15 ตอน Chapter 12 : Hide
โดย ‘Umbrella’
แผ่นดินแฟลร์รูจกำลังวุ่นวายเพราะแผ่นดินที่ถูกผลัดเปลี่ยน เหล่ากบฏแบ่งแยกดินแดนที่เคยถูกปราบปรามก็ลุกฮือขึ้นอีกครั้ง ทว่าความสูญเสียที่เคยเกิดขึ้นก็ทำให้พวกเขาไม่อาจเอาชนะกองทัพหลวงของแฟลร์รูจที่ส่งไปประจำการได้ ความสัมพันธ์กับอาณาจักรแคลร์บูลก็ย่ำแย่ลงเพราะการที่ทำให้รัชทายาทและเจ้าหญิงที่ถูกส่งไปแต่งงานต้องตกอยู่ในอันตราย ในทางกลับกันความสัมพันธ์กับอาณาจักรโอลิมโพสกำลังก้าวหน้าแน่นแฟ้น
หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ของโอลิมโพสก็สิ้นพระชนม์ลงจากอาการป่วยเรื้อรัง ขุนนางและเชื้อพระวงศ์เสียงแตกเป็นสองฝ่ายว่าจะให้เจ้าชายเฮราเคลสหรือราชินีเฮร่าเป็นผู้ครองราชบัลลังก์ต่อ ฝ่ายขุนนางที่ยึดถืออำนาจก็เข้าฝ่ายเฮร่า ส่วนเชื้อพระวงศ์สายรองก็หนุนหลังเฮราเคลสให้เป็นราชาองค์ต่อไป
แทนที่จะเป็นสิ่งที่ฝ่ายราชสำนักและคนในอาณาจักรตกลงกันเอง ราชาไดอากลับประกาศสนับสนุนให้ราชินีเฮร่าขึ้นครองราชบัลลังก์ และด้วยแสนยานุภาพของกองทัพแฟลร์รูจทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนเจ้าชายต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่าเส้นทางไหนเหมาะควรกับอาณาจักรของตนที่สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ประชาชนเดือดร้อนน้อยที่สุด
ท้ายที่สุดเพื่อเห็นแก่ประชาชน กำลังทหารของโอลิมโพสในขณะนั้นไม่อาจสู้กองทัพของแฟลร์รูจได้ เจ้าชายเฮราเคลสและเชื้อพระวงศ์บางส่วนจึงถูกเนรเทศออกจากอาณาจักร บัลลังก์จึงตกเป็นของราชินีเฮร่าโดยสมบูรณ์
ทางด้านสโนว์ฟิเลีย
ฤดูร้อนที่หนาวเหน็บของแดนหิมะไม่อาจทำให้จิตใจของเจ้าชายผู้เคยเยือกเย็นได้สงบลง ข่าวคราวจากทั้งสองอาณาจักรที่เพื่อนสนิทของเขาเกี่ยวพันด้วยต่างก็วุ่นวายไม่เป็นสุข รวมทั้งเบาะแสต่างๆ นานาที่เขาสั่งให้คนสนิทค้นหาก็ไม่พบว่าเจ้าชายทั้งสองนั้นไปกบดานที่ไหน
แม้จะเก่งกาจในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เรื่องนี้เขาไม่อาจเอาอาณาจักรของตนเองไปข้องเกี่ยวได้ จะทำการใดก็ต้องทำอย่างลับๆ เพราะเจ้าชายที่เขาตามหาต่างก็ต้องโทษในดินแดนตนเองทั้งคู่ หากให้การช่วยเหลือจะเป็นภัยต่ออาณาจักรของเขาเอง
ดวงตาสีทับทิมจ้องภาพรูปที่ตัวเขาเองและชายหนุ่มอีกคนเคยถ่ายไว้ด้วยกัน ในวันที่พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันในงานเวิลด์ซาลอน ยังนึกถึงวันที่พวกเขาเคยได้สัมผัสร่างกายซึ่งกันและกัน...
