หลายวันต่อมา...

ที่ปราสาทเล็ก อาณาเขตชายแดนในการปกครองของเจ้าชายอพอลโล

พระโอรส มีสาสน์ส่งมาจากโซลเชียนาพระเจ้าค่ะ” คนสนิทเข้ามาหาเจ้าของปราสาทที่กำลังออกว่าราชการในยามเช้า 

ส่วนตัวหรือไม่?” ร่างสูงสง่าเงยหน้าจากเอกสารเรื่องการเงินที่กำลังปรึกษากับนายพระคลังมามองคนสนิทเพียงแวบเดียวก็กลับไปสนใจเอกสารต่อ

เป็นสาสน์เชิญเข้าร่วมเทศกาลพระเจ้าค่ะ”

อ่านมา”

สิ้นสุรเสียง คนสนิทก็พยักหน้าเพียงเล็กน้อยก่อนจะอ่านสาสน์จากเจ้าชายอิเรียแห่งอาณาจักรโซลเชียนา แดนเวทมนตร์ ที่ส่งมาถึงเจ้าชายอพอลโลแห่งอาณาจักแฟลร์รูจ แดนสุริยา ใจความสำคัญบอกเพียงเชื้อเชิญให้เจ้าชายผู้สามารถใช้ไฟได้ให้เข้าร่วมเทศกาลและเป็นหนึ่งในผู้แสดงเวทไฟในการแสดงหลักของเทศกาล รวมกับเจ้าชายไดอาผู้เป็นพี่ชายที่ตอบตกลงมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเทศกาลนี้เป็นธีมของการสานสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องราชวงศ์

ให้ไปเป็นผู้แสดง?”

พระเจ้าค่ะ”

กับมัน?”

ใช่พระเจ้าค่ะ”

ฉันขอปฏิเสธ”

คนสนิทหาได้แปลกใจไม่ ทว่าเขากลับยกยิ้มและเอ่ยอ่านข้อความในสาสน์นั้นต่ออย่างใจเย็น ที่ผ่านมาเขาสังเกตองค์ชายเล็กของเขาเป็นอย่างดีและอยากสนับสนุนให้องค์ชายเล็กของเขาเป็นที่รู้จักและมีหน้ามีตา ให้เหมาะสมกับผู้ท้าชิงตำแหน่งราชาแห่งแฟลร์รูจคนต่อไป

รายนามของเจ้าชายที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นผู้แสดงการใช้เวทมนตร์ธรรมชาติสายต่างๆ

สายพสุธา (ดิน) เป็นพี่น้องจากแดนอาวุธ

สายอาโป (น้ำ) เป็นพี่น้องแดนเทพจิ้งจอก

สายวาโย (ลม) เป็นพี่น้องจากแดนสายรุ้ง

สายอัคคี (ไฟ) เป็นพี่น้องจากแดนสุริยา

สายอัสนี (สายฟ้า) เป็นพี่น้องจากแดนพิพากษา

และสายหิมะ (น้ำแข็ง) เป็นพี่น้องจากแดนหิมะ”

เมื่อได้ยินชื่อแดนสุดท้าย เจ้าชายที่เคยปฏิเสธเมื่อครู่อย่างไม่ลังเลนั้นก็ได้หันกลับมามองเจ้าคนสนิทที่บังอาจรู้ดีเกินหน้าที่และเอาอะไรบางอย่างมาหลอกล่อให้เขาเปลี่ยนใจ ขายาวๆ ก็รีบก้าวเข้ามาหาคนสนิทอย่างเร็วไวและเอาจดหมายเชิญนั้นมาอ่านเสียเอง

พี่น้องแดนหิมะ...พี่น้องคนไหน? มีตั้งสามคน” ในจดหมายซึ่งไม่บอกรายชื่อก็ยิ่งทำให้เขาหัวเสีย

แล้วตกลงว่าพระองค์จะไป

จัดตารางงานช่วงนั้นให้ว่างด้วย” 

ยังไม่ทันพูดจบ องค์ชายเล็กของเขาก็พูดแทรกขึ้นมาพลางยัดจดหมายนั้นกลับเข้าในมือเขา ส่วนร่างสูงสง่านั้นก็ปลีกตัวไปคุยงานเอกสารที่คั่งค้างไว้ต่อ คนสนิทเผยยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหยิบเอกสารตารางราชกิจขององค์ชายของเขาขึ้นมาจัดสรรเวลาให้เหมาะสม บางทีเขาก็ควรจะยินดีกับเจ้าชายที่แทบไม่สนใจเรื่องเจ้าชายพระองค์อื่นที่ขณะนี้พอเอ่ยชื่อเจ้าชายแดนหิมะออกมาก็คิดแต่จะไปหา

แม้จะยินดีที่เจ้าชายของตนได้มีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าชายพระองค์อื่นบ้างและดูจะสนิทกับเจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลียพอสมควร ทว่าก็อดห่วงอยู่ไม่ได้ว่าการแสดงในเทศกาลนั้นจะทำให้ลิ่มที่หัวใจนั้นทำร้ายร่างกาย และยิ่งไปกับเจ้าชายไดอาซึ่งอาจจะถูกกลั่นแกล้งอะไรบางอย่างอีก

แต่ว่าพระองค์ก็ระมัดระวังมาโดยตลอด หากเจ้าชายไดอาจะทำการใด คนที่นั่นทุกคนย่อมต้องเห็น



 

เทศกาลเวทมนตร์สานสัมพันธ์พี่น้องกำลังจะถูกจัดขึ้น เจ้าชายพี่น้องจากดินแดนต่างๆ ก็เตรียมพร้อมการแสดงของตนให้สมบูรณ์แบบ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายผู้ดีเลิศทุกด้านอย่างเจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลีย เขาได้สั่งสอนเวทมนตร์สายน้ำแข็งให้น้องชายคนรองอย่างขะมักเขม้น แม้น้องรองจะโวยวายอยู่บ้างแต่ก็ยอมรับการฝึกนั้นแต่โดยดีด้วยโดนบังคับมาว่าอย่าทำให้ขายหน้าและเสียชื่อราชวงศ์แห่งสโนว์ฟิเลีย ส่วนคนเป็นพี่ใหญ่นั้นก็นั่งจิบชาสบายใจพลางอ่านเอกสารเล่มเล็กในมือสลับกับการดูน้องชายคนรองฝึกซ้อมเวทมนตร์

อืม...เกิดวันที่หก เดือนมิถุนายน อายุยี่สิบสาม ส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบหกเซนติเมตร น้ำหนักเจ็ดสิบเจ็ดกิโลกรัม ความสามารถพิเศษคือการใช้ดาบใหญ่และการสร้างไฟ...”

