6 ตอน Chapter 5 : Memories of Meteor
โดย ‘Umbrella’
เหงาจัง...
เด็กชายในเสื้อแจ๊กเก็ตสีเหลืองนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง เมื่อครู่นี้เขาฝันร้ายและสะดุ้งตื่นขึ้นมา เจ้าเม่นน้อยที่นอนตรงตะกร้าบนพื้นข้างเตียงก็ตื่นแล้วร้องมี้ๆ คล้ายว่าจะช่วยปลอบเขา เด็กน้อยส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้ รอยยิ้มนั้นเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงฝันร้ายเมื่อครู่ เมื่อมองไปยังโซฟาที่มีชายหนุ่มอายุราวๆ สามสิบปีที่เป็นผู้ดูแลเขายามอยู่กลางป่าลึก โชคดีที่ชายหนุ่มนั้นไม่ตื่นตามเขา ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกผิดที่ทำให้ผู้ดูแลต้องเหนื่อยทั้งยามทิวาและราตรี
อพอลโลนั้นจากกระท่อมหลังนี้ไปได้ราวๆ สามปีแล้ว แม้อยู่ด้วยกันได้สิบกว่าวันซึ่งไม่ถือว่านาน ทว่าก็สร้างความทรงจำที่มีต่อกันไว้มากมาย ทั้งสำหรับเฮราเคลสที่ต้องอยู่คนเดียว และอพอลโลที่ไม่มีเพื่อนเลย
ในวันที่อพอลโลต้องจากไปนั้น พวกเขากำลังนั่งกินมื้อเย็นอยู่ด้วยกันกับผู้ดูแล จู่ๆก็มีทหารเข้ามาบุกรุกกระท่อมของเขา ผู้ดูแลสามารถปกป้องเขาไว้ได้ แต่อพอลโลนั้นถูกจับตัวไป ในคราแรกดึงดันจะไม่กลับไปที่ปราสาท ทหารจึงได้แจ้งข่าวว่าองค์ราชินีเมื่อรู้ว่าอพอลโลยังมีชีวิตอยู่จึงร้องเรียกหาตลอดเวลาทั้งที่บาดเจ็บหนักจนไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้ องค์ราชาเลยมีพระกระแสรับสั่งให้ไปพาตัวอพอลโลกลับมา
เมื่อได้ยินว่าพระมารดาบาดเจ็บหนักมาก อพอลโลจึงยอมกลับแต่โดยดี และบอกทหารว่าอย่าทำร้ายเฮราเคลสและผู้ดูแลของเขา
‘ฉันไปนะ’
คำกล่าวลาสั้นๆ ที่ลูกพี่เอ่ยก่อนจะหันหลังกลับเดินตามทหารไปโดยไม่หันกลับมามองเด็กน้อยอีก เป็นการจากลาที่รวบรัดและไม่ยืดเยื้อ อพอลโลเองก็คงไม่อยากแสดงสีหน้าเศร้าใจให้คนที่เบื้องหลังต้องเศร้าตาม
เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว คืนนั้นเฮราเคลสจึงร้องไห้ทั้งคืน ผู้ดูแลทำได้แค่ปลอบเท่านั้น ทว่าวันต่อมากลับมีขุนนางหนุ่มคนหนึ่งมาที่กระท่อมและส่งจดหมายมาให้เขา
‘...ถึงฉันจะมาหาไม่ได้ แต่เราก็คุยกันผ่านทางนี้ได้
แสงอาทิตย์...’
เนื้อความจดหมายนั้นเป็นเพียงข้อความสั้นๆ แต่ก็ทำให้เฮราเคลสตื้นตันใจเหลือเกิน ลูกพี่ของเขายังไม่ลืมกัน ทว่าการส่งจดหมายนั้นต้องเขียนข้อความและส่งอย่างระมัดระวัง เพราะอพอลโลคงไม่อยากให้พระเชษฐารับรู้ถึงการมีตัวตนของเฮราเคลส หากจดหมายนั้นถูกแอบอ่านก่อนจะมาถึงมือ เขาจะได้สบายใจว่าพระเชษฐาผู้โง่เขลาของเขาจะไม่เข้าใจเนื้อความว่าเขาส่งไปหาใครกันแน่
‘...นึกว่าจะลืมกันแล้ว เศร้ามากเลย
จอมพลัง...’
ลายมือโย้เย้บนจดหมายนั้นถูกส่งกลับไปโดยคนสนิทของอพอลโลที่หลุดรอดสายตาของเจ้าชายอันดับหนึ่งได้อย่างสบาย ไม่กี่วันเขาก็ส่งจดหมายกลับไปหาเฮราเคลสอีก ทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำได้ราวๆ สองปี บางครั้งก็มาหาบ้างที่กระท่อมเพียงสองสามครั้งในช่วงที่มาประพาสล่าสัตว์เป็นการส่วนตัว ทำให้เฮราเคลสไม่รู้สึกเหงาแม้จะว่าต้องอยู่คนเดียว และในช่วงของปีที่สามจดหมายนั้นก็เงียบหายไป ประกอบกับเขาได้ยินข่าวว่าองค์ราชินีสิ้นพระชนม์และอพอลโลนั้นถูกส่งไปรบที่เมืองชายแดน
ด้วยความคิดมากเพราะเป็นห่วงลูกพี่ของเขาทำให้นึกถึงวันที่อพอลโลถูกจับตัวไป เหล่าทหารนั้นทำตามคำสั่งขององค์ราชาแม้ว่าต้องทำให้เจ้าชายของตนบาดเจ็บก็ตาม เฮราเคลสนึกถึงตนเองที่ถูกปองร้ายในขณะที่อยู่แดนดวงดาว คิดว่าอพอลโลก็คงโดนแบบนี้เช่นกัน
พอจดหมายจากคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวนั้นหายเงียบไป เด็กชายก็รู้สึกเหงาและอ้างว้าง ความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญเป็นครั้งแรกหลังจากที่มีเพื่อนแล้วนั้นยิ่งที่ให้รู้สึกว่างเปล่า
เหงาจริงๆ...อยากมีเพื่อน...
