8 ตอน Special : Valentine’ s Day Special 2
โดย ‘Umbrella’
Valentine’s Day Special
ตอนแถมอีกนิดหน่อยค่ะ มาแบบสั้นๆ ใสๆ และเศร้าๆ
วันที่ 15 เดือนสีขาว
เจ้าของเรือนผมสีเงินพิสุทธิ์พลิกตัวไปมาบนเตียงในยามสาย บนใบหน้านวลมนมีคราบน้ำใสแห้งเกราะกรังติดอยู่ หากในยามปกตินั้นเขาเป็นคนที่ชอบตื่นเช้า แต่เพราะเรื่องเมื่อวานที่ทำให้เขาร้องไห้หนักมากจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายและอยากพักนานๆ เวลาตื่นจึงผิดไปจากปกติ ประกอบกับเมื่อวานทั้งคนที่นัดไปเที่ยวและคนที่เคยเดินเดตด้วยกันในงานหายหัวไปพร้อมๆ กัน ขากลับเขาเลยต้องกลับปราสาทมีเทียร์เวลคนเดียวแม้ว่าเจ้าชายไซงะจะเป็นห่วงจนอยากมาส่งก็ตาม พอมาถึงก็ปล่อยโฮกับหมอนรูปดาวสีเหลืองที่มารดาเคยให้ไว้กอดนอนเมื่อครั้งยังเยาว์
ก๊อกๆ
“ชแตร์ ตื่นหรือยังลูก?”
เสียงเคาะประตูนั้นมาพร้อมกับสุภาพของหญิงสาวมีอายุคนหนึ่ง เจ้าของชื่อได้ยินก็เผลอสะดุ้ง รีบยกมือเช็ดคราบน้ำตาทำความสะอาดใบหน้าอย่างลวกแล้วทำทีเป็นงัวเงียตื่นนอนใหม่ๆ เพื่อซ่อนตาที่บวมและแดง มือเรียวยกมือขยี้ตาเล็กน้อยขณะลุกไปเปิดประตู
“ท่านแม่...” เสียงติดจะงัวเงียแต่เหมือนจะออดอ้อนอยู่กลายๆ คนเป็นแม่ก็อมยิ้มอย่างเอ็นดู
“อะไรกัน เพิ่งตื่นนอนหรือ?” มือบอบบางยกขึ้นลูบหัวลูกชายที่ตัวสูงกว่า “มีเพื่อนมาหาแน่ะ ไปล้างหน้าเปลี่ยนชุดได้แล้ว”
“เพื่อน? ใคร?” หนุ่มร่างเล็กเบิกตากว้างอย่างตกใจ แทบจะไม่เคยมีใครมาถึงปราสาทมีเทียร์เวลได้ถ้าหากเขาไม่เป็นคนพามา แล้วเพื่อนที่ว่านี่คือใครกัน?
“ตายจริง! แม่ลืมถามชื่อจ้ะ เป็นผู้ชายตัวสูงๆ หล่อล่ำกำยำ ผมสั้นสีทองสว่างๆ” ราชินีแห่งมีเทียร์เวลเอ่ยบอกลักษณะมาคร่าวๆ ผู้เป็นลูกชายเผลอใจเต้นไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังแล้วจินตนาการตาม
ใคร? อพอลโลหรือ?...
“เขามาได้อย่างไร?”
“เขาไม่ได้บอกจ้ะ นี่...รีบไปแต่งตัวได้แล้ว!” ผู้เป็นแม่ก็ดันลูกชายกลับเข้าไปในห้องแล้วเรียกสาวใช้ให้เข้ามาช่วยจัดแจงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
“ละ...แล้ว...” เมื่อคิดจะถามถ่วงเวลาเพราะไม่อยากเจอคนคนนั้น ทว่าคิดอะไรก็ออกทางสีหน้า แม้ไม่มากแต่คนเป็นแม่ก็จับทางได้หมด
“เอ้า แล้วหน้าแดงทำไมน่ะ? แฟนหรือ? ทะเลาะกันเมื่อวานล่ะสิ!” เอ่ยแซวลูกชายไปหนึ่งม้วนจบ คนที่พยายามหน้านิ่งก็หน้าแดงขึ้นอีก
“ไม่...ไม่ใช่ครับ” รู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะตอบ แต่ถ้าหากยอมรับคงถูกคนที่พูดถึงด่าเอาจนหูชาแน่ๆ รีบจรลีเข้าห้องน้ำจัดการตนเองอย่างรวดเร็ว
“มีแฟนแล้วก็ไม่บอกแม่นะ อยู่ๆ แม่ก็ได้ลูกเขย นี่ แม่-งง-มาก!” คุณแม่ยังสาวช่วยลูกชายที่ออกจากห้องน้ำมาเช็ดผมและจัดทรงให้เรียบร้อย
“ไม่...ไม่ใช่...”