เสียงทุ้มต่ำอ่านเบาๆ สายตาไล่ไปตามตัวอักษรบนกระดาษ มือขวายกชาจิบเป็นระยะๆ ข้อมูลบนแผ่นกระดาษเริ่มไหลเข้าสมองผ่านการอ่านเรื่อยๆ

หืม? มีพี่ชายหนึ่งคน ข้อมูลอื่นๆของพี่ชายไม่มี มารดาเป็นเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง เป็นพระญาติของกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคลร์บูล”

นี่ๆ พี่ฟรอ อ่านอะไรอยู่เหรอ?” น้องชายคนเล็กชะโงกหน้าข้ามไหล่พี่ชายใหญ่ที่นั่งอยู่มาอ่านบ้าง ฟรอสต์สะดุ้งโหยงและเขกกบาลน้องชายไปหนึ่งที

ชเนย์ ห้ามชะโงกหน้ามาอ่านเอกสารของคนอื่นแบบนี้ มันเสียมารยาท” รีบพับเอกสารและเก็บไว้ให้พ้นมือน้องชายวัยซนทันที

เด็กน้อยเอามือลูบหัวป้อยๆ ก่อนจะยู่ปากน้อยๆ ท่าทีนั้นทำให้คนเป็นพี่รู้สึกเอ็นดูและยกมือลูบศีรษะทุยน้อยๆนั้นอย่างแผ่วเบา

พี่ฟรอกับพี่เกรจะไปเที่ยวกันเหรอ?”

ก็ไม่เชิง เป็นราชกิจที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานมากกว่า”

ผมอยากไปด้วยอ่ะ” เด็กน้อยส่งสายตาออดอ้อน แก้วตาสีทับทิมส่องประกายวาววับ

ไม่ได้ มันอันตราย พี่กับเกรเซียก็ไม่ได้ว่างจะพาเที่ยว” พอพูดเช่นนั้นก็ถูกทำหน้างอเข้าใส่

ผมไม่ไปก็ได้ เดี๋ยวไปเทศกาลขนมหวานกับพีโคกับฮินาตะแทน” เด็กน้อยเชิดสะบัดเข้าให้ พี่ชายก็ถอนหายใจอย่างจนใจ

เทศกาลขนมหวานที่ไหนอีก?” ไอ้ที่พาไปมาเมื่อกี้ก็เพิ่งจบไป แถมยังซื้อมาเยอะแยะจนกินแล้วบ่นปวดท้องอยู่เลย...

ไม่รู้...” เด็กชายเบะปากน้อยๆ

คนเป็นพี่ถอนหายใจหนักมาก...

เอาอย่างนี้ จะพาไปด้วยก็ได้ แต่พี่จะให้คนสนิทดูแลนาย ตกลงไหม?” มือเรียวยกขึ้นลูบศีรษะสีเงินนั้นอย่างเอ็นดู

อื้ม! แต่ถ้าพี่ว่างแล้วก็ไปเที่ยวด้วยกันนะ”

อืม”

เมื่อได้คำอนุญาตจากพี่ชายคนโตก็ยิ้มร่าเริงดีใจและวิ่งจากไปอย่างอารมณ์ดี ฟรอสต์ส่ายหน้าน้อยๆ และคิดในใจว่าควรจะเลิกตามใจชเนย์ได้แล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงหน้าเง้างอนนั้นก็อดใจอ่อนไม่ได้ทุกที

คนเป็นพี่ก็เป็นอย่างนี้ทุกคนสิน่า...

จากนั้นก็เปลี่ยนหันไปสนใจน้องชายรองที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกเวทมนตร์อย่างตั้งใจ เจ้าชายผู้แสนเย็นชาเผยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปหาและช่วยชี้แนะเคล็ดลับต่างๆ เพื่อฝึกปรือให้น้อง แม้จะได้รับเสียโวยวายกลับมาแต่ก็ยอมทำตามคำแนะนำแต่โดยดี 

ผิดกับพี่น้องแดนสุริยาที่ไม่เคยแม้แต่จะปรึกษาเรื่องการแสดงด้วยกัน



 

อาณาจักรโซลเชียนา แดนเวทมนตร์ เดือนความสงบ

เจ้าชายหลายพระองค์เสด็จมาเยือนที่อาณาจักรนี้ในฐานะของผู้เข้าร่วมงานเทศกาลเวทมนตร์จากการส่งจดหมายเชิญโดยเจ้าชายอิเรีย เจ้าชายองค์โตของอาณาจักร

ในปีที่แล้ว เจ้าชายแกรี่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเทศกาล และเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เจ้าชายอิเรียและเจ้าชายมิยะผู้เป็นน้องชายฝาแฝดได้ตระหนักถึงสายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ทั้งคู่จึงได้วางแผนที่จะจัดงานเทศกาลเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องขึ้น โดยคาดหวังให้พี่น้องที่ไม่สนิทกันนั้นได้ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อเพิ่มความสนิทสนมและเข้าใจกันและกันมากขึ้น ไม่เฉพาะคนในราชวงศ์ แต่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรมด้วย 

เมื่อสายสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้น การพัฒนาของอาณาจักรย่อมเป็นไปในทางที่ดีขึ้นด้วยในทุกๆ ด้าน

กำหนดการแสดงนั้นมีในอีกสามวันข้างหน้า อิเรียนั้นให้รายละเอียดคร่าวๆ ของการแสดงไปแล้ว และให้มาประชุมเพื่อสอบถามปัญหาและการลำดับการแสดงให้ลื่นไหลมากขึ้น หลังจากที่เจ้าชายที่เป็นผู้แสดงมาครบและพักผ่อนบ้างแล้ว อิเรียจึงได้เชิญเจ้าชายคนอื่นๆ ให้มาร่วมประชุมกันในตอนบ่ายโมงตรง 

อ่า ถ้ามากันครบแล้ว ผมขอเปิดการประชุมเลยนะครับ” เจ้าชายอิเรียใช้ดวงตาสีไพลินมองลอดแว่นไปที่เจ้าชายต่างแดนทั้งสิบสองพระองค์ที่กำลังนั่งล้อมโต๊ะในห้องประชุมขนาดใหญ่ 

เชิญเจ้าชายอิเรียให้รายละเอียดก่อนเลยครับ” เจ้าชายคาลิเบิร์นเอ่ยอย่างสุภาพ 

ครับ ก่อนอื่นผมจะให้เจ้าชายแนะนำตนเองให้รู้จักกันก่อนนะครับ” เจ้าชายผมชี้สีทองเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันสดใส

ผมชื่ออิเรียครับ และนี่น้องชายฝาแฝดของผม ชื่อมิยะครับ” เจ้าชายเจ้าของดินแดนทั้งสองเป็นผู้เริ่มแนะนำตนเองก่อน 

ฉัน พริธเวน เป็นผู้ถือครองโล่ ส่วนคาลิเบิร์น เป็นน้องชาย เขาถือครองดาบประจำตระกูล” ตามมาด้วยเจ้าชายจากแดนอาวุธที่นั่งอยู่ลำดับถัดจากเจ้าของอาณาจักรอย่าง พริธเวนและคาลิเบิร์น แม้จะพูดจาห้วนๆ ตามประสาคนทื่อๆ แต่ก็มีไมตรีจิตให้แก่เจ้าชายคนอื่นๆ 

นามของข้าคือไซงะ ส่วนพี่ชายข้าชื่อโคงะ พวกเราสามารถเรียกฝนออกมาได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เจ้าชายร่างเล็กผมสีดำก็พยักหน้าหงึกๆ ให้เข้ากับคำพูดของน้องชายผมขาว เจ้าชายพระองค์อื่นแลจะอมยิ้มกับพี่น้องที่ขนาดตัวต่างกันมากทั้งสองคู่นี้ คนน้องตัวโตกว่าคนพี่นัก ดีแล้วที่แนะนำตัวกันก่อน มิเช่นนั้นคงทักผิดเหมือนที่มิยะเรียกพริธเวนว่าน้อง 