เด็กชายลุกออกจากเตียงและเดินออกจากกระท่อมไปโดยมีเม่นตัวน้อยเดินตามไปติดๆ ดวงตากลมโตสีทองมองไปที่ท้องฟ้ายามราตรี เหล่าดวงดาราที่ล่องลอยบนฟากฟ้าทำให้เขาคิดถึงบ้าน คิดถึง ‘คุณแม่’ ที่แสนใจดีของเขา แม้ว่าต้องหนีมาอยู่กระท่อมกลางป่าด้วยกันเพียงสองแม่ลูกเพราะพระชายาคนที่สองนั้นเป่าหูองค์ราชาให้ขับไล่ออกมาอาศัยอยู่นอกปราสาทแต่ทั้งคู่ก็มีความสุข จนกระทั่งมีคนมาลอบทำร้ายคุณแม่จนเสียชีวิต เขาจึงถูกองค์ราชาซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ รับตัวไปเลี้ยงดูต่อ นานวันเข้าองค์ราชาก็ล้มป่วยลงและให้พระชายารองสำเร็จราชการ นางเป่าหูใส่ร้ายเฮราเคลสที่มีพลังพิเศษจนถูกขับไล่ออกมาอีกครั้ง หนำซ้ำยังโดนตามล่าเอาชีวิตจนต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ
นึกถึงแดนดวงดาวที่ต้องจากมา เจ้าชายหลายพระองค์ที่เคยไปเล่นด้วยในบางเวลาต่างก็รู้สึกตกใจเมื่อรู้ว่าเฮราเคลสจำต้องออกจากปราสาทเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
พวกอัลแตร์จะเป็นยังไงกันบ้างนะ?...
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า แสงนั้นพุ่งตรงมาที่ตัวของเฮราเคลส กระแสลมอันรุนแรงตามหลังมาและทำให้ใบไม้ใบหญ้าปลิวลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อคิดว่าจะถูกอะไรบางอย่างพุ่งชน เขาจึงยกมือบังหน้าและหลับตาปี๋ และเมื่อกระแสลมรุนแรงนั้นค่อยๆ ลดความแรงลง เขาก็ค่อยๆ ลดมือนั้นลง ท่ามกลางแสงสว่างวาบที่จางลงนั้นปรากฏร่างของเด็กชายรูปร่างผอมบาง เส้นผมสีเงินสว่างส่องประกายในยามค่ำคืน
“นาย...คือคนที่อธิษฐานเมื่อครู่นี้ใช่มั้ย?”
เสียงเล็กๆ นั้นเอ่ยถาม ดวงตาสีฟ้าประกายแสงดาวมองขึ้นสบกับเด็กชายที่ตัวโตกว่า เจ้าของนัยน์ตาสีทองมองเด็กชายอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตากะพริบปริบๆ อย่างงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
เด็กชายผู้ซึ่งขี่ดาวตกลงมายังพื้นโลกนั้นเผยยิ้มบางๆ
“ผมจะทำให้คำอธิษฐานของนายเป็นจริงเอง”
ทางด้านปราสาทของแฟลร์รูจ
เมื่อสามปีก่อนที่เขาเคยหลบหนีไปได้ กลับถูกตามตัวกลับมาเพราะพระมารดาป่วยหนัก นั่นก็เพราะเขาควบคุมพลังไม่ได้ พระมารดาได้ให้สัญญาว่าองค์ราชาจะไม่ตอกลิ่มเขาหากควบคุมพลังได้ดี
ในระหว่างที่เขากลับมาดูแลแม่ เขาก็ต้องฝึกฝนควบคุมพลังจนสำเร็จ องค์ราชินีก็ฟื้นร่างกายดีจนแข็งแรง แต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเมื่อพระนางถูกวางยาพิษจนสิ้นพระชนม์ แต่องค์ราชานั้นเชื่อว่าเจ้าชายพระองค์เล็กนั้นเป็นผู้กระทำ ทำให้พระองค์ตอกลิ่มเข้าที่หัวใจของลูกชายแท้ๆจนบาดเจ็บสาหัสทว่ารอดตายมาได้เพราะคนสนิทและหมอหลวงช่วยรักษาชีวิตเอาไว้
อพอลโลนั้นปักใจเชื่อว่าไดอาเป็นคนอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง ทว่าเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมไดอาถึงตีบทแตกกระจายตอนที่พระมารดาใกล้สิ้น เขาร้องไห้ปิ่มจะขาดใจทั้งยังสารภาพกับแม่ว่าเขาเคยฆ่าน้องไปครั้งหนึ่ง และตกลงสัญญาว่าจะคืนดีกับน้องชายและจะไม่เอาชีวิตน้องชายอีก ราวกับว่าเรื่องวางยาพิษนั้นเจ้าชายลำดับที่หนึ่งนั้นไม่ได้เป็นคนทำ แต่อพอลโลก็ไม่ได้นึกอีกว่าใครเป็นคนทำกันแน่ถ้าไม่ใช่ไดอา
ในงานพระศพ ไดอายังคงกันแสง ในขณะที่อพอลโลไม่มีน้ำตาสักหยด ทว่าก็ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ขนาดอยู่ในพระราชพิธี ราชาและเจ้าชายแห่งแคลร์บูลผู้เป็นพระญาติฝ่ายพระมารดาได้เดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจและให้กำลังใจ เขายังไม่ได้เอ่ยปากทักทายอะไรเลย แม้ว่าเจ้าชายแกรี่จะมาชวนคุย เขาก็แทบจะไม่ได้มองหน้า
แต่หลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธี องค์ชายเล็กก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหน คนสนิทตามมาพบทีหลังจึงรู้ว่าแอบมาร้องไห้คนเดียวจนหลับไป ตอนกลางคืนถึงได้ตื่นและเดินไปที่สุสานตามลำพัง
เขารู้ดีว่าพระบิดากำลังจะส่งเขาไปตาย
ทั้งที่อายุได้เพียงสิบห้าปี แต่กลับต้องไปออกรบที่ชายแดนเพื่อปราบปรามเขตปกครองตนเองภายใต้การปกครองของอาณาจักรที่ก่อกบฏขึ้นและต้องการแยกตัวเป็นอิสระ
