จินมองนาฬิกาเรือนตรงหัวมุมบนพบว่าตอนนี้ใกล้เข้าวันใหม่เสียแล้ว รู้สึกแปลกใจไม่น้อยทำไมถึงยังไม่พบร่างใหญ่ของหว่องกลับมา หากเป็นเช่นนั้นควรได้ยินหว่องบอกก่อนว่าจะไม่กลับหรือให้ใครสักคนมาบอกแทน ความหวาดระแวงเริ่มเข้ามาให้กวนใจเล่น จึงตัดสินใจลุกขึ้นเตรียมตัวออกไปข้างนอกทว่ากลับพบร่างหว่องด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ให้ตายเถอะ ทำไมคุณหว่องถึงได้ดูอารมณ์ดีขนาดนั้น

 

                    "จ๊ะเอ๋..ตกใจเหรอ"

 

                     "คุ--"

 

                    "สุขสันต์วันเกิดนะ"

 

                    คุณหว่องจำวันเกิดเขาได้?

 

                    ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นวันเกิดของหว่องหรือจิน ทุกคนต่างทำให้วันเหล่านั้นเป็นเพียงวันธรรมดาแถมบางปีทำราวกับเป็นวันตายด้วยซ้ำ เปลวไฟสีส้มเหลืองกำลังรอคอยให้ดับลงทว่าจินยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หว่องเริ่มใจเสียจึงหุบยิ้มพร้อมกล่าวขอโทษที่เป็นการรบกวนจินพร้อมทำท่าเลี้ยวหมุนกลับไป

 

                    "คุณหว่อง..อันนี้จริงเหรอครับ" จินพูดขึ้นมาถามด้วยความไม่แน่ใจ

 

                    "ก็จริงน่ะสิ เราอยากขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่ผ่าน ขอโทษที่ไม่เคยฉลองหรือทำเรื่องดี ๆ ให้"

 

                    คำพูดคำจาไม่คุ้นหูแต่ก็ไม่ทำให้ความตื้นตันใจหายไป นัยน์ตาของจินปิดลงก่อนอธิฐานขอพรดั่งสมหวังปรารถนาจากนั้นริมฝีปากปล่อยลมออกมาบางเบาจนเปลวไฟดับลง หว่องยกยิ้มเดินไปวางเค้กอันเรียบง่ายตรงโต๊ะทำงาน ตัดเค้กให้จินด้วยมีดพลาสติดและกล่องกระดาษที่เตรียมไว้ สีหน้าจินมีแต่ความสงสัยแต่ก็คงด้วยความดีใจที่ได้มีโอกาสได้ฉลองวันเกิดอย่างคนอื่นบ้าง 

 

                    "คุณหว่องกลับมาตั้งแต่เมื่อไรครับ"

 

                    "สักพักแล้วล่ะ วันนี้มาดึกหน่อยเพราะมัวแต่เลือกเค้กให้จิน อร่อยไหม"

 

                    โคตรอร่อยเลย ร้านไหนกันนะ 

 

                    "อร่อยใช่ไหม ดีใจนะที่ชอบ"

 

                    เขาเชื่อใจได้จริง ๆ ใช่ไหม 

 

 

 

                    "ทำไมทำหน้าเครียด" ไฉไลหันมามองหน้าลูกชายตัวเองก่อนส่งยิ้มออกไป หลังเหตุการณ์ที่เฮิงสร้างความเดือดร้อนไว้ ณ กาสิโนของหว่องและวาววา ข่าวลือว่าพวกตระกูลสาโรชเป็นพวกชอบตีสองหน้าก็ดูท่าว่าจะจริง ทว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เหตุผลที่ไฉไลต้องใส่ใจแต่มันคือการได้ทำลายคนพวกนั้นสิ้นไปบนโลกนี้ต่างหาก นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้ว

 

                    "พ่อคิดอะไร"

 

                    "ขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมเฮิง"

 

                    "อะไรอีกล่ะ" เฮิงทำหน้าเอือมใส่ไฉไลก่อนฟังอย่างจำใจ 

 

                     หากพูดออกไปไฉไลกลัวว่าลูกจะไม่ทำ ความหนักอึ้งยังอยู่ในใจจนพลาดหลายครั้งจะเอื้อนบอก ไฉไลรู้ดีว่าเฮิงไม่ได้อยากมาทำตรงนี้การกระทำแสนร้ายกาจของเฮิงคือแผนของไฉไลทั้งหมด ความเห็นแก่ตัวที่จะเอาชนะมันมากเกินไปจนบางทีไฉไลไม่กล้าขอโทษหรือพูดเรื่องธรรมดาได้อย่างสนิทใจกับเฮิงเท่าเมื่อก่อน

 

                   "ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพ่อจะไม่ฝืนใจ"

 

                   "..."

