5 ตอน Chapter 4 : Sake
โดย ‘Umbrella’
“ได้พบกันเสียที เจ้าชายฟรอสต์”
“นายเป็นใคร?” น้ำเสียงเย็นชาถามเสียทันที ชายผมเงินยังคงสีหน้าไม่ไว้ใจอีกฝ่าย
มือข้างที่เคยถูกแช่แข็งนั้นยกขึ้นทาบอกซ้ายที่ดวงใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ทว่าเจ้าของดวงตาสีตะวันยังคงสีหน้าเดิมไว้ไม่มีพิรุธ มุมปากหยักยิ้มเย่อหยิ่งตามนิสัยก่อนจะเอ่ยคำแนะนำตัวอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามสมชื่อเจ้าชาย
“อพอลโล เจ้าชายจากแฟลร์รูจ แดนสุริยา” มือขวาถูกส่งออกมาเพื่อรอการจับมือทักทายตามธรรมเนียม เพราะมีความรู้สึกบางอย่างจึงมั่นใจว่าคนอย่างฟรอสต์จะต้องไม่ปฏิเสธ
“ฟรอสต์ มกุฎราชกุมารจากสโนว์ฟิเลีย แดนหิมะ” มือขาวซีดเย็นนั้นยกขึ้นอย่างจำใจที่ต้องรักษามารยาทของราชวงศ์ แม้ในใจจะไม่อยากทำต่อให้คนตรงหน้าเป็นเจ้าชายจากแดนที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อก็ตาม
“ยินดีที่ได้รู้จัก” อพอลโลบีบมือเย็นนั้นเบาๆ ดวงตาก็สบจดจ้องดวงตาสีมณีแดงนั้นอย่างไม่วาง จนมือเย็นๆนั้นออกแรงชักกลับเขาจึงปล่อยไปด้วยความเสียดาย
“เช่นกัน” แม้แต่เด็กทารกฟังยังดูออกว่ากัดฟันพูดมากขนาดไหน แก้วตาสีทับทิมเสมองน้องชายของตนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “นายมีธุระอะไรกับน้องฉัน?”
“น้อง? อา...นั่นคงเป็นเกรเซียสินะ” อพอลโลเอ่ยทักองค์ชายรองแห่งสโนว์ฟิเลีย แววตาที่สบมองก็ไม่ต่างจากที่มองคนพี่สักเท่าไหร่
“หา? ทำไมรู้จักชื่อฉัน?” เด็กหนุ่มทำหน้าฉงน เจ้าชายแดนสุริยาเพียงแย้มยิ้มไม่ตอบอะไร
“ฟรอสต์ ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม?” เนตรสีตะวันมองคนพี่อย่างจริงจังทุกคำพูด “ฉันจะไม่ยุ่งอะไรกับน้องชายนายอีก”
ฟรอสต์หรี่ตามองคนตรงหน้าก่อนจะหันไปมองน้องๆข้างหลัง เกรเซียเข้าใจสีหน้าของพี่ชายจึงโอบไหล่น้องชายคนเล็กให้เดินออกจากตรงนั้นไปอย่างรู้หน้าที่ แม้น้องเล็กยึกยักเล็กน้อย แต่พอพี่รองชี้ร้านขนมให้ดูก็ยอมไปแต่โดยดี
“ระวังตัวด้วยนะ” ขนาดน้องชายปากหนักยังพูดเป็นห่วง ฟรอสต์จึงยิ้มเพียงเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจคนอีกคน
“มีธุระอะไรก็ว่ามา ฉันไม่ค่อยว่าง” มือขาวยกเท้าสะเอวแล้วมองไปรอบๆ งาน อย่างน้อยก็ดีที่ตรงนี้คนไม่ค่อยสนใจพวกเขามากเท่าไหร่ อีกไม่นานก็จะต้องเข้าร่วมพิธีเปิดที่มีการแสดงเป่าขลุ่ยของเจ้าชายคาโนโตะเป็นการแสดงหลัก
อพอลโลที่เคยเอาแต่จ้องหน้าฟรอสต์ก็เพิ่งสังเกตได้ว่าชุดของสามพี่น้องนั้นเป็นยูกาตะสีขาวสะอาด มีลวดลายเกล็ดหิมะสมชื่อดินแดน ปลายชุดเป็นการไล่สีจากสีขาวไปสีดำประดับลายตารางหมากรุกและดอกไม้กิ่งไม้สีทอง ผ้าที่คลุมไหล่ก็เป็นสีขาวขอบสีดำประดับลวดลายแบบสโนว์ฟิเลีย ประดับดอกสึบากิซึ่งเป็นดอกคาเมลเลียชนิดหนึ่ง เครื่องประดับบนชุดมีทั้งพู่และกระดิ่ง รวมทั้งตราประจำราชวงศ์
เครื่องประดับที่ชุดคล้ายๆกับที่เจ้าชายแห่งคุโยใส่...เป็นลักษณะเฉพาะเทศกาลนี้หรือ?...