“พี่...”
“พี่ฟรอ...”
“พี่ฟรอสต์”
“พี่ฟรออ่า...”
“ไอ้พี่บ้า!”
ปัง!
เสียงทุบโต๊ะดังเรียกสติที่หลุดออกจากร่างให้กลับมายังร่างสูงใหญ่ที่นั่งเหม่อลอยที่โต๊ะทำงานขอตน เบื้องหน้าเป็นอนุชาทั้งสองที่ทำหน้าโกรธและเป็นห่วงอยู่ พวกเขาเรียกพี่ชายคนโตนานตั้งหลายนาที ทว่าคนที่นั่งตาลอยก็ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาเข้ามายืนตรงหน้านานแล้ว
“ชเนย์ เกรเซีย มีอะไรงั้นเหรอ?”
น้องชายรองถอนหายใจแล้วชี้ไปยังถาดอาหารที่น้องเล็กถือมาให้
“ก็ไม่เห็นลงไปกินข้าวเลยสักมื้อ ท่านแม่เป็นห่วงก็เลยเอาฝากเอาอาหารมาให้” เกรเซียอธิบาย ชเนย์วางถอดลงบนโต๊ะทำงานของพี่ใหญ่โดยไม่สนว่าจะทับงานของพี่เลย
“เอ่อ...นั่นสินะ” เมื่อมองนาฬิกาก็เพิ่งรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปจนถึงเวลาเย็นแล้ว มื้อค่ำก็คงเพิ่งผ่านไปไม่นานเท่าไร
“พี่ฟรอ วันๆ เอาแต่นั่งทำงาน ไม่เห็นออกไปนอกปราสาทเลย” ชเนย์ทำหน้างอ
“อย่างกับว่าโหมทำงานเพื่อลืมอะไรสักอย่างนั่นแหละ” ราวกับเกรเซียเดาถูก ฟรอสต์เผลอกลั้นหายใจทันที “...หรือว่าจริง?”
“อืม...” พี่ใหญ่ถอนหายใจ “มีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อยน่ะ...”
“อืม...เรื่องของเจ้าชายอพอลโลอีกใช่มั้ย?” ดวงตาสีแดงหรี่ลงเล็กน้อย “ฉันเข้าใจว่าพี่เป็นห่วงเขา และในฐานะคนนอกอย่างเราก็ช่วยอะไรไม่ได้...ก็ทำได้แค่รอ...”
“แล้วคนที่ฉันคิดว่าจะรู้ว่าเขาอยู่ไหนก็ดันหายตัวไปอีกคน...”
“ฉันรู้ว่าพี่เป็นห่วงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่อย่างน้อยก็ดูแลตัวเองหน่อยสิ ข้าวก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน หนวดก็ยังไม่โกนอีก เฮ้อ...” เกรเซียเกาหัวแกรกๆ อย่างปลงๆ
“นั่นสินะ...” มือเรียวลูบไรหนวดตรงคางแล้วถอนหายใจ ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นหนักขนาดนี้เพราะเพื่อนสนิทคนเดียว
“พี่ไปพักผ่อนเถอะ เรื่องงานน่ะเดี๋ยวฉันจัดการให้ โอเคมั้ย?” น้องรองอาสา
“อื้มๆ เดี๋ยวผมก็จะช่วยพี่เกรด้วย!” น้องเล็กก็อาสาช่วยอีกแรง
“หา? อย่างนายเนี่ยนะจะมาทำราชกิจ...”