“อยากอุ้มหลานจังเลยน้า...พี่สาวของลูกก็ยังไม่มีแฟนซะที...” มือเรียวบางก็คอยหวีผมและใส่เครื่องประดับให้ลูก ปากก็บ่นเสียดายแต่ก็ไม่ได้ติว่าอะไรลูกชายนัก
“ก็บอกว่า...” จะปฏิเสธก็พูดไม่ชัดเจนเสียทีเมื่อมารดานั้นเอาแต่ขัดเพื่อแกล้งเขา
“ที่เห็นไปเที่ยวนอกปราสาทบ่อยๆ ทีแท้ก็มีแฟนแล้วนี่เอง แล้วนี่ไปงอนอะไรเขามาถึงได้มาง้อถึงที่แบบนี้” น้ำเสียงนั้นไม่ได้จะถาม แต่ต้องการแกล้งให้ลูกชายคนนี้เขินอายเล่นๆ ราชินีแห่งมีเทียร์เวลก้มลงสวมต่างหูสีแดงให้ลูกชายที่นั่งอยู่อย่างเบามือ
“เขาไม่ได้อยากเป็นแฟนผมสักหน่อย...” เสียงพูดอู้อี้ติดจะน้อยใจจนคนเป็นแม่ต้องหันมามองหน้าลูกชาย
มือเรียวบางสั่งให้สาวใช้ทั้งหลายออกจากห้องไปก่อนแล้วจึงนั่งลงข้างๆ ชแตร์ มือบอบบางกุมมือเรียวขาวแล้วลูบหลังมือเบาๆ ริมฝีปากบรรจงจูบแก้มลูกชายด้วยความรักแล้วลูบแก้มเนียนใสนั้นช้าๆ
“แอบรักเขาข้างเดียวหรือลูก?” เมื่อเห็นลูกชายเม้มปากไม่เอ่ยคำจึงได้พูดต่อ “แต่คนคนนั้นเขาดูรักลูกมากเลยนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงนี่หรอก”
ชแตร์สบตามารดานิ่ง จากนั้นจึงหลุบลงมองต่ำเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ราชินียิ้มแล้วจึงลูบศีรษะลูกชายแผ่วเบา วงแขนเล็กนั้นโอบกอดลูกชายแล้วตบหลังเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ
“เอ้า เขาอุตส่าห์มาง้อแล้วก็ให้โอกาสเขาหน่อยนะ” ว่าแล้วก็ลุกแล้วจูงมือผู้เป็นลูกเดินออกจากห้องไป
ที่ห้องโถงรับรอง
ร่างสูงใหญ่กำลังนั่งรออย่างกระวนกระวาย แถมยังแอบท่องบทขอโทษขอโพยที่เขียนร่างไว้เพื่อเอามาใช้กับคนที่เขารอคอยราวกับสวดคาถาอะไรบางอย่าง เหล่าทหารยามที่ยืนรักษาการณ์อยู่นอกห้องก็เริ่มใจไม่ดีว่าจะถูกมนต์ดำเล่นงานเอาหรือไม่...
