17 ตอน Chapter 14 : King of Flarerouge
โดย ‘Umbrella’
แสงสนธยาส่องลอดหน้าต่างพาดผ่านร่างกำยำที่นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง ราชาโดยปริยายของแฟลร์รูจผ่อนลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ มีชายหนุ่มผมสีเงินคอยนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง มือเรียวจับมือหนาไว้แน่นราวกับจะส่งผ่านพลังชีวิตไปให้ ดวงหน้างดงามฉาบด้วยความกังวล เมื่อมีคนสนิทของเจ้าของห้องเคาะประตูเรียกเขาจึงจำต้องละสายตาจากคนที่ยังไม่ได้สติ
สามวันให้หลังจากเหตุการณ์ยึดอำนาจโดยเจ้าชายอพอลโลทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้มีความสงบลงไปมาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับในตัวของเจ้าชายพระองค์นี้ ทว่าความตึงเครียดจากกบฏที่ชายแดนและความสัมพันธ์กับอาณาจักรแคลร์บูลก็ยังไม่มีความคืบหน้า คนสนิทของราชาที่ยังหลับใหลอยู่ได้ประกาศกฎอัยการศึกฉบับชั่วคราวเพื่อควบคุมพฤติกรรมของราษฎรและประกาศรายงานสถานการณ์อาการของเจ้าแผ่นดินเป็นระยะๆ
“มี้~”
แกร็ก...
สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ได้กระโดดดึ๋งๆ เข้ามาในห้องและตามมาด้วยเสียงล็อกประตูห้อง ร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีทองเอนหลังพิงประตูก่อนจะกอดอกมองร่างบนเตียงด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเดินไปนั่งแทนที่คนที่เพิ่งออกไปเมื่อครู่ ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะฟุบร่างลงหลับข้างๆ ราชาแฟลร์รูจ
เวลาผ่านไปสักพักเมื่อยามวิกาลมาถึง สายลมเย็นของราตรีในคิมหันตฤดูพัดต้องเส้นผมสีเพลิงให้พลิ้วไหว เปลือกตาขยับเล็กน้อยก่อนจะตะวันหม่นแสงจะฉายออกมาอย่างช้าๆ
“มี้~” ร่างเล็กๆ ของเม่นแคระกระโดดเหย็งๆ อย่างดีใจ ภาพอันคุ้นเคยย้อนกลับมาในความทรงจำ ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เจ้าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และเมื่อเหลือบมองที่ข้างกายก็พบคนเดิมๆ ที่คอยอยู่ด้วยในยามหลับ
หมับ...
มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบเส้นผมสีบลอนด์ทองอ่อนนุ่มอย่างแผ่วเบา และด้วยสัมผัสอุ่นๆ นั้นทำให้เจ้าของเส้นไหมนุ่มลื่นสีอ่อนได้เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เขารอคอยให้ฟื้นก็ยกศีรษะขึ้นมามองให้เต็มๆตา
“ลูกพี่! ฟื้นแล้วสินะ!”
“ทำไมฉันต้องตื่นมาเจอแกทุกทีเลยนะ” คนเพิ่งฟื้นผ่อนลมหายใจเบาๆ ทว่าก็เบิกตากว้างทันทีราวกับเพิ่งนึกอะไรออก “...ตื่น? ฉันยังไม่ตาย?”
“ลูกพี่...” เฮราเคลสมองสบตาก่อนจะหลุบลงต่ำ
“หมอนั่น...ที่บอกว่าอีกแค่ครั้งเดียว...” อพอลโลลุกพรวดออกจากที่นอน
“ลูกพี่!” คนตัวโตกว่ารีบคว้าเอวคนที่เคยนอนพักฟื้นให้กลับมานอนที่เตียงเช่นเดิม
“ปล่อยฉัน! เจ้านั่นอยู่ไหน!?” ราชาแห่งแฟลร์รูจร้องถามเสียงดัง แม้เรี่ยวแรงจะยังไม่มีและร่างกายซูบผอม ทว่าความเย่อหยิ่งนั้นยังคงเต็มเปี่ยมพร้อมความดื้อรั้น มือใหญ่แข็งแรงกดบ่าทั้งสองให้แนบชิดเตียงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาอีก
“ชแตร์น่ะเหรอ...” ดวงตาสีทองทอดลงมองสิงโตดุที่ปกปิดสีหน้าเป็นห่วงนั้นไม่มิด เขาขยับยิ้มหมอง “หมอนั่นน่ะ...”
