฮ่าๆๆ” สายน้ำร้องออกมาพร้อมกับหน้าตาที่เหยเก ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเมื่อลูกชายฝาแฝดของเค้านั้นถีบแรงกว่าทุกครั้งเลย
“น้ำเป็นอะไรรึเปล่า อิฐได้ยินเสียงร้องดังเชียว” อิฐวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องครัวและถามขึ้นทั้งๆที่ยังถือจานขนมหวานอยู่ในมืออยู่เลย
“มึงนี่ห่วงกินก็ห่วง ห่วงเพื่อนก็ห่วงเน๊าะเลือกเอาสักอย่างดีมั้ยวะไอ้อิฐ” ดินพูดออกมาขำๆทุกคนก็พลอยหัวเราะขำไปด้วย
“ก็เพิ่งเทเสร็จมันเลยติดมือมา แล้วสรุปว่าเมื่อกี๊น้ำร้องทำไม ไม่ใช่ว่าเจ็บท้องหรอกใช่มั้ย” อิฐวางจานขนมลงบนโต๊ะและมานั่งข้างๆกับข้าวปั้น พร้อมกับลูบท้องของข้าวปั้นไปด้วย
“หลานอยากคุยกับลุงน่ะ เลยถีบท้องแรงไปหน่อยเล่นเอาจุกเลย” สายน้ำบอกกับเพื่อนตัวโตไปยิ้มๆ อิฐเองก็ถึงกับถอนหายใจขึ้นมาและหันกลับไปกินขนมต่อ จนทุกคนได้แต่พากันส่ายหน้าให้กับว่าที่คุณพ่อที่ติดขนมหวานมากในตอนนี้
“เฮียอยากกินเหรอผมไม่แบ่งให้หรอกนะ” อิฐที่เห็นว่าวายุนั้นมองมาที่ตนเองอยู่ จึงถามขึ้นพร้อมกับเบี่ยงจานขนมหวานไปทางฟ้าครามเพื่อหลบวายุ
“เชิญมึงกินคนเดียวให้พุงแตกตายไปเถอะ กูแค่เลี่ยนแล้วก็แสบคอแทน” วายุพูดขึ้นมาหน้านิ่งตามแบบฉบับของตนเอง โชคดีที่เค้าและสายน้ำไม่มีใครมีอาการแพ้อะไรเลย จะมีก็แค่เมียของเค้านั้นง่วงนอนบ่อยก็แค่นั้นเองตั้งแต่ท้องแรกแล้ว จึงไม่ต้องมานั่งกินอะไรหวานๆเลี่ยนๆแบบสองคนตรงหน้าของเค้า
“แล้วนี่หลานสาวสุดสวยกูไปไหนวะ หลับเหรอ” ดินถามวายุขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นมาได้
“พี่งามตาเพิ่งเอาขึ้นไปอาบน้ำเดี๋ยวก็ลงมา”
หลังจากนั้นทุกคนก็นั่งคุยกันบ้างนั่งดูหนังกันบ้างเพื่อที่จะรอกินข้าวเย็นพร้อมกัน จนเมื่อไฟกับออกัส และเหนือกับเบลตามมาสมทบ ทุกคนจึงได้ลงมือกินข้าวเย็นกันเพราะได้เวลาพอดี จะเหลือก็แต่หินผาและวาริที่ไม่ได้มาเนื่องจากว่าช่วงนี้วาริเพิ่งจะมามีอาการแพ้อย่างหนักจนหินผาต้องหยุดงานเพื่ออยู่ดูแล ทำให้ป๊ากับม๊าต้องเข้าไปทำงานแทนหินผาเป็นการชั่วคราวไปก่อน
…
“จุ๊บ! ว่ายังไงครับลูกชาย วันนี้เรายังไม่ได้คุยกันเลยนะ วันนี้ดื้อกับคุณแม่รึเปล่าครับ” เมื่อทั้งคู่อาบน้ำกันเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะเข้านอนแล้ว อิฐก็เปิดเสื้อของข้าวปั้นขึ้นมา และจูบไปที่ท้องที่ยังไม่ใหญ่มากนัก เพื่อที่จะคุยกับลูกชายเหมือนกับที่เคยทำในทุกวัน