เก็บรายละเอียดทุกเม็ดเชียว น่าสนใจจริงๆ...แม้กระทั่งเนื้อผ้าก็ยังดูคล้ายกัน...
แตกต่างกับอพอลโลที่เป็นยูกาตะเป็นลายเหมือนกับรอยสักที่อกของเขาแบบธรรมดาไม่ได้เล่นล้อกับเทศกาลพิธีอธิษฐานของคุโยแห่งนี้ เพียงสั่งตัดมาใส่มาเพื่อให้เจ้าชายแห่งคุโยรู้สึกประทับใจและสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่านั้น เมื่อคิดอย่างนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ที่เห็นคนที่คิดคล้ายๆ กัน
“ฉันถามไปตั้งนานแล้วทำไมไม่ตอบ” ฟรอสต์ที่เริ่มหงุดหงิดเพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องตนจนไม่พูดอะไรมาตั้งหลายนาที ดวงหน้าคมคายนั้นก็เอาแต่อมยิ้มเหมือนขำอะไรบางอย่าง
“โทษที หึๆ” แม้จะเอ่ยปากขอโทษแต่ก็ยังไม่วายหลุดขำออกมา “ก็แค่ถูกใจนายขึ้นมาน่ะ”
“หา?” คำพูดนั้นฟังแล้วน่าขนลุกสำหรับผู้ชายด้วยกัน
“จะว่าไปแล้ว เราไปหาอะไรดื่มด้วยกันไหม? เผื่อว่าจะคุยอะไรง่ายขึ้นหน่อย” รอยยิ้มเย่อหยิ่งเผยออกมาอย่างจริงใจ แต่คนมองก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
“ทำไมฉันจะต้องไปดื่มกับนาย?” และยังเป็นเวลาบ่ายแก่ๆ พิธีเปิดก็ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแล้วแท้ๆ
“เพราะว่าเรื่องที่ฉันจะพูดมันเป็นเรื่องที่นายต้องสนใจมากน่ะสิ”
เขามองเห็นดวงแดงทับทิมวาวระยับ และนั่นทำให้อพอลโลคิดถูกที่หาข้ออ้างนี้ทำให้ฟรอสต์เริ่มสนใจ ถึงแม้ว่าเรื่องที่จะพูดอย่างที่กล่าวอ้างนั้นเขาจะยังไม่ได้คิดมาก่อนก็ตาม
ครืด...
บานประตูเลื่อนเปิดออก เหล้าสาเกขวดใหญ่พร้อมถ้วยเล็กๆสองใบวางลงตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่น บนเบาะชั้นดีที่วางบนพื้นเสื่อทาทามิ พนักงานหญิงมีอายุค้อมศีรษะให้แขกผู้มีเกียรติคู่นี้ก่อนจะค่อยๆเดินออกไปอย่างนอบน้อมและไม่ลืมเลื่อนบานประตูปิดให้เรียบร้อย
“เชิญก่อน คุณเจ้าชาย” อพอลโลพยายามจะทำตัวดีๆ โดยการรินเหล้าแล้วยื่นจอกเล็กๆ ให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่วายเรียกอีกฝ่ายแบบจิกจริตของคนที่นั่งตรงข้ามที่เอาแต่วางตัวสูงส่ง
เมื่อสักครู่ฟรอสต์มองไปรอบๆ ร้านอย่างระวัดระวังเพราะร้านนี้เป็นเรียวกังธรรมดาที่ไม่ใช่เรียวกังสำหรับราชวงศ์ ‘คุณเจ้าชาย’ คงเอาแต่พักในที่ที่หรูหราอย่างโรงแรมดังหรือเรียวกังระดับห้าดาวที่ปลอดภัยและมีคนเฝ้าระวังภัยให้ ที่พักธรรมดาๆ แบบนี้คงไม่ถูกใจ ‘คุณเจ้าชาย’ สักเท่าไหร่ หรืออาจจะไม่ถูกใจตั้งแต่คนที่พาเขามาที่นี่
