4 ตอน หลบหน้าพี่ทำไม
โดย Beloved_Moouan
“สวัสดีค่ะน้องๆทุกคน วันนี้พี่มีเกมมาให้พวกเราเล่นกันค่ะ ขอให้น้องๆจับกลุ่มกันกลุ่มละ 10 คนนะคะ กลุ่มไหนที่ได้คนครบแล้วให้นั่งลงได้เลยค่ะ” เบลพูดบอกน้องๆผ่านไมโครโฟน
“ปั้นมานี่ มีสติหน่อยสิ เดี๋ยวก็ได้เจอพี่เค้าหรอกน่า” นุ่นดึงข้าวปั้นมารวมกลุ่มกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งและจับข้าวปั้นนั่งลงเมื่อคนครบแล้ว ข้าวปั้นมีอาการเหม่อลอยตั้งแต่ที่ได้เจอกับอิฐอีกครั้งอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
ตั้งแต่วันที่เจออิฐนี่ก็ผ่านมาได้สองวันแล้ว ตั้งแต่วันนั้นเค้าก็ยังไม่เจอกลุ่มของอิฐและพี่สายน้ำอีกเลย เมื่อวานพอเลิกจากประชุมเชียร์แล้วเค้ากับเพื่อนๆก็พากันเดินไปที่โต๊ะด้านหลังตึกที่นั่งกันเมื่อวันก่อนก็ไม่เจอ ให้ไนท์โทรถามพี่ชายอย่างเดย์ก็ไม่ยอมบอกว่าอยู่ไหนบอกแต่ว่าไว้เจอกันที่ห้อง
“วันนี้พวกเราต้องลงแล้วนะโว้ย เดี๋ยวก็โดนรุ่นพี่ด่ากันพอดี” เดย์พูดขึ้นมาเพราะเมื่อวานอิฐก็ไม่ยอมลงไปว๊ากน้อง พอถามเข้าก็ไม่มีคำตอบกลับมาให้พวกเค้าได้แต่นั่งเงียบ ครั้นจะให้สายน้ำช่วยเจ้าตัวก็ดันไม่มาอีก
“อือ” อิฐได้แต่ตอบรับเพื่อนอยู่ในลำคอตอนนี้พวกเค้าอยู่ในห้องประชุมของพี่ว๊ากกันทำให้คนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะไม่รู้ว่าพวกเค้านั้นอยู่ที่ไหนกัน
“มึงรู้จักกับน้องข้าวปั้นมาก่อนใช่มั้ยวะ” จู่ๆทอยก็ถามอิฐขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง อิฐถึงกับชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติตามเดิม
“พวกกูเพื่อนมึงนะโว้ยถึงเราจะเพิ่งมารู้จักกันและเพิ่งจะมาสนิทกันไม่นาน แต่ถ้ามึงมีอะไรที่มึงไม่สบายใจมึงก็สามารถเล่าหรือปรับทุกข์ให้พวกกูฟังได้ ถึงแม้พวกกูจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่อย่างน้อยมึงก็ไม่ต้องมานั่งทำหน้าซังกะตายอยู่คนเดียวแบบนี้” ทอยพูดออกมายาวเหยียดเพราะอิฐนั้นมีท่าทีแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อวานแล้วหลังจากที่เจอกับข้าวปั้น โดยที่เดย์ โจ้ และเต็ม ก็คอยพยักหน้าเห็นด้วยอยู่