“อ๊ะ! พี่อิฐดูสิครับ” ข้าวปั้นชี้ให้อิฐดูรอยนูนนิดๆที่ท้องของตัวเองที่ลูกชายของตัวเองถีบทักทายผู้เป็นพ่อ
“หึๆ ท่าทางจะแสบน่าดูนะเรายังไม่ทันไรเลย จุ๊บๆ” อิฐพูดพร้อมกับจูบลงไปในตำแหน่งที่ลูกดิ้นเมื่อกี๊ ก่อนที่จะคุยกับลูกต่อรวมไปถึงเล่าเรื่องที่ทำงานให้ลูกฟังด้วย ซึ่งลูกชายของเค้าเองก็ดิ้นตอบมาเป็นระยะๆ ก่อนที่จะเงียบไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ที่ฟังคุณพ่อคุยเพลินจนหลับไปในที่สุด
พออิฐเห็นว่าคุณแม่นอนหลับไปแล้วจึงจัดการจัดท่าทางการนอนให้ได้นอนสบายขึ้นโดยที่มีหมอนรองครรภ์เข้ามาช่วย ก่อนที่จะเดินไปหยิบหูฟังมาครอบเข้าที่ท้องของคุณแม่และจัดการเปิดเพลงคลาสสิคให้กับลูกได้ฟังเพื่อที่ทั้งคุณแม่และคุณลูกนั้นจะได้นอนหลับสบาย ซึ่งการเปิดเพลงนี้วายุและสายน้ำคุณพ่อคุณแม่มืออาชีพได้แนะนำมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งเค้าก็เชื่อและทำตามในทันที เพราะดูได้จากน้องของขวัญที่เป็นเด็กเลี้ยงง่ายทั้งยังอารมณ์ดีและยังฉลาดอีกด้วย
พอจัดการทุกอย่างเสร็จเจ้าตัวก็เอางานขึ้นมาทำ และพอผ่านไปได้สักพักใหญ่อิฐจึงหันไปปิดเพลงและเข้านอนโดยที่ไม่ลืมที่จะลูบมือวนไปมาที่ท้องของข้าวปั้นเป็นการกล่อมทั้งแม่และลูกให้นอนหลับสบายอีกด้วย
“ปั้นจะไปเรียนถึงตอนไหนครับ” อิฐที่แต่งตัวเตรียมจะไปทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วเอ่ยถามข้าวปั้นขึ้นมาระหว่างรอข้าวปั้นแต่งตัว
“ปั้นว่าน่าจะถึงแค่สิ้นเดือนนี้น่ะครับ ที่เหลือคงต้องรบกวนให้พี่ไฟจัดการให้” ข้าวปั้นพูดพร้อมกับลูบท้องของตัวเองไปมา เพราะตอนนี้ท้องของเค้านั้นค่อนข้างที่จะใหญ่แล้ว และพอถึงสิ้นเดือนนี้เค้าก็จะท้องได้ 6 เดือนพอดี พอถึงตอนนั้นเค้าก็คงจะเดินเหินไม่ค่อยจะสะดวกมากเท่าไหร่นักและอีกอย่างเค้าก็ไม่อยากที่จะเป็นจุดสนใจด้วย
ความจริงแล้วอิฐอยากจะให้ข้าวปั้นหยุดอยู่บ้านตั้งแต่ข้าวปั้นท้องได้ 5 เดือนแล้วด้วยซ้ำไป แต่ข้าวปั้นก็ยังคงดื้อที่จะไปเรียนอยู่เพราะว่าท้องนั้นยังไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ อีกอย่างก็ยังมีทั้งนุ่น ไออุ่น และไนท์ที่คอยดูแลตัวเองอยู่ด้วย