“นี่ อย่าบอกนะว่า...” ดวงตาสีตะวันเบิกกว้าง หัวใจราชสีห์กระตุกวูบ
“พี่สาวเค้ามารับกลับปราสาทน่ะ เพื่อไปฟื้นฟูร่างกาย ช่วงนี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านน่ะนะ” แล้วคนที่ยิ้มเศร้าก็ยิ้มแฉ่งอย่างสดใสแล้วยอมปล่อยมือจากร่างของคนป่วย เจ้าเม่นน้อยก็กระดิกหางไปมา
“จริงเหรอ? ไม่ใช่ว่า...” เจ้าของเรือนผมสีเพลิงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง เฮราเคลสส่ายหน้ากับคำพูดของอีกคน เขามองเนแมร์ที่นอนขดตัวกลมในตะกร้านอนที่เขาเตรียมไว้ให้อย่างเอ็นดูก่อนจะหันมามองคนตรงหน้า
“เพราะฉันรู้ว่าถ้าเป็นเรื่องของลูกพี่ เขาต้องเสี่ยงตายทำแบบนั้นแน่ๆ ฉันก็เลย...” คนตัวโตกว่าหยิบจี้ห้อยคอรูปดาวแล้วเปิดออก แล้วพบแต่ความว่างเปล่า
“หึ เก็บไว้ใช้ตอนนั้นเองเหรอ...” อพอลโลขยับยิ้มโล่งใจ ตั้งใจว่าถ้าหายดีจะไปหาชแตร์ที่มีเทียร์เวลบ้าง ทว่าก็ต้องจัดการเรื่องราวในอาณาจักรของตนให้เรียบร้อยก่อน
“ลูกพี่ ชีวิตที่ได้รับมาจากชแตร์น่ะ อย่าทิ้งขว้างนะ ไม่งั้นฉันไม่ยอมจริงๆ ด้วย” เฮราเคลสเบ้ปากใส่ มือใหญ่กำล็อกเก็ตแน่น
“รู้แล้วล่ะน่า ฉันไม่ทำให้คนที่แกรักผิดหวังหรอก” เฮราเคลสหน้าแดงเรื่อทันที อพอลโลยิ้มขำ “ว่าแต่แกไม่กลับอาณาจักรหรือ? แล้วก็...เรื่องแม่เลี้ยงของแก...”
“อืม ตายไปแล้วล่ะ ฉันฆ่าเองกับมือ...” คนผมทองมองมือตนเองก่อนจะกำแน่น “หึ ว่ากันตามตรงถ้าไดอาไม่ได้วางยาพิษนางไว้ฉันก็คงไม่สามารถฆ่าได้ง่ายๆแบบนี้หรอก”
“หึ เจ้านั่นก็แผนสูงใช่ย่อย คงเห็นว่าหมดประโยชน์ก็เลยเขี่ยทิ้ง” น้องชายของไดอาแค่ยิ้มมุมปาก “นิสัยไม่ทิ้งลายพ่อเลย”
เจ้าชายแห่งโอลิมโพสส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาลุกไปยกหีบขนาดใหญ่และหนักมาวางไว้ใกล้ๆ เตียงของราชาผมสีสด
“จริงสิ ฉันเอาหนังสือเวทมนตร์ที่เฮร่าเขียนมาให้ตามที่ลูกพี่บอกแล้ว” เขาหยิบหนังสือให้อีกฝ่ายดู เป็นหนังสือปกแข็งเล่มหนาที่หุ้มปกด้วยหนังกวางอีกชั้น จำนวนหลายเล่มที่เฮราเคลสถือมาจากโอมลิมโพส
“ขอบใจ” อพอลโลรับมาเปิดดูคร่าวๆ ก่อนจะวางกลับลงในหีบตามเดิม “ส่งมันไปที่แคลร์บูลที จ่าหน้าถึงเจ้าชายแกรี่”
“เอ๊ะ? ไม่ได้จะใช้ถอนลิ่มที่หัวใจเหรอ?” เฮราเคลสมองตาปริบๆ อพอลโลหยักยิ้มล้วหัวเราะเบาๆ
“เดิมทีก็ตั้งใจจะเอามาหาวิธีแก้คำสาปลิ่มในอกนั่นแหละ...” มืออุ่นทาบลงที่อกซ้ายของตน แม้รอยสักยังคงอยู่ ทว่าบางอย่างกลับไม่เหมือนเดิม คนพูดพ่นลมหายใจก่อนจะนั่งกอดอก “เขาต้องการมันมากกว่า...อีกอย่างลิ่มนั่นก็หายไปแล้ว คงเพราะคำอธิษฐานของเจ้าบ้านั่นแหละ”
“อืม เดี๋ยวส่งไปให้นะ รับรองต้องถึงมือแน่นอน!” ลูกน้องรับปากอย่างมั่นเหมาะ คนฟังส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเชื่อทีไม่เชื่อที
“ชักหิวแล้วสิ...” อพอลโลลูบท้องของตนเบาๆ
“เห หิวเหรอ? ฉันก็หิวเหมือนกัน!” ดวงตาสีทองหยีลงอย่างไร้เดียงสา
“ไปเรียกข้ารับใช้มาหน่อยซิ” เนตรสีรพีหรี่ลงเมื่อออกคำสั่ง
“อื้อ!” แล้วคนตัวโตก็เดินออกจากห้องไป อพอลโลมองตามหลังด้วยความเอ็นดู
เฮราเคลสนั้นคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ เป็นเสมือนข้ารับใช้ผู้ภักดี ทว่าความสนิทสนมที่มีให้กันมันมากกว่านั้น เป็นเยื่อใยและความสัมพันธ์บางอย่างที่อพอลโลเองก็เรียกไม่ถูก อาจจะเป็นคนเขากล้าเรียกได้เต็มปากว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ หรืออาจเป็น ‘คนในครอบครัว’ ที่ยังหลงเหลืออยู่
“ครอบครัว...”
