ไม่ชอบเลย...

ทำไมเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้อยู่ที่นี่ด้วย...

เด็กชายผู้มีเรือนผมสีพระอาทิตย์เดินไปตามทางเดินกว้าง สองข้างผนังปรากฏภาพวาดอันงดงามไร้ที่ติประดับด้วยกรอบไม้สีทองอย่างสง่างามและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ดูราวกับสวรรค์ของศิลปินและบุคคลธรรมดาผู้มีงานอดิเรกชื่นชมงานศิลป์

ที่นี่คือหอศิลป์แห่งอาณาจักรเฟรเชียน แดนศิลปะ

และเขาเป็นเด็กที่ชื่นชอบการต่อสู้มากกว่ามาชมศิลปะ ถ้าไม่ใช่ว่าเป็นราชกิจของบิดาที่ต้องมาติดต่อราชการที่อาณาจักรนี้และต้องการให้ราชโอรสรู้งาน เขาและพี่ชายก็คงไม่ต้องติดสอยห้อยตามทั้งที่เบื่อแสนเบื่อ

ไดอา ฉันไปเดินเล่นทางโน้นนะ” เจ้าของเรือนผมสั้นสีตะวันเอ่ยกับพี่ชายที่อ่านชื่อภาพอยู่ข้างๆกัน อีกฝ่ายก็หาอะไรทำแก้เบื่อเช่นกัน เด็กน้อยชี้นิ้วไปทางที่เป็นทางออกจากห้องจัดแสดงภาพ เจ้าของชื่อมองตามแล้วพยักหน้า

อย่าไปไกลนักล่ะ หลงทางมาฉันไม่ไปตามหานะ” คนเป็นพี่เบ้ปากใส่ให้น้องชายขี้เบื่อ

แผนผังก็มี ฉันไม่หลงทางหรอกน่า” คนเป็นน้องย่นหัวคิ้ว ในมือมีแผนผังแสดงการจัดแสดงภาพ มือคู่น้อยกางแผ่นกระดาษออกแล้วเดินตามเส้นทางไปอย่างไม่ยากเย็น

ผู้คนที่มาเยือนหอศิลป์แห่งนี้ล้วนเป็นขุนนางชั้นสูงไปจนถึงเชื้อพระวงศ์ และเป็นผู้ใหญ่โดยส่วนมาก ไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันกับเขาที่อยู่ในหอศิลป์เวลานี้ หากเด็กชายจะเบื่อหน่ายก็คงไม่แปลกนัก ผลงานศิลปะที่นำมาจัดแสดงในห้องนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของเชื้อพระวงศ์ของเฟรเชียน องค์ราชาและราชินีออกมาต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความปลาบปลื้มพระทัยที่ภาพวาดเหล่านั้นมีชื่อจนกษัตริย์ต่างเมืองต้องเดินทางไกลเพื่อมาซึมซับความงดงามด้วยพระองค์เอง

ภาพวาดอะไร ดูไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ดวงตาสีตะวันเลื่อนมองไปตามภาพวาดของเจ้าชายเมดี้ซึ่งยังทรงพระเยาว์นักด้วยความไม่เข้าใจ บนภาพนั้นมีแต่รอยปาดพู่กันมั่วๆและร่องรอยของการเอามือที่เปื้อนสีทาบลงบนผ้าใบ ดูอย่างไรก็เหมือนผ้าที่เปื้อนเพราะเด็กเล่นซนเสียมากกว่า

องค์ชายน้อยแห่งแฟลร์รูจตั้งหน้าตั้งตาเดินไปยังประตูทางออกเพื่อออกไปจากห้องแสดงภาพที่ตนอยู่แล้วไร้ประโยชน์ ทว่าได้ยินเสียงเด็กบางคนกำลังร้องไห้จนทำให้ฝีเท้านั้นหยุดชะงัก

ฮือ...ท่านพ่อ พี่ฟรอ...ทุกคนอยู่ไหน...” เสียงเล็กๆสะอื้นร้องไห้อยู่ผนังไม้กั้นอีกด้าน เด็กชายเจ้าของเรือนผมสีตะวันจึงเดินอ้อมไปหาเด็กคนนั้น

เมื่อพบกับเจ้าของเสียงคร่ำครวญ คนขี้เบื่อก็ถึงกับตะลึงงันในความงดงาม เรือนผมสีเงินสง่า ผิวขาวราวกับหิมะ แก้วตาสีทับทิมที่กำลังหลั่งรินหยาดน้ำใสออกมา กิ๊บติดผมรูปเกล็ดหิมะที่ผมทั้งสองข้าง ร่างกายเล็กๆกำลังสั่นสะท้านด้วยความกลัวทำให้รู้ว่าเป็นคนที่เยาว์วัยกว่า เสื้อผ้าประดับลายเกล็ดหิมะสวยงาม ดูมีราคาบ่งบอกได้ว่าเป็นชนชั้นสูง เด็กน้อยนั่งลงกับพื้นกอดเข่าร้องไห้อย่างไม่อายสายตาใคร 

เขาไม่ใช่คนที่จะทิ้งให้เด็กหลงทางต้องมาร้องไห้อยู่คนเดียว

นี่เธอ...” ขาของคนที่โตกว่าก้าวตรงเข้าไปหาอย่างไม่รีบร้อน ย่อลงนั่งข้างๆอย่างไม่กลัวเสื้อผ้าราคาแพงของตนจะเปื้อนฝุ่น “หลงทางเหรอ? มากับใคร?”

