4 ตอน Chapter 3 : Brothers
โดย ‘Umbrella’
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ร่างบนเตียงที่หลับอยู่เมื่อถูกต้องแสงแดดเข้าที่ใบหน้าก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ความปวดหน่วงที่ศีรษะทำให้เจ้าของร่างบนเตียงโงหัวแทบไม่ขึ้น ไหนจะความเจ็บปวดที่ข้อเท้าซ้ายยิ่งทำให้ขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ มือแตะที่ผ้าพันแผลที่หัวก็พบว่ามีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย
บัดซบเอ๊ย...
“มี้...”
หือ?
เสียงเล็กๆ ทำให้คนเจ็บลืมตาตื่นเต็มตา มองตรงไปยังหน้าอกของตนที่นอนราบที่เตียง เจ้าเม่นตัวจิ๋วกำลังกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจที่เห็นเขาลืมตาขึ้น
“เนแมร์?”
มองไปที่ข้างๆ เตียงก็เห็นกลุ่มเส้นผมสีบลอนด์ทองนั้นฟุบอยู่ใกล้ๆ เขา ลมหายใจสม่ำเสมอทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นนอนหลับสนิท คนเจ็บชันตัวขึ้นนั่งอย่างช้าๆ แม้ว่าจะยังมึนๆ อยู่
ก็ไม่ได้อยากรบกวนแต่ต้องปลุกขึ้นมาถามเรื่องราวสักหน่อย
“เฮราเคลส” มือหนาจับไหล่เขย่าเบาๆ เพื่อปลุกอีกคน
คนถูกปลุกขยับตัวเล็กน้อย เมื่อโดนเขย่าแรงขึ้นก็เริ่มปรือตาขึ้นและอ้าปากหาววอด เม่นจิ๋วกระโดดขึ้นไปอยู่บนไหล่ของเฮราเคลสแล้วเอาหางสะกิดแก้มเจ้านาย มือใหญ่ขยี้ตาเบาๆ พลางค่อยๆ ปรับแสงให้เข้ากับแสงแดดจ้าที่ส่องเข้ามาภายในห้อง คนเพิ่งตื่นเกาหัวแกรกๆ อย่างสะลึมสะลือ พอคนตัวโตหันหน้ามามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงแล้วก็เบิกตากว้างแล้วร้องลั่น
“หวา! อพอลโลฟื้นแล้ว!!!”
แล้วก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้องทิ้งให้คนเจ็บนั่งมองอย่างงงๆ เพราะยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ติด แก้วตาสีตะวันมองไปรอบๆ ห้องก็พบกับลวดลายและการตกแต่งที่แปลกตา เป็นห้องนอนที่ไม่รู้จัก จำได้เพียงแต่ว่าตนสลบไปตอนสู้กับปีศาจกินฝัน จะว่าเป็นปราสาทของเฮราเคลสก็ไม่ใช่ เพราะลวดลายผืนผ้าไม่มีลายดวงดาวอันเป็นเอกลักษณ์ของดินแดนเลย
ไม่นานนักก็มีคนเข้ามาที่ห้อง เบื้องหลังเฮราเคลสคือราชาและราชินีแห่งโรโตเรีย รวมทั้งเจ้าชายรอล์ฟที่ยืนน้ำตาคลออยู่ข้างๆ คนสนิทของอพอลโลเดินตามเข้ามาทีหลังสุดและยืนใกล้ๆ ประตู ผู้มาเยี่ยมเดินเข้ามาใกล้ๆ เตียงของผู้ป่วยที่ทำท่าจะลุกลงจากที่นอน
“ลูกพี่ยังไม่หายดีเลยนะ” คนตัวโตทำหน้าดุใส่ เนแมร์บนไหล่ของเฮราเคลสก็ร้องมี้ๆ ราวกับจะดุอพอลโลอีกคน
“ฉันจะกลับ”
“ไม่ได้นะ!” มือใหญ่จัดการให้อพอลโลนอนลงที่เตียงเหมือนเดิม
“โอ้! โล่งใจแล้วที่เจ้าชายอพอลโลฟื้น” องค์ราชาที่เดินมาเยี่ยมถึงข้างเตียงเอ่ยอย่างโล่งอก “ท่านเป็นเจ้าชายพระองค์เดียวที่บาดเจ็บหนักจนหมดสติไป”