ต่อไปก็พวกผมสินะครับ” เจ้าชายติดปีกเอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะผายมือไปยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “พี่ชายฝาแฝดของผม ลูเซียนครับ ส่วนผมชื่อมิคาเอลา พวกเรามาจากอัลบิโทร แดนพิพากษาครับ” คนพี่เพียงแค่ค้อมศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กๆ มีเสียงฮือฮาเบาๆ เมื่อเห็นว่าเป็นคู่แฝดที่มีสีผมและสีปีกต่างกันโดยสิ้นเชิง 

เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ปีกของผมเลยกลายเป็นสีดำ” เมื่อเห็นว่าตกเป็นเป้าสายตา ลูเซียนจึงเอ่ยคำตอบตอบคำถามในใจของเจ้าชายหลายพระองค์ให้ มิคาเอลามีสีหน้าเจ็บปวด แต่ลูเซียนเพียงแค่บีบมือน้องชายไว้ๆ เบาๆ เท่านั้น 

โอ๊ะ ถึงตาพวกเราแล้วสินะ” สองพี่น้องผมสีม่วงที่สวมหมวกทรงกรวยขนาดใหญ่ลุกขึ้นยืน 

ฉันชื่อดรัวต์ ส่วนน้องชายที่น่ารักของฉันคนนี้คือกอช!” ยังไม่ทันที่คนน้องจะเอ่ยทักเจ้าชายคนอื่นๆ คนเป็นพี่ก็คว้าน้องชายมากอดมาหอมด้วยความเอ็นดู จนกอชโวยวายและขู่ว่าวันหลังจะไม่ไปเยี่ยมที่อาณาเขตของดรัวต์อีก คนพี่จึงยอมวางมือไป 

พอมาถึงเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจทั้งสอง ทั้งคู่ก็เอาแต่นั่งเงียบและจ้องตากันหมายจะเกี่ยงหรือแย่งกันพูดก็ไม่อาจทราบได้ และเมื่อสบจังหวะที่พี่ชายละสายตาไป คนน้องก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เผยยิ้มเย่อหยิ่งก่อนจะเอ่ยวาจากกังวานชัด 

ฉันคืออพอลโล ว่าที่ราชาแห่งแฟลร์รูจ” เมื่อได้ยินคำสะกิดอารมณ์ เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อีกคนก็ลุกขึ้นยืนทันที 

อย่าไปฟังน้องชายขี้โม้เลย ฉันต่างหาก ไดอา รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งแฟลร์รูจ” รอยยิ้มอันสดใสและเป็นมิตรถูกส่งออกมาจากเจ้าชายรูปงาม เจ้าชายทุกพระองค์สรุปได้ทันทีว่าทั้งคู่ไม่ถูกกันอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากราชบัลลังก์ 

ว่าอย่างไรนะ...” อพอลโลกดเสียงต่ำ ไดอาเพียงยิ้มหวานให้อย่างเสแสร้งก่อนจะนั่งลงและปรายตามองคนในห้องประชุม และนั่นทำให้อพอลโลยอมเงียบโดยไม่พอใจนัก นั่งลงอย่างเงียบๆ และลอบมองเจ้าชายต่างแดนที่นั่งอยู่เคียงข้างเขา 

สุดท้ายแล้วสินะ” เสียงทุ้มเย็นๆ เอ่ยออกมาจากเจ้าชายแดนหิมะ สองพี่น้องยืนขึ้นพร้อมกันและเอ่ยแนะนำตัว 

ฉันชื่อเกรเซีย เจ้าชายลำดับที่สองแห่งสโนว์ฟิเลีย” แล้วจึงค่อยนั่งลง

ฟรอสต์ มกุฎราชกุมารแห่งสโนว์ฟิเลีย ยินดีที่ได้รู้จัก” เอ่ยจบจึงนั่งลงตามเดิม

เมื่อแนะนำตัวกันครบแล้ว เจ้าชายอิเรียไม่รอช้า เปิดใช้อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่องฉายภาพฉายลงบนผนังห้อง เป็นแผนผังของลานประลองที่จะใช้เป็นพิธีเปิดของเทศกาล อิเรียได้จัดลำดับการแสดงให้ทุกคนฟัง 

คาลิเบิร์นกับพริธเวนบอกว่าพวกเขานั้นไม่มีเวทมนตร์ จดหมายที่อิเรียส่งมาให้บอกเพียงแค่ใช้อาวุธที่เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์เท่านั้น อิเรียจึงกล่าวว่าเขารู้อยู่แล้ว และตั้งใจจะให้เจ้าชายแดนอาวุธทั้งคู่โชว์ทักษะการต่อสู้กับสัตว์เวทมนตร์ประเภทดินมากกว่า เพราะชาวเมืองโซลเชียนาส่วนใหญ่ใช้อาวุธไม่เป็น และอีกอย่างก็ถือเป็นการโปรโมทให้แดนอาวุธที่จะจัดเทศกาลการประลองในเดือนหน้าด้วย 

สำหรับเจ้าชายองค์อื่นๆ นั้นมีเวทมนตร์และใช้เวทธาตุที่ถนัดของตนอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาอะไร อิเรียจึงเพียงแค่นัดแนะการฝึกซ้อมในวันรุ่งขึ้นเท่านั้น เจ้าชายทุกพระองค์จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย

ในห้องเหลือเพียงเจ้าชายแดนสุริยาที่นั่งฟังที่เจ้าชายแดนหิมะทั้งสองคนถามคำถามกับเจ้าชายอิเรียและเจ้าชายมิยะในส่วนการแสดงของตน ดวงเนตรสีตะวันจับจ้องไปยังคนที่ตัวโตสุดในที่นั้น เมื่อการถามตอบได้จบลง เจ้าชายฝาแฝดได้ขอตัวไปจัดการเทศกาลในส่วนอื่นก่อน ขณะที่เจ้าชายแดนหิมะทั้งสองกำลังจะลุกออกจากเก้าอี้ อพอลโลก็ก้าวเข้ามาขวางหน้าและสบตาเข้ากับเนตรสีทับทิมที่หยิ่งทะนงตน

มีธุระอะไร?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเย็นชา

ฉันมาเตือน” น้ำเสียงของเจ้าชายแดนสุริยานั้นจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ราวกับเรื่องที่กำลังจะพูดเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

ฟรอสต์หันหน้าไปมองน้องชายที่ยืนอยู่เบื้องหลังแล้วส่งสายตาบอกให้ออกไปก่อน แม้เกรเซียจะไม่รู้ว่าเรื่องที่จะพูดคือเรื่องอะไร แต่สีหน้าที่จริงจังของผู้ใหญ่ทั้งคู่ก็ทำให้คิดว่าไม่ควรอยู่ฟัง

เรื่องอะไร?” เมื่อพ้นหูพ้นตาน้องชาย เขาก็กล่าวเร่งให้อีกฝ่ายรีบเอ่ยปากออกมา

อย่าเข้าใกล้ไดอา และอย่าให้มันเข้าใกล้นายหรือน้องชายเด็ดขาด”

ทำไม?”