“เฮ้อ! กูไม่รู้ว่ะ กูไม่รู้ว่ากูจะต้องเริ่มจากตรงไหนกูกำลังสับสน” อิฐนั่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมกับเอนตัวไปพิงโซฟาและแหงนหน้าขึ้นและหลับตาลง
“งั้นมึงตอบกูมาว่ามึงเคยรู้จักกับน้องข้าวปั้นมาก่อนใช่มั้ยวะ” ทอยถามจี้อีกครั้ง เค้ามีเวลาเหลือเฟือที่จะมานั่งสอบสวนเพื่อนคนนี้เพราะกว่าที่พวกเค้าจะลงว๊ากน้องก็ช่วงบ่ายโน่น พอดีกับที่สายน้ำ ออกัส และเบล เดินเข้ามาได้ยินพอดี สายน้ำจึงเดินมานั่งที่โซฟาข้างๆกับอิฐ ตามด้วยออกัสและเบล
“กูไม่รู้ว่ากูเคยรู้จักกับน้องเค้ารึเปล่า” อิฐลืมตาขึ้นมาดูเมื่อรู้ว่าเป็นใครเดินเข้ามาในห้องก็หันไปตอบทอย ทุกคนต่างพากันมองหน้า อะไรคือไม่รู้ว่าเคยรู้จักกันรึเปล่าวะ
“คืออะไรวะไม่รู้ว่าเคยรู้จักกันรึเปล่า” คราวนี้เป็นโจ้ที่ถามขึ้นมาบ้างด้วยความสงสัย
“เฮ้อ!! พวกมึงจะต้องรู้ให้ได้เลยใช่มั้ยวะ” อิฐถอนหายใจออกมาเสียงดังและยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองไปมา
“ใช่!!!!” ทุกคนพร้อมใจกันตอบออกมาไม่เว้นแม้แต่ สายน้ำ ออกัสและเบล เบลเองถึงแม้จะเป็นญาติและเรียนที่เดียวห้องเดียวกันกับอิฐตลอดแต่เธอเองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเหมือนกัน
อิฐนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมา และเค้าก็เห็นเพื่อนตัวเล็กของเค้าส่งสายตาปริบๆอ้อนมาให้ด้วยความอยากรู้ ทำให้เค้ายกยิ้มออกมาแทบจะทันทีเมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของเพื่อนตัวเล็ก
“อยากรู้ขนาดนั้นเชียว” อิฐยกมือขึ้นโยกหัวสายน้ำไปมา
“ไม่ใช่ว่าน้ำอยากจะรู้เรื่องส่วนตัวของอิฐหรอกนะ แต่ทุกคนในที่นี้อยากรู้ว่าอิฐเป็นอะไรและกำลังหรือรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่มากกว่า พวกเราทุกคนเป็นห่วงอิฐนะ เวลาน้ำมีเรื่องอะไรไม่สบายใจอิฐยังคอยเป็นที่ปรึกษาเป็นกำลังใจให้กับน้ำได้ทุกเรื่องเลย แต่เวลานี้ตอนนี้น้ำก็อยากที่จะช่วยอิฐหรือแบ่งเบาความรู้สึกของอิฐบ้างไม่ได้เหรอ” พอสายน้ำพูดจบทุกคนก็พากันพยักหน้าตามทันที
“อยากหอมแก้มน้ำจังว่ะ” จู่ๆเต็มก็พูดขึ้นมา
“หอมตีนกูไปก่อนมั้ย” อิฐพูดพร้อมกับยกเท้ายื่นไปให้กับเต็มและดึงเพื่อนตัวเล็กมากอดไว้อย่างหวงๆ
ป้าบ!!!