“พวกเราได้ให้หมอหลวงรักษาบาดแผลให้ท่านเรียบร้อยแล้ว พักอีกสักหน่อยก็คงหายดี” ราชินีเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท แต่ผมรบกวนท่านมามากแล้ว” อพอลโลทำท่าจะลุกขึ้นออกจากเตียง เฮราเคลสก็รีบเข้ามาดันอพอลโลให้ลงกลับไปนอนต่อ
“ระหว่างนี้ยังไม่อยากให้ท่านกลับอาณาจักรเลย เราไม่สบายใจหากท่านถูกโจมตีระหว่างทางในขณะที่ท่านบาดเจ็บ” องค์ราชาเดินเข้ามาสัมผัสมือและไหล่ของอพอลโลอย่างอ่อนโยน
“ทะ–ท่านอพอลโล พักให้...หะ–หายดีก่อนเถอะครับ” เจ้าชายรอล์ฟก็เดินเข้ามาที่ข้างเตียง ประสานมือไว้ตรงหน้าอกราวกับจะภาวนาให้คนที่เจ็บอยู่
“แต่ว่าผมไม่อยากรบกวน–” อพอลโลชะงักไปเมื่อเห็นรอล์ฟร้องไห้ออกมาเสียเฉยๆ “ฮะ...เฮ้...”
ราชินีรีบเข้ามาปลอบโอรสขี้แยและพาออกไปจากห้องที่อพอลโลพักอยู่ องค์ราชาเอ่ยขอโทษแทนลูกชายที่เอาแต่ร้องไห้ตั้งแต่เห็นอพอลโลบาดเจ็บ เจ้าของเรือนผมสีตะวันไม่ได้พูดอะไรต่อและเลือกที่จะนอนพักนิ่งๆ แทน
“หากจะขอบคุณท่านก็ควรไปขอบคุณเจ้าชายฟรอสต์เถิด เขาเป็นคนปฐมพยาบาลท่านก่อนพาท่านมารักษาที่ปราสาท” องค์ราชากล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปให้อพอลโลพักผ่อน “เราต้องขอตัวก่อน พักผ่อนให้มากเถิด เจ้าชายอพอลโล”
หมับ...
มือหนาร้อนๆ คว้าเข้าที่แขนของเฮราเคลสแล้วดึงลงมานั่งที่ข้างๆ เตียง คนโดนดึงก็กะพริบตาปริบๆอย่างสงสัยว่าทำไมต้องรีบร้อนกระชากเขาด้วย
“เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเดี๋ยวนี้” แววตาคมดุนั้นสบกับตาสีทองสดใสราวกับจะเค้นเอาคำตอบ
“พักก่อนสิลูกพี่”
“เดี๋ยวนี้...” เสียงต่ำเอ่ยดังเสียงราชสีห์คำราม คนฟังทำหน้าเหนื่อยๆ ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่า
หลังจากที่อพอลโลสลบไป เจ้าชายฟรอสต์ที่เพิ่งเดินทางจากสโนว์ฟิเลียมาถึงโรโตเรียก็ช่วยกำจัดปีศาจกินฝันที่กำลังจู่โจมเฮราเคลสและชแตร์ พอเห็นว่ามีคนเจ็บก็เลยเข้าไปดูใกล้ๆ เจ้าชายจอมพลังนั้นพยายามจะแบกเขาแต่ร่างกายของอพอลโลนั้นร้อนมากจนไม่สามารถสัมผัสได้ ฟรอสต์จึงได้ใช้พลังน้ำแข็งในการห้ามเลือดที่ศีรษะและใช้พลังความเย็นในการลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดลงจนกลับมาเป็นปกติ เฮราเคลสจึงสามารถแบกร่างของอพอลโลขึ้นหลังกลับมาที่ปราสาทโรโตเรีย องค์ราชาก็ให้หมอหลวงมารักษาจนมีอาการดีขึ้น นอกจากนี้ยังส่งจดหมายไปยังแฟลร์รูจเพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับราชโอรสที่บาดเจ็บและกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรโตเรีย
“แต่ว่าก็หลับไปนานตั้งสามวันแน่ะ ชแตร์เป็นห่วงมากเลยนะ” เฮราเคลสยิ้มน้อยๆ “ถ้าสปิก้าไม่ลากกลับแดนดวงดาวด้วยก็คงจะเฝ้าลูกพี่ทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ เลย”
“งั้นเหรอ...” คิ้วคมเข้มขมวดเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อหู
“นี่ๆ แล้วก็โพรซิออนน่ะร้องไห้ใหญ่เลยตอนที่เห็นฉันแบกลูกพี่เข้ามา” คนเล่าว่าพลางเล่นกับเนแมร์ไปด้วย “ถ้าซิริอุสไม่ช่วยปลอบก็คงไม่หยุดร้องไห้ง่ายๆ แน่ๆเลย”
เขายิ้มขำนิดๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าของน้องเล็กแดนดวงดาว ซ้ำยังบอกว่าอดอวดที่คาดผมรูปหูกระต่ายที่อุตส่าห์ทำให้ชแตร์ใส่ให้อพอลโลดูด้วย
เฮราเคลสยังเล่าเรื่องต่อไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องที่ปราสาทจัดงานเพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อชดเชยที่วันก่อนนั้นมีปีศาจกินฝันบุก และจัดงานเลี้ยงเพื่อตอบแทนเจ้าชายทุกพระองค์ที่ช่วยปราบปีศาจกินฝัน โดยมีเจ้าชายวิลที่เป็นโปรดิวเซอร์จัดการแสดงอย่างยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะทำให้เจ้าชายที่ยังเยาว์วัยรู้สึกกลัวจนร้องไห้ไปบ้างอย่างเจ้าชายโพรซิออนหรือเจ้าชายรอล์ฟ
เล่าว่าอัลแตร์กับเวก้าที่นานๆ ทีจะได้มาเจอกันก็รู้สึกเสียดายที่ต้องแยกกันกลับ เฮราเคลสแอบกระซิบมาว่าเดเนบแอบพาเวก้ามาเจออัลแตร์ พอได้เจอกันก็เอาแต่คุยกันไม่สนใจเดเนบเลย เจ้าตัวเลยงอนและหันมาแกล้งโพรซิออนเล่นจนโดนซิริอุสแยกเขี้ยวใส่
เล่าต่อว่านานๆ ทีจะได้พบเจ้าชายฟรอสต์ที่มีราชกิจมากมายมาปรากฏตัวในงานเป็นกรณีพิเศษเพราะเพิ่งสานสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรโรโตเรีย น่าเสียดายที่อพอลโลสลบไปนานจึงไม่ได้พบกับเจ้าชายที่หาตัวได้ยากแบบนี้
คนร่างยักษ์ยังเล่าอีกว่ายาที่หมอหลวงโรโตเรียฉีดให้อพอลโลนั้นเป็นยาที่ทำให้แผลสมานไวมากๆ แต่จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียจนลุกแทบไม่ขึ้น คิดว่าเพราะยาตัวนี้เลยทำให้เจ้าชายแดนสุริยาสลบไม่ได้สติยาวไปเลยสามวัน
อพอลโลนั้นนอนฟังเงียบๆ เพราะนึกถึงเรื่องที่ฟรอสต์เข้ามาช่วยเขาแล้วยังอยู่ในงานต่ออีกวัน คลาดกันเพียงนิดเดียว ถ้าตอนนั้นเขาสามารถรั้งสติไว้ได้ก็คงได้ทำความรู้จักกันไปแล้ว
สัมผัสเย็นๆ ที่ข้างแก้มก่อนจะหมดสตินั้นเขายังรู้สึกถึงมัน
“แล้วหมอนั่นได้ใช้ดาวตกอธิษฐานหรือเปล่า?” อยู่ดีๆก็เปิดปากถามหลังจากเงียบไปนาน แถมยังเป็นเรื่องที่ดูจะไม่เข้ากับเรื่องที่กำลังเล่าด้วย คนเล่าจึงเงียบไปสักพักก่อนจะเข้าใจแล้วตอบกลับไป
“อ๋อ ชแตร์น่ะเหรอ? ทีแรกก็เรียกดาวตกออกมาแล้วแหละ แต่พอเห็นหมอหลวงมาถึงก็เลยไม่ได้อธิษฐานอะไร ...ฉะ–ฉันก็พยายามห้ามแล้วนะ...”
