13 ตอน Chapter 10 : World Salon
โดย ‘Umbrella’
เดือนสีสัน
ปีนี้เป็นปีพิเศษที่สุริยันแลจันทราได้เคลื่อนผ่านโลกแห่งความฝันมาบรรจบกัน เรียกว่า ‘ช่วงแสงทวิ’ ช่วงเวลาที่พลังแห่งความฝันจะแกร่งกล้าที่สุด ครานี้เป็นครั้งแรกในรอบหกสิบปีที่ผู้คนบนโลกนี้ได้เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์เคียงคู่ส่องสว่างด้วยกันบนท้องฟ้าทั้งยามทิวาและยามราตรี ครั้งที่แล้วช่วงเวลานี้สามารถสังเกตการณ์แสงทวิที่อาณาจักรมีเทียร์เวล แดนดาวตก ได้ชัดเจนที่สุด และในครั้งนี้แดนดวงดาวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์ซาลอนขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาอันแสนสำคัญ เพื่อมอบความฝันให้แก่ผู้คนมากมาย และเพื่อเป็นขวัญกำลังให้กับเหล่าเจ้าชายที่กำลังต่อสู้กับเหล่าปีศาจกินฝัน
เพื่อรวบรวมพลังแห่งความฝันให้เป็นหนึ่งเดียว...
เวิลด์ซาลอนคืองานนิทรรศการขนาดใหญ่ที่ได้รับความร่วมมือจากทั่วโลก อาณาจักรต่างๆ จะจัดงานในสถานที่เดียวกัน แดนดวงดาวและแดนบันทึกที่จับมือกันร่วมจัดงานและเชิญอาณาจักรต่างให้เข้าร่วมเวิลด์ซาลอนนี้ต่างก็ทำงานหนัก เจ้าชายแห่งแดนดวงดาวทุกพระองค์แทบไม่มีเวลาออกไปทำราชกิจนอกอาณาจักร พวกเขาศึกษาจากเวิลด์ซาลอนครั้งที่แล้วที่อาณาจักรมีเทียร์เวลเป็นผู้จัด ดังนั้นอพอลโลจึงไม่ได้เห็นเฮราเคลสและชแตร์บ่อยอย่างที่เคย
อาณาจักรโอลิมโพส แดนดวงดาว
ร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองเดินเข้าปราสาทอย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่หวั่นเกรงทหารยามที่อารักขารอบปราสาท พวกเขาแม้ว่าจะถูกสั่งห้ามไม่ให้มีใครเข้าออกทว่ากับบุรุษผู้นี้พวกเขายินดีที่จะละเลยคำสั่งขององค์ราชินีผู้สำเร็จราชการแทนองค์ราชา
ชายหนุ่มเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นห้องออกว่าราชการขององค์เหนือหัว ดวงตาสีทองมองปลาบไปยังหญิงวัยกลางคนที่สวมมงกฎนั่งอยู่บนบัลลังก์ เขาไม่ทำความเคารพเธอคนนั้นและเลือกที่จะเป็นการเป็นงานทันทีด้วยการหยิบแฟ้มเอกสารออกมาแล้วยื่นให้องค์ราชินี
“โอ้ ขอบใจจ้ะ เฮราเคลส” เธอรับมาดูคร่าวๆ ผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ที่ไปหารือเรื่องการจัดงานเวิลด์ซาลอนที่กาแลสเซียเป็นไปได้ด้วยดี กำลังดำเนินการจัดหอนิทรรศการรวมของแดนดวงดาว...” คนที่เคยร่าเริงมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อกล่าวกับพระมารดาเลี้ยง “...รายละเอียดก็มีเพียงเท่านี้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว”
เมื่อเฮราเคลสเอ่ยรายงานรายละเอียดทั้งหมดจบลง เขาก็หมุนตัวและเดินออกไปจากห้องโถงทันที แม้จะมีเสียงของสตรีผู้สูงส่งเรียกขานไว้ก็ไม่หันกลับไปมอง เขาตรงดิ่งไปยังห้องพักของราชาและอยู่เฝ้าดูพระบิดาของตนอย่างใกล้ชิด อีกไม่นานคงถึงวาระสุดท้ายขององค์ราชาเพราะสภาพร่างกายคงทนผลข้างเคียงจากยาพิษไม่ไหวแล้ว
เฮราเคลสมีแผนการบางอย่างในใจทว่าก็ยากเกินกว่าที่จะก่อการลำพัง ครั้นจะขอให้มิตรสหายช่วยเหลือก็เกรงจะเป็นการดึงอาณาจักรอื่นเข้ามาพัวพันให้วุ่นวาย เขาจึงทำได้แค่รอคอยเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้ายึดอำนาจเอง ดูท่าแล้วเหล่าขุนนางและทหารส่วนใหญ่ก็ยังเข้าข้างเขาอยู่ เพียงแต่อำนาจของผู้เป็นเจ้าแผ่นดินจะเด็ดหัวให้ก็ยอมทำได้เพียงคำสั่งเดียว จึงไม่มีผู้กล้าที่จะกระทำการ
ก่อนอื่นคงต้องรู้ว่านางวางแผนอะไรกับไดอา...
อาณาจักรแฟลร์รูจ แดนสุริยา
“ถ้าอย่างนั้นข้อสรุปก็เป็นไปตามนี้ เนื่องจากเดือนหน้าจะเป็นงานอภิเษกสมรสของไดอา เพราะฉะนั้นงานนี้ให้เจ้าตัวจัดการ ส่วนเวิลด์ซาลอนที่แดนดวงดาวเชิญมาให้เข้าร่วมก็ให้อพอลโลเป็นคนทำ เลิกประชุมได้!”
องค์ราชาแห่งราชอาณาจักรแฟลร์รูจเอ่ยสรุปการประชุมด้วยตนเองด้วยเสียงอันดังก้อง ดวงตาสีเพลิงมองปลาบไปยังเก้าอี้ว่างข้างกายก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ลูกชายคนเล็กตั้งแต่ไปอยู่ที่อาณาเขตก็ไม่ได้เดินทางเข้าร่วมประชุมที่เมืองหลวงเลยสักครั้ง สร้างความหงุดหงิดให้กับผู้เป็นพ่อยิ่งนัก แต่ทว่าเมื่อสั่งงานอันใดให้ก็ไม่อิดออดปฏิเสธ ซ้ำยังทำออกมาได้ดีจนน่าภาคภูมิใจ ผิดกับราชโอรสองค์โตผู้เป็นถึงรัชทายาทที่เอาแต่อวดอำนาจและปล่อยให้เหล่าทหารรังแกไพร่ฟ้า ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็รู้ว่าผู้ใดควรขึ้นครองราชย์ต่อจากราชาองค์ปัจจุบัน
“อย่าลืมส่งเอกสารให้อพอลโลด้วย” เจ้าแผ่นดินสั่งกับขุนนางคนสนิท
“พระเจ้าข้า” ข้ารับใช้โค้งให้อย่างนอบน้อมก่อนจะขอตัวไปจัดเตรียมข้อมูลเพื่อส่งให้เจ้าชายพระองค์เล็ก
และเมื่อคราวที่ราชาได้อยู่ตามลำพังกับมกุฎราชกุมาร บรรยากาศตึงเครียดจากผู้เป็นพระบิดาทำให้โอรสไม่กล้าสบตาด้วย
“ไดอา”
“พ่อ...” ดวงตาสีเพลิงเฉกเช่นเดียวกันเลื่อนขึ้นมาสบ
“เรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?”
“ไม่สำเร็จครับ” ไดอาเอ่ยเสียงแผ่ว
“แล้วมีเรื่องอะไรที่แกทำสำเร็จบ้าง? แค่ให้ไปลอบสังหารอพอลโลตั้งหลายหนก็ทำไม่ได้!” องค์ราชาเอ่ยพลางทุบโต๊ะเสียงดังจนโอรสสะดุ้ง “ทุกวันนี้ฉันเห็นมันทำงานมากกว่าแก ประชาชนก็เริ่มนิยมชมชอบมากกว่าแก ยิ่งให้มันมีชีวิตอยู่นานมากเท่าไหร่แกยิ่งด้อยค่ากว่ามัน”
“พ่อ คือ...”
“แกไม่ต้องพูดมาก อาณาจักรของเราได้รับเชิญให้เป็นตัวแทนของสุริยันคู่กับแคลร์บูลที่เป็นตัวแทนของจันทรา เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองอาณาจักรที่กำลังฟื้นฟูขึ้นตั้งแต่แม่แกตายไป”
“หรือว่าต้องการจะให้ผม...”
“รู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?”
“ครับ”
“ฝากแกด้วยล่ะ”
“ครับพ่อ...”
ไดอารับคำหนักแน่น องค์ราชาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่หัวโต๊ะ รัชทายาทลุกขึ้นแล้วทำความเคารพ พระบิดาเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย คนที่ยังยืนอยู่ในห้องกำหมัดแน่นกัดฟันกรอด ไอสีดำค่อยๆ แผ่ออกมาจากมือข้างขวาก่อนจะค่อยๆ สลายไปราวกับไม่อยากให้มีใครมาเห็น
อาณาเขตของเจ้าชายอพอลโล
“มีจดหมายจากจอมพลังพระเจ้าข้า” คนสนิทของอพอลโลยิ้มหน้าตั้งแล้วยื่นซองจดหมายสีขาวสะอาดให้คนที่กำลังอ่านเอกสารที่ส่งมาจากองค์ราชา
“วางไว้ที่เดิม” ดวงตาสีตะวันไม่ละออกจากตัวหนังสือบนกระดาษ ข้ารับใช้ก็ผงกศีรษะแล้ววางลงบนกองจดหมายแบบเดียวกันที่เดิมอย่างที่เจ้านายบอก
พรึ่บ!