เสียงกระซิบพึมพำดังแผ่วให้เจ้าของเสียงได้ขบคิดตามลำพังในห้องนอนของราชา เวลานี้เขาไม่ได้เป็นเพียงเจ้าชายองค์เล็กที่อยู่ลำดับท้ายๆ ของการสืบราชสัตติวงศ์ เมื่อสิ้นราชาองค์ก่อนผู้เป็นพี่ชายและไม่มีโอรสให้สืบราชสมบัติต่อ ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ก็ตกเป็นของอนุชาโดยปริยาย สิ่งแรกที่เขาต้องคิดถึงคือประชาชน
หลังจากที่อพอลโลหายดี เขาได้ออกมาพบประชาชนเป็นครั้งแรกในฐานะราชาและได้สาบานตนต่อหน้าประชาราษฎร์ว่าจะทำหน้าที่ราชาให้ดีที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ เรียกเสียงโห่ร้องแซ่ซ้องสรรเสริญดังก้อง ทว่าราชาหนุ่มกลับปรามและให้สำรวมไว้ทุกข์ตามประเพณี รวมทั้งสั่งให้จัดพระราชพิธีพระบรมศพอดีตกษัตริย์ทั้งสองให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติ และในระหว่างนี้ให้ฟื้นฟูบ้านเมืองที่เสียหายและชดเชยให้ประชาชนที่สูญเสียจากการปราบปรามผู้ต่อต้านของราชาไดอา
“ส่วนเรื่องพระราชพิธีราชาภิเษกให้เลื่อนไปก่อน ไว้สภาพบ้านเมืองเรียบร้อยดีแล้วค่อยจัดก็ได้” ดวงตาสีตะวันไล่เรียงอักษรบนกระดาษอย่างไม่วางตา คนสนิทโค้งรับคำสั่งก่อนจะขอตัวจากไปปล่อยให้ราชาของตนได้ทำงานต่อ
เมื่อได้อยู่ตามลำพังในห้องทำงาน อพอลโลก็วางงานและลุกมาที่ระเบียงที่เปิดหน้าต่างให้ลมโชย ชายหนุ่มผมสีเงินประกายดาวนั่งที่ขอบรั้วแล้วมองอุทยานเบื้องล่าง ดวงตาสีราตรีหรี่ลงอย่างผ่อนคลาย
“เรื่องที่ช่วยประชาชนของฉัน ฉันขอขอบใจ” เสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยขึ้นอย่างแช่มชัด “แต่เรื่องที่แกสละชีวิตให้ฉันน่ะ...ยังโกรธอยู่”
“อพอลโล...” ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางหันมามองเจ้าของเสียง เขาหย่อนขาลงพื้นแล้วยืนเต็มความสูง “ผมขอโทษ”
“คนที่นายควรจะขอโทษที่สุดคือเฮราเคลส” อพอลโลกอดอกแล้วเหลือบมองคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างเหยียดหยาม
“เรื่องนั้น...”
“เรื่องที่แกแอบชอบฉันน่ะ ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ตัวหรอกนะ” ตะวันสีสดปิดลงแล้วระบายลมหายใจแรงแล้วเอนหลังพิงขอบหน้าต่างอย่างเหนื่อยใจ
“อึก...” มือเรียวบางกุมนาฬิกาละอองดาวแน่น บัดนี้ละอองดาวภายในอัดแน่นจนไม่มีช่องว่างให้เคลื่อนที่ “นายรู้...”