เด็กตัวเล็กที่สะอึกสะอื้นก็เงยหน้ามามองคนที่มานั่งข้างๆ ใบหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายกลับทำให้คนที่ร้องไห้อยู่ก็ยิ่งร้องไห้หนักไปอีก และเมื่อเขาชักสีหน้าเพราะสงสัยว่าจะร้องทำไม เด็กน้อยคนนั้นก็ตั้งท่าจะลุกหนี

เดี๋ยวสิ!...” พอกำลังจะลุกตาม เจ้าของเรือนผมสีเงินก็เหยียบชายผ้าคลุมตนเองสะดุดล้ม ดีที่เขาประคองไว้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะเอาหน้าไปวัดพื้น

ฮึก...” ดูเหมือนคนที่ตัวเล็กกว่าจะเข้าใจแล้วว่าเขาพยายามจะช่วย แต่เจ้าตัวก็ไม่พูดไม่อะไร ซ้ำยังดันร่างที่สูงกว่าให้ออกห่างจากตนอีก

ตึก ตึก ตึก

เสียงฝีเท้าดังเท่าเด็กวิ่งกำลังส่งเสียงใกล้เข้ามาตรงจุดที่พวกเขายืนอยู่

เกรเซีย!” 

เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อ เจ้าของนัยน์ตาสีทับทิมก็ลุกพรวดแล้วหันรีหันขวาง พลางส่งเสียงตอบโต้เสียงนั้น

พี่ฟรอ!” 

ตอนนี้เจ้าของเรือนผมสีตะวันก็ได้แต่ยืนอยู่ข้างๆเฝ้าเด็กน้อยเรียกร้องหาพี่ คอยจับแขนเล็กๆไว้ไม่ให้ออกวิ่งไปผิดทาง เอ่ยกระซิบว่าให้เรียกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวพี่ฟรอก็จะมาหาเอง

จะหากันเจอมั้ยนะ?

ไม่นานนักก็ปรากฏร่างของเด็กชายที่อายุมากกว่าทั้งคู่ที่หัวมุมของผนัง มองเพียงครั้งแรกก็รู้ได้ว่าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทั้งสีผมและสีตาเหมือนกันราวกับฝาแฝด เมื่อมือที่รั้งไว้ปล่อยออก ร่างกระจิ๊ดริดก็โผกอดพี่ชายหมับ ใบหน้าเล็กๆซุกอกแล้วร้องไห้โฮ

เกรเซีย ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่แล้ว...” มือขาวสะอาดลูบเรือนผมสีเงินของคนที่กอดตนอย่างเบามือ ปลอบประโลมน้องรักที่เพิ่งออกนอกปราสาทมาต่างแดนเป็นครั้งแรก

...พี่ฟรอ...” เด็กน้อยชี้นิ้วไปยังเด็กชายอีกคนที่ยืนหัวโด่อยู่ไม่ไกล คราแรกผู้เป็นพี่ก็ทำหน้าดุเพราะคิดว่าเป็นคนทำอะไรไม่ดีกับน้อง แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาก็ค่อยลาดปลายคิ้วลง “เขาช่วย...ผม...”

งั้นเหรอ งั้นต้องขอบคุณเขานะ” เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วจูงมือน้องไปหาเด็กชายอีกคน

ดวงตาสีพระอาทิตย์... 

แก้วตาสีทับทิมสบตากับนัยน์ตาแห่งรพี ราวกับมนต์สะกดดึงดูดกันและกันให้ตกอยู่ในภวังค์ ดวงตาสีประหลาดทว่างดงามรวมกับแสงอรุณรับกับสีผมสีเดียวกัน ดวงหน้านั้นคมคายแม้ยังเยาว์วัย ฉายความฉลาดทันคนเกินอายุ กิริยาที่ยืนนิ่งก็สง่างามสมเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์

เอ่อ...” และฝ่ายที่ได้สติก่อนคือเด็กชายที่โตกว่า เขากะพริบตาถี่จนอีกฝ่ายสังเกตเห็นแพขนตายาวสีเงิน “ฉันชื่อฟรอสต์ เป็นเจ้าชายจากสโนว์ฟิเลีย ขอบคุณมากที่ช่วยน้องชายฉันนะ” ว่าพลางดันหลังน้องชายเบาๆให้พูดบ้าง

น้องชาย?...นึกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก... เขาทำสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่คิดได้ว่าเด็กวัยนี้อาจจะดูออกยาก เพราะจะเพศหญิงเพศชายก็หน้าตาไม่ต่างกันมากนัก

...ผมเกรเซีย ......ขอบคุณ...” เด็กน้อยพูดตะกุกตะกักด้วยความขี้อาย ประกอบกับเห็นสีหน้าที่สงสัยนั้นยิ่งทำให้ไม่กล้าพูดเข้าไปใหญ่

อา ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง...” ดวงเนตรแห่งสุริยันฉายแสงอ่อนลง เรียวปากเผยยิ้มเย่อหยิ่งอย่างพยายามที่จะเป็นมิตรกับคนที่อายุน้อยกว่า... “ฟรอสต์กับเกรเซียสินะ ส่วนฉันชื่อ...”

ไอ้น้องงี่เง่า! ไหนบอกไม่หลง แล้วนี่หายหัวไปไหนกัน!!!” เสียงอันคุ้นเคยลอยเข้ามาในหูของเด็กชายที่กำลังแนะนำตัว

ไดอา...” เด็กชายคำรามเสียงต่ำแล้วรีบเดินหายไปจากสองพี่น้องสโนว์ฟิเลียทันที เพราะความอดทนนั้นต่ำ อาจจะเผลอทำอะไรไม่ดีใส่ทั้งคู่ได้

ฟรอสต์ได้แต่ยืนมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ประกอบกับได้ยินเสียงพระบิดาเรียกหาจึงรีบพาน้องออกจากที่ตรงนั้นไป

พระอาทิตย์เหรอ สง่างามไม่เบานี่...