“เฮ้อ!! พี่ให้ถึงแค่สิ้นเดือนนี้เท่านั้นนะครับ ปั้นรู้ใช่มั้ยครับว่าพี่เป็นห่วงปั้นและลูกมากแค่ไหน ถึงจะมีเพื่อนๆปั้นคอยดูแลอยู่แต่มันก็ไม่เหมือนกับพี่ได้ดูแลปั้นและก็ได้เห็นปั้นอยู่ในสายตาของพี่เอง” อิฐเดินไปกอดข้าวปั้นจากทางด้านหลังจะเอื้อมมือไปลูบที่ท้องของข้าวปั้นด้วยความอ่อนโยน
“ปั้นเข้าใจครับว่าพี่อิฐเป็นห่วงปั้นมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ปั้นยังแข็งแรงแล้วก็ยังเดินเหินได้คล่องอยู่ พี่อิฐเชื่อใจปั้นนะครับว่าปั้นจะไม่มีวันทำอะไรให้ตัวเองและลูกของเราต้องเป็นอันตรายเป็นเด็ดขาดครับ” ข้าวปั้นหันมาพูดกับอิฐและตลอดเวลาที่พูดเจ้าตัวก็มองสบตาคมของอิฐอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่อยากจะให้อิฐนั้นเชื่อใจตนเอง
“ครับ พี่เชื่อใจปั้นนะ แต่ถ้าปั้นรู้สึกว่าผิดปกติต้องรีบโทรบอกพี่ทันทีเลยนะครับ หรือไม่ก็ต้องรีบบอกเพื่อนๆนะครับ พี่รักปั้นกับลูกของเรามากนะ จุ๊บ!” อิฐพูดจบก็จูบลงไปที่ริมฝีปากบางเบาๆ หลังจากนั้นทั้งคู่จึงเดินออกไปจากห้องเพื่อกินข้าวเช้าพร้อมกับทุกคน
“มอนิ่งครับหลานลุง ตื่นกันรึยังเอ่ย” พอประคองข้าวปั้นให้นั่งที่เก้าอี้เรียบร้อยแล้ว อิฐก็เดินมาหาออกัสและเบลที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอยู่ก่อนแล้ว และเดินไปทักทายหลานทั้งสองพร้อมกับหยอกล้อเล่นกันอยู่พักหนึ่งจนดินกับฟ้าครามเดินเข้ามา ทั้งหมดจึงลงมือทานข้าวเช้าพร้อมกัน
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยการพูดคุยของเหล่าบรรดาคุณแม่ทั้งหลายที่แลกเปลี่ยนความรู้กัน เพราะอาการของแต่ละคนในแต่ละเดือนนั้นก็ไม่ค่อยจะเหมือนกันสักเท่าไหร่ บรรดาคุณพ่อทุกคนจึงกลายเป็นผู้นั่งฟังที่ดีไปโดยปริยาย และตั้งแต่วันนี้เหนือก็ไม่ได้ให้เบลไปทำงานกับตนเองด้วยแล้ว แต่จะให้มาอยู่กับสายน้ำแทนเพราะเบลนั้นเริ่มที่จะเดินเหินลำบากแล้วเหนือจึงไม่อยากที่จะเอาเบลไปลำบากด้วย อีกอย่างอยู่ที่นี่เค้าก็ไม่ต้องห่วงอะไรมาก เพราะมีทั้งวายุและพี่ทับอยู่ ไหนจะคนงานในบ้านที่อยู่กันเต็มไปหมดอีก
“เดี๋ยวเย็นๆพี่รีบกลับมานะคะ หนูอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยพี่จะได้แวะซื้อมาให้” เหนือบอกกับภรรยาคนสวยของตัวเองเมื่อได้เวลาที่ตัวเองจะต้องไปทำงานแล้วทั้งๆที่ไม่อยากจะห่างจากคุณแม่และลูกเลย