“แกคิดว่าฉันโง่รึไง ท่าทางสีหน้าแววตาออกมาหมด” ชายหนุ่มร่างสูงมองคนตรงหน้านิ่ง “หึ เหมือนจะเป็นคนมึนๆ ที่ไม่สนใจเรื่องราวอะไร แต่แกดูกระตือรือร้นในเรื่องของฉันทุกเรื่อง...มันก็ค่อนข้างผิดสังเกต”
“อือ...” แก้มใสที่เคยขาวกลับมีสีแดงระเรื่อ
“แต่แกก็คงรู้ว่าฉันรักคนอื่น”
คำพูดของคนตรงหน้าทำให้เจ้าชายแห่งมีเทียร์เวลต้องเผลอเม้มปากแน่น รวมทั้งดวงตาคมกริบที่คอยจับจ้องทุกกิริยาของเขาทำให้รู้สึกอึดอัด ความรู้สึกบางอย่างที่บาดลึกเข้าไปในใจทำให้ขอบตาร้อนผ่าว
“ผมรู้...” เขาสูดลมหายใจแรงเพื่อตั้งสติ “แต่มัน...ห้ามได้เหรอ?”
“ชแตร์” อพอลโลเอ่ยเสียงหนักแน่น “ตัดใจจากฉันเสียเถอะ”
“อพอลโล...” ดวงตาสีฟ้าล้ำลึกฉายแววผิดหวัง หมดสิ้นคำพูดจึงได้แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายเท่านั้น
“ความรู้สึกของแกมันไม่ควรมาที่ฉัน”
หยาดน้ำเริ่มไหลลงมาบนแก้มนวล
“คนที่ควรได้รับมันมากที่สุดคือเจ้าของดาวตกที่อธิษฐานให้แกยังมายืนง้อฉันอยู่ตรงนี้”
ชแตร์รู้สึกว่าคอของเขาแสบไปหมด
“อย่าคิดว่าฉันไม่รับแล้วผลักไสแกให้คนอื่น” อาทิตย์ในดวงตาอ่อนแสงลง “ความรู้สึกจะมากน้อยแค่ไหนแกก็ควรรักตัวแกเองให้มากที่สุด”
“อพอลโล...” น้ำตาร่วงพรูลงอาบทั้งสองแก้ม มือเรียวยกขึ้นปิดใบหน้าของตน
“เฮ้อ...” คนที่รู้ตัวว่าพูดรุนแรงจี้ใจอีกฝ่ายมากไปก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหว ดึงร่างที่ซูบผอมเข้ามากอดแล้วลูบศีรษะเบาๆ “แกเคยพูดเองไม่ใช่เหรอว่าฉันคือเพื่อนของแก...”
“อือ...” คนที่ร้องไห้ก็ได้แต่พูดอู้อี้ในลำคอ
“เพราะงั้นก็เป็นเพื่อนนั่นแหละดีแล้ว” อพอลโลเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่นด้วยความรู้สึก “ตั้งแต่เกิดมาฉันก็มีแต่แกกับไอ้เด็กโข่งนั่นที่คอยอยู่ด้วยเสมอในยามลำบาก”
“อือ...”
“อย่าคิดว่าแกไม่สำคัญกับฉัน”
“อือ...”
“เพราะงั้นของขวัญวันเกิดของแกที่ฉันยังไม่ได้ให้...” มืออุ่นๆ สัมผัสใบหูของอีกฝ่ายแผ่วเบา สักพักชแตร์ก็รู้สึกถึงโลหะเย็นๆ ที่ทาบทับลงมา “...ให้สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์มิตรภาพระหว่างเรา”
ร่างเล็กกว่าผละออกแล้วยกมือขึ้นแตะต่างหูที่ถูกสวมให้โดยไม่ทันตั้งตัว เห็นใบหน้าคมคายที่ยิ้มอ่อนโยนมาให้ก็เผลอยิ้มตามออกมา เขารู้สึกว่าความรู้สึกที่เคยจุกในอกนั้นเบาลง
วันนั้นชแตร์ได้เรียนรู้แล้วว่า...
แม้ความรักจะเจ็บปวด แต่มันก็สวยงามเสมอ...
ไม่ว่าจะในรูปแบบใด...