“มึงนี่ก็ชอบนอกเรื่องกำลังจะดีอยู่แล้วเชียวมันใช่เวลามั้ยไอ้เต็ม” เดย์พูดพร้อมกับตบหัวเต็มไปป้าบใหญ่
“กูก็ล้อเล่นมั้ยล่ะ กูเห็นเครียดๆกันอยู่นี่หว่า” เต็มพูดพร้อมกับลูบหัวตรงที่โดนเดย์ตบไปด้วย
“พอๆพวกมึงเลิกกัดกันก่อน ไอ้อิฐมึงเล่ามาถ้าวันนี้มึงไม่เคลียร์ก็ไม่ต้องออกจากห้องกันหรอก กูขี้เกียจมานั่งมองดูมาดนิ่งๆของมึงแล้ว” ทอยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอีกครั้ง
“เฮ้อ! กูเคยเจอกับน้องเค้าตอนกูอยู่ ม.4 ตอนนั้นน้องน่าจะอยู่ ม.2 ได้มั้ง วันที่กูเจอน้องครั้งแรกวันนั้นน้องกำลังจะเดินข้ามถนนแต่พอดีมีรถที่ขับมาจากไหนก็ไม่รู้ขับมาด้วยความเร็วและกำลังจะพุ่งเข้ามาชนน้องกูเห็นเข้าก็เลยเข้าไปช่วยไว้ได้ทัน หลังจากนั้นเพื่อนกูก็เรียกกูขึ้นรถเพราะว่าแม่มันล้มลื่นในห้องน้ำและอยู่ที่โรงพยาบาลกูก็เลยรีบวิ่งไปขึ้นรถโดยที่ยังไม่ทันได้คุยอะไรกันเลย กูกะว่าวันรุ่งขึ้นกูจะเข้าไปคุยกับน้องหรือถามอาการสักหน่อย แต่พวกมึงรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” พออิฐพูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดและเงยหน้าถามเพื่อนตัวเอง ซึ่งแต่ละคนก็ได้แต่นั่งส่ายหน้า
“วันต่อมากูตามหาน้องจนทั่วถามคนนั้นคนนี้ จนหลายวันผ่านไปกูถึงได้รู้ว่าน้องนั้นเรียนอยู่ชั้นไหนและห้องไหน พวกมึงรู้มั้ยว่ากูตื่นเต้นและก็ดีใจมากแค่ไหนที่จะได้คุยกับน้องเป็นครั้งแรก เพราะน้องเป็นคนแรกที่กูรู้สึกถูกชะตาด้วยเป็นคนแรกที่กูอยากที่จะคุยและอยากที่จะทำความรู้จักด้วย” อิฐพูดออกมาด้วยแวตาที่ซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ สายน้ำที่นั่งอยู่ข้างๆได้แต่กุมมือใหญ่ของเพื่อนเอาไว้
“แล้วมึงได้เจอน้องมั้ยแล้วยังไงต่อวะ” โจ้ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“กูไปดักรอน้องอยู่หน้าห้อง กลุ่มของน้องออกจากห้องเป็นกลุ่มสุดท้าย พอน้องเจอหน้ากูพวกมึงรู้มั้ยว่าน้องทำยังไง” เป็นอีกครั้งที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันส่ายหน้าไปมา
“หึๆ น้องมีท่าทางตกใจมากและหลังจากนั้นก็หันหลังให้กูและวิ่งหนีไป และทุกครั้งที่น้องเจอกูหรือบังเอิญต้องเดินสวนกับกูน้องจะพยายามหลบหน้าหรือไม่ก็เดินหนีกูไปเลย น้องทำอยู่แบบนี้จนกระทั่งกูจบ ม.6 ไม่มีแม้สักครั้งที่กูจะได้มองหน้าน้องให้เต็มตา ไม่มีสักครั้งที่กูจะมีโอกาสเข้าไปพูดคุยแม้แต่คำเดียว น้องไม่เคยให้โอกาสกูเลยสักครั้งไม่เคยเลยสักครั้ง ทำไมวะกูมันเป็นตัวน่ารังเกียจขนาดนั้นเลยเหรอวะ” พออิฐพูดมาถึงตรงนี้น้ำตาลูกผู้ชายก็เอ่ยคลอออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจที่กักเก็บไว้อยู่คนเดียวตลอด 5 ปีที่ผ่านมา อิฐซบหน้าไปกับไหล่ของสายน้ำ สายน้ำก็ได้แต่ลูบหลังปลอบเพื่อน ทุกคนต่างพากันเงียบเพราะไม่คิดว่าไอ้อดีตเดือนมหาลัยจะมีมุมนี้กับเค้าด้วย เคยเห็นแต่มีคนตามจีบและมีคนเข้ามาเสนอตัวให้มัน คงจะเป็นเพราะอย่างนี้สินะที่ทำให้มันไม่เคยสนใจใครเลย เพราะอดีตที่เจ็บปวดที่คอยกัดกินใจมันมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