สำหรับอพอลโลแล้ว จะหรูหราหรือธรรมดาก็ไม่รู้สึกแตกต่าง แม้ว่าจะชอบอะไรที่ดูมีราคา แต่เขาต้องการให้ฟรอสต์ ‘ประทับใจ’ กับสิ่งที่เขาเลือกให้ เป็นความ ‘ประทับใจ’ ที่เขาไม่ต้องการให้ฟรอสต์ลืม จึงเลือกทำให้สิ่งที่เขาคิดว่าคนของราชวงศ์ที่เจ้าชายหิมะภาคภูมิใจนั้นต้องไม่เคยทำ
คนผมสีเงินเอาแต่จ้องมองจอกเหล้าโดยไม่แตะต้อง คนตรงข้ามจึงหยิบถ้วยตนเองขึ้นมาแล้วยกดื่มรวดเดียวหมดเพื่อให้อีกฝ่ายได้วางใจว่าเขาไม่ได้วางยาพิษ เห็นเช่นนั้นฟรอสต์จึงลองยกเหล้าขึ้นจิบดู
“รสประหลาด แต่ก็อร่อยดี” เจ้าชายหิมะยกยิ้มมุมปากนิดๆ “เข้าใจเลือกนี่”
“รสประหลาด...พูดอย่างนี้แสดงว่ามีสุราที่ชื่นชอบอยู่แล้วหรือ?” อพอลโลรินสาเกให้ฟรอสต์เพิ่มและยกจิบบ้างพลางหาเรื่องชวนคุยอย่างด้นสด
ดวงตาสีทับทิมหรี่มองคนตรงข้ามอย่างระแวดระวังก่อนจะเอ่ยคำพูดห้วนๆ ที่มักใช้กับคนไม่สนิท ท่าทางเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นทำให้อพอลโลเผยยิ้มครั้งแล้วครั้งเล่า
“วิสกี้” มือเรียวขาวหยิบถ้วยเหล้ายกจิบพลางใช้ตะเกียบคีบกับแกล้มกินแกล้มกันไป
“วิสกี้?” คนผิวแทนอ่อนเลิกคิ้วน้อยๆ “ยังไม่เคยลองเลย”
“วิสกี้ดีที่สุดแล้ว” คนเอ่ยกล่าวอย่างมั่นใจ
“ฉันชอบเหล้าองุ่นมากกว่า” อพอลโลจิบเหล้าแต่น้อย เพราะดูเชิงอีกฝ่ายคงจะคอแข็งกว่ามาก หากเขาเมาก่อนก็หมดสิทธิ์ที่จะคุยกับฟรอสต์อีก
“แล้วอย่างไร?” คนฟังเลิกคิ้วเล็กนิดๆ
“ที่แฟลร์รูจผลิตเหล้าองุ่นเป็นสินค้าส่งออก น้ำมันเมล็ดองุ่นก็เช่นกัน” คนที่จิบสาเกอยู่ก็ชะงักแล้วฟังอีกฝ่ายพูด แก้วตาสีแดงฉายแวววาวระยับ
ที่เรียกมาคุยด้วยนี่ก็เรื่องการค้า?
“หากมีโอกาสก็อยากลองให้ไปชิมถึงที่” ใบหน้าคมคายก้มลงเล็กน้อย กดริมฝีปากรับรสชาติสาเกอย่างใจเย็น
กำลังเชื้อเชิญไปเยือนอาณาจักร?
คิ้วเรียวขาวมุ่นหัวคิ้วยุ่งพลางเม้มปากเรียบตึง มือขาวซีดยกจอกเหล้าดื่มอย่างช้าๆ จนหมดแก้วแล้วเอ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ พยายามเลี่ยงที่จะตอบรับการไปเยือนอาณาจักรอื่นเพราะเกรงว่าจะเป็นกับดักทางการเมือง แม้ว่าสโนว์ฟิเลียกับแฟลร์รูจจะไม่เคยมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ตาม ซ้ำยังไม่รู้จักอะไรกันมากนักด้วย
“อะไรจะสู้วิสกี้ได้”
“ผ้าลินินคงไม่เหมาะกับเมืองหนาวอย่างสโนว์ฟิเลีย แต่ถ้าใส่หน้าร้อนก็ทำให้รู้สึกเย็นสบาย” อพอลโลจงใจเปลี่ยนเรื่องอย่างไม่เนียนจนคนฟังทำหน้านิ่งไม่ลง
พอเหล้าไม่ได้เลยใช้ผ้าแทน?