เขาเพิ่งจะถูกตอกลิ่มเข้าที่หัวใจเพื่อจำกัดการใช้พลังพิเศษหลังจากพระมารดาสิ้นพระชนม์ไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายทั้งอ่อนล้าและสภาพจิตใจไม่มั่นคงหลังสูญเสียผู้ที่ไว้ใจได้ไปอีกคน เมื่อถูกจำกัดพลังนั้นหมายความว่าเขาจะใช้ความสามารถนี้ในการรบได้ไม่เต็มที่ ทั้งยังอ่อนประสบการณ์ หากไม่มองว่าถูกพ่อสั่งให้ไปตาย ก็คงถูกสั่งให้ไปเป็นเชลยศึกของศัตรู แม้ศัตรูจะนำเขาไปต่อรองกับองค์ราชาในภายหลัง แต่คงไม่สำเร็จ และในท้ายที่สุดเขาก็จะถูกฆ่าตายไปโดยที่เลือดไม่เปื้อนมือราชา
ที่หน้าหลุมพระศพของอดีตองค์ราชินีแห่งแฟลร์รูจ ปรากฏเด็กชายรูปร่างสูงโปร่งกำลังเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ ในมือถือดอกลิลลี่สีขาวช่อใหญ่อันสวยงาม ทุกก้าวย่างนั้นก้าวอย่างสง่างาม แม้อากาศยามกลางคืนนั้นเหน็บหนาว ทว่าหนาวน้อยกว่าหัวใจของเจ้าชายผู้ซึ่งสูญเสียพระมารดาอันเป็นที่รักไป ซ้ำหัวใจดวงนั้นยังถูกตอกลิ่มโดยพระบิดาแท้ๆ ของตนอีกด้วย
ก้าวสุดท้าย เด็กชายหยุดยืนที่ป้ายหน้าหลุมพระศพนั้น แผ่นหินจารึกชื่อ วันแรกและวันสุดท้ายบนโลกของเจ้าของหลุมศพ รวมทั้งคำอาลัยจากครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่ง มือที่ทาเล็บสีดำแดงประดับแหวนที่ร้อยเข้ากับกำไลค่อยๆ วางช่อดอกลิลลี่ลงที่ป้ายหน้าหลุมศพ หยาดน้ำหนึ่งหยดร่วงเผาะลงบนกลีบดอกไม้สีขาวพิสุทธิ์และค้างอยู่บนกลีบนั้น มือข้างนั้นยกขึ้นแนบอกที่มีรอยประทับรูปพระอาทิตย์และราชสีห์คำรามและค้อมกายลงเล็กน้อยคล้ายจะทำความเคารพ
“เสด็จแม่ พรุ่งนี้ลูกจะต้องจากที่นี่ไปแล้ว จึงมาลาเป็นครั้งสุดท้าย”
เด็กชายผู้สง่างามยืดกายเหยียดตรงและลดมือลง ดวงตาสีรพีมองตรงไปยังป้ายหลุมศพ เอ่ยคำหนักแน่นราวกับจะสาบานต่อหน้าผู้วายชนม์ให้เป็นสักขีพยาน
“ลูกจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก จนกว่าจะได้เป็นราชา!”
คืนนั้น องค์ชายเล็กแห่งแฟลร์รูจประทับอยู่ที่ข้างหลุมศพตลอดทั้งคืน แม้ว่าคนสนิทจะมาตามตนให้กลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนเพื่อเตรียมพร้อมออกเดินทางไปรบในวันรุ่งขึ้น ทว่าเด็กชายกลับปฏิเสธและไล่ให้คนสนิทนั้นกลับไป ชายหนุ่มนั้นทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ส่งผ้าคลุมผืนหนาให้องค์ชายได้ห่อห่มเพื่อคลายหนาวแทน
ฉันจะไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก ขอแค่ไม่มีไอ้ลิ่มบ้าๆ นี่!...
มือหนากำแน่นแนบอก นึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ ตะโกนตามเทพเจ้าที่ตนนับถือก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ร่างนั้นทรุดลงนั่งหลังพิงแผ่นหินอย่างเหนื่อยล้า ในใจนั้นยังคงร่ำไห้ ผู้ที่รักตนมากที่สุดต้องจากไปอย่างกะทันหัน ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร
เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงแหงนมองท้องนภาราตรีกาล ในยามนี้ดาราส่องประกายในคืนเดือนมืด ในยามที่สิ้นหวังคราใดก็จะแหงนมองท้องฟ้าดูดาวแบบนี้ มันทำให้จิตใจของเขาสงบและฟื้นฟูสภาพจิตใจ พระมารดามักสอนให้เขาดูดาวดวงและทำนายโชคชะตาเล่นๆ อพอลโลนั้นไม่ชอบการทำนายดวงชะตา เพราะเขาอยากกำหนดชะตาชีวิตของตนเอง พระมารดานั้นตามใจเขาแทบทุกอย่างแต่ก็ถูกห้ามในสิ่งที่ไม่ควร ส่วนไดอานั้นถูกพระบิดาตามใจและให้ท้ายจนเสียคน บางครั้งก็ลงท้ายด้วยการมาแย่งเอาของของเขา
ทุกครั้งที่ทะเลาะกับไดอาหรือมีเรื่องผิดใจกันคราใด เขามักจะนึกถึงพี่น้องผมสีเงินคู่นั้น เมื่อหลับตาลงก็จะพบกับเด็กชายนัยน์ตาสีแดงที่ยังตกค้างอยู่ในความทรงจำ ดวงตาเย็นชาแปลกประหลาดนั้นทำให้เขาใจเย็นลงเวลาโมโหหรือไม่สบายใจ ความอ่อนโยนที่เขามีต่อน้องชายนั้นราวกับสิ่งที่เขาโหยหามาตลอด แม้ในยามเล็กได้อาจจะเข้าหาเขาอย่างจริงใจและแสนดี แต่เจ้าชายแดนสุริยานั้นไม่ได้มีความอ่อนโยนละเอียดอ่อนเท่าไรนัก ทะเลาะกันด้วยเรื่องไร้สาระออกจะบ่อย แต่ก็คืนดีกันได้ทุกครั้งด้วยพระมารดาขอเอาไว้ เด็กชายคนนั้นทำให้เขารู้สึกอิจฉาเล็กๆ ในใจ ว่าทำไมถึงได้มีพี่ชายที่แสนดีขนาดนั้น
น่าแปลกเหลือเกินที่นึกถึงเมื่อไรก็ใจเต้นเสียทุกครั้ง ทั้งที่พบกันเพียงคราวเดียวเท่านั้น ไปงานสังคมกับพระบิดาหรือพระมารดาคราใดก็ไม่เคยได้พบกันอีก เขาได้แต่มองหาอย่างเก้อๆ จนช่วงหลังๆ ที่มีกบฏที่ชายแดนขึ้นบ่อยครั้งจึงไม่ได้ออกงานสังคมอีก
แสงดาวในคืนนี้ดูส่องสว่างผิดปกติ ราวกับย้ำเตือนให้ยืดหยัดต่อสู้ในความสิ้นหวังแม้ว่าจะมีความหวังอันน้อยนิด
แสงดาวแรงกล้าเสียจนต้องหรี่ตา...