“อิฐหิวข้าวรึยังเดี๋ยวน้ำ กัสแล้วก็เบลจะไปซื้อมาให้ รวมถึงของทุกคนด้วย” พอผ่านไปสักพักสายน้ำก็ถามเพื่อนตัวใหญ่ที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา
“น้ำหิวรึยัง ซื้อมาเลยก็ได้” อิฐเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับสีหน้าที่กลับมาแทบจะเป็นปกติแล้ว
“เริ่มหิวแล้ว ป่านนี้น้องๆก็คงจะถูกปล่อยให้ไปกินข้าวด้วยแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวน้ำซื้อมาให้นะรอแป๊บ” พูดจบสายน้ำ ออกัสและเบล ก็ลุกขึ้นไปพร้อมกัน ช่วงนี้พวกเค้ามีหน้าที่ต้องซื้อข้าวมาให้กับพี่ว๊ากได้กินกันก่อนเพื่อป้องกันไม่ให้น้องได้เห็นหน้าหรือบุคลิกท่าทางของพี่ว๊ากก่อนที่จะลง จะมีก็แต่กลุ่มของไนท์และข้าวปั้นเท่านั้นที่เคยเห็น
“เบล กัส ทำยังไงดีน้ำสงสารอิฐ” พอออกมาจากห้องสายน้ำก็น้ำตาเอ่อคลอออกมาทันทีด้วยความสงสารเพื่อนตัวใหญ่ของตัวเอง
“เอาน่าเดี๋ยวรอให้จบรับน้องก่อนนะเราค่อยมาหาวิธีช่วยกัน ช่วงนี้อิฐยังต้องอยู่ในตำแหน่งเฮดว๊ากอยู่ แต่ว่าเดี๋ยวเบลจะลองสืบๆดูจากนุ่นเพื่อนของข้าวปั้นให้นะ เพราะเบลแลกเบอร์แล้วก็แลกไลน์กับน้องไว้แล้ว” เบลพูดพร้อมกับลูบหลังเพื่อนตัวเล็กที่ยืนกอดออกัสร้องไห้อยู่ ส่วนออกัสก็ถึงกับน้ำตาซึมเหมือนกันเพราะไม่เคยเห็นอิฐในมุมนี้เลย
“อ้าว! พี่สายน้ำ พี่ออกัส พี่เบล สวัส…ดีค่ะ” นุ่นที่เห็นกลุ่มของสายน้ำเดินผ่านโต๊ะที่พวกเค้านั่งกินข้าวกันอยู่ก็ยกมือขึ้นไหว้สวัสดีรวมถึงเพื่อนของเธอทุกคนด้วย แต่ก็ต้องสะดุดลงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพี่สายน้ำที่แสนน่ารักของพวกเธอนั้นตาแดงจมูกแดงเหมือนเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาอย่างไงอย่างนั้น
“สวัสดีครับเป็นยังไงกันบ้างครับวันนี้” เป็นออกัสที่หยุดยืนคุยอยู่กับน้องๆโดยที่เบลเดินโอบไหล่สายน้ำไปสั่งข้าวก่อนแล้ว
“ก็สนุกดีค่ะ จะมีก็แต่สมุดที่พี่ๆให้ไปล่าลายเซ็นนี่แหละค่ะที่ยังไปไม่ถึงไหนเลย” นุ่นเป็นฝ่ายตอบออกไป
“ว่าแต่ว่าพี่สายน้ำเป็นอะไรรึเปล่าครับ ผมเห็นตาแดงๆ” เป็นไนท์ที่ถามออกไปด้วยความเป็นห่วงรุ่นพี่ตัวเล็ก
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เพื่อนมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ พี่ไปก่อนนะครับ…ไว้เจอกัน” ออกัสพูดออกมายิ้มๆก่อนที่จะไปก็หันไปพูดกับข้าวปั้นประโยคหลัง