คนฟังยิ่งมุ่นหัวคิ้วยุ่งไปอีกด้วยความไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรกันแน่ หากจะพูดเรื่องการค้าก็ควรพูดให้เป็นอย่างๆ ไป และที่สำคัญควรจะเอ่ยด้วยไมตรีจิตก่อนไม่ใช่ว่าพุ่งตรงเข้าประเด็นเร็วขนาดนี้ ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ เหมือนแค่มาชวนคุยเล่นๆ เฉยๆ แม้ว่าสินค้านั้นจะน่าสนใจเพราะที่อาณาจักรของเขาไม่มีของเหล่านี้
“จะโอ้อวดว่าผ้าลินินดีกว่าผ้าทอขนแกะชั้นดีของฉันหรือ?” มือนั้นยกเหล้าดื่มเรื่อยๆ อย่างไม่ยั้งมือ อวดมาอวดกลับไม่โกงสิ
“ฉันไม่ได้พูดอย่างนั้น แค่เสนอสินค้าว่านายสนใจบ้างหรือเปล่า” ใบหน้าคมคายพรายยิ้มขำ อันที่จริงเขาก็แค่ชวนมาคุยเล่น ไม่ได้ตั้งใจเข้าเรื่องการค้าอะไรนั่นหรอก
“ฉันไม่สนใจ” พูดอย่างตัดรำคาญแบบไม่เหลือน้ำใจให้อีกคนสักเท่าไหร่ แต่คนตรงข้ามก็เพียงยิ้มขำๆ เท่านั้น “ขำอะไร?”
“ไม่คิดว่าจะเป็นคนตรงๆ ขนาดนี้” ดวงตาสีตะวันนั้นหยีลงอย่างอารมณ์ดี ราวกับเด็กเจอของเล่นที่ถูกใจ
“นายก็ดูจริงใจดี แม้จะน่าสงสัยมากก็เถอะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆ มือก็คว้าขวดสาเกมารินดื่มเองอย่างหงุดหงิด “นายต้องการอะไรกันแน่?”
เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงแย้มยิ้มยกสาเกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ฟรอสต์ต้องเบิกตากว้างและแทบหยุดหายใจอย่างไม่เชื่อหู
“ฉันแค่อยากทำความรู้จักนายก็เท่านั้น ฉันตามหานายมาโดยตลอด”
อึก...
เวลาผ่านไปเพียงชั่วโมงกว่าๆ คนที่ชวนเจ้าชายน้ำแข็งมาดื่มสุราก็เริ่มจะหนักๆ หัวเสียแล้ว แม้ว่าจะพยายามดื่มให้น้อยแต่ก็มากกว่าปกติที่เขาเคยดื่ม สาเกสามสี่ขวดข้างกายทำให้รู้ตัวว่าตนดื่มไปเยอะเกินร่างกายจะรับไหว นึกชื่นชมในใจที่ ‘คุณเจ้าชาย’ ของเขาที่คอแข็งและดูจะไม่มีอาการอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะคำพูดที่เขาเอ่ยออกไปก่อนหน้านั้น ทำให้คนฟังเสนอให้ผลัดกันดื่มคนละจอกและผลัดกันเล่าเรื่องราวของตนเองจนกว่าจะถึงพิธีเปิดที่จะต้องเข้าร่วมงาน
มือร้อนยกมือเพื่อเสยผมที่ปรกหน้าผากที่เริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเพราะอุณหภูมิร่างกายที่เพิ่มขึ้น อพอลโลพ่นลมหายใจระบายความร้อนในร่างกายออกจนคนตรงข้ามเริ่มสังเกต
“เมาแล้วหรือ?”
“ใครจะเมา...”
คนฟังที่เมื่อได้รับแอลกอฮอล์เข้าร่างกายก็รู้สึกอารมณ์ดี นึกขำนิดๆ ที่เห็นอีกฝ่ายเอาศอกเท้าโต๊ะและเอามือค้ำศีรษะไว้ ใบหน้าแดงๆ และคิ้วที่ขมวดนั้นดูก็รู้ทันทีว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว แม้ดูท่าทางว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนที่ดื่มเป็นเหมือนกัน แต่เขาคอแข็งกว่ามากก็เท่านั้น
“ฉันคิดว่าเราคุยกันมามากพอแล้ว” เขาวางจอกลง “พิธีเปิดจะเริ่มแล้ว ฉันคงต้องขอตัว” ฟรอสต์เอ่ยอย่างจงใจทิ้งคนเมาไว้ที่นี่ ชันตัวลุกขึ้นแล้วเลื่อนบานประตูทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวสิ...” เจ้าของเรือนผมสีตะวันรีบลุกขึ้นทันที เพราะเริ่มปวดหัวอยู่แล้วเลยทำให้หน้ามืดเซไปเล็กน้อย
ฟรอสต์หยุดยืนมองอีกฝ่าย เห็นท่าทางแล้วก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พอทำท่าจะเดินออกไป คนในห้องก็รีบเดินตามที่ถึงบานประตู แม้จะไม่ได้เมาจริงๆ ยังมีสติอยู่ครบถ้วน แต่ก็มึนๆ จนไม่สามารถเดินอย่างสง่าอย่างทุกที มือหนาคว้าจับเข้าที่ชายแขนเสื้อของเจ้าชายผู้เย็นชาแล้วดึงรั้งไว้
“ไม่ให้ไปหรอก...”