ทันใดนั้น อพอลโลก็โยนแผ่นเอกสารกลางอากาศทิ้งอย่างอารมณ์เสีย คนสนิทที่มองอย่างงงๆ ก็อึ้งไปสักพัก ก่อนจะได้สติตามเก็บให้แล้ววางไว้บนโต๊ะให้เรียบร้อยเช่นเดิม
“มะ–มีอะไรรึเปล่าพระเจ้าข้า พระโอรส?”
“แผนงานห่วยแตก ไม่มีสมองคิดหรือไร” เจ้าผู้ปกครองหยัดกายลุกขึ้นขยับแขนขาเล็กน้อยเพื่อยืดเส้นหลังจากที่นั่งทำงานมาทั้งวัน
“ตะ–แต่ว่า...”
“ฉันรู้ว่าต้องรีบดำเนินงานแล้ว ฉันจะคิดใหม่เองทั้งหมด”
“เอ๋!?”
“โยนงานใหญ่มาให้ฉันรับผิดชอบ แถมวางแผนกันชุ่ยๆ คงอยากให้ฉันขายหน้าในงานนิทรรศการแน่” ร่างสูงสง่ากอดแล้วพ่นลมหายใจระงับความโกรธ “เพราะงั้นแกก็ต้องฟังฉันให้ดี ห้ามมีอะไรผิดพลาด”
“พระเจ้าข้า...” คนสนิททำได้แค่เพียงพยักหน้ารับคำโดยไม่อาจขัดแย้ง
หลังจากที่ระบายความโกรธออกไปเพียงเล็กน้อย อพอลโลก็กลับไปนั่งที่เก้าอี้และตั้งใจอ่านเอกสารงานราชการอีกครั้ง หวังจะจัดการงานทั้งหมดให้สิ้นก่อนจะถึงเวลาพักผ่อน
“เอ่อ พระโอรส...เสวยมื้อค่ำก่อนไหมพระเจ้าข้า?”
ข้ารับใช้ผู้เห็นเจ้านายของตนทำงานมาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้าก็นึกเป็นห่วงสุขภาพ แม้ว่าในยามนี้ยังสงบสุข ไม่มีกบฏใดๆ แต่เจ้าชายของเขาก็ยังคงทำงานหนักอยู่ทุกวัน ทั้งออกไปตรวจตราในเมือง ดูพื้นที่การเกษตร จัดการปัญหาภัยแล้ง สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำยามมีฝน ดูแลเรื่องภาษีอย่างถี่ถ้วน ตรวจสอบท้องพระคลังอย่างสม่ำเสมอและเข้มงวด นอกจากนี้ยังแบ่งเวลาออกงานสังคมมากขึ้น มีทั้งตามคำสั่งองค์ราชาและไปเพราะพระประสงค์ของพระองค์เอง โดยเฉพาะหลังจากที่ไปพบกับรัชทายาทของสโนว์ฟิเลีย อพอลโลมีสีหน้าที่เบิกบานมากกว่าเมื่อก่อนนัก
“มื้อค่ำ? ถึงเวลาแล้วหรือ?” คิ้วคมเลิกขึ้นก่อนจะวางเอกสารที่เพิ่งหยิบขึ้นมา
“พระเจ้าข้า เตรียมไว้เรียบร้อยที่ห้องเสวยแล้ว” ข้ารับใช้ยิ้มบางเมื่อเห็นพระโอรสของตนได้พักผ่อนเสียที
“เดี๋ยวฉันไป แกออกไปก่อน”
“พระเจ้าข้า”
เมื่อคนสนิทออกจากห้องไปแล้ว อพอลโลจึงลุกขึ้นอีกครั้งแล้วหยิบจดหมายไปยืนอ่านรับลมเย็นที่ระเบียง ใจความจดหมายส่วนใหญ่ก็ถามสารทุกข์สุกดิบ บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ช่วงหลังๆที่เขาไม่ได้ตอบจดหมายกลับไปก็ยังขยันส่งมาหาเช่นเดิม ทว่าฉบับล่าสุดที่เขียนส่งมานั้นเป็นสำนวนแปลกๆ ที่ดูเป็นทางการผิดปกติ แม้ว่าเนื้อหาจะเป็นปกติแต่ก็มีอะไรแอบแฝงราวกับต้องการซ่อนข้อความที่แท้จริง
อพอลโลเก็บจดหมายฉบับนั้นลงใส่กระเป๋ากางเกง พลันนึกไปถึงเรื่องที่เฮราเคลสเคยบอกเขาเมื่อคราวที่ถูกนัดไปเจอ ณ กระท่อมกลางป่า
‘ลูกพี่ ไดอาน่ะวางแผนลอบทำร้ายลูกพี่อยู่นะ’
‘ใช่ ผมกับเฮราเคลสตามดูเขาอยู่ตลอดเลย แต่ตอนที่คลาดสายตาน่าจะเป็นตอนที่เขาเอาหน้ากากไปสวมให้นาย’
‘ไดอาน่ะหรือเอาหน้ากากนั่นมาสวมให้ฉัน?’ เขาเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู จำได้แค่ช่วงที่กำลังวุ่นวายก็มีคนวิ่งมาชนเขาและวิ่งหนีด้วยความรีบร้อน รู้ตัวอีกทีก็มีหน้ากากมาแปะบนหน้าแล้ว
แต่ถ้าหากว่าเป็นความจริงขึ้นมาแสดงว่าพี่ชายของเขาเก่งขนาดที่ไม่ใช้เงินซื้อคนเพื่อหักหลังเขา แต่กระทำการด้วยตนเองเลย...
‘อยู่ที่ปราสาทก็ระวังตัวด้วยนะลูกพี่ เพราะว่าหน่วยเฝ้าระวังภัยตามไปดูแลที่ปราสาทของลูกพี่ไม่ได้!’
‘เกือบจะเชื่ออยู่แล้วถ้าไม่มีท่าประกอบติ๊งต๊องนั่น’
‘เอ๊ะ ไม่เชื่อเหรอ?’ เฮราเคลสทำหน้างอ เนแมร์บนไหล่ก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
‘เอาเถอะ ใช่ว่าเจ้านั่นจะไม่เคยลอบทำร้ายฉันสักหน่อย ฉันก็รอดมาได้ทุกครั้ง...’ แม้ว่าครั้งล่าสุดจะทำให้เขาคาดไม่ถึงก็ตาม...บางทีฝ่ายนั้นอาจจะรู้ว่าเขาเอาแต่สนใจฟรอสต์มากไปจนลืมระวังตนเอง...
‘ผมอยากให้นายดูแลตัวเองดีๆ เห็นเจ็บตัวทุกเดือนเลยนะ’
‘บังเอิญนายมาเห็นตอนนั้นต่างหาก ปรกติฉันก็ไม่ได้ออกไปไหน’ อพอลโลขมวดคิ้วยุ่งเมื่อรู้สึกว่าเหมือนกำลังถูกคนที่ดูอ่อนแอกว่าดุ
‘จริงสิลูกพี่ ฉันเห็นไดอาที่ปราสาทโอลิมโพส คุยอยู่กับแม่เลี้ยงของฉัน ท่าทางดูแปลกๆ’
เนตรสีรพีเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ แล้วหรี่ดวงตาลงอย่างใช้ความคิด
...เจ้านั่นไปทำอะไรที่โอลิมโพส?...หรือจะรู้จักเฮราเคลสแล้ว?...
ช่วงแสงทวิมาเยือน เวิลด์ซาลอนก็เริ่มครึกครื้น...
“ลูกพี่!”
เฮราเคลสร้องลั่นเมื่อเห็นเจ้าของเรือนผมสีเพลิงเดินเข้ามาในหอจัดแสดงของแดนดวงดาว ชุดสีครีมขลิบทองงดงามของตัวแทนแห่งสุริยันดูเด่นสง่า กอปรทั้งใบหน้าคมคายหล่อเหลาและทรงผมเปิดหน้าผากดูรับกับคิ้วทรงงามและดวงตาคมกล้า ข้างกายของเขามีตัวแทนแห่งจันทราในชุดสีขาวพิสุทธิ์ขลิบขอบสีดำเงางามดูลึกลับ ผมสีเทาเงินและผ้าปิดตาซ้ายเสริมให้แกรี่ดูน่าพิศวง
“หนวกหู...” เสียงทุ้มเอ่ยปรามเสียงต่ำ เนแมร์กระโดดดึ๋งไปปิดปากเจ้านายทันที อพอลโลตั้งใจมาทักทายเจ้าภาพของงานก่อนจะเข้าสู่พิธีเปิดนิทรรศการ
“หึๆ...ลูกพี่งั้นเหรอ...” แกรี่หัวเราะเบาๆ ดวงตาคมปลาบสีเพลิงตวัดมามองอย่างไม่พอใจนัก “ก็ดูเหมาะสมกันดีนี”
“ก็ดีกว่าลูกแหง่ติดพี่แบบแก”
“อพอลโล!”