เดือนนภา
สามเดือนผ่านไปหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีพระบรมศพของสองอดีตกษัตริย์และการไว้ทุกข์ตามพระราชพิธี ราชาแห่งแฟลร์รูจองค์ปัจจุบันได้ถอดชุดสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ออก ผลัดเปลี่ยนเป็นชุดสีครีมอันสง่าและองอาจ ทรงเครื่องแบบพิธีการเต็มยศเพื่อเข้าสู่กระบวนพิธีสำคัญในการขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ที่แท้จริง
อาคันตุกะมากมายที่ถูกเชิญมาร่วมงานพระราชพิธีราชาภิเษกปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงในห้องโถงขนาดใหญ่สำหรับพิธีการอันสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะเจ้าชายแกรี่จากอาณาจักรแคลร์บูลที่ตั้งใจมาเพื่อสานสัมพันธไมตรี บัดนี้ไม่ต้องใช้ตัวแทนอีกต่อไป คำสาปของเขาได้คลายลงด้วยหนังสือที่ราชาอพอลโลได้ส่งไปให้ และเก็บรักษาหนังสือต้นแบบไว้อย่างดีเพื่อเป็นต้นฉบับสำหรับแบบเรียนเวทมนตร์ที่ร่วมกันปรับปรุงกับอาณาจักรโซลเชียนา
จนกระทั่งถึงเวลาค่ำอันเป็นเวลาเลี้ยงฉลองการขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการสำหรับราชาอพอลโล ตัวแทนจากหลากหลายอาณาจักรได้ผลัดกันแวะเวียนมาทักทายเจ้าภาพของงาน ส่งมอบของขวัญเพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันวานอันแสนสำคัญและล้ำค่าของชีวิตเชื้อกษัตริย์
“โย่ว ลูกพ– อะแฮ่ม! เอ่อ ยินดีด้วยกับตำแหน่งราชา” เจ้าของผมสีทองและร่างสูงใหญ่เดินมาหาอพอลโลและชนแก้วแชมเปญพร้อมยกดื่มตามธรรมเนียม
“ขอบคุณที่มา ราชาเฮราเคลสแห่งโอลิมโพส” คนผมสีเพลิงขยับยิ้มขำเมื่อต้องมาพูดทางการใส่กัน
เฮราเคลสได้ถูกพระญาติและเหล่าขุนนางเชิญให้ขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นราชาของอาณาจักรโอลิมโพสแทนที่ราชินีเฮร่าที่ถูกสังหารไป บ้านเมืองที่เสียหายได้ถูกฟื้นฟูโดยพลังของเจ้าชายแห่งมีเทียร์เวล จึงทำให้คนที่เคยโกรธเคืองกันได้ลดระยะห่างและกลับมาคุยกันเหมือนเดิม
“ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งราชาด้วยนะ อพอลโล” และคนที่ปรากฏเบื้องหลังราชาของโอลิมโพสก็ได้ยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กให้ “ของขวัญจากพวกเราน่ะ”
“งั้นเหรอ ขอบใจนะ” มือหนารับเอากล่องของขวัญนั้นมาด้วยความยินดี รู้ว่าชแตร์นั้นไม่ดื่มของมึนเมาจึงยอมละธรรมเนียมจากเพื่อนคนนี้ไป
“อืม ขอให้ทำหน้าที่ราชาอย่างดีที่สุด เพื่อประชาชนของนายเองนะ” รอยยิ้มจริงใจส่งมาให้อพอลโล เขายิ้มตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเย่อหยิ่ง
“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉันจะเป็นราชาที่จะทำให้อาณาจักรมั่งคั่งและอุดมสมบูรณ์ที่สุด” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงเอ่ยมาจากผู้เป็นราชาเต็มตัว
หลังจากที่พวกเขาทักทายและคุยอะไรกันเล็กน้อยตามสมควร เฮราเคลสก็เห็นว่าควรปล่อยให้อพอลโลได้ไปต้อนรับแขกคนอื่นบ้าง จึงชวนชแตร์ไปนั่งรับลมของสารทฤดูที่ระเบียงนอกโถงจัดเลี้ยงสักหน่อย ทำให้ราชาหนุ่มได้โอกาสพักผ่อนตามลำพังบ้าง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยเทียว ราชาอพอลโล” ชายผมสีขาวสะอาดในชุดพิธีการของอาณาจักรตนเองเอ่ยทักเมื่อเห็นราชาเจ้าของงานว่างเว้นจากการทักทายแขก
“โฮ่ เจ้าชายไซงะไม่ใช่เหรอนั่น?” อพอลโลยกยิ้มให้แล้วชนแก้วแชมเปญกับอาคันตุกะของตนแล้วยกดื่มตามมารยาท ข้างกายของเจ้าชายจิ้งจอกมีเด็กหนุ่มผมสีเงินที่ไม่กล้าเงยหน้ามาสบตาเขาอยู่
“ขออภัยด้วยที่พี่ชายของข้าออกจากอาณาจักรมาไม่ได้ ข้าจึงเป็นตัวแทนจากอิโรกุ แดนเทพจิ้งจอก มาแสดงความยินดีกับว่าที่ราชาคนใหม่ของแฟลร์รูจ” ใบหูแหลมฟูนั้นกระดิกไปมาเล็กน้อย “ว่าแต่เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าได้ฝากเกรเซียนำยาบำรุงร่างกายมาให้ก่อนหน้านี้ จึงคิดว่าคงจะดีขึ้นแล้ว?”