“แล้วอย่างไร? ฉันจะไป–” สะบัดมือร้อนๆนั้นออกแล้วหันหลังเดินออกจากห้อง แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยค อีกคนก็แทรกขึ้นมาทันที
“ฉันตามหานายมาสิบห้าปี คิดว่าจะยอมปล่อยให้หนีไปง่ายๆ หรือ!” แม้จะถูกสะบัดมือทั้งไปก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาสาวเท้าเข้าหาแล้วคว้าเอวของอีกฝ่ายดึงเข้ามากอดอย่างแนบแน่น
“เฮ้ย!” เพราะถูกดึงตัวไปกะทันหันทำให้ทรงตัวไม่อยู่ ทั้งคู่จึงล้มลงกองที่เสื่อทาทามิ ใบหน้าคมคายนั้นแนบชิดอยู่ที่อกของเจ้าชายผมสีเงิน
“ฟรอสต์...” เสียงทุ้มต่ำนั้นดังแผ่ว ลมหายใจกลิ่นสาเกที่เคยหายใจติดขัดไม่ทั่วท้องนั้นก็เริ่มเป็นจังหวะคงที่ ดวงหน้าเยาว์วัยกว่าหลับตาพริ้ม
“หา? หลับแล้ว?!” มือเรียวขาวพยายามดันออกสุดแรง แต่แขนที่กอดเอวเขาไว้ก็กอดแน่นเสียเหลือเกิน ในสภาพนี้ทำให้เขาลุกไปไหนไม่ได้นอกจากจะจัดท่านั่งให้สบายขึ้น
ให้ตายสิ...
เวลาผ่านไปจนดึกดื่น...
“อืม...” เสียงครางเบาๆ ดังขึ้นทำลายความเงียบ เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้น นันย์ตาสีตะวันค่อยๆ ปรับสภาพมองเพดานเรียวกังในบรรยากาศที่ค่อนข้างมืด
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆขึ้นตัวนั่ง สายรัดเอวถูกคลายออกเล็กน้อยทำให้ชุดยูกาตะหลวมนิดๆ มีเสื้อคลุมของใครบางคนที่ไม่ใช่ของเขาวางพาดบนร่างกายแทนผ้าห่ม ระหว่างที่กำลังคิดว่าเกิดอะไรขึ้นก็นึกได้ว่าเขาดื่มสาเกกับเจ้าชายคนหนึ่งที่เรียวกังแห่งนี้
“ฟรอสต์?” เมื่อนึกขึ้นได้ก็ลุกขึ้นและมองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่พบใคร แม้แต่ฟืนไฟก็ปิดหมดจนแทบมองไม่เห็นอะไรในห้อง
สายตาคมปลาบนั้นเสมองไปเห็นว่ามีเงาคนอยู่ที่ประตูระเบียง เขาลุกขึ้นอย่างระมัดระวังและเดินไปที่บานประตูอย่างเงียบเชียบ
ครืด...