ไม่ทันไรตัวแทนทั้งสองก็เกือบจะเปิดศึกกันหากว่าสปิก้าไม่เดินหลงมาทักทายทั้งสองคน เขาเอ่ยขอบคุณที่ทั้งสองคนยอมมาเป็นตัวแทนของแสงทวิเพื่อเป็นกำลังใจให้กับประชาชนที่เข้าร่วมงาน
“เจ้าชายอพอลโล เจ้าชายแกรี่ อีกไม่นานก็จะถึงพิธีเปิดแล้วล่ะ ไปเตรียมตัวได้แล้วล่ะนะ” สปิก้ายิ้มแล้วยกหน้าที่ต่อไปให้เวก้าและเดเนบ
“เข้าใจแล้ว”
“งั้นเชิญทางนี้เลย” เดเนบเอ่ยเสียงใสแล้วผายมือเชิญเจ้าชายต่างแดนทั้งสองเดินไปยังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้
พิธีเปิดเป็นไปอย่างรื่นเริง ตัวแทนทั้งสองได้กล่าวสุนทรพจน์แก่เหล่าเจ้าชายและประชาชนที่มาร่วมงานอย่างจริงจังและหนักแน่น เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงพลังแห่งความฝันและอย่าได้ยอมแพ้ต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
“สุดท้ายนี้...ขอให้จงเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเลือก และก้าวเดินไปอย่างหนักแน่นมั่นคง จงอย่าเลือกทางที่ทำให้ต้องมาคิดเสียใจภายหลังเป็นอันขาด ขอบคุณครับ”
สิ้นเสียงของอพอลโล ทุกคนต่างก็ปรบมือและโห่ร้องเสียงดัง ขวัญกำลังใจได้ถูกส่งต่อไปยังผู้คนมากมาย เจ้าภาพของงานได้กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการและปล่อยลูกโป่งขึ้นฟ้า พลุเสียงจำนวนหนึ่งถูกจุดเพื่อเฉลิมฉลองพอเป็นพิธี ประตูทางเข้าหอจัดแสดงจากหลากหลายอาณาจักรถูกเปิดออกเพื่อต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน เจ้าชายส่วนหนึ่งได้กลับเข้าไปดูแลหอจัดแสดงของตน
บัดนี้พื้นที่ส่วนกลางจึงเริ่มเบาบางผู้คนและเหลือเพียงเจ้าหน้าที่ที่ดูแลบริเวณนี้กำลังจัดสถานที่ให้เป็นมุมพักผ่อนของผู้เข้าร่วมงาน
“ขอบคุณทั้งสองคนมากเลยนะครับที่ให้เกียรติมาพูดสุนทรพจน์ ประทับใจมากๆ เลย” เวก้ายิ้มกว้างแล้วยกน้ำมาให้ตัวแทนแห่งสุริยันจันทราได้ดื่มแก้กระหาย
“เรื่องแค่นี้เอง” แกรี่ยิ้มตอบให้และรับแก้วน้ำมา
“ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก” อพอลโลยกยิ้มเย่อหยิ่งแล้วรับแก้วน้ำมาถือไว้เช่นกัน เหลือบมองดูน้ำในแก้วก่อนจะจิบเพียงเล็กน้อยเพื่อแก้กระหาย
“ก็สมแล้วที่เป็นเจ้าชายแกรี่และเจ้าชายอพอลโล ดูสง่าและเข้มแข็งมากเลย” อัลแตร์ชื่นชมตาเป็นประกาย “ได้ยินมาว่าทั้งสองอาณาจักรกำลังสานสัมพันธ์กันสินะครับ”
ดวงตาสีเพลิงมองเนตรฟ้าครามข้างเดียวก่อนจะเอ่ยพร้อมกัน
“กำลังพยายาม”
“ดันทุรังน่ะ”
“อพอลโล?” แกรี่ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำไม่รื่นหู
“ราชาทั้งสองสนิทกันก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์อันดี” เจ้าชายแฟลร์รูจเอ่ยเสียงเครียด “หึ...แต่ก็กำลังจะมีข่าวดี...”
“ข่าวดี?”
“สำหรับบางคนน่ะนะ” อพอลโลทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดเต็มยศออก
กิลเบิร์ตในคราบของแกรี่แอบชักสีหน้าลับหลังเพราะรู้ดีว่างานแต่งงานของรัชทายาทแฟลร์รูจเป็นเพียงการแต่งงานที่หวังผลทางการเมือง หาได้สมัครใจรักใคร่จึงได้อภิเษก
“จะไปที่ไหนก่อน?”
เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามคนที่กำลังยืนอ่านแผนผังของงานนิทรรศการอย่างเคร่งเครียด เส้นทางของแต่งจะหอจัดแสดงสามารถเชื่อมกันได้หลายจุดคล้ายมูนโร้ด ดวงตาสีทับทิมไม่ยอมละออกจากแผ่นกระดาษจนคนข้างๆ เริ่มโมโห
กรอบแกรบ...
แผ่นพับถูกแย่งไปขยำแล้วโยนทิ้งลงถังขยะอย่างแม่นยำ แขนกำยำโอบเอวสอบให้เข้ามาแนบชิดก่อนจะบังคับพาเดินไปยังหอจัดแสดงของแดนอาวุธทันที มือเรียวตีเพียะเข้าที่หลังมือหยาบกร้าน คนเอาแต่ใจจึงยอมปล่อยแล้วคว้าข้อมืออีกฝ่ายแทน
เมื่อเดินเข้าไปที่หอจัดแสดงก็พบคนรู้จักพอดี
“โอ๊ะ? เจ้าชายอพอลโล เจ้าชายฟรอสต์”
คนที่มารอต้อนรับแขกอยู่ตรงหน้าประตูคือเจ้าชายคาลิเบิร์น ซึ่งเคยพบกันแล้วในงานประลองยุทธที่อาณาจักรอวาลอน เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ยิ้มทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ตอนพูดสุนทรพจน์ผมประทับใจมากเลยครับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว ต้องพูดต่อหน้าสาธารณชนจะทำให้แฟลร์รูจขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด” อพอลโลยิ้มรับอย่างเย่อหยิ่ง
“ถือเป็นหน้าที่สำคัญของราชวงศ์สินะครับ” เจ้าชายรองจากอวาลอนเชื้อเชิญให้ทั้งคู่เข้าชมนิทรรศการ “หอจัดแสดงนี้นอกจากจะมีอาวุธประเภทต่างๆ ยังมีประวัติและผลงานที่โดดเด่นของผู้ใช้ด้วย มีห้องประลองอาวุธด้วยนะครับ เผื่อว่าทั้งสองคนจะสนใจ”
เจ้าของเรือนผมสีทองทอดสายตามองอาวุธละลานตาด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนเมื่อครั้งไปเยือนแดนอาวุธ ฟรอสต์นึกขำกับท่าทีที่ดูเหมือนเด็กเจอของเล่นของคนตรงหน้าจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นยิ้มไว้
“ตอนที่เจ้าชายอพอลโลเข้าร่วมประลองอาวุธประเภทต่างๆ ผมยังตกใจอยู่เลย ติดหนึ่งในสามอันดับแทบทุกประเภท” คาลิเบิร์นทำหน้าประหลาดใจก่อนจะยิ้มจนตาหยี “นานแล้วที่ผมไม่ได้เจอคนที่เก่งรอบด้านแบบนี้”
“ก็นะ...อาณาจักรของฉันมีสงคราม ขยายอิทธิพลด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร เป็นปกติที่เหล่าราชวงศ์ต้องถือดาบจับหอกตั้งแต่ยังเล็ก” อพอลโลสนทนากับคนผมสีน้ำตาลอย่างออกรสด้วยนานครั้งที่จะได้พบกับคนที่คุยกันรู้เรื่อง
ปล่อยให้คนผมสีเงินจากที่กำลังอารมณ์ดีก็ได้ยืนหน้าหงิก ทำทีเป็นชมภาพวาดประกอบการเล่าเรื่องประวัติอาวุธ และแอบเหล่มองว่าเมื่อไหร่คนผมสีแสบตานั้นจะคุยเสร็จเสียที
“เอาเถอะ ถึงจะไม่ชอบการพ่ายแพ้ แต่ฝีดาบของเจ้าผมแดงกับเจ้ามืดมนนั่นก็เก่งจริงๆ ส่วนเจ้าหน้าเครียดกับเจ้าเทวดานั่นก็ยิงแม่นใช้ได้” สีหน้าของคนพูดยิ้มพึงพอใจจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปาก
“ฮะๆ แต่คะแนนก็ห่างกันเฉียดฉิวเองนะครับ สมน้ำสมเนื้อกันดี ถ้าเป็นไปได้ปีหน้าก็ขอเชิญอีกนะครับ” คาลิเบิร์นหัวเราะเบาๆ เป็นจังหวะเดียวกันที่เจ้าหน้าที่ประจำหอเรียกคาลิเบิร์นไปคุยด้วย อพอลโลจึงขอตัวไปชมนิทรรศการ
พอรู้สึกตัวอีกทีคนที่เคยอยู่ข้างๆก็หายไปเสียแล้ว
อพอลโลหัวเสียไม่น้อยที่อีกฝ่ายจู่ๆก็หายไปโดยไม่บอกกล่าว เขาเดินตามหาฟรอสต์จนทั่วอาคารแต่ก็ไม่พบ พอกำลังจะเดินไปหานอกตึกก็พบกับคนหัวขาวๆเดินผ่านไปที่หางตา
หมับ...
“หืม?”