“เหมือนวันนี้พวกพี่ๆเค้าดูแปลกๆมั้ย ตั้งแต่พี่สายน้ำแล้วอ่ะ” เป็นไออุ่นที่ถามขึ้นมา เพราะเค้าเห็นสายน้ำมองหน้าข้าวปั้นตาแทบจะไม่กะพริบเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงออกถึงสีหน้าท่าทางอะไร
“นั่นน่ะสิ เราก็เห็นพี่สายน้ำมองข้าวปั้นนะ ไหนจะยังพี่ออกัสมาพูดแบบนี้อีก มันคืออะไรอ่ะ” นุ่นพูดเสริมไออุ่นขึ้นมา
“ไม่มีอะไรหรอกพวกพี่เค้าคงเครียดๆเรื่องอะไรสักอย่างแหละ” ไนท์พูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้เพื่อนหน้าหวานของตัวเองต้องคิดมาก แต่เค้าก็เห็นว่าสายตาของรุ่นพี่ทั้งสามคนมองมาที่ข้าวปั้นแปลกๆ
ข้าวปั้นที่ไม่ได้สนใจอะไรก็ตักข้าวเข้าปากต่อไป เพราะตอนนี้ในหัวของเค้าคิดอยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้นเอง
“น้องๆคะ เดี๋ยวจะมีพี่ๆแจกหนังสือเพลงประจำคณะของเราให้กับน้องๆทุกคนนะคะ แล้วพี่จะให้เวลาประมาณ 20 นาทีให้น้องได้อ่านเนื้อร้องกันก่อน ก่อนที่พวกเราจะมาซ้อมร้องด้วยกัน” เบลพูดจบก็เดินออกมาพร้อมกับยื่นไมค์ไปให้กับรุ่นน้องแล้วเดินออกไป
“พี่น้ำสวัสดีครับ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวันแน่ะวาคิดถึง” วาริที่เห็นสายน้ำเดินมาตนที่หน่วยปฐมพยาบาลก็ยิ้มกว้างพร้อมกับกางแขนออกกว้างเพื่อให้สายน้ำเข้ามากอด
“พี่ก็คิดถึงน้องวาครับ แล้วนี่เป็นยังไงบ้างครับมีน้องเจ็บหรือเป็นอะไรกันเยอะมั้ย” สายน้ำถามวาริพร้อมกับยกมือขึ้นลูบผมวาริไปด้วย
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ อาจจะเป็นเพราะพี่ว๊ากยังไม่ได้ลง” ประโยคหลังวาริกระซิบกับสายน้ำเบาๆให้ได้ยินกันสองคนจนสายน้ำถึงกับหัวเราะออกมา ทุกคนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นต่างก็นั่งมองทั้งคู่คุยกันอย่างยิ้มๆให้กับความน่ารักของทั้งคู่ที่พอเห็นรอยยิ้มนั้นทีไรก็พลอยทำให้สิ่งที่อยู่รอบๆตัวดูสดใสขึ้นมาทันที
“น้องๆคะ ครบ 20 นาทีแล้วค่ะ เดี๋ยวมาลองมาซ้อมร้องกันนะคะ เพลงนี้เป็นเพลงประจำคณะของพวกเราซึ่งทุกคนจำเป็นที่จะต้องร้องและจำให้ได้นะคะ เพลงนี้จะอยู่กับเราไปตลอดที่เราเรียนอยู่ที่นี่ แต่ก่อนอื่นพี่มีคำถามง่ายๆมาถามค่ะ” เบลหยุดพูดและมองมองไปรอบๆ ซึ่งน้องๆต่างหันมามองที่เธอด้วยความสนใจ
“พี่คิดว่าน้องๆน่าจะรู้กันว่าแล้วว่าสัญลักษณ์ประจำคณะของพวกเราทุกคนนั้นคืออะไรใช่มั้ยคะ เพราะทุกคนเลือกที่จะมาเรียนที่คณะนี้กันก็น่าจะรู้และศึกษาข้อมูลกันมาก่อนแล้วถูกต้องมั้ยคะ” พอหลังจากที่เบลพูดจบก็เหมือนกับผึ้งแตกรังขึ้นมาทันที ทุกคนต่างพากันหันไปถามเพื่อนๆหรือคนที่นั่งอยู่ข้างๆตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