 

                 "ฆ่าอาคิรามาให้พ่อ แล้วพ่อจะไม่บังคับลูกอีกต่อไป"

 

 

​​​​​

 

                    ยามพลบค่ำทดแทนยามเย็นเป็นสิ่งที่วาววารับรู้ก่อนเดินขึ้นรถเพื่อนัดพบกับตระกูลสาโรชตามคำขอของไฉไล คราแรกเขาคิดปฏิเสธเพียงเสียงหนักแน่นดูท่ามีเรื่องอยากคุยจริง ๆ จึงตัดสินใจตอบรับเดินทางไปถานที่นัดพบทันที เหลือบเห็นหว่องกำลังนั่งหัวเราะกับจินอย่างสนุกสนานทำเอาวาววาแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะได้เห็น ตั้งใจอยากดูให้แน่ชัดแต่ก็พลาดเสียท่าเพราะรถได้เคลื่อนไปไกลจนมองไม่เห็นแล้ว วาววาขยับตัวกลับมานั่งที่เดิมด้วยลางสังหรณ์ไม่แน่นอนราวกับคิดผิดกับการตอบรับคำเชิญในครั้งนี้

 

                    ไม่กี่ชั่วครู่มาถึงสถานที่นัดหมาย บรรยากาศช่างน่าอภิรมย์สำหรับคนอื่นแต่สำหรับเขามันน่าพิศวงนัก ยิ่งก่อนหน้านี้ลูกชายของไฉไลมาสร้างความเดือดร้อนจนหว่องกลัวแทบจับใจก็ยิ่งต้องตั้งสติให้มั่นก่อนบอกลูกน้องว่าเขาจะเข้าไปคนเดียว มีหลายคนอยากค้านสุดท้ายจึงจำใจปล่อยให้วาววาเดินออกไปไร้คนคุ้มครอง

 

                    "ขอไม่พูดอ้อมค้อมนะ"

 

                    "ไม่คิดว่าเพื่อนรักของเองคิดอยากทำลายเองบ้างรึ"

 

                    วาววายกมือโบกตั้งท่าจะลุกทว่าเสียงปืนดังขึ้นรายล้อมไปทั่วหากคิดจะเดินออกแค่ก้าวเดียว เขาคงได้ตายแนบตีนไฉไลอยู่แน่

 

                    "ฉันอุตส่าห์ใจดีด้วย ไม่เห็นตอบน้ำใจกันบ้างเลย"

 

                    "ถ้าเรื่องแค่นี้ไปทำคนเดียวเถอะครับ"

 

                    เสียเวลา

 

 

 

 

                     "เรื่องทีปกรเธอคิดว่าไง" ลูคัสยกคิ้วขมวดราวกับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจก่อนวางแก้วชาลงหันไปมองหน้าวาววาที่รอลุ้นแทบจนตัวสั่น

 

                    "ไม่ดีกว่า"

 

                    "ทำไมล่ะ" วาววาเลิกทำทุกอย่างพร้อมเปลี่ยนท่านั่งไม่อยากเชื่อกับคำพูด ทุกทีเวลาเขาจะปรึกษาหารือสิ่งใด แน่นอนว่าหว่องต้องเห็นด้วยกับเขา ดูท่าว่าเรื่องนี้คงยอมให้ไม่ได้จริง ๆ ถึงปฏิเสธแทบทันควัน ลูคัสยกยิ้มเบา ๆ ก่อนพยักหน้าให้วาววามองด้านหลังก่อนพบทีปกรเดินเข้ามาทักทายอย่างกวนใจตามภาพลักษณ์ วาววาหุบปากแทบไม่ทันไม่คิดว่าจะได้พบกับทีปกรตัวจริง

 

                   "สวัสดีครับคุณวาววา ผมทีปกรหรือแทน เป็นเพื่อนของหว่องครับผม"

 

                   เดี๋ยวนะ ไอหว่องมันไปเป็นเพื่อนตอนไหน?

 

 

 

TBC