“แกอีกแล้วหรือ?” ใบหน้าคมคายมีความผิดหวังระบายอยู่อย่างชัดเจน คนถูกทักผิดก็ขมวดคิ้วยุ่ง
“นายนั่นแหละ มาทำอะไรที่นี่?”
“ไม่มีสมองรึไงถึงได้ถามออกมา”
“เปล่า ผมแค่เห็นนายรีบร้อน...”
“ช่างเหอะ คุยกับแกก็เสียเว–”
“ถ้าจะตามหาฟรอสต์ละก็เขาอยู่ในห้องลานประลองจำลอง...”
ยังไม่ทันที่อพอลโลจะได้พูดจบ คนตรงหน้าก็เอ่ยแทรกขึ้นมาราวกับรู้จุดประสงค์ แม้จะแปลกใจอยู่หน่อยแต่ก็วางมาดตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วจึงขอตัวไปตามหาคนที่หายไป ดวงตาสีฟ้าลึกล้ำหรี่ลงอย่างเศร้าสร้อย
“ในสายตาของนายมีแต่เขาสินะ...”
“โฮ่ ฝ่ายนั้นก็ดูเก่งเอาเรื่อง...”
ในห้องลานประลองจำลอง การประมือระหว่างนักดาบกำลังดำเนินไปอย่างสูสี เจ้าชายแดนหิมะเพิ่งรับรู้ว่าความบันเทิงที่ได้เชียร์ฝ่ายที่ตนคิดว่าจะชนะนั้นมันสนุกอย่างไร
หมับ...
“หือ?...เฮ้ยๆ ๆ !!”
ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการชมการประลอง ฟรอสต์ก็ถูกใครบางคนลากออกไปจากห้องนั้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น มืออุ่นๆ ที่จับต้นแขนของเขาทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาจึงเงียบ หยุดโวยวาย แล้วแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอีกคน
พวกเขาเดินด้วยกันตามทางอย่างเงียบงัน มีเพียงเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้เข้าร่วมงานที่ส่งเสียงแทนพวกเขา มือหยาบกร้านเพราะกรำศึกค่อยๆ เลื่อนลงมากุมมือเรียวขาวไว้แน่นก่อนจะบีบเบาๆ
ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงหอจัดแสดงของแดนจิตวิญญาณบุปผา อพอลโลตรงไปซื้อดอกไม้ช่อเล็กๆ ช่อหนึ่งที่ซุ้มตรงหน้าหอจัดแสดง แล้วยื่นกลับมาให้ฟรอสต์ด้วยท่าทีเคอะเขินนิดๆ ช่อบูเก้น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋มดูไม่เข้ากับผู้ชายร่างสูงสองคน ทว่าเจ้าชายแดนสุริยามิได้สนใจข้อนั้น มีเพียงความตั้งใจที่อยากมอบดอกไม้ช่อนี้ให้คนตรงหน้าเท่านั้น
“อะไรน่ะ...จู่ๆก็มาให้ดอกไม้...” คนรับก็เขินไม่แพ้กัน ยิ่งคนที่ยืนหน้าหอจัดแสดงมีจำนวนมาก และไม่น้อยเลยที่เป็นคู่รักที่มาชมความงามของหมู่มวลดอกไม้
“ฉันให้ก็รีบๆ รับไปสิ” คนขี้เอาแต่ใจยื่นค้างไว้จนแทบจะยัดใส่มืออีกฝ่าย ฟรอสต์ก็เงอะๆ งะๆ รับมาพร้อมทั้งระแวงสายตาคนอื่น
“เอ่อ...ขอบใจนะ...” แก้มขาวแดงเลือดฝาดน้อยๆ มองช่อดอกไม้ในมือให้ชัดๆ ก็เห็นเป็นดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าอ่อน “ก็สวยดีนี่...”
“หึ เหมาะกับนายออก”
“เหมาะกับฉัน?”
“เดี๋ยวนายก็รู้น่า”
เจ้าของเรือนผมสีตะวันยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะชวนอีกฝ่ายให้เดินเข้ามาข้างในหอจัดแสดงซึ่งถูกแปรสภาพเป็นเรือนกระจกขนาดย่อม บรรดาดอกไม้งามแข่งกันเบ่งบานอย่างสวยสด มีผีเสื้อบินไปมาอย่างอิสระให้บรรยากาศนุ่มนวลผ่อนคลาย อพอลโลเอาช่อบูเก้นั้นมาคล้องสะพายที่เอวของฟรอสต์จะได้ไม่เกะกะเวลาถือของอย่างอื่น
พวกเขาเดินชมดอกไม้ชนิดต่างๆ และพูดคุยกับเจ้าชายประจำดินแดนที่กำลังทำหน้าที่ไกด์ทัวร์อย่างสนุกสนาน ลีออนแนะนำดอกไม้ต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว เจอร์เบอร์แนะนำคาเฟ่ดอกไม้ที่ทำเป็นขนมและเครื่องดื่ม และเป็นความซวยของเนเพนเธสที่มาลองชิมฟรอสต์จึงถูกทั้งไฟและน้ำแข็งเล่นงานเอา
“อือ...อิ้นแอ๋งแอบอี้อ๋มอะอูดอังไอ”
“ฟังไม่รู้เรื่องเลย คุณเนเพน” ลีออนย่นคิ้วอย่างสงสาร
“ช่วยไม่ได้นะ ก็ไปเลียเขาก่อนนี่นา” เจอร์เบอร์ถอนหายใจแบบช่วยไม่ได้ ปล่อยให้ภูตต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้องแลบลิ้นที่ถูกแช่แข็งออกมาอย่างน่าอนาถเพราะหดลิ้นกลับไม่ได้
“ให้ตายเถอะ ทำไมเจอแต่เรื่องน่าหงุดหงิด” เจ้าชายผู้ลงโทษนักชิมชักสีหน้าไม่พอใจ บรรยากาศคุกรุ่นถูกส่งมาจากเจ้าชายหัวร้อนคนข้างๆ ที่กำลังมีเปลวไฟลุกที่แขนขวา
“ไปกันเถอะ” อพอลโลคว้าเอวฟรอสต์กึ่งบังคับให้เดินไปด้วยกัน
เมื่อมาถึงมุมที่ปลอดคน อพอลโลก็จรดริมฝีปากลงบนซอกคอของฟรอสต์ทันที กัดซอกคอขาวด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะดึงรั้งให้อีกฝ่ายเข้ามาให้กายแนบชิดกัน
“อึก...เดี๋ยว...” ความอุ่นชื้นที่ประทับลงบนผิวกายเย็นๆ ชวนให้ประสาทสัมผัสตื่นตัว จนลุกซู่เมื่อถูกประคองสะโพกให้เบียดกับอีกฝ่าย “นี่...!”
แขนเรียวดันอกอีกฝ่ายออกสุดแรงจนสามารถหลุดจากการเกาะกุม ทับทิมคู่งามมองเห็นโทสะอัดแน่นอยู่ในดวงตาสีเพลิงที่กำลังลุกไหม้ เป็นครั้งแรกที่ฟรอสต์เพิ่งได้เห็นภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุออกมา
“ตรงนั้นฉันยังไม่เคยทำ มันเป็นใครถึงได้กล้ามาแตะของของฉัน...”
เพลิงกาฬในดวงตาจดจ้องไปยังซอกคอขาวที่ปรากฏรอยฟันที่เขาเพิ่งสร้าง อยากจะประทับซ้ำรอยไม่ให้เหลือสัมผัสของคนที่บังอาจลาบล้วงสิ่งที่เขาถนอมมาโดยตลอด อพอลโลพยายามผ่อนลมหายใจระงับความโกรธไม่ให้เผลอเผาทุ่งดอกไม้ในร่มนี้ให้กลายเป็นทะเลเพลิง เขาดึงคนที่ตนรักเข้ามากอดแน่นแล้วฝังใบหน้ากับผิวกายที่เย็นกว่า ฟรอสต์ทำได้เพียงยืนนิ่งและค่อยๆ ใช้มือโอบแผ่นหลังร้อนรุ่มเอาไว้หลวมๆ
เป็นครั้งแรกรึเปล่านะที่ถูกหึงหวงรุนแรงขนาดนี้...
ต้องโทษอพอลโลเลย
ใช่...
เพราะอพอลโลคนนั้น!
เพราะหลังจากที่ออกจากหอจัดแสดงเขาก็ถูกมองแปลกๆ มีคนชี้มาที่คอของเขาแล้วแอบหัวเราะคิกคักอย่างไร้มารยาท เจ้าของเรือนผมสีเงินไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนที่เดินผ่านถึงได้ทำตัวราวกับเขาเป็นตัวตลก แม้แต่พวกเขาไปพักทานอาหารกลางวันที่ฟู้ดคอร์ตก็ยังไม่พ้นแววตาล้อเลียนนั้น
แล้วเขาก็ได้รู้เมื่อได้แวะเข้าห้องน้ำ
รอยฟันขบชัดเจนที่คอของเขา
‘แหม ท่าทางแฟนหวงน่าดูเลยเนอะ ดูรอยกัดนั่นสิ’
‘รอยชัดกว่าตอนที่ฉันทำให้แฟนเมื่อคืนอีก ดุเดือดขนาดไหนเนี่ย’
ฟรอสต์โมโหจนไม่สามารถยิ้มได้อีกต่อไป ทว่าก็กลับทำให้ราชสีห์ขี้แกล้งลอบหัวเราะในลำคออย่างหฤหรรษ์จนน่าหมั่นไส้ จากที่ใส่เสื้อเปิดคอก็ต้องจัดทรงเสื้อใหม่ พับปกเสื้อให้ตั้งสูงขึ้นหมายจะบังรอยที่คอให้มิดชิด
“ทำอะไรของนาย!”