ลางสังหรณ์น่ะ หมอนั่นเข้าใกล้อะไรก็พินาศหมด”

ฟรอสต์ยกมือล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยความอึดอัด ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมาว่าร้ายพี่ชายตนเองให้ตนฟัง อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยทะเลาะรุนแรงกับน้องชายจนต้องมาหาพวกและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม

มันเป็นเรื่องของนายกับพี่ชาย ฉันไม่เกี่ยว” ร่างสูงโปร่งผมสีเงินเดินสวนอพอลโลออกจากห้องไปอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าแขนเรียวก็ถูกรั้งไว้เสียก่อน

ฉันรักนาย เพราะฉะนั้นนายเกี่ยว!” สีหน้าจริงจังของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจทำเอาคนสูงกว่าพูดอะไรไม่ออก “ฉันไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับนาย มันไม่ใช่คนดี อย่าไปหลงเชื่อภายนอก”

แล้วทำไมฉันต้องเชื่อนาย?” ฟรอสต์ดึงแขนตนกลับมา เพราะอพอลโลนั้นแค่รั้งไว้ให้อยู่ฟังจึงไม่ได้ต้องออกแรงมากก็หลุดจากการเกาะกุมของมือร้อน

เพราะฉันไม่เคยพูดโกหก”

เรื่องอย่างนั้นใครก็พูดได้” คนผมเงินยิ้มมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ

ฉันจะไม่ห่วงใครถ้าฉันไม่ได้รัก”

มาถึงคำพูดนี้ที่ทำให้ฟรอสต์ต้องเงียบปากลงอีกครา เขาไม่เข้าใจคำรักของอีกฝ่ายเลย ทั้งคำพูดและการกระทำ แม้จะดูออกว่าอีกฝ่ายจริงจังมากแค่ไหน แต่ความรักมันทำให้คนบ้าได้ขนาดนี้เชียวหรือ ไม่ว่าเขาจะไปไหน ทำอะไร หมอนี่ก็จะต้องตามเขาไปตลอด 

ฟรอสต์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนายฉันจะไม่ยกโทษให้ตัวเอง” คำพูดหนักแน่นราวกับคำสาบานก็ทำให้ฟรอสต์หาคำพูดไม่เจอ

ใจหนึ่งก็รำคาญและหงุดหงิดที่ถูกตอแย แต่อีกใจก็รู้สึกดีที่มีคนคอยห่วงและคอยรักแบบนี้

เป็นความรู้สึกที่ตลกดี

น้องฉันรอนานแล้ว” ฟรอสต์ทำทีเป็นไม่สนใจและเดินออกจากห้องไปโดยปล่อยให้อพอลโลนั้นยืนนิ่งอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ เพราะเขายังไม่รู้เรื่องอีกฝ่ายมาก ตอนนี้จึงเชื่ออะไรไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่ใจตนเองยังทรยศความคิด ทำไมต้องใจเต้นทุกครั้งที่ได้ยินคำรักจากอีกฝ่ายด้วย...



 

สองสามวันที่ผ่านมานี้ อพอลโลไม่ได้เข้าไปคุยอะไรกับฟรอสต์อีก นอกจากจะอยู่ด้วยในระยะห่างๆ ในทุกๆ ที่ที่ฟรอสต์อยู่ ราวกับทำหน้าที่เป็นองครักษ์ประจำกายของฟรอสต์ การฝึกซ้อมลำดับการแสดงก็ถือว่าเป็นไปด้วยดีและไม่มีปัญหาอะไร นอกจากสองพี่น้องแฟลร์รูจที่ดูจะไม่ค่อยเข้าขากันนัก และเหมือนจะมีเพียงสองคนที่ยังเก็บออมพลังไว้ไม่ปล่อยออกมาเต็มที่ในการซ้อม

ชายหนุ่มผมสีเงินนั่งพักที่เก้าอี้หินริมลานประลองที่จะใช้เป็นสถานที่แสดงเพื่อพักเหนื่อยจากการใช้พลังเวทเพื่อซักซ้อมหลายรอบติดๆ กัน

ฟรอสต์สังเกตได้ว่าเจ้าชายไดอานั้นค่อนข้างเป็นคนที่เรียบร้อยและนุ่มนวล ดูไม่น่ากลัวเหมือนดังที่อพอลโลเอ่ยเตือน ทว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยคำเตือนนั้น ยังคงระวังที่จะไม่เข้าไปสนิทสนมกับใคร ในขณะที่ไดอานั้นทำความรู้จักไปทั่วและดูจะเป็นมิตร อ่อนโยนกับสัตว์หลายชนิดด้วย

เจ้าชายฟรอสต์ ต้องแสดงปิดท้าย คงเหนื่อยแย่เลยสินะ” ขณะที่กำลังสังเกตอยู่ ไดอาก็เดินเข้ามาทักทายและยื่นแก้วน้ำเย็นๆให้

ฟรอสต์เพียงรับมาถือเป็นมารยาทเท่านั้น

แค่นี้สบายมาก” เจ้าชายแดนหิมะสงวนถ้อยคำ

ใช้พลังได้ขนาดนั้น น่านับถือจริง” ไดอายิ้มหวานพร้อมคำชม ทว่าฟรอสต์มองแล้วมันช่างดูเสแสร้งนัก

นายต่างหาก จะเก็บออมพลังไว้ทำไม?” เขาหยักยิ้มมุมปากพลางเอ่ยหยั่งเชิงดู

ของดีๆ นั้นต้องดูในการแสดงจริงสิถึงจะน่าสนุก ว่าไหม?” เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งแฟลร์รูจยิ้มจนตาหยี “คงต้องขอตัวก่อน เป็นห่วงอพอลโลจังว่าจะเหนื่อยจนเป็นลม” ว่าแล้วก็เดินจากไป

เป็นลมหรือ?

ฟรอสต์คิดตามขณะที่มองตามหลังเจ้าชายไดอาไป อากัปกิริยามารยาททุกๆ อย่างนุ่มนวลไปหมด แม้รูปร่างหน้าตาจะคลับคล้ายอพอลโลอยู่มาก แต่นิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง รวมทั้งเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง อพอลโลนั้นดูสมชายกว่ามากทั้งสีหน้า แววตา คำพูด การแสดงออกก็ดูเข้มแข็งหนักแน่นกว่า ส่วนไดอานั้นแค่จับอาวุธยังมือสั่น ดูเหลาะแหละขาดการฝึกฝน การควบคุมเวทไฟก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร แค่ลูกไฟยังเสกเองไม่ได้ ยังต้องใช้คบเพลิงช่วย

คนพี่นุ่มนวลเหมือนจันทรา คนน้องร้อนแรงดั่งสุริยา...