“งื้อ ผมก็เป็นเจ้าชายของสโนว์ฟิเลียเหมือนกันนะ ไม่ยอมให้พี่เกรทำคนเดียวหรอก!” ชเนย์พองแก้มป่อง
“อา ถ้านายมั่นใจขนาดนั้นก็เริ่มด้วยการขนงานที่พี่ทำค้างไว้ไปที่ห้องของฉันสิ” เกรเซียยกยิ้มมุมปาก
“ได้อยู่แล้ว!” แล้วมือเล็กๆ ก็หยิบเอากองเอกสารบนโต๊ะของพี่ชายใหญ่ออกมาถือเต็มแขนเล็กคู่นั้น
“เฮ้ย...พวกนาย...” ดวงตาเรียวสีทับทิมเบิกกว้างอย่างงุนงง
“เอาน่าพี่ ตอนนี้พี่ก็นั่งกินข้าวแล้วก็เข้านอนซะ พรุ่งนี้ก็ไปเดินเล่นที่หอศิลป์บ้างก็ได้ ท่านแม่เอารูปภาพใหม่ๆ มาจัดแสดงไว้เพียบเลยนะ เผื่อว่าจะสดชื่นขึ้น” น้องรองเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะตบบ่าพี่ชายดังปั้กๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะพี่ฟรอ”
“เอ่อ...อื้ม...” เขาได้แต่มองตามหลังน้องชายเดินออกจากห้องไป
เขามองถาดอาหารสตูว์เนื้อและซุปครีมเห็ด พร้อมทั้งพุดดิ้งและผลไม้ เครื่องดื่มอีกสองสามอย่าง เผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นขวดวิสกี้ที่เกรเซียแอบวางไว้ที่โต๊ะตรงใกล้ๆ กับประตู เขาคิดว่าน้องชายคงเอามาจากท่านพ่อที่ชอบดื่มวิสกี้เหมือนกัน
...เรานี่มันบ้าจริงๆ...
อดจะก่นด่าตนเองในใจไม่ได้ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ฟรอสต์ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะลงมือทานอาหารก่อนที่มันจะเย็นชืด รสชาติอันคุ้นเคยเหมือนกับได้ทานเมื่อครั้งยังเยาว์วัย รู้ได้ว่าเป็นฝีมือของมารดา ทั้งพุดดิ้งที่รสชาติไม่เหมือนที่แม่ครัวทำทำให้คาดเดาว่าน้องชายทั้งสองคนช่วยกันทำให้ และวิสกี้รสชาติเยี่ยมจากท่านพ่อทำให้เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้
“ขอบใจนะ ชเนย์ เกรเซีย...ท่านพ่อ ท่านแม่...”
เปรี้ยง!
แสงสว่างวาบแหวกอากาศลงมายังพื้นดิน เสียงดังราวกับพสุธาทลาย เสียงแก้วหล่นแตก เสียงกรีดร้องของหญิงรับใช้ในวังหลวงดังลั่น องค์ราชาและราชโอรสทั้งสองรีบวิ่งมายังห้องพักของราชินีที่กำลังป่วยหนัก แพทย์หลวงที่กำลังตรวจอาการของราชินีที่แน่นิ่งไปมีสีหน้าไม่ดี ชายชรามากประสบการณ์หน้าซีดเมื่อต้องเอ่ยคำที่ศีรษะของตนอาจจะหลุดจากบ่า
‘พระราชินี...สิ้นพระชนม์แล้วพระเจ้าข้า...’