อพอลโลแค่นยิ้มแล้วเบนหน้าซบลงกับหมอน ดีแล้วที่ชแตร์ไม่ได้อธิษฐาน เพราะถ้าทำเช่นนั้นโอกาสหน้าที่เจอกันเขาคงได้ด่ากลับไปเป็นชุดด้วยเรื่องเดิมๆ แน่
ดูเหมือนยาที่หมอหลวงให้มาทุกวันนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียเกินกว่าที่คาด รวมทั้งการที่เขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องนั้นทำให้เขารู้สึกหิวและไม่ค่อยมีแรง คนสนิทของอพอลโลอาสาจะไปหาอะไรมาให้กินโดยให้องค์ชายรอสักครู่
“รู้สึกว่าวันนี้คนจากแฟลร์รูจจะมารับลูกพี่แล้วแหละ แต่ได้ข่าวว่าเจ้าชายไดอาเดินทางมาด้วย...” คนที่เด็กกว่าบอกเสียงแผ่วเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่ถูกกับพี่ชาย คนฟังถอนหายใจหนักพลางคิดไปว่าอีกฝ่ายคงมาเยาะเย้ยเขาแน่ๆ
“ไม่เห็นจะต้องมารับ ฉันกลับเองได้” คิ้วเรียวคมขมวดยุ่ง “แล้วแกไม่กลับบ้านหรือ?”
“เอ๊ะ?”
“มาเฝ้าฉันแบบนี้ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องหรืออย่างไร?” คนถามขมวดคิ้วใส่
เฮราเคลสส่ายหน้าน้อยๆ เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจถอนหายใจเบาๆ
“เลิกเกาะติดฉันเสียที”
“อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งทีนะ ตั้งแต่ลูกพี่ย้ายไปอยู่อาณาเขตชายแดนก็ได้เจอกันน้อยมาก ปีละครั้งเองมั้ง...” เฮราเคลสทำหน้าเศร้าหมอง
“ก็แน่สิ มันอยู่คนละฝั่งกับกระท่อมของแกนี่”
เฮราเคลสหน้ามุ่ยแล้วบ่นอุบอิบว่าถ้าไม่เห็นรายชื่อว่ามีอพอลโลมางานเขาก็คงไม่มาร่วมงานหรอก เจ้าของเรือนผมสีตะวันก็ว่าไม่แปลกนัก เพราะงานส่วนใหญ่จะเชิญมกุฎราชกุมารไปเสียมากกว่าด้วยฐานะที่สูงกว่าราชวงศ์คนอื่น บางพระองค์จะพาพระอนุชาหรือพระญาติไปด้วยก็ตามแต่พระประสงค์
ก๊อกๆ
“ขอประทานอภัยที่รบกวนเวลาพักผ่อนเพคะ เจ้าชายไดอาแห่งแฟลร์รูจเดินทางมาถึงแล้วและต้องการเยี่ยมเจ้าชายอพอลโลเพคะ”
สาวใช้ในปราสาทเคาะประตูและเอ่ยคำขออนุญาตคนในห้อง คนที่เคยนอนอยู่ก็เด้งตัวขึ้นและทำไม้ทำมือให้เฮราเคลสไปหลบที่ระเบียง เมื่อเห็นว่าคนข้างๆ ทำหน้างงๆ ไม่ยอมไปเสียทีก็ลุกขึ้นเดินกะโผลกกะเผลกด้วยความรีบร้อนมาจูงมือให้อีกฝ่ายไปที่ระเบียงและปิดประตูระเบียงเสียเรียบร้อย
หลังจากนั้นจึงไปเปิดประตูห้องโดยพยายามไม่ทำให้มีพิรุธใดๆ
เมื่อสองพี่น้องพบหน้ากัน ราวกับมีสายฟ้าแล่นแปล๊บอยู่ระหว่างดวงตาสีอาทิตย์ทั้งสองคู่ สาวใช้ขอตัวกลับไปทำงานต่อและปล่อยให้เชษฐาอนุชาได้พูดคุยกัน
“ไง น้องชาย ตายยากนี่หว่า” น้ำเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างใจเย็นพลางสำรวจไปรอบกายของผู้เป็นน้อง
“ฉันกลับเองได้ ไม่เห็นต้องมารับ” อพอลโลเอ่ยเสียงแข็ง
ไดอาจึงเหยียบเท้าข้างที่เจ็บของอีกคนเสียเต็มแรง
“อั่ก...” คนโดนประทุษร้ายกัดฟันแน่น พยายามไม่ส่งเสียงร้องออกมา
“ไม่ได้อยากจะมารับแกหรอก ถ้าไม่ติดว่าต้องมาเอ่ยขอบคุณราชาและราชินีแห่งโรโตเรียอย่างเป็นทางการที่ช่วยเหลือองค์ชายแห่งแฟลร์รูจน่ะ” ไดอาหยักยิ้มแล้วกดปลายเท้าขยี้ซ้ำลงไป
“...สารเลว” อพอลโลเอ่ยเสียงลอดไรฟัน สุดท้ายแล้วไดอาก็ยอมปล่อยเท้าออกจากบาดแผลของน้องพร้อมทั้งยังยื่นมือหมายจะพยุงอีกฝ่าย
“เอ้า มาสิ เหลือแค่แกกลับบ้านเท่านั้นหน้าที่ฉันก็จะเสร็จแล้ว หึหึ...” ผู้เป็นพี่ชายส่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก “ฮะฮะ... หรือแกอยากตายอยู่ที่นี่ฉันก็จะสงเคราะห์ให้นะ...”