“แสดงความเป็นเจ้าของ”
“เจ้าของอะไร?”
“ก็เป็นคนรักกันแล้วไม่ใช่หรือ?” อพอลโลยิ้มอย่างน่าหมั่นไส้
ฟรอสต์ไม่ตอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคิดทบทวนอยู่หลายหน ทั้งเรื่องที่เผลอแสดงความหึงหวง ทั้งที่ใจเต้นแรงทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน และอาการร้อนวูบวาบที่ใบหน้าเมื่ออีกคนแสดงอาการเหมือน ‘จีบ’ เขา
“ต่อไปจะไปที่หอจัดแสดงของอาณาจักรไหน?” คนผมสีอ่อนกว่าเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อซ่อนความประหม่า
“ไปหอจัดแสดงของแดนวรรณกรรมไหม? เผื่อเจอหนังสือที่นายชอบ...”
“หืม?” หมอนี่รู้ได้ยังไง?...
“หรือจะไปหอศิลป์ชมงานศิลปะของเฟรเชียน?”
“หอศิลป์?” จริงสิ จำได้ว่าหมอนี่เคยพูดถึงตอนพบกันครั้งแรกสมัยเด็ก...
“หรือจะไปของแดนดวงดาวหรือดาวตกล่ะ? ไอ้เด็กโข่งนั้นก็อยากให้ฉันไปสองที่นั้นอยู่–”
“ไปหอศิลป์” เจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลียเอ่ยแทบจะทันที
คนข้างๆ มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่ของฟรอสต์ให้เดินไปยังหอจัดแสดงนิทรรศการงานศิลปะด้วยกัน
“ยินดี ~ ต้อน ~ รับ ~ เข้าสู่ดินแดนแห่งศิลปะ! สถานที่ซึ่งเป็นไปด้วยจินตนาการ! ความสร้างสรรค์! และอินสไปเร ~ ชั่น!”
คำพูดอันเป็นเอกลักษณ์ดังมาจากหน้าประตูทางเข้าหอจัดแสดง เจ้าชายเมดี้กล่าวต้อนรับผู้เยี่ยมชมทุกคนอย่างอารมณ์ดี แม้ว่าจะมีเจ้าชายลูคยืนตัดมุกอยู่ข้างๆ ก็ตาม
“หนวกหูชะมัด...” อพอลโลย่นหัวคิ้วก่อนจะทำเป็นเดินผ่านเจ้าชายประจำหอจัดแสดงไป
“หึ ถึงจะน่าขันแต่งานศิลปะของเจ้าชายเมดี้ก็ใช้ได้เลยนี่...” ฟรอสต์ยกยิ้มมุมปากเมื่อมองภาพวาดศิลปะแนวนามธรรม
“นายเข้าใจรูปภาพพวกนี้ด้วยหรือ?” ใบหน้าคมคายบิดเบี้ยวเล็กน้อยเมื่อไม่สามารถตีความหมายของภาพเหล่านี้ออก
“แน่นอน มันคือความวุ่นวายสับสนยังไงล่ะ” รอยยิ้มพึงพอใจส่งออกมาจากเจ้าชายผู้ขึ้นชื่อว่าแสนเย็นชา “การลงสีแบบนี้เหมือนจะเป็นเทคนิคเฉพาะตัวเลยนะ สีที่ใช้นี้มาจากแดนสีสันรึเปล่านะ?”
เจ้าชายหิมะมองภาพต่อภาพอย่างเพลิดเพลิน มีคนที่ไม่เข้าใจคอยเดินตามอยู่ข้างๆ ไม่ห่าง อพอลโลฟังฟรอสต์สาธยายไปเรื่อยๆแม้ว่าจะไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม บางภาพก็มีแค่ขีดเส้นเดียว หรือเป็นภาพการสะบัดขนแปรงพู่กันที่ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร อย่างน้อยเมื่อไปมุมอื่นๆ ของหอศิลป์ก็ยังมีภาพแนวทิวทัศน์หรือภาพบุคคลให้คนที่ไม่เข้าใจศิลปะได้ดูรู้เรื่องบ้าง
“การเขียนอักษรนี่ก็เป็นศิลปะด้วยหรือ?” ดวงตาสีเพลิงมองภาพอักษรสีขาวบนพื้นหลังสีดำ มีหยดหมึกขาวเป็นจุดเล็กๆ คล้ายกับดวงดาว
“หืม? ผลงานของเจ้าชายชิน อาณาจักรคุโย แดนปฏิทิน” ตาสีทับทิมมองชื่อภาพและชื่อผู้วาดที่แปะอยู่ข้างๆรูปภาพ “ ‘ดวงดาว’ ...งั้นเหรอ”
ฟรอสต์แอบหงุดหงิดไม่น้อยที่อพอลโลดูจะสนใจภาพอักษรดวงดาวนั้นเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ก็ชวนไปที่หอจัดแสดงของแดนดวงดาวกับแดนดาวตกอีก
...หงุดหงิดจริง...
เจ้าชายแดนสุริยามองอยู่สักพักก่อนจะละสายตาออกจากภาพนั้น มือเรียวคว้าเอาข้อมือหนาแล้วกระตุกแขนให้เดินไปด้วยกันโดยลืมที่จะดูภาพอื่นๆ ไปแล้ว แม้ว่าอพอลโลจะร้องถามว่าเป็นอะไรทำไมถึงรีบ แต่ฟรอสต์ก็ไม่สบอารมณ์เกินกว่าจะหันไปตอบ
เขาไม่อยากให้สายตาของอพอลโลมองอะไรอีกทั้งนั้น
เจ้าของสายตานี้คือเขาคนเดียวเท่านั้น!
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ!”
ขายาวๆ ของทั้งสองก้าวฉับๆ มาจนถึงห้องจัดแสดงห้องสุดท้ายที่เมื่อเดินถัดไปอีกห้องจะเป็นส่วนจำหน่ายของที่ระลึกก่อนออกจากหอจัดแสดง รัชทายาทแห่งสโนว์ฟิเลียต้องการก้าวออกจากที่นี่โดยเร็ว
ทว่า...
“เจ้าเคยเห็นภาพนี้ที่ไหนมาก่อนหรือเกรเซีย?”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ อาจจะคล้ายๆ กับภาพวาดในห้องของพี่ก็ได้ พี่เขาชอบสะสมภาพวาดแปลกๆ...”
“หืม? นายว่ายังไงนะ...เกรเซีย...”
ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคิ้วกระตุกเล็กน้อย หยุดเดินแล้วหันกลับไปหาทันที เขาอดที่จะสวนกลับไม่ได้เมื่อเห็นน้องชายกำลังนินทาเขาให้ใครคนหนึ่งฟัง
เป็นชายร่างสูงผมสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ หูหางฟูฟ่องดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส
“พี่!?” เกรเซียตกใจตาแทบถลน เขาก็เห็นว่าพี่ชายเดินเที่ยวกับแฟนไปแล้วก็เลยกะแอบๆ มาเที่ยวกับแฟนบ้าง ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอ...
“อ้าว เจ้าชายฟรอสต์ เจ้าชายอพอลโล” คนที่อยู่กับเกรเซียยิ้มทักทายอย่างอ่อนโยน “บังเอิญเสียจริง”
“เจ้าชายไซงะ? ทำไมมาอยู่กับเกรเซีย?”
ฟรอสต์มีสีหน้าฉงนชัดเจนเมื่อเห็นน้องชายรองของเขากับเจ้าชายแดนเทพจิ้งจอกอยู่ด้วยกันตามลำพังเช่นนี้
“อะ–เอ่อ...”
“พอดีบังเอิญเจอกันก็เลยชวนดูภาพด้วยกันน่ะ” ไซงะรีบแก้ตัวแทบคนรักที่อ้ำๆ อึ้งๆ
“งั้นเหรอ...ไม่คิดว่านายจะสนใจภาพวาดพวกนี้ด้วยนะ” ฟรอสต์หรี่ดวงตามองน้องชายอย่างจับผิด “อย่างนายน่าจะไปหอจัดแสดงของแดนวรรณกรรมมากกว่า”
ฉันก็ไม่คิดว่าพี่จะพาแฟนมาดูภาพรสนิยมประหลาดๆ ของพี่เหมือนกันโว้ย!!...
เกรเซียได้แต่โวยวายในใจ
“ก็เห็นว่าน่าสนใจก็เลยแวะเข้ามาดูเฉยๆ น่า...” น้องชายรองแถไปแทบสีข้างถลอก “แล้วพี่ล่ะ...ทำไมมากับเจ้าชายอพอลโล ปกติเห็นชอบไปไหนมาไหนคนเดียว”
“อึก...” พอเจอน้องถามเข้า คนเป็นพี่ก็ไปต่อไม่ถูกทันที ใบหน้าสวยเริ่มมีแดงที่แก้มขาว “ก็...”
“เหมือนตอนนั้นเลยนะ” เสียงทุ้มแหบของอพอลโลเหมือนช่วยชีวิตฟรอสต์เอาไว้ เขายิ้มมุมปากจนเห็นเขี้ยว “ตอนเด็กๆ ที่นายหลงทางร้องไห้หาพี่น่ะ”
“หะ–หา!?”