มือหนานั้นเลื่อนบานประตูอย่างแผ่วเบา เบื้องหลังประตูบานนั้นปรากฏร่างของเจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลียที่กำลังชิบสาเกชมเมืองยามค่ำคืนอยู่ สายลมเอื่อยๆยามสิ้นปีนั้นพัดโบกมาต้องเส้นผมสีเงินให้พัดไปด้านหลัง แสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนใบหน้าด้านข้างส่องประกายอย่างงดงาม ขนตายาวสีขาวนั้นเข้ากันได้ดีกับดวงเนตรสีทับทิม แววตานั้นดูผ่อนคลายยามได้ชื่นชมทิวทัศน์
หากจะให้นิยามคำว่าบุรุษรูปงาม สำหรับอพอลโลนั้นก็คือฟรอสต์
งามจับเสียจนลืมหายใจ
เมื่อรู้สึกได้ว่ามีผู้มาใหม่ยืนอยู่ที่ระเบียงด้วยกัน ชายหนุ่มผมสีเงินก็หันหน้ามาสบตาด้วย เผยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก แววตาของสุริยันมองสบกลับราวกับจะแผดเผาอีกฝ่าย เขาไม่คิดจะหลบตา และด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปมากมายทำให้อารมณ์ดี
“ตลกดีที่เห็นนายเมาไม่ได้สติแบบนั้น” เสียงนั้นเอ่ยราวกับจะหัวเราะ คนฟังรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมานิดๆ
“ฉันไม่ได้เมา” อพอลโลเอ่ยเสียงหนักแน่นอย่างมั่นใจ
ฟรอสต์ไม่ตอบอะไรต่อพลางจิบสาเกแล้วมองบรรยากาศของเทศกาลต่อ เจ้าชายแดนสุริยาก็หันมองตามบ้าง ชื่นชมกับบรรยากาศเมืองตะวันออกที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากเมืองของตน แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกแล้ว แต่ในช่วงเทศกาลแบบนี้แสงไฟตามร้านค้าก็ยังคงเปิดอยู่ แสงไฟส่องเป็นทางตามถนนสายเล็กๆ ในยามดึกยังคงมีคนเดินชมเทศกาล บ้างก็แบกเด็กๆ ที่ง่วงหลับขึ้นหลังเพื่อเดินกลับบ้าน
“นายไม่ไปร่วมพิธีเปิดหรือ?” เสียงทุ้มต่ำนั้นถามคนที่กำลังจิบเหล้าอย่างไม่หยุดยั้ง
“ฉันจะไปได้อย่างไร นายเล่นกอดฉันไว้ซะแน่น” ฟรอสต์หันมาขมวดคิ้วใส่เมื่อนึกถึงตอนนั้น “ตัวหนักอย่างกับสิงโต”
“ฮะฮะ” อพอลโลหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำเปรียบเทียบจากอีกคน ทั้งที่รูปร่างของอีกฝ่ายก็ดูกำยำกว่าเขาแท้ๆ
“กว่าจะแกะหลุดก็เลยเวลาไปนานแล้ว น้องฉันคงเข้าร่วมแทนถ้าไม่เห็นฉันไป” ฟรอสต์ถอนหายใจเบาๆ
“อย่างนั้นหรือ...”
“แล้วนายไม่คิดจะเข้าร่วมหรืออย่างไร?”
อพอลโลเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากตอบ สีหน้าดูเปลี่ยนไปจนฟรอสต์สังเกตได้
“...พี่ชายฉันคงเข้าร่วมไปแล้ว” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยดีนักเมื่อพูดถึงพี่ชาย ฟังดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
มือหนานั้นคว้าจอกเหล้าในมือของฟรอสต์มาแล้วกระดกดื่มจนหมดจอก เสร็จแล้วก็พ่นลมหายใจหนักๆออกมาราวกับจะพยายามระงับความหงุดหงิดฉุนเฉียวนี้ลง
แม้คนมองจะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม ถึงจะลองคิดไปว่าอีกฝ่ายคงไม่ถูกกับพี่ชายแต่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่เรื่องของตนจึงไม่คิดจะยุ่ง
เมื่อใจเย็นลงแล้ว อพอลโลจึงก้มลงมองจอกเหล้าในมือของตน ใบหน้านั้นขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นเมื่อนึกได้ว่าดื่มสุราร่วมจอกเดียวกับฟรอสต์ ลิ้นเลียมุมปากที่ติดรสสาเกอยู่อย่างประหม่า สีหน้าวุ่นวายที่ฟรอสต์มองอยู่ตลอดด้วยความระแวงก็อดทำให้เขารู้สึกไม่เข้าใจคนตรงหน้านี้อีกครั้ง
“คออ่อนจริงๆ หน้านายแดงไปหมดแล้ว” คิ้วเรียวสีเงินย่นยุ่งขณะถาม
อพอลโลเบิกตาขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าใบหน้าของตนเริ่มร้อนขึ้นจริงๆ แต่ก็กลับมาทำสีหน้าเย่อหยิ่งตามปกติ ในใจนั้นอยากจะตอบโต้นักว่าไม่ได้แดงเพราะเหล้า แต่แดงเพราะอย่างอื่น
“นายคิดอะไรอยู่?” น้ำเสียงเย็นๆ ราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งๆ ดวงตาสีเพลิงมองขึ้นสบลูกแก้วสีทับทิมที่ล้อมกรอบด้วยขนตายาวสีหิมะนั้น
“ฉันคิดถึงนาย” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างไม่ลังเล คำพูดที่ฟังดูน่าขนลุกเมื่อใช้พูดกับบุรุษเพศด้วยกันนั้นทำให้ฟรอสต์รู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ เมื่อคนตรงหน้าเริ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ
อพอลโลสาวเท้าเข้ามาหาฟรอสต์ที่ยืนแข็งทื่ออยู่ ทำให้เขาเข้ามาชิดคนที่สูงใหญ่พอกันได้อย่างไร้การป้องกันจากอีกฝ่าย เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจขยับเข้าไปแนบชิดเจ้าชายหิมะจนแผ่นหลังนั้นติดรั้วระเบียง มือหนาร้อนๆเท้าลงที่รั้วโลหะเย็นเฉียบ สองแขนกั้นให้องค์ชายอันดับหนึ่งแห่งสโนว์ฟิเลียนั้นขยับหนีไปไหนไม่ได้
ด้วยอารามตกใจทำให้ไม่ได้คิดจะขยับตัวหนี ทั้งทิฐิและศักดิ์ศรีที่ค้ำบ่าว่าห้ามหนีราวกับคนที่กลัวการแพ้ แม้ว่ามือนั้นจะยกขึ้นดันแผงอกที่เต็มไปด้วยรอยสักรูปพระอาทิตย์และสิงโตก็ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่
หรือเพราะด้วยสุราและบรรยากาศที่โรแมนติกทำให้สีหน้าที่จริงจังของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจนั้นดูสง่างามน่าดึงดูดจนไม่อาจละสายตา แววตาที่เร่าร้อนเต็มไปด้วยความปรารถนา ใบหน้าหล่อเหลานั้นแฝงความเย้ายวนเสียจนไม่อาจต่อต้าน
ปุ้ง!