นั่นคือสิ่งที่ฟรอสต์สรุปได้หลังสังเกตทั้งสองพี่น้องมาตลอดสามวัน



 

วันงานเทศกาล

ในเวลาเช้า ทุกอย่างวุ่นวายไปหมดที่เบื้องหลังเวทีที่อิเรียและมิยะจะต้องขึ้นไปกล่าวพิธีเปิด เจ้าชายทุกพระองค์ที่เป็นผู้แสดงก็เตรียมตัว ตรวจสอบชุดและอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ผิดกับอพอลโลที่นั่งนิ่งๆ ไม่ทำอะไรนอกจากนั่งกอดอกไขว่ห้างและมองแต่ฟรอสต์

เลิกจ้องจะได้ไหม ฉันขนลุก” คนถูกต้องที่รู้ตัวตลอดก็หันมาทำหน้าขมวดคิ้วใส่

หรือจะให้ฉันทำอย่างอื่น?” เสียงทุ้มเข้มนั้นเอ่ยสวนกลับมา

นี่นาย...!”

อพอลโลไม่คิดจะฟังคำก่นด่าอะไรที่ส่งผ่านสายตาฟรอสต์มา เขาเพียงแค่ละสายตาไปมองไดอาแทน รายนั้นดูจะร่าเริงเป็นพิเศษและช่วยคนอื่นๆ จัดแต่งชุดให้ดูเข้าที ผู้เป็นน้องร้องหึในลำคอก่อนจะเบนสายตากลับมามองคนงามของเขาเหมือนเดิม

เจ้าชายทุกพระองค์ได้ออกไปประจำที่ของตนที่ข้างๆ ลานประลองเพื่อให้มีสมาธิและแสดงได้อย่างเต็มที่ ส่วนพริธเวนและคาลิเบิร์นผู้เป็นนักแสดงหลักต้องรอที่หลังเวที ฟรอสต์นั้นลอบสังเกตเห็นมุมปากของไดอาที่ยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรเป็นครั้งแรก สายตาสีอาทิตย์นั้นจับจ้องไปยังผู้เป็นน้องชายที่กำลังตั้งสมาธิอยู่ เจ้าชายแดนหิมะรู้สึกว่าจะมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น



 

การแสดงพิธีเปิดได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่อิเรียพูดจบ และมิยะได้ร่ายเวทคุ้มครองครอบอัฒจันทร์เพื่อป้องกันอันตรายจากการแสดงที่ลานประลอง เวทีถูกยกออกไปเพื่อไม่ให้เกะกะพื้นที่การแสดง

พื้นดินเริ่มบิดเบี้ยวและแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของสัตว์ประหลาดธาตุดิน เบื้องหลังนั้นมีอิเรียและมิยะคอยควบคุมสัตว์ประหลาดเหล่านั้น ประชาชนและผู้เข้าร่วมชมคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจและหวาดกลัวท่าทางดุร้ายของมัน ทว่าสายลมที่พัดพาฝุ่นดินทรายเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นพายุ เหล่าสัตว์ประหลาดนั้นเริ่มดุร้ายยิ่งขึ้น แต่หลังจากพายุนั้นสลายไปก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มสองคนกลางลานประลอง คนแรกรูปร่างเล็ก ถือโล่ขนาดใหญ่เป็นเครื่องป้องกัน คนที่สองรูปร่างสูงโปร่ง กระชับดาบในมือให้มั่นเพื่อจู่โจม เมื่อมีเป้าหมาย เหล่าสัตว์ประหลาดก็เข้าจู่โจมทันที

คาลิเบิร์นวาดมือลงบนใบดาบอย่างแช่มช้า พลันเกิดเปลวไฟครอบคลุมดาบ เขาใช้ดาบยาวรับกรงเล็บของสัตว์ประหลาดที่รูปร่างคล้ายหมาป่าตัวใหญ่ได้ทันท่วงที และแม้ว่าด้านหลังของเขาจะถูกลอบโจมตีจากสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายเสือ แต่พริธเวนก็รีบรุดเข้ามาป้องกันน้องชายด้วยโล่ขนาดใหญ่ที่มีน้ำแข็งอันแข็งแกร่งจนคมเขี้ยวของเสือดินนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้

เมื่อสองพี่น้องใกล้จะมีชัย กลับปรากฏเมฆครึ้มดั่งลางร้ายขึ้น เหนือเมฆนั้นพบร่างของเทวาสององค์ผู้ครองปีกดำสนิทแลปีกขาวสะอาด เพียงหัตถาของเทวาทั้งสองโบกสะบัด พลันอสนีบาตก็ผ่าลงมาราวกับห่าฝน แม้สายฟ้าฟาดจะทำให้สัตว์ประหลาดบางส่วนสลายไป ทว่าก็ทำให้สองพี่น้องนั้นสะบักสะบอมจนไม่อาจสู้ต่อได้ และบริเวณที่สายฟ้าลงบนกอหญ้าแห้งเกิดประกายไฟ สายลมหอบใหญ่พัดพาให้ประกายไปนั้นกลายเป็นเปลวเพลิงและห่อหุ้มร่างของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นให้เปลี่ยนเป็นธาตุไฟ

ดาบธาตุไฟของคาลิเบิร์นนั้นไม่อาจต้านทานสัตว์ประหลาดได้อีกต่อไป มีเพียงโล่น้ำแข็งของพริธเวนที่คอยปกป้องน้องชายอยู่ไม่ห่าง ลมพายุโหมกระหน่ำมาอีก กองไฟแตกออกเป็นสองเท่าจากที่มีอยู่ และกองไฟนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดธาตุไฟ 

แม้คาลิเบิร์นกับพริธเวนนั้นจะรู้คิวบทว่าเจ้าธาตุไฟนี้สองพี่น้องแฟลร์รูจเป็นผู้ควบคุม แต่การเพิ่มจำนวนสัตว์ประหลาดนี้ไม่ได้อยู่ในบทที่เตรียมกันไว้

ไดอายิ้มเยาะอยู่ข้างลานประลองที่ไม่ห่างจากอพอลโลนัก มันเป็นแผนของเจ้าตัวที่ต้องการให้อพอลโลต้องใช้พลังมากขึ้น เหล่าเจ้าชายองค์อื่นก็ไม่รู้ว่าสองพี่น้องนั้นคิดอะไรอยู่จึงไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแทรกเพราะเกรงจะเกิดอันตรายขึ้นกับคาลิเบิร์นและพริธเวน

เหล่าสัตว์ประหลาดเพลิงได้เข้ามารุมล้อมสองพี่น้องให้จนมุม เมื่อสัตว์ประหลาดนั้นทำท่าจะกระโจนใส่ คาลิเบิร์นถึงกับหน้าซีดเพราะนี่เป็นสิ่งที่ยิ่งกว่านอกบท พริธเวนยกโล่ขึ้นเพื่อกำบังกายตนและน้องชายพร้อมหลับตาลงรับแรงปะทะ ทว่าทุกอย่างกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อเขาลดโล่ลงก็พบว่ามีราชสีห์เพลิงตัวใหญ่นั้นออกมาปกป้องพวกเขาและจัดการสัตว์เพลิงที่ตัวเล็กกว่าไปจนหมด เหลือเพียงกวางเพลิงสีเงินที่ปรากฏตัวตอนไหนไม่มีใครรู้