“แต่ตอนนั้นนายก็เพิ่งจะสี่ขวบเอง จะจำไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอก” ดวงตาสีตะวันหรี่มองคนที่อายุน้อยกว่าอย่างอ่อนโยนผิดวิสัย “แต่พี่ชายนายนี่สิ ทำไมจำไม่ได้ก็ไม่รู้...”
“เกรเซียวัยสี่ขวบงั้นหรือ...คงจะน่ารักน่าชังน่าดู...” ไซงะหลับตาพริ้มราวกับจะนึกภาพตาม
“นี่...คุณไซงะ ไม่ได้นึกถึงอะไรแปลกๆ อยู่ใช่มั้ย?” เกรเซียไม่ไว้ใจผู้ใหญ่ตรงหน้า
“พูดมาก็จำไม่ได้อยู่ดี...” ฟรอสต์ถอนหายใจพลางขมวดคิ้วยุ่ง
“หึๆ ตอนนั้นแทบจะเข้ามาต่อยแล้วมั้งที่เห็นฉันอยู่กับน้องนายน่ะ” อพอลโลเล่าเรื่องราวอย่างร่าเริง ทุกครั้งที่นึกไปถึงก็ให้สุขใจเสมอ “น้องนายตัวเล็กนิดเดียว ตอนนั้นน่าจะเท่านี้รึเปล่านะ?” ว่าพลางทำมือสูงประมาณสะโพกของตน
“งั้นเหรอ?”
“ขาสั้นๆ ป้อมๆ สะดุดชายผ้าคลุมตัวเองจนเกือบหน้าทิ่ม”
“นะ–นี่!” คนโดนแฉก็เริ่มหน้าแดง “ฉันไม่เงอะงะแบบนั้นซะหน่อย!”
“ฮะๆ น่ารักซุกซนไม่เบาเลยนี่”
“คุณไซงะ!” เกรเซียแทบจะเอาหนังสือที่ถือมาด้วยไล่ตบหน้าเรียงคนด้วยความอาย
“ฮ่าๆ ๆ ตอนเจ้าเขินดูน่ารักไม่หยอกเลย...” เจ้าชายผมขาวยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าชายฟรอสต์ เจ้าชายอพอลโล ดูท่าว่าเกรเซียเริ่มอารมณ์ไม่ค่อยดีเสียแล้ว อยากจะพาเขาไปทานขนมที่ฟู้ดคอร์ตสักหน่อย คงต้องขอตัวก่อน”
คนเป็นพี่ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแค่กำชับว่าอย่าเสียมารยาทกับเจ้าชายไซงะมากล่ะ ถ้าเจอน้องคนเล็กก็ให้ช่วยดูแลด้วย
ดวงตาสีแดงชาดมองตามหลังน้องและอีกคนไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงว่าทั้งคู่เป็นอะไรกันทำไมดูสนิทสนมกันนัก...
“ให้ตายเถอะ...วุ่นวายจริง...” ฟรอสต์หงุดหงิดมาเกือบทั้งวัน เขาคิดว่าควรจะออกจากที่นี่ได้แล้ว...
ปึ้ก!
จู่ๆ ก็มีคนมาชนไหล่ของอพอลโลอย่างแรง ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำจึงไม่สะทกสะท้านอะไร แต่คนที่ไม่ได้มองทางแล้วชนกลับเซจนคนที่มาด้วยต้องประคอง
“อาคิโตะ! ชนคนอื่นแล้วนั่น!”
“ขะ–ขอโทษครับ พอดีผมตาลายนิดหน่อย...” คนที่เข้าชมรูปภาพประหลาดจนเวียนหัวก็รีบขอโทษขอโพย เมื่อเงยหน้ามองคนที่ตนเองชนก็เบิกตากว้าง “คุณไดอา?”
“ไดอาอะไรเล่า! นี่เจ้าชายอพอลโลต่างหาก!”
“เอ๋ จริงเหรอครับยูริอุส?” เนตรสีเทากะพริบมองคนตรงหน้าปริบๆ เมื่อมองดีๆ แล้วไม่ใช่คนรู้จักจึงได้รีบโค้งตัวอีกครั้ง “ขอโทษจริงๆนะครับ เจ้าชายอพอลโล”
“อืม...คราวหน้าระวังด้วย...”
ตะวันร้อนแรงหม่นแสงลงเมื่อได้ยินชื่อที่แสลงหู เขาอยากจะถามให้รู้เรื่องทว่าก็ถูกคนข้างๆ ดึงมือฉุดให้ออกไปจากหอศิลป์
ถ้าตาไม่ฝาดไปอพอลโลมองเห็นไอร้อนจางๆ ที่ลอยออกมาจากเส้นผมสีเงินนั้น
พวกเขาเดินไปตามทางที่ฟรอสต์เดินนำไป เห็นป้ายชี้ไปทางหอจัดแสดงของแดนมนุษย์ครึ่งสัตว์ซึ่งมีสวนสัตว์เล็กๆอยู่ภายใน ผู้ที่เข้าชมต่างก็มีแต่เด็กๆที่ผู้ปกครองพามาดูสัตว์ป่าชนิดต่างๆ อพอลโลไม่แน่ใจว่าฟรอสต์อยากมาดูสัตว์พวกนี้หรือว่าสุ่มเดินมาเพราะอยากหนีพ้นคนรู้จัก...
“จับมือไม่ปล่อยเลยนะ กลัวฉันหลงรึไง?”
“ใช่ที่ไหน!” ฟรอสต์รีบปล่อยมือทันที
“ใจเย็นๆ น่า ตอนนี้มีแค่เราแล้ว...” เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจพลิกข้อมือมาจับมือเรียวขาวแล้วดึงรั้งเอาไว้ พอเห็นอีกคนหันมามองก็เอ่ยต่อ “นายหึงหวงฉันทั้งวันเลยนะรู้ตัวรึเปล่า?”
“หา?” ใบหน้าขาวจัดขึ้นสีแดงระเรื่อ “บ้าน่า...ฉันก็แค่หงุดหงิดที่นายไม่สนใจ...อ๊ะ...”
เพราะกำลังสับสนจึงเผลอพูดความรู้สึกของตนออกมา กัดขาวกัดริมฝีปากบางของตนอย่างประหม่า รพีสดใสหรี่มองอย่างเอ็นดู แขนแกร่งโอบเอวสอบของคนที่กำลังอายให้เดินเข้าไปที่หอจัดแสดง
วันนี้ช่างมีความสุขเสียจริง...
“โฮ่...นี่คือสิงโตของจริงงั้นเหรอ? ส่วนเจ้านี่คือเสือ...”
คนตัวโตที่เหมือนกับเด็กน้อยตาเป็นประกายเมื่อได้เห็นสัตว์นานาชนิดอยู่ในกรงจัดแสดง ฟรอสต์เอาแต่ทำหน้าตกตะลึงตลอดเวลาที่เดินดูสัตว์ต่างๆ อพอลโลที่เคยเห็นมาบ้างก็ลอบหัวเราะในลำคอ เล่าอวดอ้างให้ฟังว่าเคยเห็นบ้างในลานประลองของกลาดิเอเตอร์ หรือบางครั้งก็มีศัตรูที่ใช้สัตว์พวกนี้มาเทียมกับรถม้า
“ตรงนั้นมีลูกสัตว์ให้อุ้มถ่ายรูปด้วย” ฟรอสต์มองไปทางมุมถ่ายรูปและมีลูกสัตว์วัยขี้อ้อนกำลังเดินเล่นในอยู่คอกเตี้ยๆ มีเด็กเล็กและเด็กวัยซนกำลังเล่นกับลูกสัตว์เหล่านั้นอย่างสนุกสนาน
“หืม นายอยากอุ้มเหรอ?” อพอลโลยกยิ้มมุมปาก เขาจึงจูงมือคนข้างๆ ให้เดินไปที่ตรงนั้น
กลายเป็นว่ามีผู้ใหญ่สองคนนอกจากผู้ปกครองของเด็กๆ อยู่ท่ามกลางดงสัตว์เด็กที่กำลังแย่งเด็กอุ้มลูกสัตว์ มีเจ้าหน้าที่ที่จำได้ว่าทั้งคู่เป็นใครจึงไม่กล้าขัดและปล่อยให้เข้ามาลองอุ้มได้
ราวกับเจ้าชายแดนสุริยามีออร่าจ้าวป่า พวกสัตว์ตระกูลแมวต่างก็ตรงเข้ามาคลอเคลียที่ขาทั้งสองข้าง บางตัวก็นอนกลิ้งตรงหน้าเหมือนจะเชิญชวนให้มาเล่นด้วย ในขณะที่คนข้างๆ ที่มีบรรยากาศเย็นชาจึงไม่มีสัตว์ตัวไหนเข้าใกล้
“เจ้านี่...ลูกสิงโตสินะ” มือหนาประคองเอาเจ้าตัวที่นอนกลิ้งตรงหน้าขึ้นมา ค่อยๆ วางพาดบ่าแล้วลูบขนเบาๆ “เชื่องคนดีนี่...”