ราวกับอสนีบาตฟาดลงกลางใจของพระสวามีและโอรสทั้งสองของผู้ล่วงลับ ทว่าราชาและพระองค์เล็กนั้นยืนนิ่งและไม่หลังน้ำตาเพราะยังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่
‘เสด็จแม่! เสด็จแม่!!!’ รัชทายาทวิ่งเข้าไปหาพระมารดาและกอดร่างไร้วิญญาณแน่น น้ำเนตรไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้างให้ดูน่าสงสารนัก
‘หึๆ...’ เสียงหัวเราะดังออกมาแผ่วเบาท่ามกลางเสียงร้องไห้ของเหล่าข้ารับใช้ที่กำลังเสียใจ
เจ้าชายองค์สุดท้ายหันไปมองตามเสียงก็พบว่ามีร่างของหญิงรับใช้คนหนึ่งกำลังเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ เขาเดินตามไปอย่างรวดเร็วและคว้าเอาข้อมือของหญิงคนนั้นเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะเดินออกจากปราสาทไปโดยใช้ทางลับ
เมื่อใบหน้าของหญิงสาวหันมาเขาก็ตกใจเมื่อพบว่าเป็นใบหน้าของคนที่ตนคิดว่าเคยถูกประหารไปแล้วด้วยโทษหนักที่เคยยั่วยวนราชา เขาเคยเห็นกับตามาแล้วว่าคนตรงหน้าเคยถูกเพชฌฆาตสำเร็จโทษไปแล้ว และทั้งการประหารและการฝังศพเขาก็ยืนดูด้วยตาทุกขั้นตอน จึงเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะกลับมายืนให้เขาเห็นแบบนี้
‘ไงจ๊ะ อพอลโล ไม่เจอกันนานเลยนะ โตขึ้นเยอะเลย’ เธอส่งยิ้มหวานให้พลางโชว์ขวดยาพิษ ‘ถ้าไม่รีบปล่อยเดี๋ยวจะถูกยาพิษเหมือนแม่เธอนะจ๊ะ’
ด้วยความตกใจของเด็กชาย มือน้อยๆ ก็ปล่อยจากข้อมือของหญิงสาว ทำให้เธอคนนั้นหลบหนีไปได้โดยที่ไม่มีใครตามทัน
ตุบ...
ร่างเล็กๆ ของเด็กชายล้มลงหมดสติกับพื้นพรมด้วยอาการตกใจช็อกกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้น เขาไม่รับรู้ถึงเสียงเรียกของพระพี่เลี้ยงที่ตามมาเจอและพยายามเรียกเขาให้ตื่น
‘พระโอรส...พระโอรส!’
และเมื่อลืมตามาอีกครั้ง เขาก็ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวน...
‘ฉันจะฝังลิ่มไว้ที่หัวใจของแก!!’
“เฮือก...”
ร่างสูงกำยำสะดุ้งกายลืมตาโพลง ลมหายใจอุ่นๆ พ่นออกมาอย่างหอบเหนื่อย เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ เท่าที่มองได้ก็พบว่าเป็นสถานที่คุ้นเคยในวัยเด็ก ครานี้จึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่ ทว่าอาการบาดเจ็บที่หลังและไหล่ก็ทำให้เขาต้องหลับตาลงแน่นด้วยความปวดร้าวไปทั้งร่าง
“อุก...”
พอพยายามจะนึกถึงเรื่องราวย้อนหลังก็กลับปวดหัวอย่างรุนแรง เรี่ยวแรงก็ไม่มีจะลุกไปหายาหรือน้ำดื่มแก้กระหาย เมื่อมองรอบกายก็พบกลุ่มเส้นผมสีเหลืองทองและสีเงินยวงอันคุ้นเคย มือทั้งสองข้างของเขาถูกกุมไว้ด้วยมือเรียวบางและมืออันใหญ่โตของคนสองคน เขาลองกระตุกมือเรียกคนร่างยักษ์ให้ตื่น แต่ก็ได้ยินเสียงงึมงำว่าขออีกห้านาทีนะเนแมร์
คนเจ็บจึงยกขาถีบคนขี้เซาเสียเต็มแรง
พลั่ก!
โครม!
“อูย...” และได้ผลที่เจ้าคนหลับนั้นโงหัวขึ้นมาหลังลงไปกองที่พื้น ทว่ามือข้างนั้นก็ยังจับไม่ปล่อย นอกจากนี้เสียงโครมครามก็ทำให้คนที่ฟุบหลับที่ข้างเตียงอีกข้างก็ลืมตาลุกขึ้นมาเช่นกัน
“ทำอะไรตกเหรอเฮราเคลส?”