เบื้องหลังข้างลานประลอง สีหน้าของอพอลโลเริ่มแย่ลง ทว่าร่างกวางเพลิงนั้นก็กำลังหลอกล่อเขาอยู่ เขารู้ว่าไดอาต้องการวางแผนให้เขาใช้พลังจนหมดและจะถูกลิ่มที่หัวใจกัดกินร่างกาย แต่เขาต้องการที่จะจัดการไดอาด้วยตนเอง หากมีไฟอยู่ ไดอาก็จะยังคงใช้มันต่อ หากเขาจัดการลงก็จะเหลือเพียงไฟในส่วนของเขาที่ไดอาไม่สามารถใช้ได้

ราชสีห์สีเพลิงคำรามเสียงดังและกระโจนเข้าหากวางเพลิงสีเงิน กวางนั้นกระโดดหลบอย่างคล่องแคล่ว สองสัตว์วิ่งวนไปทั่วลานประลองราวกับเล่นไล่จับ แต่สุดท้ายกวางนั้นก็พ่ายแก่ราชสีห์ที่ดุดัน ไฟสีเงินสลายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับที่สายฝนโหมกระหน่ำลงมาดับเพลิงราชสีห์ให้สูญสลายไป

ไดอาพ่นลมอย่างเสียดายที่เกมนั้นจบเร็วกว่าที่คาด แต่ก็เผยยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นน้องชายของตนถึงกับเข่าทรุดลงและเอามือกุมอกอย่างทรมาน แต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น อพอลโลก็หยัดกายขึ้นมายืนนิ่งได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมื่อสายฝนที่กระหน่ำลงมาสร้างความชุ่มชื้นแก้พื้นที่ที่เคยแห้งแล้ง พลันก็มีต้นไม้บางส่วนงอกเงยขึ้นมาให้ร่มเงาแก่สองพี่น้องที่เหนื่อยล้า สายลมที่พัดหวิวมาพร้อมกับความหนาวเย็น เกล็ดหิมะโปรยปรายราวกับอวยชัยชนะให้แก่ชายหนุ่มทั้งสองที่ฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันมา เกล็ดน้ำแข็งได้เพิ่มปริมาณมากขึ้น พายุหิมะเกิดขึ้นอย่างไม่รุนแรงและหอบเอาเกล็ดหิมะนั้นขึ้นไปด้วย และเมื่อพายุนั้นได้สลายไปก็ปรากฏปราสาทน้ำแข็งขนาดย่อมให้สองพี่น้องได้พักอาศัย

การเดินทางของทั้งคู่ได้มาถึงจุดสิ้นสุด กลีบดอกไม้สีชมพูและสีขาวได้ร่วงโปรยปรายลงมาด้วยฝีมือของเจ้าชายเจ้าของอาณาจักร และเมื่อการแสดงจบลง เวทมนตร์ทั้งหลายก็สลายหายไป เจ้าชายผู้ร่วมการแสดงทั้งหลายก็ก้าวเดินออกมายืนเรียงหน้ากระดานและโค้งขอบคุณผู้ชมที่รับชมการแสดงของพวกเขา



 

ที่ห้องพักหลังลานประลอง 

ทำบ้าอะไรของพวกนาย เห็นรึเปล่าว่ามันอันตรายน่ะ!” พริธเวนตรงเข้ามาต่อว่าไดอาและอพอลโลทันที

ไดอาแสร้งทำหน้าสำนึกผิด

ฉันขอโทษ ฉันพยายามจะควบคุมให้ออกมาดี แต่อพอลโลอยู่ๆก็เพิ่มจำนวนขึ้นเอง” เขาโยนความผิดไปให้น้องชายที่พยายามทำตนให้เป็นปกติ แม้ว่าสีหน้าจะแย่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

พวกนายทั้งสองคนนั่นแหละ” ดรัวต์เข้ามาร่วมวงด้วย “น้องชายฉันก็เหนื่อยด้วยนะ”

เอ่อ คือไหนๆ ทุกคนก็ปลอดภัยแล้วนะครับ” มิคาเอลารีบเข้ามาห้ามเพราะกลัวเรื่องจะยิ่งลุกลาม

มันก็ใช่...”

ฉันขอตัว...” อพอลโลพูดแทรกขึ้นมา แม้ว่าจะดูเสียมารยาท แต่ตอนนี้เขาก็ทนจะทำเป็นว่าไม่เป็นอะไรไม่ไหวแล้ว เขารีบคว้าผ้าคลุมและใช้ขายาวๆ พาร่างอันอ่อนแรงของตนกลับไปที่ห้องพักที่ปราสาททันที

ไดอาลอบยิ้มในขณะที่คนอื่นมองตามอพอลโลไป



 

หลังจากคุยสรุปงานการแสดง ทุกคนได้ทราบข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น และโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บจริง เจ้าชายหลายคนต่างต่อว่าอพอลโลตามที่ไดอากล่าวอ้าง เพราะคำพูดของไดอานั้นฟังดูจริงใจ

ถ้าไดอาไม่ใช้สิงโตนั่นช่วยพวกคาลิเบิร์น ป่านนี้คงแย่กว่านี้อีก” กอชว่าพลางนั่งกินขนมที่พี่ชายนำมาให้

เอาเถอะครับ ผมคิดว่าเจ้าชายอพอลโลก็พยายามเต็มที่แล้ว” มิคาเอลาที่มองอย่างเป็นกลางก็ช่วยไม่ให้บรรยากาศแย่ลง

ฟรอสต์นั้นเอะใจอะไรบางอย่างถึงสิ่งที่ดูไม่เข้ากัน ครั้นจะรีบรุดออกไปหาอพอลโลตอนนี้ก็ดูจะผิดปกติ ท่าทางเกรเซียจะอ่านเขาออกเลยช่วยพูดให้เขา

ประชุมกันเสร็จแล้วใช่มั้ย? ฉันจะออกไปหาน้องชายสักหน่อยน่ะ” เจ้าชายหิมะลำดับที่สองเอ่ยอย่างเรียบๆ อิเรียพยักหน้าและบอกว่าประชุมเสร็จแล้ว เกรเซียจึงรีบลากฟรอสต์ออกมาจากห้องประชุมนั้นทันที

เกรเซียจูงมือพี่ชายเดินมาเรื่อยๆจนถึงปราสาทที่เป็นที่พักของบรรดาเจ้าชาย จากนั้นก็ถามห้องพักของอพอลโลกับแม่บ้านในปราสาท พอทราบที่ก็เดินมาจนถึงหน้าประตูห้อง

ไหนบอกว่าจะไปหาชเนย์” พี่ชายคนเอ๋อยังไม่เข้าใจการกระทำของน้องชาย จึงไม่ยอมเปิดประตูเข้าห้องไป

พี่ห่วงเจ้าชายอพอลโลไม่ใช่เหรอ เนี่ย ก็พามาแล้ว ไปดูเขาสิ” เกรเซียผายมือไปที่ประตู

หา?”

มาหาเหออะไรอีกล่ะ พี่ก็เห็นนี่ว่าหลังการแสดงจบเขาก็มีสีหน้าแย่ เหมือนกับใช้พลังจนเหนื่อย ที่เขาออกมาก่อนเนี่ยก็เพราะต้องการพักผ่อน” เด็กหนุ่มเปลี่ยนมาเอามือเท้าสะเอวและเริ่มเทศนาพี่ชาย

อ่า...”