อพอลโลจับมือขาวจัดให้มาลองลูบดูบ้าง คราแรกก็กล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าจับลงไปเพราะกลัวว่าจะเผลอทำให้ลูกสิงโตตกใจ ทว่าเมื่อได้ลองแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“น่ารักดีนะ...” ฟรอสต์ลองอุ้มเจ้าตัวเล็กตัวหนึ่งขึ้นมา ลูกหมาป่าสีขาวกระดิกหางฟูฟ่องของมันอย่างดีใจที่มีคนเล่นด้วย “หืม ดีใจงั้นเหรอ?”
เจ้าชายแดนหิมะประคองลูกหมาป่าในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม แม้จะยังอุ้มไม่ค่อยเป็นก็พยายามขยับมุมให้เจ้าตัวขนพักพิงได้สบายมากขึ้น พวกเขาถ่ายรูปกันคนละภาพสองภาพกับเจ้าลูกสัตว์คนละสองสามชนิด อพอลโลสั่งให้พนักงานดูแลถ่ายรูปคู่กันโดยที่เขาอุ้มลูกสิงโตส่วนฟรอสต์อุ้มลูกหมาป่า เมื่อถ่ายเสร็จก็พบว่าเวลาเริ่มโพล้เพล้แล้ว พวกเขาควรจะแยกย้ายกันไปพักผ่อนกันเสียที
เมื่อออกจากหอจัดแสดงของแดนมนุษย์ครึ่งสัตว์ก็พบว่าท้องฟ้าที่มีสุริยันและจันทราเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มอมม่วงของยามเย็น เป็นเวลาที่มหัศจรรย์ไม่น้อย... แม้ว่าจะมีแสงทวิแต่ก็ยังมีหมู่ดาราส่องแสงระยิบระยับ
“วันนี้ท้องฟ้าสวยดี ทั้งที่ปกติแล้วถ้ามีแสงพระอาทิตย์หรือแสงจันทร์จะมองเห็นดาวยากมากแท้ๆ” ฟรอสต์เอ่ยชมราวกับมองภาพศิลปะที่ธรรมชาติรังสรรค์
“เพราะเวลานี้เจ้าชายแดนดวงดาวมีปณิธานกล้า พวกดาวเหล่านั้นจึงตอบสนอง” อพอลโลกล่าวพลางนึกไปถึงช่วงที่เตรียมงานกับเจ้าชายแดนดวงดาว
“อยู่กับฉันแท้ๆ ยังจะพูดถึงคนอื่น” คนหน้าสวยเริ่มทำหน้าหงิกงออย่างไม่พอใจ
“หึงอีกแล้วนะ...” คนเอ่ยแซวยกยิ้มมุมปาก
“ฮึ่ย...”
เมื่อเถียงอะไรไม่ได้ฟรอสต์ถึงหันไปสนใจแสงทวิบนท้องฟ้าแทน แสงสีทองเรืองรองงดงามเพื่อส่งแสงสุรีย์ให้ดับลง สีทองสุกปลั่งนั้นดูสง่าคล้ายกับสีของอะไรบางอย่างที่คุ้นตา...
ดวงตาสีพระอาทิตย์...
หรือว่า...!
ทับทิมคู่งามเหลือบมองคนข้างๆ ที่กำลังมองบรรยากาศที่อาบด้วยแสงอัสดง ใบหน้าคมคายฉาบด้วยแสงอันงดงามขับให้เจ้าชายแดนสุริยาดูสูงส่งเหนือกว่าผู้ใดในยามนี้ เกศาสีทองแลดวงเนตรสีแดงยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าทั้งคู่คล้ายกับแสงรพีมากเพียงใด
ใบหน้าของเด็กคนหนึ่งที่มีสีผมและสีตาเป็นสีตะวันเช่นเดียวกันลอยผุดเข้ามาในหัวของเจ้าชายแดนหิมะ ภาพน้องชายตัวเล็กที่ซบอกร้องไห้ สีหน้าหงุดหงิดของเด็กคนนั้นก่อนจะเดินจากไป ประกอบกับเรื่องที่เจ้าตัวเพิ่งจะเล่าให้ฟังตอนอยู่ในหอศิลป์
...เด็กคนนั้นเอง...
“ที่สุดท้ายของวันนี้แล้วล่ะ เหนื่อยรึเปล่า?”
อพอลโลเอ่ยถามคนข้างๆ ที่เริ่มแสดงสีหน้าเหนื่อยออกมาหลังจากที่เดินไปเดินมาด้วยกันทั้งวัน ฟรอสต์ส่ายหน้าแล้วเงยหน้ามองอาคารจัดแสดงของแดนดาวตก แม้จะไม่ค่อยพอใจนักแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายได้เดินดูสถานที่ที่อยากมาก
[อธิษฐานถึงเรื่องราวที่อยากรู้ ดาวตกจะปรากฏให้ทุกท่านเห็น]
“อธิษฐานอีกแล้วรึ?” เจ้าของเรือนผมสีตะวันมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ทว่าก็มาด้วยความตั้งใจจึงเลือกที่จะทำตามเสียงในหอจัดแสดงบอก
“ให้นึกถึงเรื่องที่อยากรู้งั้นเหรอ...” คนผมสีเงินที่ยืนข้างๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ตนอยากรู้มากที่สุดในตอนนี้...
เรื่องราวของอพอลโลวัยเด็ก...
แสงสว่างโอบล้อมร่างของฟรอสต์ สว่างจ้าจนต้องเผลอหลับตา
ครั้นแสงสว่างนั้นจากลง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง เด็กชายผมสีเพลิง อายุไม่น่าจะเกินสิบสองขวบ กำลังมองซ้ายมองขวามองหาใครสักคน ท่าทีดูสงบเสงี่ยมและสง่างามชวนให้มองอย่างเพลินตา
‘อพอลโลจ๊ะ ทานอิ่มแล้วเหรอ?’ หญิงสาวในชุดราตรีสีเงินงดงามเดินเข้ามาถามเด็กน้อยที่ดูจะเบื่อหน่ายงานสังคม
‘เสด็จแม่...’ มือเล็กๆ จับมือเรียวบางของหญิงสาว
เสด็จแม่? นั่นคุณแม่ของอพอลโลหรือ?...
‘มองหาใครอยู่เหรอจ๊ะ?’ ราชินีแห่งแฟลร์รูจลูบผมนุ่มนั้นเบาๆ ‘รู้สึกว่าอาณาจักรสโนว์ฟิเลียก็ติดธุระมาไม่ได้อีกแล้วน่ะ...’
‘อือ...’ เด็กชายมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย ทว่าก็พยายามไม่แสดงอาการออกมา
‘เดี๋ยวถ้าคราวหน้าเจอราชินีของทางนั้นอีกจะลองเจรจาไปเยี่ยมเยือนดูนะจ๊ะ’ ผู้เป็นแม่ลูบแก้มของลูกชายอย่างอ่อนโยน ‘ราชินีก็เจอกันบ่อยๆ เหมือนกัน เดี๋ยวก็คงได้เจอกันนะจ๊ะ’
‘อื้อ...’ อพอลโลตัวน้อยพยักหน้าหงึกหงักด้วยรอยยิ้ม
แสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง ฟรอสต์หยีตาลงทันที
รอบกายเปลี่ยนแปลงไปเมื่อลืมตาขึ้นมา เป็นห้องที่มืดและอับชื้น เด็กคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง เหม่อมองดวงจันทร์อย่างอ่อนล้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่เคยดูสดใสกลับหม่นหมองลง โซ่ตรวนที่ข้อเท้ายิ่งทำให้ร่างซูบผอมดูน่าเวทนายิ่งนัก
แกร๊ก...
ประตูลูกกรงถูกเปิดออก ร่างของชายผู้สง่างามสวมมงกุฎบนศีรษะ ผมสีเพลิงดวงตาสีตะวันเฉกเช่นเดียวกับเด็กในห้องขัง เขาปรายตามองผู้มาเยือนเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปมองจันทร์กระจ่างบนฟ้า
‘อพอลโล!’
เด็กคนนั้นไม่ตอบ
‘แกฆ่าแม่ของแก’
‘ผมไม่ได้ทำ’
‘เพราะแกควบคุมพลังไม่ได้ แม่แกเลยต้องตายเพราะแก!’
‘ก็บอกว่าผมไม่ได้ทำไง!’ อพอลโลขึ้นเสียงใส่บิดา ‘มีคนวางยาเสด็จแม่!’
‘แต่แม่แกตายเพราะแผลไฟไหม้!’
‘ไม่ใช่! นังอสรพิษนั่น...มันวางยาเสด็จแม่!’
‘พูดไปกี่ครั้งก็ไม่เชื่อแกหรอก เฮร่าน่ะตายไปนานแล้ว นางจะมาวางยาแม่แกได้ยังไง!?’
‘แต่ผมเห็นจริงๆนะ นังนั่นมันแฝงมาเป็นคนรับใช้–’
‘เพ้อเจ้อ!..หึ ให้เวลาแกเตรียมใจนานพอแล้ว เริ่มเลยก็แล้วกัน’
องค์ราชาเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมา จากนั้นจึงร่ายคาถาบทหนึ่ง ปรากฏไอควันสีดำออกมาจากหนังสือแล้วล้อมรอบกายของเด็กชายผมสีเพลิง
‘ลิ่มนี่จะทำให้แกทำร้ายใครไม่ได้อีก ถ้าแกคิดจะใช้พลังชั่วร้ายนั่นมันก็จะกัดกินหัวใจของแก!’
‘ไม่...เสด็จพ่ออย่า...อย่า...อ๊ากกกกกกกกกกกกก!!!!!!!’