“ชแตร์ต่างหากมาถีบฉันทำไม...?”
“ฉันหิวน้ำ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างแหบแห้งท่ามกลางคนสองคนที่กำลังเมาขี้ตา
“อือ ได้ๆ เสียงเปลี่ยนนะ ไม่สบายเหรอ?” คนตัวโตยอมปล่อยมือออกแล้วลุกไปหาน้ำมาให้
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรนายเลยนะ” คนหัวเงินหาววอดพลางเช็ดหน้าเช็ดตา “เช้าแล้วเหรอเนี่ย?”
“อ้าว นายไม่ได้ละเมอมาถีบฉันเหรอ?” คนหัวทองเดินแบบยังไม่ลืมเต็มตายื่นแก้วที่ใส่น้ำมาให้
คนเจ็บชันตัวขึ้นนั่งแล้วรับมาดื่มโดยไม่พูดอะไร จากนั้นส่งคืนให้เมื่อดื่มหมดแก้ว
“ผมไม่เคยทำสักหน่อย...”
“อ้าว ถ้างั้น...” มือใหญ่รับแก้วมาถือแล้วมองสบกับดวงตาสีตะวันที่จ้องกลับมาอย่างดุดัน
เพล้ง!
“ลูกพี่!!!!!!!” เฮราเคลสทำแก้วหลุดจากมือแล้วกระโจนลงมากอดคนที่เพิ่งฟื้นอย่างแนบแน่น
“อั่ก...” ด้วยน้ำหนักอันมากมายของคนตัวโตทำให้คนป่วยขยับร่างกายไม่ได้
“อพอลโล นายฟื้นแล้ว!” ดวงตาสีฟ้ากระจ่างรื้นด้วยน้ำตา เขายกมือหนามาสัมผัสแก้มตนอย่างดีใจ
“ลูกพี่...นึกว่าจะตายแล้ว ฮือๆ” ใบหน้าของคนร้องไห้ซบกับอกแกร่งที่ผ่ายผอมลงไปมาก
“ลุกออกไปซะทีสิ หายใจไม่ออก...” มือหนาอีกข้างที่ว่างเขกกบาลคนที่ทับร่างของเขาให้ลุกออก
“โทษทีๆ” เด็กโข่งที่อพอลโลเคยเรียกรีบลุกออกมาและพลาดไปเหยียบเศษแก้วที่ตนทำแตกไว้ “โอ๊ยยยย! ฮือออออ!!”
อพอลโลถอนหายใจแรงให้กับความซุ่มซ่ามนั้น
“เฮราเคลส!” ชแตร์ร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง
“มะ–ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายไปหาอะไรให้ลูกพี่ทานเถอะ!” คนตัวโตกระโดดเหย็งๆ ไปทำแผลที่เท้า จากนั้นก็มากวาดเศษแก้วออกให้สะอาด
“อื้อ” คนตัวเล็กที่สุดในนั้นพยักหน้ารับคำก่อนจะเข้าครัวไปหาอาหารอย่างง่ายมาให้ “เอ้า อาหารอาจจะไม่หรูหราอย่างที่นายเคยกินที่วัง แต่เฮราเคลสเขาเตรียมไว้เพื่อรอวันที่นายจะฟื้นเลยนะ”
จานที่มีเนื้อที่ย่างสุกอย่างพอเหมาะ แม้จะถูกอุ่นมาก็ส่งกลิ่นหอมหวนชวนรับประทาน ข้าวโพดปิ้งและขนมปังพร้อมสลัดที่มีผักอยู่ไม่กี่ชนิด และถ้วยมันฝรั่งบด ทุกอย่างวางอยู่บนถาดที่วางอยู่บนตักของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจ
“สเต็กเนื้อกระต่าย?” ดวงตาสีตะวันมองไปยังคนที่กำลังหยิบเสื้อผ้าและถังไม้ “จะรำลึกความหลังรึไง?”