มือเรียวคว้าหมับเข้าที่ลำคอของน้องชายแล้วออกแรงบีบเสียเต็มแรง อพอลโลที่กำลังอ่อนแอก็พยามต่อต้านพี่ชายของตน ร่างที่ผอมบางกว่าออกแรงผลักจนผู้เป็นน้องชายล้มลงไป
ก๊อกๆ
“พระโอรสพระเจ้าข้า กระหม่อมทำอาหารมาให้” เสียงคนสนิทของอพอลโลดังขึ้น ไดอาคลายมือนั้นออกทำให้อพอลโลไอออกมาอย่างแรง
เมื่อประตูเปิดออก ไดอาก็เดินชนไหล่คนสนิทของอพอลโลออกไปโดยไม่แยแสสิ่งใด และเมื่อคนสนิทเห็นเจ้าชายมีอาการที่ไม่ดีก็รีบประคองพาไปนั่งที่เตียง
“พระโอรส...ท่านไดอาทำอะไรพระองค์ กระหม่อมไม่ควรทิ้งให้พระองค์...”
“ช่างมันเถอะ ฉันจะกลับแล้ว” อพอลโลไม่สนใจอาหารที่เพิ่งถูกนำเข้ามาและลุกไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดของตนที่คนสนิทพับวางไว้ตรงมุมห้อง
แม้ข้อเท้าจะยังเจ็บอยู่แต่ไม่อยากให้มันเป็นอุปสรรคก่อนการเดิน ทุกฝีเท้าก้าวอย่างมั่นคงและเดินไปยังระเบียงที่เฮราเคลสยืนอยู่
“ขอโทษที่เมื่อกี้ไม่ได้ออกไปช่วย” เจ้าชายทรงพลังเอ่ยอย่างสำนึกผิด แต่เพราะอพอลโลนั้นมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ต้องการให้ตนพบกับไดอา
“ฉันไม่อยากให้แกเจอมัน หาทางกลับเองก็แล้วกัน...ฉันจะกลับก่อน...” บอกลาอย่างห้วนๆ และเดินกลับออกไปจากห้องนั้นทันที โดยมีคนสนิทที่เก็บข้าวของและห่ออาหารไปเผื่อองค์ชายทานบนรถม้า ไม่ลืมที่จะบอกลาสหายขององค์ชายที่อาสาอยู่เฝ้าตลอดทั้งสามวันด้วย
เฮราเคลสยิ้มน้อยๆ แล้วโบกมือลา
“ลูกพี่...แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกล่ะ...”
สามเดือนผ่านไป...