ลำแสงส่องจากพื้นดินและพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืนพร้อมเสียงหวีดดัง จากนั้นก็แตกโพละบนกลางฟ้าเป็นแสงไฟสวยงาม พลุถูกจุดขึ้นดอกแล้วดอกเล่า ประกายแสงพลุสะท้อนอยู่ในดวงตาสีตะวัน ฟรอสต์มองเห็นมันชัดเจนเพราะสิ่งนั้นมันอยู่ใกล้ใบหน้าของเขามาก
“ฉันชอบนาย”
หัวสมองของฟรอสต์ขาวโพลนไปหมด รับรู้ได้แต่เพียงใบหน้าคมคายที่โน้มเข้ามาหา ประทับความร้อนที่ริมฝีปากแผ่วเบา รสชาติสาเกที่ติดอยู่ชวนให้เคลิบเคลิ้มจนไม่อาจผละหนี สัมผัสชื้นแฉะที่ค่อยๆ รุกล้ำเรียวปากนั้นเริ่มทำให้ความรู้สึกกระเจิดกระเจิง สิ่งที่ทำให้เขาได้สติขึ้นมาคือมืออุ่นร้อนที่กำลังละลาบละล้วงกอดรัดและกำลังปลดสายรัดเอวของเขาอยู่
พลั่ก!!!
ชายหนุ่มเดินออกจากเรียวกังอย่างหงุดหงิดและไม่ลืมจ่ายค่าห้องและค่าเหล้าราคาแพงลิ่วที่เพื่อนร่วมดื่มสั่งมาดื่มต่อตอนที่เขานอนหลับไป
มือหนาเสยเส้นผมสีตะวันอย่างฉุนเฉียวเมื่อรู้สึกเจ็บที่มุมปาก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางโทษตนเองที่ใจร้อนวู่วามไปจนอีกฝ่ายนั้นตกใจกัดปากและต่อยเขาเสียเต็มแรงขนาดนี้ ครั้งหน้าที่พบกันจะมองหน้าติดหรือเปล่าก็ไม่รู้
ตอนนั้นเขานึกว่ากำลังฝันอยู่ คิดว่าจะทำอะไรในฝันก็ได้ แต่มัน...
“อพอลโล?”
น้ำเสียงทุ้มหวานดังขึ้นจากด้านหลังของเขาขณะที่เพิ่งเดินออกมาจากเรียวกังได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงใหญ่ค่อยๆหันกลับมาตามทิศทางของเสียงเรียก
“ชแตร์?”