ไม่สิ แสงดาวนั้นสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเคลื่อนที่เข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว
มือหนาจับที่หลังและเอวตนนึกจะชักดาบออกมาป้องกันตัว และนึกได้ว่าไม่ได้พกดาบประจำตนมา หากว่าจะขยับตัวหลบก็เกรงว่าดวงดาวนั้นจะพุ่งชนหลุมพระศพเสียหาย เจ้าชายผู้สง่าจึงยืนนิ่งและตั้งใจจะเอาร่างกายรับแรงกระแทกนั้นเอง
ทว่าดาวตกนั้นก็หยุดลงตรงหน้าเขา ฝุ่นคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ และปรากฏร่างของเด็กชายร่างเล็ก เรือนผมสีเงินส่องประกายทำเอาเจ้าชายแดนนี้ต้องพระทัยสั่น เด็กชายกำสร้อยนาฬิกาทรายที่อกไว้ยามก้าวเดินมาหาเจ้าชายผู้ที่ยืนตะลึงอยู่
ผมสีเงิน...
เมื่อฝุ่นจางลง ดวงตากลมโตนั้นเปิดออก เนตรสีนภากระจ่างใสมองสบผู้ที่เรียกเขามา เจ้าของเรือนผมสีตะวันรู้สึกผิดหวังเมื่อคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาเฝ้าตามหา ทว่าก็แปลกใจที่อยู่ดีๆก็มีคนขี่ดาวตกลงมากลางสุสานราชวงศ์แฟลร์รูจ
“แกเป็นใคร?” เจ้าชายเจ้าของดินแดนเอ่ยถามเสียงห้าว
“นายเรียกผมมา” เสียงเล็กๆ นั้นตอบห้วนดูเย็นชา
“หา?”
“นายมีคำอธิษฐาน...” คนร่างเล็กค่อยๆอธิบาย
คนตัวสูงกว่ากอดอกมองอย่างไม่ไว้ใจ
“ผมไม่เคยสัมผัสความปรารถนาแรงกล้าขนาดนี้มาก่อนเลย” ดวงตากลมโตนั้นมองสบตาเรียวคมดุของเจ้าชายผู้ห้าวหาญ
“สัมผัสได้รึ?” อพอลโลหรี่ตามอง
“ผมสามารถทำให้คำอธิษฐานของนายเป็นจริงได้ เพียงแค่นายขอมา” ท่าทีสงบนิ่งของคนตรงหน้ารวมทั้งคำอธิบายนั้นทำให้เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจรู้สึกสนใจ รอยยิ้มเย่อหยิ่งเผยออกมาราวกับเจอของเล่นถูกใจ
“ถ้าอย่างนั้น...แกก็ถอนลิ่มนี่ออกได้ใช่ไหม?” มือที่ทาเล็บสีดำจับคอเสื้อตนแหวกออกให้เห็นแผ่นอกที่มีรอยสักรูปสุริยันและราชสีห์คำราม
“ลิ่ม?...” เด็กชายแปลกหน้าทวนคำ แววตาที่แสดงถึงความสงสารและเห็นอกเห็นใจเมื่อมองลิ่มที่อยู่ตรงหัวใจของเขา ดวงตาของอพอลโลสั่นไหวไปวูบหนึ่งก่อนจะตีสีหน้าขรึม “นายคงเจ็บสินะ...”
“เจ็บปวดเจียนตายเวลาที่ใช้พลังนั่น...” เสียงพึมพำนั้นแผ่วเบาราวกับกระซิบ เด็กร่างเล็กได้ยินทว่าไม่ได้พูดอะไร
ลมหายใจของเด็กชายแปลกหน้านั้นกลายเป็นดาวตกดวงเล็ก เด็กชายพูดอะไรบางอย่างก่อนจะปล่อยให้ดวงดาวนั้นลอยขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ดาวดวงเล็กหลายดวงนั้นลอยมาล้อมรอบร่างกายของอพอลโล แสงสว่างสาดส่องไปรอบกาย เป็นภาพที่ดึงดูดให้มองอย่างไม่อาจละสายตาได้ ทว่าจู่ๆแสงนั้นก็จางลงพร้อมกับดวงดาวที่สลายไป
เด็กชายผู้ขี่ดาวตกเบิกตากว้างก่อนจะหยิบนาฬิกาทรายที่ห้อยคออยู่มาดูและพบว่าทรายด้านบนนั้นไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ไม่สำเร็จงั้นรึ?” อพอลโลมีสีหน้าผิดหวัง “หรือแกคิดจะหลอกฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?”
“เปล่านะ ผมไม่ได้หลอกนาย” เด็กชายก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกันเมื่อเห็นว่าเป็นครั้งแรกที่อธิษฐานกับดวงดาวไม่สำเร็จ “ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสำเร็จอยู่แท้ๆ ...”