“ยาของท่านดีทีเดียว ฉันถึงได้กลับมาทำหน้าที่ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง” ดวงตาสีตะวันมองคนในอ้อมแขนของไซงะ สะดุดตากับสิ่งแวววาวบนนิ้วนางข้างซ้าย “หืม...แหวนนั่น ท่าทางคงมีข่าวดีที่ฉันไม่ได้ติดตามสินะ?”
“อืม...เราหมั้นกันแล้ว และท่าทางบิดาของเกรเซียก็ค่อนข้างยินดีที่โอรสองค์รองจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาก่อนใคร” จิ้งจอกเฒ่าหัวเราะในลำคอ ทว่าก็ถูกคนตัวเล็กกว่าศอกใส่อย่างไม่เกรงใจราชาตรงหน้า
“หึ ถ้าอย่างนั้นชุดราตรีสีแดงนั่นนายอาจจะได้ใส่มันอีกรอบก็ได้นะ เอาไหม ฉันให้ยืม” คำหยอกล้อจากราชาตรงหน้าทำให้เจ้าชายลำดับที่สองของแดนหิมะต้องแยกเขี้ยวใส่
“เรื่องของฉันน่ะช่างเถอะ ว่าแต่นายกับพี่น่ะไม่คิดจะคุยกันดีๆ หน่อยเหรอ?” เกรเซียเงยหน้ามามองอพอลโลด้วยแววตาเป็นห่วง พลางเสสายตาไปทางที่พี่ชายคนโตและน้องชายคนเล็กกำลังยืนเลือกชิมอาหารอยู่
“ฉันตั้งใจว่าจะไปคุยกับเขาเป็นคนสุดท้ายน่ะ จะได้คุยนานๆ หน่อย” ดวงตาสีตะวันจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้างที่ดูเล็กลงผิดหูผิดตา
พวกเขาไม่ได้พบกันเลยตลอดทั้งสามเดือนด้วยราชกิจในอาณาจักรตนเอง และฟรอสต์นั้นถูกกักบริเวณเนื่องจากราชาสโนว์ฟิเลียไม่พอใจที่ฟรอสต์กระทำการโดยพลการ ทว่าก็ไม่ต้องโทษหนักเพราะอพอลโลนั้นไม่ได้กล่าวถึงสามพี่น้องในการแถลงข่าวต่อหน้าประชาชนเลย
“ฟรอสต์ไม่ตอบจดหมายฉัน คิดว่าเขาคงยังเสียใจที่ปล่อยให้ฉันตายโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้...”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก...” มืออุ่นๆของไซงะลูบแผ่นหลังของคนที่หนุ่มกว่าเบาๆ “เขาติดต่อกับแทบทุกอาณาจักรที่ขึ้นชื่อเรื่องเวทมนตร์หรือยารักษาอยู่ตลอด”
“พอวันที่นายออกหน้าสื่อครั้งแรกพี่อยากไปหานายจะตาย แต่ยังต้องโทษของท่านพ่ออยู่ พอวันนี้แล้วที่ได้เจอกัน พี่เขาก็ยังรู้สึกผิดจนไม่กล้าเข้ามาหานาย” ดวงตาสีทับทิมหรี่ลงเล็กน้อย “มีนายคนแรกเลยนะที่ทำให้ความมั่นใจของพี่ชายไป ถ้านายไม่ทำอะไรสักอย่างพี่ฉันคงได้เป็นบ้าไปจริงๆ”
“เข้าใจแล้ว” อพอลโลเอ่ยราบเรียบ “งั้นหลังจบงานเลี้ยงก็ขอคุยกับพี่ชายนายสักสองสามวันก็แล้วกัน”
ตึก ตึก ตึก...
“จะพาฉันไปไหน?” ร่างสูงสง่าถูกราชาเจ้าของปราสาทรวบเอวให้เดินไปด้วยกันตามทางเดิน เวลาล่วงเลยกว่าสองยามแล้วและไม่มีใครเดินเพ่นพ่านนอกจากพวกเขาและทหารยามในปราสาท
“เงียบเถอะน่า เดี๋ยวมีคนได้ยิน...” มือหนายกขึ้นปิดปากที่เอ่ยถามเมื่อครู่
“หะ–หา?” ดวงตาสีแดงชาดเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ ทว่าพออีกฝ่ายพาเข้ามาในห้องแห่งหนึ่งจึงได้รู้ “ห้องอาบน้ำ?”