“ขอโทษที่ทำให้รอจ้ะ พาชแตร์มาแล้ว” น้ำเสียงร่าเริงสดใสของราชินีทำให้บรรยากาศเริ่มคลายความเครียดลง
ทันทีที่ชแตร์ก้าวเข้าไปในห้องโถงเขาก็ได้พบกับชายร่างสูงใหญ่ เรือนผมสีบลอนด์ทอง ชุดกึ่งทางการสีขาวที่มีรอยเลอะที่แขนเสื้อเล็กน้อย สร้อยรูปดวงดาวมองเห็นชัดเจนที่คอหนา ใบหน้าที่มักจะยิ้มสดใสให้เสมอก็เต็มไปด้วยความกังวล ที่บ่ากว้างปรากฏร่างสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วกำลังทำท่าไชโยที่เห็นเขาเดินเข้ามาในห้อง
“เอ๋? เฮราเคลส?” อา...บางทีเขาก็ลืมไปว่าลักษณะภายนอกสองคนนี้ก็คล้ายๆ กันกระทั่งโทนสีตาและสีผม เผลอคิดไปว่าเป็นอีกคนที่จะมาหาเขา เขาเผลอแสดงสีหน้าผิดหวังออกไป
“ชแตร์...” ร่างสูงที่มักจะค้อมตัวเล็กน้อยเพื่อก้มลงมาคุยกับเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทำความเคารพราชินีก่อนจะเดินเข้ามาหาเจ้าชายเจ้าของปราสาทอย่างรีบร้อน
“นายมาได้อย่างไร?” ดวงตาสีฟ้าล้ำลึกกะพริบปริบๆ เมื่อพยายามรวบรวมสติได้แล้วก็นึกคำถามนี้ออกก่อนใครเพื่อน
“เอ่อ...เรื่องนั้น...” คนตัวสูงเสตาล่อกแล่กราวกับไม่อยากบอก คนฟังจึงเปลี่ยนคำถามไป
“แล้วนายมาที่นี่ทำไม?” ดูเหมือนจะถามได้ตรงจุดประสงค์ อีกคนก็ลนลานรีบซ่อนโพยไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วอ้าปากตอบคำถามทันที
“เอ่อ...ฉะ...ฉันมาเพื่อจะขอโทษนายน่ะ...” น้ำเสียงดูหงอยๆ ราวกับสำนึกผิด “เมื่อวานฉันนัดนายไปเที่ยวแท้ๆ แต่ดันไม่ไปตามนัดซะงั้น ฉันขอโทษนะ...” มือใหญ่ยกขึ้นประสานกันราวกับจะพนมมือขอขมา เจ้าเม่นตัวน้อยก็ทำท่าตามเจ้านายของมัน
“อืม...” ชแตร์รับคำขอโทษนั้นด้วยสีหน้าอมยิ้มนิดๆ
เขาเอ็นดูคนตรงหน้าเหลือเกิน พอเห็นมาขอโทษตรงๆ ก็โกรธไม่ลง แม้ว่าจะผิดนัดจนทำให้เขาได้เจอกับคนที่แอบชอบ และได้พบกับภาพบาดตาบาดใจจนต้องร้องไห้เสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นคนคนนี้มาขอโทษ ความโกรธและเสียใจเมื่อวานถึงได้หายไปจากตอนนี้เสียปลิดทิ้ง และเขาก็เอ่ยคำคำหนึ่งที่ทำให้คนตรงหน้าต้องยิ้มกว้าง
“นี่ ไปคุยกันในสวนไหม?”
เฮราเคลสบอกว่าจะขอเดตแก้ตัวที่เมื่อวานชวนไปเที่ยวแล้วไม่ได้เที่ยวด้วยกัน ชแตร์เพียงแค่ยิ้มและเอ่ยตกลง เขาเอาก็อยากจะพาเพื่อนมาเที่ยวอาณาจักรนานแล้ว แต่ไอ้คนที่อยากชวนนั้นดันไม่ว่างเสียที เอาแต่กรำศึกปราบกบฏ นานๆทีจะไปออกงานสังคมและมีบ้างที่บังเอิญไปงานเดียวกัน แต่เจอกันเมื่อไหร่ก็เอาแต่ด่ากันไปด่ากันมา ไม่สิ มีแค่เขาที่ถูกด่าฝ่ายเดียว ไม่ได้ยอมให้โดนด่าฝ่ายเดียวหรอก บางครั้งเขาทนไม่ไหวก็สวนกลับไปบ้างเบาๆ
พอถึงเวลาบ่าย หลังทานข้าวเที่ยงด้วยกันในสวน ชแตร์ก็พาเฮราเคลสไปเที่ยวในเมืองบ้าง ประชาชนที่จำชแตร์ได้ก็เอ่ยทักทาย คนตัวโตที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เป็นที่นิยมชมชอบของเด็กๆ มากและดูท่าจะเข้ากับเด็กๆ ได้ดีเสียด้วย
ได้เที่ยวด้วยกันทั้งวันกับเฮราเคลสที่ร่าเริงสดใสทำให้เขารู้สึกดีตาม เขาชอบรอยยิ้มของทุกคน อยากให้ทุกคนมีความสุขและมีรอยยิ้ม วิธีการที่เขาทำได้นั้นมีเพียงทำให้ความปรารถนาของทุกคนเป็นจริง ทว่าเฮราเคลสนั้นได้แสดงออกด้วยวีธีการอย่างอื่นที่ทำให้คนอื่นยิ้มและหัวเราะได้
เขาอยากทำได้อย่างเฮราเคลสบ้าง แต่เขาเป็นคนพูดน้อยและยิ้มยากกับคนแปลกหน้า ไม่ได้ดูสดใสร่าเริงดุจพระอาทิตย์อย่างเจ้าชายจอมพลัง
พระอาทิตย์...