“ฮะๆ ไม่ดีเหรอ?” คนที่ทำอาหารให้ยกยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องที่พวกเขาเพิ่งใช้พักผ่อนไป
“เจ้าบ้าเอ๊ย” อพอลโลด่าไล่หลังเสียงเบา ครั้นพอจะขยับแขนยกมือมาหั่นเนื้อ แขนข้างที่ถนัดก็ไม่มีแรงจับมีดไม่มั่นคง คนเจ็บกัดริมฝีปากแน่นและพยายามฝืนแขนของตนให้ขยับอีกครั้ง “กรอด...”
ขวับ...
ถาดไม้ที่วางอาหารอยู่เต็มถูกยกออกไปจากตักของคนที่นั่งอยู่บนเตียง และวางลงบนตักของคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างๆ นั่นเอง มือเรียวจับส้อมและมีด หั่นเนื้อให้เป็นชิ้นพอดีคำและจิ้มป้อนคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รับเข้าปากไป
“กินสิ นายไม่มีแรงอยู่นะ” ชแตร์เอาเนื้อกระต่ายแตะริมฝีปากคนตรงหน้า อพอลโลถอนหายใจอย่างจนใจก่อนจะงับเข้าปากไป
สุดท้ายแล้วก็ยอมให้ชแตร์ป้อนอาหารให้เพราะแขนข้างถนัดไม่มีแรง รวมทั้งสภาพร่างกายที่ยังไม่เต็มร้อยจึงป่วยการที่จะเถียง อพอลโลผู้ที่แทบจะไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากใครต้องมานั่งรับป้อนอาหารจากคนที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้า นึกแล้วเขาก็รู้สึกอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
“ตอนนั้น...” เจ้าของเรือนผมสีตะวันเว้นจังหวะเล็กน้อย “แกช่วยฉันทำไม?”
หลังจากที่ชายร่างผอมบางยกถาดอาหารไปเก็บ คนที่เพิ่งฟื้นได้ไม่นานก็เอ่ยถามสิ่งที่คาใจอยู่ ความทรงจำก่อนจะหมดสติคือเขาเห็นกลุ่มอุกกาบาตตกลงมาตรงบริเวณพื้นที่เขายืนอยู่ และใครบางคนมาคว้าเอาตัวของเขาไปขณะที่กำลังร่วงหล่นเมื่อพื้นริมหน้าผาถล่มเพราะแรงพุ่งชน
เขาจำได้แม่นว่าวิชาดาวตกนี่เป็นของใคร พอลืมตาขึ้นมาถึงพอปะติดปะต่อเรื่องได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น และกระท่อมกลางป่าของเฮราเคลสนี่ก็คงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับให้เขาพักฟื้น
...ปลอดภัย? เมื่อตอนนั้นพวกทหารยังหาที่นี่เจอ แล้วทำไมถึง...
เขานึกไปถึงเมื่อวัยเด็กที่ถูกทหารบุกเข้ามาจับตัวถึงในกระท่อมกลางป่าแห่งนี้ แม้จะสั่งทหารไว้ว่าไม่ให้ทำร้ายเจ้าของกระท่อม ทว่าก็น่าจะถูกจับตามองเพราะเคยให้ที่พักพิงกับเจ้าชาย...