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปยังรอบๆห้องกว้าง มีบ่อแช่น้ำตรงกลางซึ่งเปิดน้ำอุ่นตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี ทั้งโต๊ะรอบข้างบ่อต่างก็มีอาหารว่าง ผลไม้ และไวน์ชั้นดีวางไว้ให้รอชิม
“พาฉันมาที่นี่ทำไม?” เจ้าของผมสีเงินหันไปถามเจ้าของปราสาท แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเปลื้องอาภรณ์ออกจนล่อนจ้อน “เฮ้ย! ถอดทำไม!?”
“หืม มาห้องอาบน้ำก็ต้องอาบสิ นายก็ต้องถอดด้วย” ไม่ว่าเปล่า ราชาก็เดินเข้ามาและจัดการปลดประดุมชุดพิธีการของสโนว์ฟิเลียออกอย่างรีบร้อน ร่างเปลือยเปล่าที่ปรากฏต่อหน้ามกุฎราชกุมารของแดนหิมะทำให้คนต่างถิ่นต้องเสมองทางอื่นด้วยความเขินอาย
“คนที่นี่เขาไม่อายกันรึไง?”
“จะด่าว่าฉันหน้าด้าน?”
“ฉันไม่ได้หน้าหนาแบบนายที่จะกล้าเดินโทงๆ แบบนี้” พูดพลางก็หลุบตาลงมอง แต่ก็รีบเลื่อนสายตากลับมามองใบหน้าคมคายในระยะประชิดแทน
“หึ กล้าต่อปากต่อคำแบบนี้คงกลับมาเป็นฟรอสต์คนเดิมแล้วใช่ไหม?” ดวงตาสีตะวันหรี่ลงมองอย่างอ่อนโยนก่อนจะถอดเสื้อผ้าท่อนบนชิ้นสุดท้ายออก
“...อึก” ฟรอสต์เม้มปากแน่นอย่างไม่มั่นใจ แววตาที่เคยแข็งกร้าวกลับไหวระริก
“อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดของนาย” ริมฝีปากอุ่นแนบประทับที่มุมปากที่กำลังสั่นเบาๆ
“แต่ฉันทำให้นาย...อื้อ...” ริมฝีปากเรียวถูกช่วงชิงไปภายในไม่กี่วินาที ปลายลิ้นร้อนที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาครอบครองความอ่อนนุ่มจนทำให้สติเริ่มเลอะเลือน
ร่างของฟรอสต์ถูกกดให้นอนลงแนบพื้นหินอ่อน ก่อนจะถูกถอดกางเกงและชั้นในซึ่งเป็นปราการด่านสุดท้ายออก ริมฝีปากของทั้งสองไม่ได้ห่างกันสักเสี้ยววินาที ราวกับโหยหากันและกันมาเนิ่นนาน อพอลโลแทบจะทนไม่ไหว เขาก้มลงจูบพรมตามผิวกายขาวละเอียด
“ดะ–เดี๋ยว...” เจ้าชายหิมะเอ่ยขัดก่อนจะดันร่างของคนใจร้อนขึ้น “จะ...ไม่คุยอะไรกันก่อนเหรอ?”
“มีเวลาคุยกันทั้งชีวิต แต่ตอนนี้น่ะ...” ใบหน้าคมคายกัดริมฝีปากตนอย่างชั่งใจแล้วลูบผิวขาวอย่างเบามือ “ขอสักหน่อยได้ไหม? ฉันคิดถึงนาย...”
มาลูกอ้อนแบบนี้จะให้ปฏิเสธได้อย่างไร...
ผัวะ!
“...อาบน้ำสิ” ฟรอสต์ลุกออกไปแล้วหยิบผ้าขนหนูที่ถูกพาดเตรียมไว้มาพันรอบเอวก่อนจะลงไปแช่น้ำอุ่น
“ฮึ่ม...ไม่เห็นต้องต่อยแรงขนาดนี้...” อพอลโลเดินตามไปแช่น้ำข้างๆ อย่างเซ็งๆ มือลูบแก้มขวาของตนเบาๆ
“ช่วยไม่ได้ นายมันหื่นกาม” คนผมเงินถอนหายใจ ตั้งแต่ที่ยอมคราวนั้นก็ได้รู้นิสัยที่แท้จริงที่ชอบหาเศษหาเลยของอีกฝ่าย
“อืม กับนายก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอกนะ” ราชาเบียดไหล่เข้าหา เจ้าชายกระเถิบเว้นระยะห่างราวกับเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกัน “หึ...” ราชสีห์แค่นยิ้มมุมปาก
“ยิ้มอะไร?” สิงคาลหิมะมองอย่างไม่ไว้ใจ
“ก็แค่มีความสุขที่มีนายอยู่ข้างๆ แบบนี้น่ะ” ไม่ว่าเปล่า มือก็เลื่อนมาสัมผัสผิวกายอีกครั้ง
“พูดอะไรน่ะ...” ดวงตาสีทับทิมหรี่ลงก่อนจะเริ่มขยับกายถอยห่างเมื่อคนตรงหน้าเริ่มขยับเข้าหาอีกครั้ง “ถอย...ถอยออกไป...”