ห้วงดวงตาสีฟ้าล้ำลึกนั้นเสไปมอง ‘พระอาทิตย์’ ที่เดินอยู่ข้างกายเขา แม้ในใจของเขาจะนึกไปถึง ‘พระอาทิตย์’ อีกดวงที่ตอนนี้คงมีราชกิจมากมายในราชอาณาจักรและคงไม่ได้มาเจอเขาง่ายๆ แม้จะรู้สึกผิดที่เมื่อข้างกายเป็นคนหนึ่งแต่ใจกลับไปคิดถึงอีกคน แต่เขาก็แยกแยะและไม่ได้อยากให้ใครมาแทนที่ใคร
เฮราเคลสก็คือเฮราเคลส อพอลโลก็คืออพอลโล
พอตกค่ำ พวกเขาก็เดินมาดูดวงด้วยกันที่ทุ่งหญ้ากว้างด้านนอกปราสาท วันนี้ทั้งวันเขากับเฮราเคลสเดินเที่ยวด้วยกันเสียทั่วเมือง ลืมเรื่องที่เคยโศกเศร้าไปเสียหมด ทว่าเรื่องที่คิดเมื่อตอนบ่ายก็ทำให้เขาเผลอตัว
“เฮ้อ...”
ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางนั่งอยู่บนผืนหญ้าสีเขียวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ทอดถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายาวมองดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน สายลมที่พัดอย่างเอื่อยๆ นั้นไม่ทำให้ใจคนผมสีเงินสงบลงสักนิด คนที่นั่งชมดาวอยู่ข้างๆ ก็หันมามองอย่างฉงน
“ตั้งแต่นั่งอยู่ตรงนี้นายถอนหายใจมาสิบห้าครั้งแล้วนะ มีอะไรรึเปล่า?”
ดวงตาสีฟ้าลึกลับราวกับท้องนภาหันมาสบกับดวงตาสีทองสดใสที่เป็นประกายแม้ในยามวิกาล คนตัวบางเผยยิ้มอ่อนแล้วหัวเราะเบาๆ
“ฮะๆ บ่อยขนาดนั้นเลยหรือ?” น้ำเสียงฟังดูเหนื่อยแม้จะหัวเราะออกมา
“เที่ยวกับฉันไม่สนุกเหรอ?”
“เปล่า สนุกดีออก” คนผมเงินเฉไฉบ่ายเบี่ยง
“มีอะไรก็บอกฉันสิ ฉันอยากช่วยนะ” ดูเหมือนคนฟังจะไม่รู้สึกขำด้วยสักเท่าไหร่
“ไม่มีอะไรหรอก ผมสบายดี” ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจ
“พักนี้เห็นชแตร์เอาแต่นั่งซึม ตั้งแต่กลับมาจากคุโยแล้ว สปิก้าเลยบอกให้ฉันมาคุยหน่อย โพรซิออนเองก็บอกว่าไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วย”
“เรื่องนั้น...”
“แต่ว่าฉันก็ไม่ได้พูดเลยใช่มั้ยล่ะ? เพราะนายเอาแต่ทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...”