“มีใครจะเป็นตัวแทนตอบบ้างคะ” น้องๆบางคนที่รู้แต่ก็ไม่แน่ใจที่จะตอบออกไปเพราะกลัวว่าจะตอบผิด ไหนจะยังสายตากดดันจากพี่ๆที่ยืนอยู่รอบๆนั่นอีก ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเป็นตัวแทนเพื่อนๆตอบออกมา บรรยากาศตอนนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดผิดกับสองวันก่อนที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
“ไม่มีใครรู้สักคนเลยเหรอคะ ไม่มีใครเป็นตัวแทนตอบสักคนเลยเหรอคะ” เบลถามออกไปอีกครั้ง ทุกคนก็ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตา
“ไม่ได้ยินที่พี่เค้าถามกันเหรอครับ เสียงดังๆ ของพวกคุณเมื่อกี๊หายไปไหนกันหมดแล้วครับ” จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องไปทั่วทั้งใต้ตึกพูดออกมา ทำให้น้องๆที่นั่งอยู่ถึงกับสะดุ้ง ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมามองหาที่มาของเสียงแต่ก็ต้องก้มหน้าหลบทันทีที่เห็นรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาทั้ง 5 คนด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
กลุ่มของข้าวปั้นที่นั่งอยู่ด้วยกันถึงกับต้องหันมามองหน้ากัน เพราะรุ่นพี่ที่พวกเค้าได้คุยด้วยเมื่อวันก่อนต่างจากวันนี้โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอิฐที่ดูดุและน่ากลัวเป็นที่สุด
“ทุกคนลุกขึ้นยืนครับ” อิฐพูดสั่งเสียงดัง เผลอๆจะดังกว่าตอนที่เบลใช้ไมค์ซะด้วยซ้ำไป น้องๆทุกคนต่างรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยิน
“ในเมื่อพวกคุณไม่ได้เอาปากมากันก็ใช้ขาของพวกคุณแทนก็แล้วกัน ทุกคนลุกนั่ง 30 ครั้งปฏิบัติ” อิฐพูดสั่งเสียงดังสมกับที่เป็นเฮดว๊ากจนรุ่นน้องปี 2 ยังสะดุ้งตกใจเอง
“ลุกนั่ง 30 ครั้ง ปฏิบัติ” น้องๆต่างพากันตอบด้วยเสียงที่เบา
“50 ครั้งปฏิบัติ” อิฐตะโกนเสียงดังออกมาอีกครั้งจนทุกคนต่างพากันสะดุ้ง เพราะอิฐในวันนี้ดูไม่เหมือนอิฐที่ทุกคนรู้จัก ถึงทุกคนจะรู้ว่านี่มันคือการแสดงก็ตาม
“ลุกนั่ง 50 ครั้ง ปฏิบัติ” คราวนี้น้องๆ ต่างพากันตะโกนออกมาเสียงดังเพราะกลัวว่าจะโดนเพิ่มจำนวนขึ้นมาอีก
“38..39..40..41..” ข้าวปั้นถึงกับขาสั่นและเริ่มหายใจเหนื่อยหอบแต่ก็ยังฝืนลุกนั่งไปพร้อมๆกับเพื่อนคนอื่นๆเพราะเกรงว่าจะทำให้เพื่อนนั้นถูกลงโทษเพิ่มขึ้นมาอีก ตั้งแต่เด็กๆแล้วที่เค้าเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายเท่าไหร่นักพอมาถูกทำโทษแบบนี้จึงทำให้เหนื่อยง่าย
“…50” พอครบ 50 ครั้ง ทุกคนก็ต่างยืนโงนเงนกันไปมาด้วยความที่เข่าอ่อน
“ทีนี้มีใครพอจะนึกออกบ้างรึยังครับ ว่าตราสัญลักษณ์ของคณะเรานั้นคืออะไรครับ” ทอยพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าอิฐนั้นมองไปที่ข้าวปั้นไม่วางตา
“พวกคุณมีกันตั้ง 259 คน ไม่มีใครสักคนเลยเหรอครับที่รู้ พวกคุณไม่ได้ศึกษากันมาก่อนเลยเหรอครับก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักศึกษาคณะนี้” เต็มพูดขึ้นเสียงดังทิ้งมาดหนุ่มจอมกะล่อนเจ้าชู้ไปจนหมดสิ้น