ร่างกายของอพอลโลกลับสู่สภาวะปกติแล้ว ราชกิจภายในอาณาเขตปกครองของอพอลโลก็มีมากมาย ด้วยว่าผู้ปกครองนั้นต้องการพัฒนาให้เมืองเล็กๆ นี้เจริญได้ทุกส่วน ประชาชนเองก็ต้องทำงานหนักตามพระประสงค์ขององค์ชายเล็กแห่งแฟลร์รูจ แม้ว่าเมืองริมชายแดนนี้จะถูกข้าศึกโจมตีบ้างในบางคราวที่เขตปกครองตนเองที่อยู่ภายใต้การปกครองของแฟลร์รูจนั้นจะมีการแข็งข้อบ้าง แต่องค์ชายของพวกเขาก็ปราบปรามได้อย่างง่ายดายเสียทุกครั้ง
“พระโอรส มีสาสน์จากเมืองหลวงพระเจ้าข้า” คนสนิทเข้ามาในห้องทำงานของอพอลโลและส่งม้วนกระดาษนั้นให้คนที่กำลังจมอยู่กับกองเอกสารเรื่องภาษีของอาณาเขต
“ฉันไม่อ่าน” เสียงนั้นดุดันเฉียบขาด ถ้าไม่อ่านก็คือจะไม่แตะต้องกระดาษม้วนนั้นเลย
“แต่ว่า...เป็นจดหมายเชิญเจ้าชายจากทุกอาณาจักรให้เข้าร่วมงานเทศกาล ‘พิธีอธิษฐาน’ ของอาณาจักรคุโย แดนปฏิทิน พระโอรสไดอาส่งต่อมาให้พระองค์ได้อ่านรายละเอียดพระเจ้าข้า”
องค์ชายเล็กยังคงไม่สนใจอะไรและยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารเรื่องสินค้าในฤดูหนาวที่ผลผลิตทางการเกษตรที่มีปริมาณลดลง ประชาชนเริ่มมีการกักตุนสินค้าและไม่ได้นำมาจำหน่ายในท้องตลาดรวมทั้งไม่ได้ส่งออก
คนสนิทฟังแล้วก็ถอนหายใจ เป็นงานที่ค่อนข้างสำคัญเพราะเจ้าชายที่คุโยนั้นส่งจดหมายเชิญเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจทั้งสองพระองค์ หากจะไปเพียงพระองค์เดียวนั้นก็ดูจะเสียมารยาทไปสักหน่อย และนับจากวันที่เจ้าชายอพอลโลไปร่วมงานเทศกาลเก็บเกี่ยวที่โรโตเรียแล้วก็ยังไปร่วมสังคมอีกงานสองงานโดยไปแทนองค์ชายไดอาที่ติดราชกิจสำคัญในเมืองหลวง
งานสังคมนั้นองค์ชายเล็กดูจะไม่ค่อยสันทัด แต่ด้วยบุคลิกและรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่นทำให้มีเจ้าชายบางพระองค์เข้ามาทักทายทำความรู้จักบ้าง น้อยครั้งที่อพอลโลจะเข้าไปทักทายคนอื่นก่อน นอกจากนี้ยังเป็นที่หมายปองของเจ้าหญิงที่พบเห็นด้วย แต่พระองค์ก็ดูจะไม่ได้สนใจเจ้าหญิงจากอาณาจักรไหนเลย
ที่น่าตลกคือคนที่พระองค์เล็กเลือกไปทักทายก่อนเป็นเจ้าชายที่มีผมสีเงินทั้งสิ้น ทั้งเจ้าชายเพอร์ลา แดนอัญมณี เจ้าชายลูค แดนเสียง เจ้าชายโคโตโฮงิ แดนแสงสว่าง แม้กระทั่งเจ้าชายแกรี่ แดนเงาจันทราซึ่งเป็นพระญาติห่างๆ ฝ่ายพระมารดา พระองค์ก็ยังเผลอไปทัก ซ้ำยังมาบ่นกับคนสนิทว่าเมื่อก่อนแกรี่ผมดำไม่ใช่หรือ นี่แก่จนผมหงอกแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่
แม้อพอลโลจะไม่ได้พูดอะไรด้วยแล้วยังดูเหมือนทักคนผิด คนสนิทก็คิดไปว่าคงอยากเจอเจ้าชายฟรอสต์ที่เคยช่วยเหลือ และอยากบอกขอบคุณด้วยตนเองเสียมากกว่า ทว่าก็ไม่ได้เจอตัวจริงเสียที จึงลองเอาเป้าหมายขององค์ชายมาล่อเพื่อให้ไปร่วมงาน
“มีสายข่าวว่าเจ้าชายฟรอสต์ได้รับเชิญให้ไปด้วยและเป็นรายชื่อลำดับต้นๆ ที่ยืนยันว่าจะไปร่วมงาน...”
ตึง!