แล้วพี่ก็เอาแต่มองเขาตลอด ผิดปกติขนาดนี้ ถ้าฉันไม่ใช่น้องพี่ก็ไม่มีใครรู้หรอก”

เอ่อ...”

ฉันเข้าใจนะว่าถ้าชอบใครเข้าแล้วก็จะเอาแต่เป็นห่วงเขานะ ปกติคนเย็นชาไม่เห็นหัวคนอื่นแบบพี่จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วและยกแขนกอดอกอย่างหน่ายๆ

เกร...”

ถึงเขาจะเป็นผู้ชายแต่ฉันว่าเขาก็ไม่ได้แย่อะไรนะ ดูเหมาะกับพี่ออก น่าจะคุมพี่อยู่ด้วยซ้ำ”

เดี๋ยวนะ นายหมายความว่าอย่างไร?”

โอ๊ย ทำไมบื้อแบบนี้” เกรเซียไม่พูดอะไรต่อนอกจากเปิดประตูและดันหลังพี่ชายให้เข้าไปในห้องนั้น “โชคดีนะพี่ เดี๋ยวฉันจะไปหาชเนย์”

ประตูปิดอัดหน้าพี่ชายที่กำลังประมวลผลข้อมูลในหัว และเมื่อรู้ว่าน้องชายกำลังเปิดทางให้ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับอพอลโลอย่างเป็นการส่วนตัวซึ่งจะไม่เป็นที่สังเกตของคนรอบข้างเสียที

แม้จะเป็นเวลาสายๆ ใกล้เที่ยง แต่ภายในห้องถูกม่านสีทึบปิดจนมืด ร่างบนเตียงนอนหายใจหอบ และดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามาในห้อง ร่างนั้นขยับพลิกตัวเล็กน้อยจนฟรอสต์สะดุ้งเมื่อเดินเข้าไปหาใกล้ๆ และค่อยๆ ทรุดกายนั่งลงที่ขอบเตียง

มือเรียวขาวค่อยๆ ยื่นไปสัมผัสร่างกายกำยำที่เสื้อผ้าทุกชิ้นยังอยู่ครบบนร่างกาย แสดงถึงความรีบร้อนและเหนื่อยล้า คงมาถึงและล้มตัวลงนอนเลยทันที ความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากผิวกายทำให้ฟรอสต์รีบชักมือกลับทันทีก่อนจะเป็นแผลพุพอง

เหมือนกับตอนที่โรโตเรีย...

มือขาวค่อยๆ สอดเข้าไปในสาบเสื้อเพื่อสัมผัสที่แผ่นอกหน้าแกร่ง เขามองเห็นว่าที่ลานประลอง อพอลโลเอามือกุมอกและทรุดลงไปแวบหนึ่ง และก่อนหน้านั้นที่คุโยเขาก็เคยเห็นนอนทรมานเอามือกุมอกอีก อะไรที่หน้าอกอีกฝ่ายคงเป็นสาเหตุ 

และเป็นอย่างที่ฟรอสต์คิด ตรงส่วนนั้นร้อนกว่าบริเวณอื่น เขารีบจัดการถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก แต่ด้วยความที่เป็นชุดที่ใส่ยาก ทำให้เขาต้องเสียเวลาหาวิธีถอดออก ด้วยความรีบร้อนของเขาคงทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว

หมับ!

ใคร?” มือหนาร้อนคว้าเข้าที่มือทั้งสองของฟรอสต์ บีบแน่นไม่ให้ขยับไปไหน กายแกร่งค่อยๆ ชันขึ้น

ทำไมตัวร้อนขนาดนี้?” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย มือร้อนๆ ก็ยอมปล่อยออกและเอนกายอิงหมอนที่หัวเตียง

เพราะฉันใช้พลังมากเกินไป...” เสียงนั้นเอ่ยอย่างอ่อนล้า “...ลิ่ม...ที่หัวใจก็เลย...”

ลิ่มที่หัวใจ?” ดวงเนตรสีทับทิมสบกับนัยน์ตาสีตะวันอย่างฉงน แววตาที่เหนื่อยอ่อนหลุบลงต่ำก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อของตนออกจนเหลือแต่แผ่นอกเปลือยเปล่าที่มีรอยสักสิงโตคำรามและพระอาทิตย์

พ่อฉันกลัว...พลังของฉัน เลยตอกลิ่ม...ไว้ที่หัวใจ ทุกครั้งที่ใช้พลัง ก็จะเจ็บ...ที่หน้าอกนี่...” คำพูดที่เอ่ยอย่างติดขัดสลับกับอาการหายใจหอบ 

แล้วนายก็ฝืนใช้พลังมาตลอดน่ะหรือ?” ฟรอสต์เอ่ยอย่างไม่เชื่อ “รู้ทั้งรู้ว่ามันฆ่านายได้ก็ยังจะ...”

ฉันอยากเจอนาย” คำพูดของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจเอ่ยขัด มือร้อนจับมือเรียวมาทาบที่อกข้างซ้ายของตนอย่างแช่มช้า

นี่...”

แต่ตอนนี้...ช่วยทำให้มันเย็นลงหน่อยได้ไหม?” น้ำเสียงนั้นมีแววร้องขอ ฟรอสต์ไม่ขัดอะไรนอกจากแผ่ไอเย็นช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มจากร่างกายของเจ้าชายเวทไฟ

ให้ตายสิ...เหมือนที่โรโตเรียเลย” คนผมเงินบ่นพึมพำ

จำได้ด้วยหรือ?” คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ

จำได้สิ”

แล้วตอนที่หอศิลป์ที่เฟรเชียนจำได้หรือเปล่า?”

หา?”

ดวงตาสีทับทิมเบิกกว้างและกะพริบปริบๆ อย่างฉงน ใบหน้าคมคายกลับเผยยิ้มเมื่อเห็นอากัปกิริยาของคนตรงหน้า อพอลโลยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนฟรอสต์ต้องถอยกายห่าง 

เราพบกันครั้งแรกที่เฟรเชียน ฉันเข้าไปช่วยเกรเซียที่หลงทางและนายก็มาพบพอดี” มือหนาทาบทับมือที่แผ่นอกลงไปอีกชั้น

เมื่อไหร่?” เจ้าชายแดนหิมะเริ่มประหม่ากับสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา มือที่พยายามจะชักกลับก็กลับถูกตรึงไว้แนบกับแผ่นอกอีกฝ่าย

เมื่อสิบห้าปีก่อน”

ตอนนั้นฉับเพิ่งสิบขวบ จำไม่ได้หรอก!”

ฉันแปดขวบเอง แต่จำได้ไม่มีลืม”

อะไรของนาย”

ก็นั่นรักแรกเลย”

หา?!”

ยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งงง ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ อะไรทำให้หมอนี่ชอบเขาตั้งแต่แปดขวบ แถมยังชอบมาเรื่อยๆ โดยไม่เคยพบกันอีกมาตั้งสิบห้าปี นี่มันบ้าชัดๆ

ฟรอสต์คงไม่รู้ตัวว่าแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา ใบหน้าแดงระเรื่อ สายตาที่ไม่รู้ว่าจะมองอะไรตรงไหน จะสบตาคู่สนทนาก็จะยิ่งรู้สึกประหม่า มือไม้ก็เกร็งไปหมด คิ้วที่กดลงข้างหนึ่งให้รู้ว่ากำลังสับสน

ฟรอสต์...” ร่างร้อนรุ่มดึงคนผิวขาวจัดให้ลงมาซบแนบอกเปลือยเปล่า แขนแกร่งสอดเข้าที่เอวสอบแล้วกอดไว้หลวมๆ “เมื่อไหร่นายจะเข้าใจเสียที”

ปล่อยเดี๋ยวนี้” คนที่ถูกกอดโดยไม่เต็มใจก็ยกมือดันไหล่อีกฝ่าย แต่ก็ถูกเหวี่ยงให้ลงมานอนที่เตียงแทน กลับกลายเป็นว่าฟรอสต์ถูกราชสีห์เจ้าเล่ห์คร่อมเอาไว้

ฉันดีใจที่นายมาหา” ใบหน้าคมคายกดลงต่ำจนใบหน้าห่างกับไม่ถึงคืบ แต่กดลงต่ำว่านี้ไม่ได้เพราะฟรอสต์ยกแขนขึ้นมากั้นไว้ก่อน

ถอยออกไป” คนที่แท้จริงแล้วล่ำกว่ายกแขนดันให้คนด้านบนถอยห่าง แต่ด้วยท่วงท่าแล้วทำได้ลำบากนัก

ขออยู่กับนายแบบนี้ได้ไหม?” คำพูดเหมือนจะขอร้อง แต่ทว่ากลับไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายต้องปฏิเสธ

ริมฝีปากอุ่นร้อนประทับปิดเรียวปากบางที่เม้มเรียบตึง อพอลโลขยับริมฝีปากบดเคล้าคลึงอย่างไม่รีบร้อน ราวกับจะออดอ้อนอยู่ในที เมื่อเห็นความใจแข็งของอีกฝ่ายที่ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ เขาจึงละออกไปวุ่นวายที่ข้างแก้มและใบหูเย็นๆ นั้นแทน

อื้อ...นี่...” มือเรียวยกขึ้นปิดปากซนๆของคนด้านบน “หยุด...”

ฟรอสต์...” เสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความต้องการทำเอาคนฟังใจสั่น แขนแกร่งกระชับกอดให้แนบแน่นขึ้นแล้วล้มลงนอนตะแคงข้างเพื่อมองหน้าคนผมสีเงินให้ชัดๆ

“...ถ้ากอดเฉยๆ...” ดวงตาสีแดงดุราวกับน้องชายทำผิดแล้วกำลังจะสั่งสอน “ฉันจะให้นายกอด”

ดวงตาสีตะวันส่องประกายวาววับทันที แต่เจ้าชายแดนหิมะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

ห้ามจูบ...อะ...” ยังพูดไม่ทันจบ ปากของฟรอสต์ก็ถูกปิดด้วยมือขาวๆ ที่อพอลโลดันใบหน้าเข้ามาใกล้ชิด มือเรียวเผลอคลายออกจากปากซุกซนของเจ้าชายแดนสุริยา

นายห้ามฉันไม่ได้หรอก” และริมฝีปากร้อนรุ่มก็บดเบียดเข้ามาจุมพิตที่กลางฝ่ามือ จูบลงที่ข้อมือด้านในทั้งสองข้างของคนที่ยกมือปิดหน้าตน ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามนิ้วเรียวยาวเย็นๆ อย่างแผ่วเบา

ความรู้สึกวาบหวามเกิดขึ้นกลางอกของเจ้าชายผู้เพียบพร้อม เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านก็หายไปหมด กลับเกิดความรู้สึกที่ต้องการอยากจะถูกอีกฝ่ายสัมผัสมากขึ้นขึ้นมาแทน

นี่มันบ้าอะไรวะ!...

ร่างกายเบียดชิดแนบกันแทบทุกส่วน เขาสัมผัสได้ถึงความปรารถนารุนแรงที่กลางกายของอพอลโล แต่อย่างน้อยก็ดีที่แขนของคนก่อกวนเขาก็ไม่ได้ขยับไปไหนนอกจากกอดแน่นที่เอวของเขา แขนที่เคยยกต้องต้านก็เริ่มอ่อนแรงลงเมื่อถูกรุกเร้าด้วยริมฝีปากอุ่นร้อนนั่นเรื่อยๆ จนปราการอ่อนแอลงทำให้ริมฝีปากซุกซนนั้นเข้ามาแนบชิดกับริมฝีปากของเขา ลิ้นร้อนไล้เลียที่กลีบปากเพื่อยั่วเย้า ฟรอสต์พยายามตั้งสติและต่อต้านอีกฝ่าย

ยะหยุด...” มือเรียวขาวยกขึ้นมาตะครุบปากสิงโตได้ทันท่วงทีก่อนที่เขาจะถูกรุกราน

ฉันรู้ว่านายก็ต้องการมัน” เสียงทุ้มแหบพร่าที่ดังใกล้ๆ ทำให้คนฟังเริ่มควบคุมตนเองไม่ได้

ฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น” แต่เขาไม่ต้องการให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้

นายต้องการให้ฉันสัมผัสนาย” เสียงกระซิบที่ดังใกล้ชิดยิ่งทำให้สติกระเจิง

ฉัน...”

นายก็ชอบฉันอยู่ใช่ไหม?”

ฟรอสต์นิ่งตะลึงงัน สับสนกับความรู้สึกของตนเอง สายตาไม่รู้จะไปจับจ้องที่ไหนจึงได้แต่หลุบลงต่ำปกปิดความประหม่า 

ฟรอสต์...”

ฉันไม่รู้...” ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีเงินนั้นส่ายช้าๆ “แต่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจนาย...”

แค่นี้ก็ดีใจแล้ว” รอยยิ้มเย่อหยิ่งเผยออกมาอย่างพอใจ “ฉันอยากจูบนายอีก”

พอแล้ว!” คนที่เคยใจเย็นก็หันมาตวาดใส่อย่างร้อนรน

ฉันบอกแล้วอย่างไร นายห้ามฉันไม่ได้หรอก...” ราชสีห์ตัวโตหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี

ใบหน้าคมคายขยับเข้ามาแนบชิด หายใจรดพวงแก้มสีชมพูอ่อนของอีกฝ่าย ก่อนจะแนบริมฝีปากชิดปากเรียวบางที่ไร้ซึ่งปราการดั่งคราวก่อน อพอลโลมอบจูบที่อ่อนโยนให้ ไม่รีบเร่งรุกราน ค่อยๆ บดคลึงให้อีกฝ่ายค่อยๆ เสพติดการจูบ และเมื่อเขาละออกห่างให้ค้างคา กลับเป็นฟรอสต์เสียเองที่ยื่นหน้าเข้ามามอบจุมพิตที่แสนเย็นชาและเอาแต่ใจแทน อพอลโลแกล้งหันหน้าหนี ฟรอสต์กลับร้องจิ๊จ๊ะในลำคอและจับใบหน้าของเขาให้อยู่นิ่งเพื่อกดริมฝีปากเข้าหาอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า...



 



 

โปรดติดตามตอนต่อไป...