“มาทางไหนก็กลับทางเดิม” เจ้าของดินแดนเอ่ยปากไล่ เขาหันหลังและหลับตาลงราวกับเสียดายเมื่อมีโอกาสแต่กลับไม่สำเร็จในสิ่งที่หวัง
เด็กชายอีกคนไม่อาจทำอะไรได้จึงทำได้เพียงกล่าวลาสั้นๆ และขี่ดาวตกกลับไปยังทิศที่มา
หลายปีต่อมา
มันน่าแปลกใจมากเมื่อมีจดหมายจากเฮราเคลสส่งมาที่ปราสาทเล็กชายแดนที่เจ้าชายองค์เล็กแห่งแฟลร์รูจได้ดูแลอยู่ คนสนิทได้ให้คำตอบว่าผู้ดูแลของเฮราเคลสนั้นเดินทางมาส่งจดหมายและบังเอิญเจอกันในเมืองจึงได้รับจดหมายนำมามอบให้กับเจ้าชายอพอลโล
จดหมายปึกนั้นมากมายเสียจนเจ้าของปราสาทขี้เกียจจะอ่าน ทว่าเมื่อมีเวลาว่างยามใดก็จะหยิบมาดูทุกฉบับ ทุกฉบับเอ่ยถามถึงสารทุกข์สุกดิบ เขาไม่ได้รับและไม่ได้ส่งไปหาหลังจากมารบที่ชายแดนนี้ เขาวุ่นวายอยู่กับการจัดการภายในอาณาเขตและการปราบปรามกบฏแข็งข้อที่ก่อตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นต่อต้านเขาไม่เว้นแต่ละวัน ต้องออกไปรบแทบทุกสัปดาห์
เมื่อได้อ่านจดหมาย รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นเผยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจเสียทุกครั้ง มีเพียงคนสนิทและพ่อบ้านเท่านั้นที่เคยได้เห็น โดยปกติเจ้าชายของตนมักจะวางสีหน้าเย่อหยิ่งจริงจังทุกการกระทำ และทวีความดุดันขึ้นทุกปี บางครั้งเมื่อมีทหารขัดคำสั่งก็ใช้พลังไฟทำร้ายเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
องค์ราชานั้นเริ่มเห็นถึงความสามารถของโอรสองค์เล็กจึงได้ส่งสาสน์เชิญให้เข้าร่วมประชุมราชการอยู่บ่อยครั้ง แต่เจ้าชายเล็กก็ไม่เคยไปสักครั้ง ราวกับว่าไม่สนใจเรื่องของส่วนกลาง พระองค์จะใส่ใจเฉพาะเรื่องของอาณาเขตของตนเท่านั้น
แม้สัญญากับพระมารดาไว้ว่าจะคืนดีกับไดอา แต่ก็ไม่เคยได้คุยกันดีๆ เลยสักครั้ง ในบางครั้งผู้เป็นพี่ยังแอบส่งมือดีมาลอบสังหารอพอลโล ทว่าน้องชายก็จัดการได้ทุกครั้งเพราะนักฆ่าที่ส่งมาล้วนมีฝีมือที่อ่อนด้อยกว่าองค์ชายเล็กแทบทั้งสิ้น ราวกับทำเพียงทดสอบหรือกลั่นแกล้งกันก็เท่านั้น
มีบางครั้งที่ขุนนางอาวุโสได้ส่งจดหมายมาขอร้องอพอลโลให้ไปร่วมงานสังคมบางงานแทนไดอาที่ต้องทำราชการในเมืองหลวง คราแรกนั้นเขาปฏิเสธ แต่พอคราต่อมานั้นเขาได้ยินเรื่องเจ้าชายหิมะผมสีเงินนัยน์ตาสีแดงเขาก็นึกถึงเด็กชายที่พบในวัยเด็ก จึงได้ตกลงรับปากว่าจะไปในนามของแฟลร์รูจ
ในเทศกาลดวงดาวของแดนดวงดาวนั้น อพอลโลได้รับเชิญไปเป็นครั้งแรก ผู้ที่เชิญนั้นเป็นเจ้าชายอัลแตร์จากอาณาจักรกาแลสเซียฝั่งตะวันออก เป็นเจ้าชายที่เขาไม่รู้จักแม้แต่น้อย ซ้ำยังระบุชัดเจนว่าเชิญ ‘เจ้าชายอพอลโลแห่งแฟลร์รูจ’ แต่พอเดินทางไปถึงก็รู้ทันทีว่าแท้จริงแล้วใครเป็นคนเชิญเขา
‘ลูกพี่!’
ดูท่าทางหลายปีมานี้ที่ไม่ค่อยได้พบกัน เฮราเคลสนั้นเดินทางไปทั่วและได้กลับไปยังแดนดวงดาวเป็นครั้งคราว คงเริ่มสนิทกับเพื่อนเจ้าชายร่วมแดนมากขึ้นและได้แนะนำให้เขารู้จักเพิ่มอีกหลายคน ทั้งเจ้าชายอัลแตร์ เจ้าชายเวก้า เจ้าชายเดเนบ เจ้าชายอัลเดบารัน เจ้าชายอันทาเรส เจ้าชายสปิก้า เจ้าชายซิริอุส เจ้าชายโพรซิออน และเจ้าชายแคสเตอร์ (เพราะโดนแนะนำวนอยู่หลายรอบเลยท่องจำได้หรอก ไม่ได้อยากจะจดจำนัก)
และเจ้าชายอีกองค์หนึ่งซึ่งเขาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกัน
เจ้าชายชแตร์แห่งมีเทียร์เวล แดนดาวตก
เจ้าชายที่ทำให้คำอธิษฐานของเขาไม่เป็นจริง
“นี่แก...ที่ขี่ดาวตกนั่น”
“คนที่อยู่ในสุสานที่แฟลร์รูจ?”