“เรื่องคุยกันน่ะเอาไว้ทีหลังก่อน ตอนนี้น่ะ...” แขนแกร่งตวัดโอบรอบเอวสอบแล้วรวบเข้ามากอด “ให้ฉันได้ทำให้นายมั่นใจว่าฉันรักนาย”
ใบหน้างดงามที่เคยขาวจัดแดงระเรื่อ เอียงหน้าไปทางอื่นพยายามจะซ่อนสีหน้าของตนเอาไว้ ทว่าคนตรงหน้าก็เห็นหมดแล้วซึ่งทุกอย่าง ทว่าความรู้สึกเมื่อครั้งก่อนก็หวนกลับมาจนต้องยกมือขึ้นดันอกกำยำให้ออกห่าง
“ฉันจะเชื่อได้ไหมว่าถ้านายทำแล้วนายจะไม่ทิ้งกันเหมือนคราวก่อนอีก...”
“คราวนี้ไม่มีอุปสรรคอะไรแล้ว นายไม่ต้องห่วง...” มือหนาจับมือเรียวขึ้นมาจุมพิตอย่างหนักแน่น
“ตกลงจะเอาให้ได้ใช่ไหม? นี่ฉันอุตส่าห์ตระเตรียมคำพูดมาถามนายตั้งมากมายแท้ๆ...” ฟรอสต์ถอนหายใจเมื่อมือซุกซนเริ่มลูบลงต่ำ “ทั้งที่อยากจะคุย...อื้อ...!”
ริมฝีปากร้อนทาบทับปิดเรียวปากบางอีกครั้ง ลิ้นสากขยับรุกเร้าเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ท่าทางราชาตรงหน้าจะดื่มไปมากจนเคลิ้มกรึ่มและไม่ฟังคำอะไรของเขา เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งสโนว์ฟิเลียจึงได้แต่ยินยอมให้อีกคนได้เล่นสนุกกับร่างกายของเขาด้วยความเต็มใจ และโชคดีที่น้ำอุ่นช่วยให้เขาผ่อนคลายไม่รู้สึกเกร็งเท่าทีแรก
และไอ้น้ำอุ่นนั่นแหละที่ทำให้เขาต้องนอนซมบนเตียงอยู่เป็นวันโดยที่ยังไม่ได้คุยอะไรกับคนที่มีเรื่องค้างคากันเลย เพราะฝ่ายนั้นก็ลุกไปทำงานต่อหน้าตาเฉย! ทิ้งให้เขาต้องนอนอยู่คนเดียว!
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ตั้งใจว่าจะพักเขียนเรื่องนี้ แต่เห็นคอมเม้นตอนที่แล้วเยอะผิดปกติก็เลยเข็นตอนใหม่มาเป็นรางวัลให้กับทุกๆคอมเม้นค่ะ เห็นคอมเม้นเยอะแบบนี้แล้วรู้สึกมีแรงใจเขียนขึ้นเยอะเลยค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ในทุกๆตอนก็คงจะดีนะคะ 555
เราย้อนกลับไปอ่านตอนเก่าๆแล้วพบว่ามีช่องโหว่ของพล็อตเยอะมาก จุดผิดพลาดและความไม่ลื่นไหลของแต่ละฉากแต่ละตอนก็มี รวมทั้งคำผิดที่ค่อนข้างเยอะ (ส่วนมากก็เกิดจากมือไปไวกว่าสมองและจิ้มแป้นผิด 555) แต่เราคงไม่ย้อนกลับไปแก้นะคะ เพราะตั้งใจว่าจะลงให้จบในเด็กดี แล้วฉบับรวมเล่มจะเป็นแบบรีไรต์และแก้ไขคำผิดให้เรียบร้อย ส่วนจะประกาศให้เปิดจองเล่มเมื่อไหร่ก็รอติดตามก็แล้วกันค่ะ
Comments (0)