“อืมม....งั้นเบลขอเป็นชีสเค้กหน้าไหม้ร้านประจำพี่ฟ้าได้มั้ยคะไม่ได้กินนานแล้ว แล้วก็ซื้อมาฝากทุกคนด้วย” พอเบลพูดจบทั้งสายน้ำ ออกัส ฟ้าครามและข้าวปั้นก็พร้อมใจกันพยักหน้าตามเห็นด้วยทันที
“หึๆ คุณแม่พร้อมใจกันอยากกินกันซะขนาดนี้พี่คงจะไม่แวะไม่ได้แล้วล่ะค่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ไปทำงานก่อนนะสายแล้วเดี๋ยวรถจะติดเบลก็ดูแลตัวเองดีๆนะอย่าไปเที่ยวซนที่ไหน พี่จะรีบกลับมานะคะ จุ๊บ!” เหนือพูดออกมายิ้มๆเพราะคุณแม่แต่ละคนพร้อมใจกันจ้องมาที่เค้าอย่างกดดัน แต่มันก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากมายเลยเพราะร้านที่ว่านั่นมันเป็นทางผ่านของเค้าพอดีอยู่แล้ว
หลังจากนั้นทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน โดยจะเหลือก็แค่สายน้ำและเบลเท่านั้นที่อยู่ที่บ้าน เพราะวายุนั้นก็ต้องไปส่งน้องของขวัญที่โรงเรียนด้วยเหมือนกัน พอวายุกลับจากไปส่งน้องของขวัญกลับมาก็เห็นว่าสายน้ำนั้นมีเบลอยู่เป็นเพื่อนคุยแล้วเจ้าตัวจึงขอตัวเข้าไปดูงานที่เลขาเอามาส่งให้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นในห้องทำงาน
“อ้าวพี่ผาน้องวามาได้ยังไงครับ มานั่งก่อนครับ” สายน้ำที่นั่งคุยกับเบลอยู่พอผ่านไปสักพักก็เห็นว่าหินผานั้นเดินประคองวาริเข้ามาในบ้าน พร้อมกับพี่ทับที่ช่วยเข็นกระเป๋าใส่เสื้อผ้ามาให้ด้วย
“ก็น้องวาน่ะสิครับบอกว่าอยู่บ้านนู้นแล้วเหงาไม่มีเพื่อนคุยก็เลยอยากมาค้างบ้านนี้พี่เลยต้องพามา ค่อยๆนั่งครับ” หินผาหันไปบอกกับน้องชายของตัวเองและบอกกับวาริระหว่างที่กำลังนั่งลง
“ก็วาเหงาจริงๆนี่ครับ พี่ผาเองก็เอาแต่ทำงานไม่คุยกับวา แล้ววาก็คิดถึงพวกพี่ๆทุกคนด้วย” วาริพูดออกมาพร้อมกับทำหน้าเบ้และน้ำตาที่เริ่มคลอ
“ไม่เอาครับไม่ร้องนะ พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยครับ พี่ขอโทษนะครับที่พูดจาไม่เข้าหูน้องวา ชู่วว!! ไม่ร้องนะครับไม่ร้อง เดี๋ยวลูกจะพลอยเครียดไปด้วยนะครับ” หินผารีบพูดปลอบและดึงวาริเข้ามากอดในทันทีเมื่อน้ำตาเม็ดแรกเริ่มไหลออกมาแล้ว ตั้งแต่ที่วาริท้องเข้าสู่เดือนที่ 5 เจ้าตัวก็แพ้ท้องหนักมากและอารมณ์ก็ยังอ่อนไหวง่ายมากอีกด้วย และพอท้องได้ 7 เดือนอาการแพ้ก็ค่อยๆหายไป แต่ไอ้อาการขี้น้อยใจและอ่อนไหวง่ายนี่สิ ที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆจนบางทีว่าที่คุณพ่อมือใหม่อย่างหินผาก็ตามไม่ค่อยจะทันเหมือนกัน