ทั้งสองคนเมื่อพบหน้ากันอีกครั้งในยามที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้โครงหน้าไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ความดุดันเด็ดขาดที่เพิ่มมากขึ้นนั้นส่งให้ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเจ้าชายแดนสุริยาดูจริงจังและเย่อหยิ่งกว่าสมัยเด็กนัก ทางด้านของเจ้าชายแดนดาวตกเองก็รูปงามขึ้นและด้วยจิตใจแน่วแน่ที่อยากทำให้คำอธิษฐานของทุกคนเป็นจริงส่งผลให้สีหน้านั้นเคร่งขรึมและดูเย็นชา
“เอ๋ รู้จักกันเหรอ?” คนที่แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกันก็กะพริบตามองปริบๆ
“เคยเจอกันมาก่อนน่ะ” ชแตร์เป็นฝ่ายตอบ อพอลโลนั้นเอาแต่จ้องหน้าเจ้าชายแห่งมีเทียร์เวลด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
พอชแตร์นั้นส่งสายตากลับไปว่ามองทำไม เขาก็เผยยิ้มเย่อหยิ่งออกมา
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” อพอลโลหยีตาลงเล็กน้อย “เพราะที่แห่งนี้มีคำอธิษฐานมากมาย แกเลยมาทำให้คำอธิษฐานนั้นเป็นจริงสินะ”
คนฟังพยักหน้านิ่งๆ แม้จะแปลกใจหน่อยที่มีคนเข้าใจทั้งที่เขายังไม่ได้อธิบายอะไร ในใจรู้สึกสนใจเจ้าชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งนี้
ในงานเทศกาล แม้ว่าจะไม่ได้คุยอะไรกันมาก ชแตร์ก็ลอบมองอพอลโลอยู่ตลอด ทั้งที่ยังคาใจกับรอยยิ้มเย่อหยิ่งนั้น เมื่อนึกไปถึงเรื่องลิ่มที่หัวใจเขาก็ยังเห็นรอยสักนั้นยังอยู่บนอกของอพอลโลอยู่ แอบไปเห็นอพอลโลสร้างไฟขึ้นมาตามที่เฮราเคลสรบเร้าให้แสดงให้โพรซิออนดู หลังใช้พลังนั้นแล้วก็พบว่าสีหน้าของเจ้าชายแห่งตะวันดูไม่ค่อยดีนัก ชแตร์จึงสรุปไปเองว่าคงเป็นเพราะลิ่มที่หัวใจทำให้การใช้พลังนั้นเป็นการทำร้ายตัวอพอลโลเองด้วย ทว่าเขาก็ไม่ได้บอกอะไรใคร เขายังคงทำหน้าที่ให้คำอธิษฐานของคนในเทศกาลเป็นจริง
พอเลิกงานเทศกาลแล้ว ชแตร์รู้สึกเจ็บหน้าอก ดวงตาสีฟ้าลึกนั้นก้มลงมองนาฬิกาทรายที่อกก็พบว่าทรายด้านบนนั้นลดลงไปมาก ชแตร์พยายามหลบสปิก้าและเดเนบที่มาชวนเขาคุยเพื่อออกไปสูดอากาศตามลำพัง ทว่าอาการก็ไม่ค่อยดีขึ้น
“เฮ้ แกดูไม่ค่อยดีเลยนะ” เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง
ชแตร์รีบหันกลับไปดูเพราะกลัวว่าคนแดนดวงดาวจะเห็นอาการที่ไม่สู้ดีของเขา แต่เพราะหันเร็วไปทำให้หน้ามืดและเซล้มลง ยังดีที่ชายคนนั้นเข้ามาประคองก่อนที่ชแตร์เอาหัวฟาดกันพื้น
“ไม่สบายหรือ?” ท่อนแขนแกร่งประคองและช้อนตัวคนร่างบางขึ้นพลางเดินกลับไปที่ปราสาทกาแลสเซียเพื่อพาไปพักผ่อน
“ปะ–ปล่อยผม เจ้าชายอพอลโล” พอรู้สึกได้ว่าโดนอุ้มในท่าที่...ทำให้ชวนคิดมากก็เริ่มดิ้นจะลงเดินเอง
“สีหน้าไม่ดีเลย จะอุ้มท่าอื่นก็กลัวจะตายคามือฉันซะก่อน” คิ้วคมขมวดเข้าและไม่สนคนที่ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“เฮ้...ปล่อยเถอะ...”
“เมื่อกี้เฮราเคลสก็ตามหาแกอยู่ อย่าทำให้เป็นห่วงนักเลย เดี๋ยวหมอนั่นจะเป็นบ้าเอา” น้ำเสียงราบเรียบทว่าแฝงความอ่อนโยนอย่างประหลาดเวลาพูดถึงเจ้าชายจอมพลังคนนั้น
“ฮื่อ...” ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกสบายใจและปลอดภัยเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเจ้าชายแดนสุริยา เปลือกตาเริ่มหนักลง ชแตร์หมดสติไปทั้งๆ อย่างนั้น
ชแตร์ตื่นมาอีกทีบนเตียงนอนในปราสาทของเจ้าชายอัลแตร์ที่ให้ชแตร์ได้พักผ่อน คนที่รายล้อมรอบเตียงนั้นเป็นเจ้าชายแดนดวงดาวทั้งสิ้น เมื่อเห็นเขาลืมตาก็ร้องไชโยออกมาทันที เจ้าชายโพรซิออนตัวน้อยก็ขึ้นเตียงมากอดคนป่วยและร้องไห้โฮ แม้จะยังรู้สึกเหนื่อยแต่ก็รู้สึกดีใจและระอาใจที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วง
พอเห็นว่าชแตร์ฟื้นแล้วและปลอดภัยดีแม้จะยังต้องพักอีกหน่อย ทุกคนก็ออกจากห้องไปและปล่อยให้คนป่วยได้นอนพัก
เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอกที่ไม่มีใครถามอะไรมากเพราะเฮราเคลสแก้ตัวให้ว่าชแตร์ป่วยมาตั้งแต่เด็กแล้ว มาเทศกาลที่คนเยอะๆ คงจะเหนื่อยเพราะไม่ชิน ทุกคนก็เลยเออออตามไปไม่ถามอะไรต่อ
นาฬิกาละอองดาว?...
เมื่อรู้สึกได้ว่าของสำคัญนั้นไม่ได้ห้อยไว้ที่คอก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา พอมองไปยังโต๊ะข้างเตียงก็ไม่พบอะไรนอกจากแก้วน้ำที่ตั้งไว้เผื่อเขากระหาย ชแตร์ลุกออกจากเตียงมาดูรอบๆ ห้องก็หาไม่พบ ทว่าประตูที่เปิดออกและผู้เข้ามาใหม่นั้นก็ทำให้เขากระจ่างใจว่านาฬิกาแสนรักนั้นหายไปไหน
“หานี่อยู่หรือ?” มือหนาที่ทาเล็บสีดำแดงชูนาฬิกาทรายขึ้นมาให้คนมองเห็นชัดถนัดตา
“ขอคืนได้ไหม?” คนป่วยสืบเท้าเข้าหาคนที่ถือของสำคัญนั้นเอาไว้ ดวงตาสบจ้องกันอย่างสงบนิ่งอยู่สักพัก
“จะให้คืนถ้าแกตอบคำถามฉัน” เจ้าชายแดนสุริยาว่าพลางชี้ให้คนป่วยกลับไปนอนที่เตียง และเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเตียง
“จะถามอะไร?” ยอมมาที่เตียงอย่างว่าง่ายเพราะอันที่จริงก็เหนื่อยอยู่เหมือนกัน
“นาฬิกานี้คืออะไร?”