แฟ้มเอกสารเล่มโตถูกพลิกปิดอย่างแรง คนสนิทเงยหน้ามององค์ชายพลางอมยิ้มเล็กน้อย สายตาคมดุนั้นมองไปที่กองเอกสารที่ยังคงท่วมหัว
“วันไหน?” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้นมานิ่งๆ
“วันสิ้นปีพระเจ้าข้า” คนสนิทเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส
“ตารางงานว่างใช่ไหม?”
“พระเจ้าข้า”
“อืม...” รับคำเบาๆแล้วก็หันกลับไปเปิดแฟ้มเอกสารจัดการงานต่อโดยไม่ได้สนใจคนสนิทอีก
เอ๊ะ...ไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม...แสดงว่าจะไปใช่มั้ยเนี่ย?...
รถม้าสีดำสนิทจอดเทียบที่ทางเข้าปราสาทของอาณาจักรคุโย แดนปฏิทิน เจ้าชายสองพระองค์ก้าวลงจากรถม้าแทบจะพร้อมกันหลังจากที่ส่งสายตาเขม่นกันในรถม้าจนแทบจะลุกเป็นไฟ เจ้าของเรือนผมสีตะวันที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีเพื่อให้เข้ากับฉลองพระองค์ยูกาตะสีดำลวดลายตราราชวงศ์แฟลร์รูจและผ้าคลุมไหล่กันความหนาวเย็นสีขาวเดินอย่างสง่าด้วยฉลองพระบาทส้นเตี้ย นำหน้าพระเชษฐาไปโดยไม่รีรอ คนที่ยังยืนมองก็ขำเล็กๆ พลางจัดชุดที่สีตรงข้ามแต่ลวดลายเดียวกันนั้นอย่างใจเย็นเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับชุดประจำชาติของคุโยที่ไม่คุ้นเคยนี้
อยู่ไหนกัน มาถึงหรือยัง?...
เนตรแห่งสุริยันสอดส่องมองหาไปทั่วบริเวณที่จัดงาน พิธีเปิดนั้นยังไม่เริ่ม พระองค์ต้องการมองหาคนที่ต้องการพบตัวแต่ก็ไม่เห็นว่ามีเจ้าชายพระองค์ใดเสด็จมาก่อนนอกจากพระองค์และพระเชษฐา คนสนิทจึงเสนอให้องค์ชายเล็กไปทักทายกับเจ้าชายแห่งอาณาจักคุโยนี้เสียก่อน
“ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรคุโยครับ” เจ้าชายคาโนโตะแห่งตระกูลระกากล่าวทักทายเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจทั้งสองและทำการสัมผัสมือเพื่อทักทาย
แม้ว่าเจ้าชายคาโนโตะจะดูไม่ค่อยคุ้นชิน แต่เจ้าชายฮิโนโตะแห่งตระกูลมะแมและเจ้าชายคาโนเอะแห่งตระกูลวอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ให้กำลังใจแล้วสนับสนุนผู้เป็นเหมือนน้องชายเป็นอย่างดี เบื้องหลังนั้นยังมีเจ้าชายอินุอิแห่งตระกูลจอและเจ้าชายฮานาเระแห่งตระกูลกุนกำลังยืนคุยกันอยู่ก่อนจะเข้ามาทักทายบ้าง และยังได้พบกับเจ้าชายชินแห่งตระกูลชวดผู้น่าเกรงขามแม้รูปกายจะเล็กกว่าเจ้าชายอีกห้าพระองค์ที่ออกมาต้อนรับอาคันตุกะ
อพอลโลขอตัวไปเดินชมเทศกาลและร้านรวงต่างๆ ภายในงานเทศกาล ส่วนไดอานั้นอยากพูดคุยกับเจ้าชายแห่งคุโยทั้งหกต่อจึงได้แยกตัวไป
ฉลองพระองค์ยูกาตะที่อพอลโลและไดอาสวมใส่มาสร้างความประทับใจให้เจ้าชายคาโนโตะมากเพราะไม่คิดว่าเจ้าชายอาณาจักรอื่นจะใส่มาร่วมงาน โดยเฉพาะเจ้าชายที่มาจากแดนฝั่งตะวันตกซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่าง
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เจ้าชายก็เริ่มมาร่วมงานมากขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าชายเล็กแห่งแฟลร์รูจนั้นสังเกตไม่ทันว่ามีเจ้าชายพระองค์ไหนมาแล้วบ้าง อย่างน้อยก็เห็นชัดเจนว่าเจ้าชายแดนดาวตกก็มาร่วมงานนี้ด้วยเพราะแรงคำอธิษฐานของประชาชนในวันสิ้นปี อพอลโลตั้งใจไม่เข้าไปทักทายก่อนเพราะเรื่องคราวที่แล้วที่ยังทะเลาะกันอยู่ รวมทั้งพยายามที่จะไม่ก้าวก่ายงานของชแตร์แม้ว่าจะอดปากร้ายใส่ไม่ได้ก็ตาม
ฉับพลันเขาสัมผัสได้ถึงไอเย็นบางๆที่เดินผ่านด้านหลังเขาไป อพอลโลหันหลังขวับทันที และทันได้เห็นเส้นผมสีเงินและแก้วตาใสสีแดงทับทิมที่กำลังก้มต่ำมองเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างกาย บรรยากาศรอบข้างคล้ายจะมีหิมะตกทั้งที่วันนี้ฟ้าใสไร้เมฆา
เขารีบเดินตามไปในทันที
ตึก ตึก ตึก
“ฟรอสต์!”