สายน้ำกับเบลที่นั่งมองคนทั้งคู่อยู่ก็ได้แต่ยิ้มขำจนหินผาต้องส่งสายตาค้อนมาให้ ที่ทั้งสองคนไม่ยอมช่วยแถมยังมานั่งหัวเราะเค้าอีก
“น้องวาสนใจถักโครเชต์ด้วยกันมั้ยครับ” สายน้ำที่เห็นว่าวาริไม่มีท่าทีที่จะหยุดร้องไห้สักทีจึงเอ่ยถามขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
“หืออ....ถักโครเชต์เหรอครับอยากสิครับ พี่น้ำถักเป็นด้วยเหรอครับ พี่ผาปล่อยสิครับวาอึดอัดจะกอดวาทำไมแน่นขนาดนี้ครับ” วาริหยุดร้องไห้ทันทีเหมือนกับได้ที่ได้ยินสายน้ำถาม พร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปดุหินผาที่ยังคงกอดตัวเองไว้แน่นอยู่
“อ้าว!! กูผิดซะงั้น” หินผาบ่นออกมาเบาๆพร้อมกับคลายอ้อมกอดออกมาจากวาริ
“พี่ผาบ่นอะไรวาครับ” วาริที่ได้ยินไม่ถนัดเอ่ยถามหินผาอีกรอบจนหินผาถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ...พี่ผาครับ น้องรบกวนพี่ผาไปหยิบตะกร้าบนห้องให้น้องที่สิครับ ตะกร้าจะมีไหมพรมอยู่นะครับน่าจะวางอยู่ที่โซฟา” สายน้ำรีบเอ่ยขัดทันทีที่เห็นว่าวารินั้นเริ่มที่จะเบ้ปากอีกแล้ว
“ได้ครับๆ เดี๋ยวพี่รีบไปเอามาให้นะครับ ฟอด!” หินผารีบรับปากและลุกขึ้นไปหอมแก้มน้องชายเป็นการขอบคุณทันที ก่อนจะรีบเดินขึ้นไปบนชั้น 2
พอสายน้ำได้ตะกร้าอุปกรณ์ที่จะถักโครเชต์มาเรียบร้อยแล้ว สายน้ำก็เริ่มสอนทั้งเบลและวาริให้เริ่มถักจากลายง่ายๆก่อน ซึ่งเริ่มแรกที่สายน้ำหันมาสนใจถักโครเชต์นั่นก็เพราะว่าเจ้าตัวไม่สามารถที่จะเข้าครัวทำกับข้าวหรือขนมหวานอย่างที่ตัวเองชอบได้ และอีกอย่างน้องของขวัญก็เข้าเรียนแล้วด้วยเลยทำให้ยิ่งว่างไปกันใหญ่ จนสายน้ำที่ไม่ชอบอยู่นิ่งๆนั้นเกิดเบื่อขึ้นมาจึงต้องหาอะไรมาทำให้ตัวเองดูไม่ว่างจนเกินไปนักจนมาจบลงที่การถักโครเชต์ที่ดูไม่ยากจนเกินไปนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลดีเลยทีเดียวเพราะนอกจากจะได้ฝึกสมาธิไปในตัวแล้วยังได้ผลงานที่เป็นฝีมือของตัวเองอีกด้วย
ก๊อก!! ก๊อก!! ก๊อก!!
วายุเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทำงานเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู และก็เป็นหินผาที่เดินถือถาดใส่แก้วกาแฟอยู่ในมือ 2 แก้วด้วยกัน
“ทำไมมาได้วะ” วายุเอ่ยทักเพื่อนขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปรับแก้วกาแฟจากเพื่อนหรือพี่เมียของตัวเองนั่นเอง
“น้องวาร้องอยากมาหาทุกคนน่ะ เห็นบอกว่าอยู่บ้านนู้นแล้วเหงาไม่มีเพื่อนคุย กูเลยต้องหอบผ้าหอบผ่อนมานี่แหละ” หินผาบอกออกมายิ้มๆพร้อมกับยกกาแฟดื่มไปด้วย
“ย้ายมาอยู่นี่เลยดีมั้ยวะหรือไม่ก็ปลูกบ้านอีกหลังไปเลย เมียมึงคงจะเหงาเพราะเดี๋ยวถ้ามึงกลับไปทำงานป๊าม๊าก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้านสักเท่าไหร่ ไหนจะตอนคลอดลูกมาแล้วอีก มาอยู่นี่เมียมึงจะได้มีเพื่อนคุยมีคนคอยให้ปรึกษา ให้อยู่เลี้ยงลูกคนเดียวบ้าตายกันพอดีแล้วอีกอย่างทุกคนก็อยู่ที่นี่กันหมดด้วย แล้วไหนจะลูกมึงตอนโตอีกเค้าก็ต้องอยากอยู่กับเพื่อนๆรึเปล่าวะ” วายุวางมือจากปากกาและพูดกับหินผาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะเค้าก็นึกสงสารวาริเหมือนกันที่ต้องแยกไปอยู่ที่บ้านใหญ่ของป๊ากับม๊าคนเดียวโดยที่ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมด
“เออว่ะ กูลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย กูคิดแค่ว่าบ้านใหญ่จะไม่มีใครอยู่กับป๊าม๊าแต่ก็ลืมคิดไปว่าป๊าม๊ากูก็ไม่ค่อยจะได้อยู่สักเท่าไหร่ น้องวาคงจะเหงาน่าดูเลยใช่มั้ยวะที่ผ่านมา” หินผาพอได้คิดตามที่วายุพูดเค้าก็รู้สึกผิดขึ้นมาทันที เพราะหลังๆมานี้วาริดูซึมลงไปมากเลยทีเดียว อาจจะเพราะไม่มีเพื่อนคุยและไหนจะยังอารมณ์คนท้องอีก และอีกอย่างเค้าก็ยังไม่ได้นึกเผื่อตอนที่คลอดลูกออกมาแล้ว แล้วไหนจะตอนเลี้ยงลูกและตอนที่ลูกโตอีก
“แล้วมึงจะเอาไง ถ้าจะซื้อที่ปลูกบ้านก็ต้องถัดไปจากบ้านไอ้ดิน เพราะทางไอ้เหนือมันเป็นที่ของคนอื่นไปแล้ว ถ้ามึงตกลงกูจะให้เลขากูจัดการให้แล้วจะได้เริ่มให้ไอ้เหนือดูแปลนบ้านให้เลย” วายุพูดขึ้นพร้อมกับกดหาเบอร์ของเลขาตัวเองไปด้วยโดยที่หินผายังไม่ได้ตอบตกลง
“เอาตามที่มึงว่าก็แล้วกันกูฝากจัดการให้ด้วย เดี๋ยวกูไปบอกเมียกูก่อน ขอบใจมึงมากนะเว้ยไอ้น้องเขย” พูดจบหินผาก็รีบลุกออกไปทันทีพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“มึงอย่าลืมโทรบอกป๊ากับม๊าด้วยนะ” วายุพูดไล่หลังหินผาก่อนที่ประตูจะปิดลง หินผาก็ได้แต่ทำมือโอเคกลับมาจนวายุได้แต่ส่ายหน้าไปมา และจัดการต่อสายหาเลขาของตัวเองให้จัดการติดต่อซื้อที่ให้เพราะเจ้าของที่นั้นเป็นคนเดียวกันกับบ้านของเค้าและเพื่อนๆ รู้อย่างนี้เค้าน่าจะซื้อที่ทั้งหมดไว้ทีเดียวเลย เลขาของเค้าจะได้จัดการให้ทีเดียวจะได้ไม่ต้องมาขอซื้อที่ทุกครั้งที่จะสร้างบ้าน
Comments (0)