ชแตร์เงียบไปนานสองนามและไม่ได้เอ่ยปากพูด อพอลโลไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังคิดคำตอบหรือกำลังจะเลี่ยงที่จะตอบ เขาจึงถามต่อ
“ทำไมฉันเขย่าเท่าไหร่มันก็ไม่ลดลง?”
ไม่ว่าเปล่ายังทำท่าประกอบด้วย ชแตร์ส่งสายตาว่าอย่าแตะต้องมากเดี๋ยวหล่นแตก แต่ก็ยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรทั้งสิ้น เจ้าของดวงตาสีตะวันจึงถามอีก
“ก่อนเริ่มเทศกาล มันก็เยอะอยู่หรอก แต่พอจบเทศกาลมันก็ลดลง รวมทั้งแกก็ดูแย่ลง มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า?”
ที่ตอนนั้นจ้องหน้าเขา...อันที่จริงจ้องนาฬิกาอยู่สินะ...
“นายนี่ช่างสงสัยจริงๆ” เมื่อเห็นคนตรงหน้าดูฉลาดและช่างสังเกตเกินไป เขาก็ถอนหายใจออกมาน้อยๆ คงคิดว่าปิดไปก็คงจะพยายามเค้นเอาคำตอบจากเขาอีกแน่ๆ จึงจำต้องบอกไป
“จะบอกได้หรือยัง?” คำพูดนั้นทำให้ชแตร์ถอนหายใจออกมาอีกรอบ
“นาฬิกาเรือนนั้นเรียกว่านาฬิกาละอองดาว” ค่อยๆ อธิบายออกมาทีละนิด เมื่อเห็นสีหน้าของคนหัวสีทองนั้นมองนิ่งก็อธิบายต่อ “เมื่อผมทำให้คำอธิษฐานเป็นจริง ละอองดาวจะค่อยๆ ลดลง”
คนตรงหน้าพยักหน้าเข้าใจแล้วมองดูนาฬิกาละอองดาวในมือ จากนั้นจึงละสายตาออกจากสิ่งนั้นและยื่นนาฬิกานั้นคืนให้ มือเรียวบางรับนาฬิกาคืนมา เมื่อตรวจสอบว่าไม่มีอะไรเสียหายก็ยิ้มอย่างโล่งอก แล้วเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าที่ยืนกอดอกที่ข้างเตียงของเขา
“อย่างที่นายคิด...ละอองดาวจะร่วงหล่นเมื่อระยะเวลาชีวิตของผมลดลง เป็นเครื่องบอกอายุขัยของเชื้อพระวงศ์มีเทียร์เวล”
“งั้นชีวิตของแกก็เหลือน้อยแล้วน่ะสิ” อพอลโลมองครึ่งบนของนาฬิกาที่มีละอองดาวเหลือไม่มากนัก
“...ละอองดาวของผมน้อยมาตั้งแต่แรกแล้ว ผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง” ชแตร์หลับตาลงอย่างช้าๆ “ปกติแล้วเชื้อพระวงศ์จะมีอายุยืนยาวมาก”
“ทั้งที่รู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ตัวเองตาย แกปรารถนาอย่างนั้นหรือ?” คิ้วคมขมวดเข้าอย่างไม่เข้าใจ
“ผมเพียงแค่อยากเห็นรอยยิ้มของผู้คน”
“คิดว่าคนพวกนั้นจะดีใจหรือที่คำอธิษฐานของเขาต้องแลกมาด้วยเศษเสี้ยวของชีวิตแก” แววตาดุดันนั้นฉายลงมาราวกับจะตำหนิ
“...ผมไม่รู้วิธีที่จะทำให้ผู้อื่นดีใจนอกจากการทำให้ความปรารถนาเป็นจริง”
“โง่จริง” อพอลโลหรี่ตามองแล้วหลับตาลง
“หา?!” เมื่อถูกด่าเข้าจังๆ ใครมันจะไปทนไหว นี่เพิ่งจะพบกันครั้งที่สองเอง
“ทั้งที่มีความสามารถพิเศษอย่างนี้แล้ว ยังจะไปช่วยคนอื่นทำไมกัน? ทำไมแกไม่ทำเพื่อตัวเอง?”
“เวลาที่ความปรารถนานั้นเป็นจริง ทุกคนก็ยิ้มและมีความสุข ผมเองก็มีความสุขด้วย” แววตาซื่อตรงนั้นจ้องสบกับดวงตาแห่งสุริยันอย่างไม่หลบ
“แกไม่รู้หรือว่าคำอธิษฐานพวกนั้นมันจะทำให้แกอายุสั้น!”
“ผมรู้!” เสียงทุ้มหวานนั้นตอบทันทีอย่างไม่ลังเล
“โง่!”
“ก็ไม่เคยมีใครบอกหนทางอื่นกับผม เวลาที่ความปรารถนากลายเป็นจริง ทุกคนก็ต่างดีใจกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?” แววตาสีฟ้าสวยนั้นไหววูบ จ้องคนที่ด่าอย่างไม่ลดละ
“ฉันจะบอกอะไรให้แกรู้ก่อนที่ชีวิตแกจะสั้นไปมากกว่านี้นะ”
เมื่อถูกแดกดันมากเข้า ขอบตาของชแตร์ก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกขณะ คนตรงหน้านั้นไม่เข้าใจอะไรเขาเลย แม้ว่าเขาจะสุขภาพไม่ดี แต่เขาก็อยากทำให้ทุกคนมีความสุข เขาดีใจที่เห็นรอยยิ้มของคนเหล่านั้น
“โชคชะตาของแกขึ้นอยู่กับแก ถ้าแกปล่อยให้อย่างอื่นมาตัดสิน ชีวิตของแกก็จะเดินไปผิดทาง”
“ผมเลือกที่จะทำเอง” เจ้าชายแห่งมีเทียร์เวลหรี่ตาแล้วมองลงต่ำ
“แม้แกจะตายไป ฉันก็ไม่สนใจมากไปกว่าคนขี้ขลาดที่ปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตตัวเอง”
“อพอลโล...!” สีหน้าของชแตร์เริ่มเปลี่ยน เขาเม้มปากแน่น คนอะไรปากร้ายได้ขนาดนี้!