“เฮราเคลส...” เขาเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่ามีคนที่เป็นกังวลเรื่องของเขา ทั้งที่เขาพยายามปิดบังความรู้สึกที่ไม่ดีโดยการพยายามยิ้มและหัวเราะเหมือนปกติ
“ทุกคนเขาเป็นห่วงนายนะ” สีหน้าจริงจังนั้นทำให้ชแตร์หาทางเลี่ยงไม่เจอ คนที่ตัวโตกว่ามากขยับเข้ามานั่งชิดขึ้นแล้วเอามือใหญ่บีบไหล่คนตัวเล็กเบาๆ
“ผมก็แค่กำลังสับสน” พอรู้ว่าปิดไปก็ยิ่งทำให้คนรอบข้างไม่สบายใจจึงได้เริ่มเอ่ยปากพูด “เหมือนผมกำลังหลงรักเพื่อนคนหนึ่งอยู่”
สีหน้าของคนผิวขาวจัดนั้นแดงระเรื่อ เฮราเคลสเบิกตากว้างเมื่อเห็นสีหน้าอีกแบบที่คนข้างๆ ไม่เคยแสดงออกมาให้ใครเห็น ชแตร์ก้มหน้าลงต่ำพลางเอานิ้วลูบเล่นใบหน้าแก้อาการเก้อเขินขณะเล่า เพราะรู้สึกสนิทกับเฮราเคลสมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้เขากล้าที่จะเล่าเรื่องส่วนตัวแบบเปิดเผยให้เพื่อนตัวโตคนนี้
“ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความรักจริงหรือเปล่า คือผม...”
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองแย้มยิ้มนิดๆแล้วนั่งจ้องหน้าคนเล่าอย่างตั้งใจฟัง สีหน้าแบบนี้ของชแตร์มันช่างน่ามอง แม้ชแตร์จะเป็นคนที่แสดงความรู้สึกออกมาน้อยและออกจะเย็นชานิดหน่อย แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเวลาที่ได้คุยกับอีกฝ่าย
“ผมคิดมาหลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจ พอลองไปถามท่านพ่อดูแล้วเขาก็บอกมาว่ามันคือความรัก...”
พอนึกถึงคนคนนั้นของเขามันทำให้ใจเต้นแรงขึ้น เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงที่ใบหน้าจนแดงไปหมด มือเรียวขาวยกมือขึ้นแตะที่หน้าอกตนเองเบาๆ ดวงตาสีฟ้าสวยนั้นหลับลงแล้วอมยิ้มน้อยๆ
“ขนาดแค่คิดถึงยังรู้สึกใจเต้นขนาดนี้เลย ความรักนี่มันแปลกจริงๆ”
เฮราเคลสส่งยิ้มให้คนข้างๆ แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นในตอนนี้ อยากพูดเหลือเกินว่าเขาก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันในยามคิดถึงในบางเวลาที่อยู่คนเดียว
“นายเคยรู้สึกแบบนี้บ้างหรือเปล่า?” ดวงหน้าที่ล้อมกรอบด้วยผมสีเงินหันมามองคนตัวโตที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อืม...เคยสิ” รอยยิ้มร่าเริงเผยให้เห็น ดวงตาหยีลงอย่างน่ารักทำเอาคนข้างๆยิ้มตามไปด้วย “ฉันก็เคยแอบชอบเพื่อนสนิทเหมือนกัน”
“หา? จริงหรือ? ใครกันล่ะ?” ชแตร์รัวคำถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
“บอกไม่ได้หรอก” พอเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายก็เริ่มอายๆ ขึ้นมา ยกมือขึ้นห้ามอย่างกระอักกระอ่วนใจที่จะบอก
“งั้นหรือ? คนในแดนดวงดาวหรือเปล่านะ?” คนร่างบางยกยิ้มแซวคนข้างๆ
“นี่ ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“อ้าว ก็เห็นนายกับแคสเตอร์ดูจะคุยกันบ่อย เขาก็ดูจะปลื้มนายอยู่นะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น!” พอได้ยินว่ามีคนที่ปลื้มตนเองอยู่ก็รู้สึกเขินหน่อยๆ ถึงปกติจะมีคนมาชมบ้างแต่ก็มีแค่เด็กๆเท่านั้น
“มี้ๆ” เนแมร์ยกขาหน้าแสดงความเห็นด้วย
“ดูนายก็อยากจะทำให้เขาร่าเริงนะ นายไม่ได้ชอบเขาหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”
“มี้!” เจ้าเม่นจิ๋วพยักหน้าหงึกๆ
“แล้วตกลงว่าเป็นใครกันแน่ล่ะ?”