“ผมให้พวกคุณตอบครับไม่ใช่เอาแต่หลบหน้าหลบตาอยู่อย่างนี้ จะหลบหน้าผมทำไมครับ” อิฐพูดพร้อมกับเดินย่างก้าวไปหารุ่นน้องทีละคน แต่ละคนนั้นต่างภาวนาให้อิฐเดินเลยไป ถึงแม้ว่ารุ่นพี่ของพวกเค้าคนนี้จะหล่อแค่ไหนก็ตาม แต่จะให้เงยขึ้นไปสบตาคมตอนนี้คงจะไม่ไหวเป็นแน่
“ผมถามว่าหลบหน้าผมทำไมครับ” อิฐพูดขึ้นเสียงไม่ดังมากนั้น เมื่อเค้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของคนที่เค้ารอมาตลอด 5 ปี
ข้าวปั้นได้แต่ก้มมองไปที่รองเท้าผ้าใบคู่สวยของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง เค้าจำได้ดีว่าคนตรงหน้าของเค้านั้นคือใครอย่าว่าแต่เสียงเลยแค่รองเท้าเค้าก็จำได้แล้ว สองมือเล็กกำจิกเข้าหากันแน่น เหงื่อค่อยๆไหลซึมออกมาตามไรผม เสียงหายใจหอบเหนื่อยค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นสั่นระรัวราวกับกลองชุด จนเค้ากลัวว่าคนตรงหน้าของเค้านั้นจะได้ยินมัน ตอนนี้เค้าแทบอยากจะกลั้นหายใจและหายไปจากตรงนี้ทันทีถ้าทำได้
อิฐขยับเท้าเข้ามาใกล้กับข้าวปั้นอีก 2 ก้าวจนเค้าได้กลิ่มหอมอ่อนๆจากคนตรงหน้า นี่ขนาดว่าเหงื่อออกแล้วยังหอมได้ขนาดนี้
ข้าวปั้นเองได้แต่ยืนนิ่งหลับตาด้วยความเกร็งโดยไม่กล้าที่จะขยับตัวไปไหน เพราะกลัวเพื่อนๆจะพลอยถูกทำโทษไปด้วยหากเค้าขยับแม้แต่นิดเดียว
“พี่ถามว่าหลบหน้าพี่ทำไมครับ หืมม” อิฐเดินเข้ามาอีกก้าวจนเกือบชิดและถามข้าวปั้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เค้ามองไปรอบๆตัวเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องทุกคนต่างก็ก้มหน้ากันหมดเค้าจึง…
จุ๊บ!!
อิฐเดินหันหลังกลับไปทันทีที่จูบลงไปที่กลุ่มผมนุ่มของข้าวปั้น เค้าส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้กับน้องๆปี 2 และเพื่อนรุ่นเดียวกันกับเค้า เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่าเด็กคนนี้เค้าจองแล้วห้ามใครคิดที่จะแตะต้องโดยเด็ดขาด เค้าตัดสินใจแล้วว่าเค้าจะเดินหน้าจีบรักแรกของเค้า เค้าจะไม่ยอมปล่อยให้เวลาผ่านเลยโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอีกแล้ว
ที่เค้าคิดแบบนี้ได้เพราะว่าสายน้ำโทรไปหาวายุและวายุก็ด่าเค้ากลับมาเป็นชุดว่าเค้านั้นโง่ที่ยอมปล่อยเวลาให้ผ่านเลยมาขนาดนี้ พอด่าเสร็จก็พูดให้กำลังใจพร้อมกับให้ข้อคิดเค้าหลายอย่างจนเค้าตัดสินใจได้ว่าจะต้องเดินหน้าต่อ
ทางด้านข้าวปั้นเองก็ถึงกับยืนตะลึงตาค้างพร้อมกับสติที่หลุดลอยไปแล้ว โลกของเค้าในตอนนี้กำลังหยุดหมุนไปชั่วขณะ น้ำเสียงที่อ่อนโยนและสัมผัสที่อบอุ่นนั้นคืออะไรกัน นี่เค้าไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย
Comments (0)