“โฮ่...เรียกชื่อห้วนๆ เลยนี่” รอยยิ้มเย่อหยิ่งนั้นเผยออกมา
“หยุดพูดเสียที...” เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำใสๆ นั้นไหลออกจากดวงตาเมื่อไหร่ ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าสีหน้าของอพอลโลเปลี่ยนไปเพราะเห็นน้ำตาของเขา
“ฟังนะ...แกลองคิดถึงความปรารถนาใดๆ ที่มันคุ้มค่าพอที่จะใช้ชีวิตแกเป็นเดิมพัน...”
“ผมบอกให้หยุด”
“ขนาดถอนลิ่มที่หัวใจฉันมันยังไม่คุ้มค่าพอที่แกจะเสี่ยงชีวิตเลย...”
ชแตร์เงยหน้ามอง เขาเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอพอลโลอย่างชัดเจน ดวงตาสีฟ้านภาหลบดวงตาสีตะวัน นึกไปถึงการที่คนตรงหน้านั้นฝืนใช้พลังแม้รู้ว่าตนเองต้องเจ็บปวดก็ตาม
“กำหนดชะตาชีวิตเองหรือ?”
“ก็ยังดีกว่านั่งโง่ๆ อยู่แบบนี้” เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจหยักยิ้ม
“ผมแค่อยากทำให้คำอธิษฐานของทุกคนเป็นจริง คนอื่นไม่ได้ตัดสินชะตาชีวิตผม ผมเลือกเดินเส้นทางนี้เอง...”
“ฉันรู้...” ในเมื่อทำให้อีกคนเปลี่ยนใจไม่ได้ แต่กลับหาจุดยืนได้แทน ทำให้เขาเผลอยิ้มกว้างออกมา “แกนี่โคตรโง่เลย อย่าเพิ่งรีบตายซะล่ะ”
รอยยิ้มนั้นดูจริงใจกว่าใครที่ชแตร์เคยพบ เจ้าชายผู้สง่างามราวกับราชสีห์นั้นเดินออกจากห้องของเขาไปแล้ว เขามองตามหลังไปจนประตูใหญ่นั้นปิดลง
แม้ว่าจะปากร้ายปากเสียด่าเขาเสียเกือบทุกประโยค แต่เบื้องหลังคำพูดแดกดันนั้นคล้ายกับแฝงความเป็นห่วงว่าเขาจะใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่า
หรือบางทีเจ้าชายอพอลโลนั้นอาจเป็นคนเข้าใจเขาดีที่สุด ชีวิตของเขาก็ถูกลิ่มตรึงอกไว้ทำให้ไม่สามารถใช้พลังได้ดั่งใจ ทุกครั้งที่ใช้พลังนั้นหมายถึงอายุขัยที่จะสั้นลง
เมื่อตีความไปอย่างนั้น พลันหัวใจด้วยน้อยก็เผลอเต้นผิดจังหวะขึ้น เลือดสูบฉีดขึ้นที่ใบหน้าจนผิวขาวๆ นั้นเปลี่ยนสี นอกจากพ่อแม่และพี่สาวแล้วก็ไม่เคยมีใครห่วงใยเขาขนาดนี้ แม้คำพูดจะฟังดูไม่รื่นหูเลยสักนิด ทว่าความจริงใจไม่เสแสร้งของอีกฝ่ายกลับทำให้เขาสบายใจ
คงต้องขอบคุณสักครั้ง...อย่างน้อยก็อยากทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงบ้างสักอย่าง...
ด้านนอกห้อง
อพอลโลปิดประตูลงแล้วมองไปยังคนที่ยังอยู่ข้างประตูนอกห้องตั้งแต่แรกแล้ว สีหน้าของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกว่าคนทั่วไปนั้นดูไม่ค่อยดีนักเมื่อได้รับรู้ความจริงบางอย่างที่เล็ดลอดผ่านประตูออกมา เจ้าชายแดนสุริยารู้อยู่แล้วว่าคนผมบลอนด์ทองนี้แอบฟัง เพราะก่อนเข้าไปเขาก็จงใจปิดประตูให้ไม่สนิท
“รู้แล้วเป็นอย่างไร?” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม
“ตกใจมากเลยล่ะ...” ดวงตาสีทองคลอไปด้วยน้ำใสๆที่จะหยดลงได้ทุกเมื่อ เจ้าเม่นน้อยบนไหล่ก็เอาเท้าเล็กๆ แตะแก้มเจ้านายของมันเบาๆ
“สิ่งสำคัญก็รักษาไว้ให้ดีๆล่ะ...” มือหนาร้อนยกขึ้นแตะที่บ่าของคนที่ตัวสูงกว่าราวกับจะให้กำลังใจ
“ทำยังไงดี ลูกพี่...” เจ้าชายจอมพลังเม้มปากแน่น กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
“เรื่องของแก” มือที่เคยแตะบ่ายกสูงขึ้นแล้วขยี้ผมสีบลอนด์ทองนั้นเบาๆ “เขาเป็นคนสำคัญของแก แกต้องคิดเอง”
ร่างสูงสง่านั้นเดินจากไป ทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มที่ทรุดตัวลงและปล่อยให้น้ำตาระบายความเศร้านั้นออกมา มือใหญ่จับจี้ห้อยคอรูปดาว เปิดจี้ล็อกเกตนั้นออกมองดูดาวตกที่เคยได้รับมาสมัยเด็ก หยาดน้ำใสหยดลงบนดาวตกที่ถูกกักขังไว้ ล็อกเกตถูกปิดลงพร้อมคำสัตย์ว่าจะไม่ปลดปล่อยดาวตกดวงนี้ไปพร้อมกับคำอธิษฐานของตนเป็นอันขาด
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Talk
พาร์ทนี้เป็นตอนย้อนอดีตและเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างอพอลโลกับชแตร์ และชแตร์กับเฮราเคลส
ตอนนี้ไม่มีสาระอะไรมาก เป็นการย้อนอดีตเพื่อพักจากตอนของฟรอสต์ที่เขียนยาวไปหน่อย 555 พาร์ทย้อนความเราจะพยายามรวบรัดไม่ให้ยืดยาวเกินพล็อตหลัก ทีแรกว่าจะเขียนเป็นฟิคสั้นๆประมาณ 10 ตอนจบ แต่เริ่มจะเขียนเพลินและอาจจะยืดออกไปเรื่อยๆแทนตามแต่ว่าจะยังไม่ตันพล็อตรอง ถ้านึกไม่ออกแล้วคงยกพล็อตหลักมาตัดจบแบบเนียนๆแทน ฮา...
Comments (0)