“หยา ยังไงก็ไม่บอกหรอกนะ!” พอถูกแซวก็เริ่มอยู่นิ่งไม่ได้ เอากำปั้นชกไหล่คนแซวแบบเบาสุดๆ แก้มของคนร่างใหญ่แดงระเรื่อขึ้นนิดๆ ชแตร์เห็นแล้วก็รู้สึกชอบใจและไม่ถามต่อ “ว่าแต่นายเถอะ หลงรักใครกันล่ะ? เพื่อนๆ ของนายส่วนมากก็อยู่แดนดวงดาวไม่ใช่เหรอ?”
คนถูกถามเมื่อได้ยินคำถามก็เงียบไป เสตามองไปทางอื่นแทน แก้มที่เริ่มจางสีลงก็ขึ้นสีขมพูระเรื่ออีกครา หลุบตาลงแล้วถอนหายใจเบาๆ
“เขาไม่ใช่คนที่นี่...” เสียงหวานเอ่ยบอกเบาๆ รู้สึกเจ็บในอกลึกๆ แปลกๆ เพราะอยู่ห่างไกลล่ะมั้งถึงได้คิดถึง
“งั้นเหรอ...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มที่เจือความเศร้า “ถ้าอย่างนั้น...คงเป็นลูกพี่สินะ...”
ชแตร์เบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำของอีกฝ่ายที่เอ่ยออกมา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าฉายา ‘ลูกพี่’ ที่เฮราเคลสเรียกนั้นหมายถึงใคร แม้ไม่อยากยอมรับนักแต่ก็พูดได้เต็มปากว่าเฮราเคลสเดาถูก
ใช่...ก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าชอบจริงๆ ก็ตอนที่เห็นเขาจูบกับคนอื่นนั่นแหละ...
เจ็บปวดในอกเหลือเกิน...
“ชแตร์?”
เสียงทุ้มใสนั้นเอ่ยเรียกอย่างเป็นห่วง มือใหญ่นั้นยกขึ้นปาดน้ำใสที่ข้างแก้มเนียนของคนร่างเล็กอย่างแผ่วเบา คนที่ร้องไห้โดยไม่รู้ตัวก็เผลอสะดุ้ง
“มี้...” เจ้าเม่นตัวน้อยก็คลานดุ๊กๆ เข้ามานั่งตักของคนตัวเล็กราวกับจะมาช่วยปลอบ
“ชอบอพอลโลจริงๆ ด้วย...”
“คือผม...” ชแตร์ก้มลงแล้วเอานิ้วเรียวขาวลูบขนฟูๆ ของเนแมร์เบาๆ
“คืองี้นะ...ฉันน่ะ...” ดวงตาสีทองมองสบกับดวงตาสีฟ้านิ่งก่อนจะเอ่ยสารภาพ “ฉันนัดนายไปเที่ยวก็จริง แต่จริงๆฉันตั้งใจจะให้นายไปเดตกับลูกพี่ต่างหาก”
“หา?” ชแตร์เบิกตากว้างอย่างตกใจ
“ฉันรู้ว่านายชอบลูกพี่มานานแล้ว”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ตั้งแต่งานเฉลิมฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวที่โรโตเรีย...”
“แล้วนายรู้ได้อย่างไร?”
“ก็ชแตร์เป็นห่วงลูกพี่ขนาดนั้น ไม่ยอมกลับปราสาทเพื่อจะเฝ้าเขาเนี่ยนะ แถมยังดูอารมณ์เสียเวลาเขาฉายเดี่ยวไปสู้กับปีศาจกินฝันคนเดียวอีก นายน่ะ ถึงจะรู้ตัวว่าไม่ได้แข็งแกร่งเท่าลูกพี่แต่ก็อยากคอยช่วยเขาอยู่ข้างๆ ใช่มั้ยล่ะ?”
ชแตร์เม้มปากแน่น ทุกสิ่งที่เฮราเคลสพูดมานั้นถูกต้องทุกประการ ไม่คิดเลยว่าแค่เหตุการณ์เดียวจะทำให้เขาเผยไต๋ออกมาจนหมดจนทำให้เฮราเคลสจับได้ ทั้งที่ตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย ดีแค่ไหนที่เขาไม่ได้เอาไปบอกอพอลโล ไม่อย่างนั้นคงมองหน้ากันไม่ติดหนักกว่าเดิมอีก
เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าแววตาสีทองของคนข้างๆ นั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เนแมร์พยายามเอาตัวจิ๋วๆ ของมันโอบกอดใบหน้าของเจ้านาย
“จริงสิ ผมอยากถามอะไรนายหน่อย...” เสียงทุ้มหวานเอ่ยแช่มช้า
“อื้ม ถามมาได้เลย” แม้จะเจ็บปวดอย่างไร แต่เขาก็อยากให้คนตรงหน้ายิ้มแย้มให้เขา จึงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป “อยากรู้เรื่องอะไรเหรอ?”