หมับ!
มือหนาร้อนคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนเรียวของเด็กหนุ่มผมสีเงินผิวขาวจัด ออกแรงรั้งเบาๆ ให้อีกคนหยุดเดินและหันกลับมามองตน เด็กชายที่เดินอยู่ข้างๆ ก็หันมาร้องโวยวายใส่ ทั้งสีผมสีตาที่เหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยนนั้นบ่งบอกได้ว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ยิ่งทำให้อพอลโลมั่นใจว่าต้องทักถูกคน
“เฮ้ย! ปล่อยนะ!” ลูกแก้วสีแดงนั้นฉายแววฉงนพลางขยับตัวบิดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
“ฟรอสต์?” พอเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์เกินคาดก็ไม่แน่ใจขึ้นมา ท้ายเสียงจึงสูงขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่ตอนเด็กที่เคยพบดูอีกฝ่ายมีจะอายุมากกว่าเขาเพียงเล็กน้อย พอพบกันอีกครั้งคิดว่าจะดูแก่กว่าเขาหน่อยเสียอีก
“...เอามือสกปรกออกจากแขนน้องชายของฉันเดี๋ยวนี้” เสียงทุ้มต่ำลอยมาจากด้านหลังของอพอลโล แขนแกร่งพอกันกระชากมือร้อนนั้นออกและแช่แข็งด้วยพลังน้ำแข็งอันภาคภูมิใจของตน น้องชายทั้งสองก็เดินไปหลบด้านหลังของพี่ชายคนโตทันที
ดวงตาสีทับทิมมีแววไม่สบอารมณ์อย่างมากเมื่อมีคนแปลกหน้ามาแตะต้องน้องชายของตน มือเรียวขาวซีดยกมือเสยเส้นไหมสีเงินที่ปรกหน้าเพื่อระงับอารมณ์โกรธไม่ให้แสดงออกมามาก ไอเย็นถูกแผ่ออกมาราวกับจะข่มขู่ชายหนุ่มแห่งพระอาทิตย์ ทว่าใบหน้าคมคายนั้นกลับยกยิ้มพอใจและหยีดวงตาสีตะวันลงอย่างอารมณ์ดี น้ำแข็งอันภาคภูมิใจของเจ้าชายแดนหิมะถูกละลายกลายเป็นน้ำอย่างง่ายดายด้วยพลังไฟของเจ้าชายแฟลร์รูจ
“ได้พบกันเสียที เจ้าชายฟรอสต์”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Talk
ในที่สุดอพอลโลก็ได้พบกับฟรอสต์เสียที กั๊กไว้นานเกินไปรึเปล่าหนอ 55555
เรื่องอัลแตร์กับเวก้านั้นเราตั้งใจเอาแจมในฟิคด้วยเพราะเฮราเคลสก็ดูจะรู้จักเพื่อนแดนดวงดาวบ้างเหมือนกัน ส่วนเจ้าชายแดนดาวนั้นก็รู้จักกับชแตร์มาบ้างในแนวของตำนานที่ว่าเจ้าชายแดนดาวตกที่สามารถทำให้คำอธิษฐานเป็นจริง
Comments (0)