“ตอนนั้น...พอเฮราเคลสเขารู้ว่าแม่เลี้ยงของเขาเดินทางมาที่แฟลร์รูจ ก็เลยเป็นห่วงนายและชวนผมมาด้วยน่ะ เห็นนายกำลังวิ่งหนีทหารในป่าก็เลยหาโอกาสช่วยนาย” ชแตร์อธิบายเรื่องราวให้ฟัง
“ในป่า? งั้นพวกแกก็ต้องถูกพวกนั้นเห็นสิ” อพอลโลขมวดคิ้ว
“ไม่หรอก” คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า “เพราะคุณผู้ดูแลของเฮราเคลสเขากางเขตอาคมไว้น่ะ เพื่อไม่ให้มีใครหากระท่อมนี้เจอยกเว้นพวกเรา”
“งั้นเหรอ...” แม้จะได้รับฟังคำตอบของอีกฝ่ายและไม่มีข้อกังขาเพิ่มเติม แต่เขาก็ยังอยากรู้เรื่องราวหลังจากที่เขาหมดสติไป “แล้วสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
อพอลโลรัวคำถามใส่คนตรงหน้า ชแตร์เพียงแค่ยิ้มจางก่อนจะกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างหนักแน่นราวกับบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเสมอ เขาบอกให้อีกคนใจเย็น พวกเขาตั้งใจจะบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้อพอลโลฟังอยู่แล้ว และบอกให้ดูแลสุขภาพมาเป็นอันดับแรก เมื่อได้ยินดังนั้นเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจก็ถอนหายใจแล้วรอฟังอย่างเงียบงัน
เฮราเคลสมองภาพทั้งสองคนที่กำลังพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มหมอง ได้เห็นคนสองคนที่เขาตั้งใจให้ได้อยู่กันตามลำพังก็รู้สึกเจ็บใจแต่ก็อดยินดีด้วยไม่ได้ เขาเองก็มีส่วนที่ทำให้ลูกพี่ของเขาต้องมาบาดเจ็บเช่นนี้เพราะไม่จัดการแม่เลี้ยงให้เด็ดขาด มัวแต่กลัวพลังอำนาจของแม่มดตนนั้น จนกระทั่งแผนการของไดอาและเฮร่าที่มักใหญ่ใฝ่สูงประสบความสำเร็จและเหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นเกิดสงครามขึ้น
“ฉันต้องแก้ไขเรื่องนี้ก่อนที่เฮร่าจะไปดึงอาณาจักรอื่นๆ ในแดนดวงดาวให้เข้ามาร่วมด้วย”
อาณาจักรสโนว์ฟิเลีย แดนหิมะ
“ท่านฟรอสต์ขอรับ มีจดหมายส่งมาหาท่าน” คนสนิทของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งได้ยื่นซองจดหมายสีขาวให้กับเจ้าชายของตนที่กำลังโหมงานอย่างเคร่งเครียด
“จากที่ไหน?”
“เขียนไว้เพียงชื่อขอรับ” เขาพลิกจ่าหน้าซองให้ฟรอสต์ดู
เมื่อได้เห็นชื่อที่เขียนบนนั้นเขาก็แทบจะหยุดลมหายใจ รีบร้อนแกะซองออกมาเพื่ออ่านเนื้อความจดหมายข้างในโดยทันที
หากว่านายได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ได้โปรดรู้ไว้ว่าฉันปลอดภัยดี
ฉันได้จัดการเรื่องทุกอย่างในแฟลร์รูจเสร็จสิ้นแล้ว
หากว่านายสะดวกขอให้มาพบที่ปราสาทปีกตะวันตกของแฟลร์รูจ
ในคืนจันทร์เพ็ญที่มูนโรดปรากฏ
ฉันรอนายอยู่นะ
อพอลโล
เมื่ออ่านจบ ฟรอสต์ก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้กตัวโปรดและคว้าเอาเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นจึงเดินดุ่มๆ ออกจากห้องและออกจากปราสาทไปอย่างรีบร้อน สวนทางกับน้องชายทั้งสองที่กำลังกลับเข้ามาในปราสาทหลังสำเร็จราชกิจข้างนอก
“อ้าว พี่ฟรอ รีบร้อนจะไปไหน?”
“ไปแฟลร์รูจ”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
สปอยล์ว่าเรื่องนี้จบที่ตอนที่ 15 นะคะ
Comments (0)