“เรื่องพี่ชายของอพอลโล...”
เขาเป็นห่วงอพอลโลมากในงานเทศกาลที่คุโย เขารู้ว่าเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งคนนั้นมาร่วมงานด้วยและยังเห็นพี่ชายของอพอลโลอีก รวมทั้งท่าทีแปลกๆ ของพี่ชายที่พึมพำอะไรบางอย่างแล้วใช้เข็มทิ่มไปที่ตุ๊กตาตัวหนึ่ง ทว่าอยู่ๆ มันก็สลายไป สีหน้าของไดอาดูจะไม่สบอารมณ์ที่สิ่งที่ทำดูจะไม่สำเร็จอย่างที่หวัง
พอรู้มาบ้างว่าอพอลโลมีปัญหากับคนที่บ้าน แต่ไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดที่พี่ชายแท้ๆ จะเอาชีวิต พอเห็นอย่างนี้จึงรีบออกตามหาหมายจะเอ่ยเตือนให้อีกฝ่ายระวังตัว แต่ดันไปเห็นตอนที่...
เขาจูบกัน...
แถมตอนเจอกันหน้าเรียวกังที่เขาอุตส่าห์เนียนยืนรอเพื่อทำเป็นบังเอิญว่าพบกัน บนไหล่ของอพอลโลยังมีผ้าคลุมไหล่ลายหิมะของฟรอสต์คลุมไว้อยู่ด้วย ไม่อยากจินตนาการว่าทั้งคู่ไปถึงขั้นไหนกันแล้วถึงได้มอบเสื้อผ้าให้กันแบบนี้ รวมทั้งยังเผลอไปเห็นตอนที่ทั้งคู่จูบกันท่ามกลางดอกไม้ไฟที่ระเบียงเรียวกังอีก
ตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนดวงใจจะแตกสลาย
อย่างน้อยถ้าได้เป็นแค่เพื่อน...
เป็นแค่เพื่อนก็อาจจะ...
เช่นนั้นเขาจึงตอกย้ำคำนั้นไป เขาไม่มั่นใจว่านั่นเป็นความรักจริงๆ ทว่าก็ไม่อยากให้ความสัมพันธ์มันก้าวหน้าหรือถอยห่างจากที่เป็นอยู่ เพราะรู้ว่าอพอลโลชอบฟรอสต์ การที่เห็นคนคนนี้มักจะชอบเผลอไปทักคนผมสีเงินก็คงเพราะเขารอคอยและตามหาฟรอสต์มาโดยตลอด ความรักที่หนักแน่นและจริงจังเช่นนั้นเขาไม่อาจเปลี่ยนใจให้หันกลับมาชอบเขาได้
เขาอยากช่วยอพอลโล ยิ่งเมื่อได้รู้จากเฮราเคลสว่าพี่ชายของอพอลโลแท้จริงนั้นเป็นคนอย่างไรก็ยิ่งเป็นห่วง ถ้าในฐานะเพื่อนมันทำให้เขากล้าที่จะปกป้องและอยู่เคียงข้างอีกฝ่ายมากขึ้น สามารถอยู่ได้ใกล้ชิดขึ้น เขาก็อยากจะเป็นแค่ ‘เพื่อน’
การเดตเมื่อวานนี้กับอพอลโลทำให้เขาเผลอใจคิดเข้าข้างตนเองว่าอีกฝ่ายคงจะเริ่มชอบเขาขึ้นมา แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นเมื่ออยู่ๆ ก็มีชื่อของฟรอสต์เข้ามาแทรก
และราวกับอีกคนกำลังเล่นตลกและจะมาเยาะเย้ยกัน เขาที่เลือกสถานที่เดตในสวนอุทยานก่อนแท้ๆก็ยังมาเจอกับคู่เดตของอพอลโล เห็นพวกเขาสารภาพรักและจุมพิตกันและกัน เริ่มสานความสัมพันธ์ที่มากกว่าคนรู้จักกันธรรมดาโดยอาจข้ามขึ้นไปเป็น ‘คนพิเศษ’
แม้คราที่คุโยจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ แต่ครานี้ไม่ไหวจริงๆ ทั้งภาพทั้งเสียงที่ได้สัมผัสมาทั้งหมดมันย้อนกลับไปกลับมาราวกับจะตอกย้ำว่าเขาไม่ใช่ ‘คนพิเศษ’ ของอพอลโล
อยากเป็นคนพิเศษของอพอลโลบ้าง...