แสงสีขาวสว่างวาบทำให้ภาพทุกอย่างเลือนรางไปหมด...
เมื่อแสงสว่างจางลง บรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นเด็กหนุ่มผมสีเพลิงวัยรุ่นในชุดเกราะเต็มยศบนหลังม้า กำลังบัญชาการรบอย่างองอาจ ความอ่อนเยาว์ไม่ทำให้เหล่าทหารขาดความนับถือ กลับยิ่งรู้สึกน่าเกรงขามเมื่อเจ้าชายน้อยของพวกเขาชักดาบออกมาสั่งบุกอย่างกล้าหาญ
‘ให้พวกมันรู้ว่าที่กล้าแข็งข้อกับอาณาจักรของเรามันจะส่งผลยังไง!’
‘โอ้!!!’
‘อย่าไว้ชีวิตทหารในสมรภูมิแม้แต่ชีวิตเดียว!’
‘โอ้!!!’
ปลายดาบสีแดงโลหิตเริ่มมีเปลวเพลิงห่อหุ้ม ตวัดเพียงครั้งเดียวก็สร้างลูกไฟโจมตีฝ่ายตรงข้ามล้มตายไปจำนวนมาก เรียกขวัญและกำลังใจให้เหล่าทหารฝ่ายตนเองให้พร้อมใจกันบุกทะลวงแนวหน้าของศัตรูจนราบคาบ ทว่าร่างของอพอลโลซวดเซจนต้องพิงกับคอของม้า คนสนิทรีบเข้ามาประคองและคอยพยุงไม่ให้เจ้านายของตนล้มจนกว่าสงครามนี้จะจบลง
‘ถ้าไม่มีไอ้สิ่งอัปมงคลนี่...’ มือที่สวมเกราะกุมอกของตนอย่างเจ็บปวด
บรรยากาศรอบกายเริ่มดำมืดลง...
ฟรอสต์ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเขากลับมาอยู่ในห้องจัดแสดงของแดนดาวตกแล้ว น้ำตาคลอขอบตาโดยไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อให้มันไหลกลับไป นึกเป็นห่วงอีกคนว่าจะได้เห็นเรื่องราวของอะไร...
“แกเอาอะไรมาให้ฉันดู!” เสียงทุ้มตวาดลั่นจนผู้เข้าชมคนอื่นๆ หวาดกลัว ทว่าชายร่างผอมบางที่อยู่เบื้องหน้าก็ไม่ได้สั่นไหว แม้เปลวเพลิงเริ่มก่อตัวที่มือขวา
“เฮราเคลสเขาขอมา...เขาอยากให้นายได้เห็น...” ไอเย็นของเจ้าชายแดนดาวตกแตะเบาๆ ที่มือไฟ แล้วไฟนั้นก็ค่อยๆ มอดลงอย่างช้าๆ
“บัดซบเอ๊ย...” อพอลโลขบกรามกรอด ก่อนจะผ่อนลมหายใจแล้วเหลือบมองเจ้าชายแห่งมีเทียร์เวลอีกครั้ง “แม่เลี้ยงของไอ้บ้านั่นชื่ออะไร?”
“เฮร่า...”
พวกเขาเดินกลับออกมาจากหอจัดแสดงของแดนดาวตกด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ดูท่าทางอพอลโลไม่ได้เห็นภาพที่ตนอยากเห็น แต่กลับได้เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่น่าพอใจแทน
เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเงียบเกินไป ฟรอสต์จึงเปิดปากชวนสนทนา
“พวกนายคงจะสนิทกันมากสินะ” แต่ดูท่าความน้อยใจเมื่อครู่จะทำให้เขาเผลอพูดสิ่งที่คิดออกมา
“ทำหน้างออีกแล้ว... นายคิดว่าฉันมีอะไรกับไอ้หน้าเอ๋อนั่นรึไง?” คิ้วคมขมวดเข้ากลางหน้าผาก มือหนาลูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆ ทั้งที่ฟรอสต์อยากจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นแต่ก็กลับทำให้อีกคนต้องคิดมาก
“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่...” เนตรสีแดงหลบไม่สบสายตา
“เชื่อใจฉันหน่อยสิ...”
มือหนาวางทาบลงบนมือเรียวแล้วบีบเบาๆ
“ฉันรักเพียงแค่นาย”
ดวงตาสีตะวันอันร้อนแรงสบมองกับเนตรสีทับทิมน้ำงาม
“ที่เห็นนายหึงหวงทั้งวันนี่แสดงว่าฉันยังแสดงความรักต่อนายไม่มากพอสินะ?”
อพอลโลยกมือเย็นๆ ขึ้นมาจรดริมฝีปากอุ่นลงไปบนหลังมืออย่างหนักแน่น
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันจะแสดงความรักให้นายดู”
ว่าแล้วก็จูงมือฟรอสต์เดินไปยังที่พักสุดหรูของเวิลด์ซาลอนซึ่งเป็นที่ประทับของเหล่าราชวงศ์ที่เข้าร่วมงาน บรรยากาศภายนอกดูสงบและครึกครื้นที่ล็อบบี้ซึ่งมีคนนั่งคุยกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอย่างสนุกสนาน ห้องโถงกว้างและมีผู้คนมากมายจนไม่มีใครทันสังเกตพวกเขาที่กำลังรีบร้อนเดินเข้ามา
เจ้าของเรือนผมสีเพลิงตรงดิ่งไปยังห้องพักของตนอย่างไม่รอช้า ทันทีที่เปิดประตูลงกลอนเขาก็ดึงคนตรงหน้าเข้ามาจุมพิตอย่างร้อนแรง คนผมเงินที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้รุกเร้าเข้ามา เสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ยออกจากขอบกางเกงโดยไม่ทันรู้ตัว
“อืม...”
มืออุ่นๆ จับปลายคางเรียวไม่ให้หลบริมฝีปากที่แนบชิดรวดเร็วราวกับงูฉก มือไม้ของฟรอสต์แข็งทื่อเงอะงะจนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหน พริบตาที่ดวงตาสีแดงเผลอปิดลง หลังของฟรอสต์ก็แนบติดกับเตียงนอน เบื้องบนคือร่างกำยำเปลือยท่อนบนอวดรอยสักงดงามบนผิวกายร้อนรุ่ม มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของคนด้านใต้อย่างคล่องแคล่วแล้วก้มลงพรมจูบตามผิวกายเนียนละเอียดของคนเมืองหนาว
“อึก...” ความรู้สึกแปลกประหลาดเล่นงานที่ปลายสัมผัส ความรู้สึกคล้ายกับครั้งที่เคยเดทกันในสวนแดนช็อกโกแลต
มือสากลูบไปตามร่างกายของคนด้านใต้ ปลายนิ้วลากไล้บนความนุ่มนิ่มปลายยอดอก ความอุ่นชื้นประทับที่ซอกคอตรงรอยที่เคยกัดเมื่อตอนกลางวัน ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดผิวเย็นเรียกให้จั๊กจี้ ความวาบหวานแล่นไปทั่วร่างจนฟรอสต์เริ่มตัวสั่น หัวใจน้ำแข็งเริ่มเต้นระรัวจนแทบกระดอนออกมาจากอก แขนเรียวดันอกอีกฝ่ายให้ออกห่างก่อนที่สติสตังจะกระเจิง
“ถ้านายไม่อยากทำ ฉันจะหยุดทันที...” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว ร่างข้างใต้กำลังสั่นจนเขานึกสงสารและรู้สึกผิดที่จู่โจมเร็วเกินไป
“อย่า...”
อพอลโลชันกายขึ้นนั่งแล้วมองเจ้าชายรูปงามที่กำลังนอนหายใจหอบ เขาใช้หลังมือไล้แก้มเนียนที่กำลังแดงระเรื่อน่าชม แม้ว่าจะต้องการอีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากบีบบังคับในเรื่องนี้
“ฟรอสต์...” เขาก้มลงประทับจูบอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมให้อีกคนหายกลัว จับมือที่กำลังชื้นเหงื่อแล้วบีบเบาๆ
“อย่า...”
“ไม่ทำแล้วน่า...” คนผมสีเพลิงถอนออกมาแล้วจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาจูบอย่างทะนุถนอม
“อย่าทำให้ฉันสับสน...” ดวงตาสีแดงหรี่ลง ขยับปลายนิ้วให้สอดประสานมือกันแนบแน่น “แสดงความรักของนายออกมาให้ฉันรู้...”
“ฟรอสต์...” คนอายุน้อยกว่าขยับยิ้มบาง “นายแน่ใจแล้วใช่ไหม?”
“ก็ตามหาฉันมาตลอดสิบห้าปีไม่ใช่หรือ? ก็ถึงเวลาของนายแล้ว...”
เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายเขาก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม เผยเขี้ยวมุมปากดูมีเสน่ห์เย้ายวน ใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มลงมาใกล้แล้วจูบหน้าผากเจ้าชายหิมะเบาๆ
“เข้าใจแล้ว...”
ฟรอสต์กลั้นหายใจกับเสียงแหบพร่าที่อยู่ในระยะประชิด
“เตรียมใจเอาไว้ให้ดีล่ะ...”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ตอนนี้แอบยาวหน่อยเพราะแต่งเพลินมาก 555 ฟิคนี้จะพยายามใสๆไร้ nc แต่ก็ถ้าอยากอ่านจริงๆก็จะพิจารณาก็แล้วกันนะคะ 555
Comments (0)