เป็นแค่ความคิดเอาแต่ใจของตัวเขาเอง ความปรารถนาแรงกล้าแรกสุดที่เขาเพิ่งเคยมี เขาไม่คิดจะใช้ดาวตกบันดาลให้เป็นจริง เขาอยากทำมันด้วยตนเอง เขาเองก็นึกขำว่าทำไมตนเองถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ ปรึกษามารดาดูก็ได้คำตอบว่าเพราะความรักจึงทำให้เป็นแบบนี้ เริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อไหร่ไม่อาจรู้ รู้เพียงแต่ว่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นจนวันหนึ่งเราสัมผัสมันได้เอง
‘ถ้าหากมีความรักแล้วมันเจ็บปวด ก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้จักความรักนะจ๊ะ’
“อ้อ เฮราเคลส รอแป๊บนะ”
เช้าวันต่อมา ชแตร์มาส่งเฮราเคลสที่กระท่อมกลางป่าหลังจากที่เมื่อคืนนั้นเจ้าชายจอมพลังได้พักค้างคืนที่ปราสาทมีเทียร์เวล เมื่อคนตัวโตนั้นลงจากดาวตกไปแล้ว คนตัวเล็กก็ค้นกระเป๋าที่ตนพกมาด้วยราวกับจะหาอะไรบางอย่างที่สำคัญ
“หาอะไรอยู่เหรอ?” เจ้าของดวงตาสีทองเป็นประกายนั้นกะพริบปริบๆ
ชแตร์เผยยิ้มบางเมื่อพบของที่ต้องการ เขายื่นกล่องสีเหลี่ยมขนาดกลางให้คนตรงหน้า อีกฝ่ายก็รับมาอย่างงงๆ และจ้องหน้าคนให้กับกล่องซ้ำไปซ้ำมา
“ผมให้ ...ช็อกโกแลตน่ะ”
“ให้ฉันเหรอ?” ร่างสูงชะลูดเอ่ยทวนคำ คนให้ก็พยักหน้ายืนยัน
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายให้อะไร แขนแกร่งนั้นก็เผลอเอากล่องนั้นมากอดแนบอก ใบหน้าขึ้นสีชมพูระเรื่อ ความหมายของการมอบช็อกโกแลตที่รู้มาในงานเทศกาลขนมหวานที่แดนช็อกโกแลต คำพูดของอันทาเรสวนซ้ำอยู่ในหัว
‘ถ้ามีคนให้ช็อกโกแลต ก็แสดงว่าคนคนนั้นเขาชอบนาย’
“ขะ...ขอบคุณนะ...” ทั้งเขินทั้งดีใจจนพูดเสียงหลงไปหมด ชแตร์อดยิ้มออกมาไม่ได้
“อืม อันที่จริง อพอลโลฝากฉันมาให้นายน่ะ”
“ลูกพี่เหรอ?” จากที่เขินเมื่อกี้ก็ทำสีหน้างงแทน ชแตร์ถึงกับขำเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของคนตรงหน้า
“ฮะๆ เมื่อวานก็ลืมเล่าให้ฟัง ไว้วันหลังก็แล้วกัน” โบกมือน้อยๆ เป็นการอำลา “ไว้เจอกันใหม่นะ ขอบคุณที่ไปหา”
ดาวตกนั้นจากไปจากกระท่อมกลางป่า เฮราเคลสยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนคนบ้า เนแมร์บนไหล่ก็ชักจะหมั่นไส้เลยเอาหางสะกิดแก้มเนียนของเจ้านายเบาๆ เจ้าชายจอมพลังขำเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้ากระท่อมไปอย่างร่าเริง
ไหนๆ ขอคิดเข้าข้างตนเองหน่อยเถอะว่าได้รับช็อกโกแลตมาจากชแตร์น่ะ!
Comments (0)