คิ้วคมสีเดียวกับเส้นผมเลิกขึ้นน้อยๆ แม้จะไม่แปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายในงานนี้ แต่เวลาดึกขนาดนี้ในคืนข้ามปีก็ไม่ควรจะเห็นมาเดินเตร็ดเตร่ เพราะการมีอยู่ของเจ้าชายแห่งคำอธิษฐานนั้นค่อนข้างอันตรายหากถูกใช้เป็นเครื่องมือทำให้สมความปรารถนาในทางที่ผิด
“มาทำอะไรตรงนี้?” อพอลโลเอ่ยเสียงดุทันที คนตรงหน้าไม่คิดระวังตนบ้างหรือ ทั้งรูปร่างหน้าตาก็น่าฉุด ไหนจะผอมบางจะเอาแรงที่ไหนต้านทานขัดขืน
ดวงตาสีฟ้าล้ำลึกมองไปเห็นรอยเขียวช้ำที่มุมปากซ้ายของคนร่างสูง มือเรียวบางยกขึ้นแตะมันโดยไม่ทันคิดอะไร
“นั่นหน้านายไปโดนอะไรมา?” คำพูดนั้นกลับทำให้เจ้าของดวงเนตรแห่งสุริยันชะงักงัน มือหนายกขึ้นแตะปากมุมตนเองเบาๆ
“ไม่ใช่เรื่องของแก” ดวงตาคมปลาบนั้นฉายลงมาสบกับอีกฝ่ายราวกับจะตำหนิที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง
“ให้ผมดูหน่อย จะทำแผลให้” เพราะนิสัยขี้เห็นใจและขี้สงสารของคนตัวเล็กกว่านั้นทำให้นึกเป็นห่วงคนร่างสูงอยู่บ่อยๆ แม้ว่าจะไม่ถูกกันในด้านความคิดการดำเนินวิถีชีวิต
มือเรียวบางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดลายดวงดาวออกมาแล้วยกแขนขึ้นหลายจะซับเลือดที่ซึมออกจากบาดแผลนั้น
“อย่ามายุ่ง” ร่างสูงก้าวถอยหลังไม่ให้ผ้านั้นโดนใบหน้าของตน
“อย่าดื้อสิ” มือที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้นก็ขยับเข้าหาพยายามจะเช็ดให้
“แกนั่นแหละที่ดื้อ”
“ย่อลงมาหน่อย ผมมองไม่ชัด”
“ยุ่งน่า!”
ทั้งสองคนทะเลาะกันไปสักพักก็เริ่มเหนื่อย และด้วยว่าคนร่างสูงนั้นดื่มสุรามามากจึงเริ่มออกอาการมึนหัวเมื่อเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ
“อึก...” มือหนายกมือขึ้นกุมศีรษะที่บริเวณขมับ สีหน้าเริ่มไม่ค่อยดีจนทำให้ชแตร์เข้ามาจับแขนแล้วเขย่าเบาๆ
“นี่ เป็นอะไรไป?” คิ้วบางมุ่นเข้าอย่างสงสัย กลิ่นสาเกโชยออกมาจากร่างกายทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่ง
“อย่ามาจับ” แขนแกร่งนั้นสะบัดออกจากมือบางหลุดจากแขนไป
“จะช่วยพยุง” แขนบางจับแขนแกร่งนั้นพาดบ่าตนแล้วเอาแขนอีกข้างโอบแผ่นหลังคนเมาไว้
“ปล่อย...” อยากจะขยับตัวหนีเพราะรำคาญ แต่เห็นอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงออกมาขนาดนี้ก็เริ่มรู้สึกสมเพชตนเองขึ้นมา
“ผมรู้ว่าคนสนิทของนายอยู่ที่ไหน จะพาไปหาก็แล้วกัน”
“จะช่วยทำไม? ไม่ถูกกันแท้ๆ” อพอลโลขมวดคิ้วอย่างหัวเสีย เขารู้สึกไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรจากเขาถึงได้มาช่วย
“ช่วย ‘เพื่อน’ มันผิดตรงไหน?” ร่างเล็กนั้นย้ำคำคำหนึ่งเสียงหนักแน่นจนคนข้างๆเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ
แม้ว่าจะไม่อยากพึ่งพา ‘เพื่อน’ ร่างเล็กคนนี้ แต่เขาก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมานิดๆ เมื่อได้ยินคำคำนั้นออกจากปากของคนตัวเล็ก หากมีโอกาสเขาก็คิดจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้เหมือนกัน ไม่ได้ชอบติดหนี้ใครเสียด้วยสิ
ย้อนกลับไปเมื่อสองชั่วโมงก่อน...
อพอลโลนั้นกอดรัดเขาแน่นจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ดังใจจนต้องปล่อยให้อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง จนแรงนั้นค่อยๆ คลายลงจึงสามารถดันคนตัวโตนั้นออกไปได้ แต่มือหนาร้อนก็ยังกำเสื้อคลุมของเขาเสียแน่นจนต้องถอดแล้ววางคลุมร่างของคนเมานั้นไว้
ให้ตายสิ ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
พอหลุดพ้นแล้วก็อยากจะลุกหนีไปเสียให้ไกล แม้จะรู้สึกเสียดายผ้าคลุมที่มารดาอุตส่าห์หามาให้ใส่ก็ตาม หากว่าไม่ได้ยินเสียงนั้น...
“...ฟรอสต์...”
เสียงทุ้มดังแผ่วอย่างไม่มีสติ เจ้าของชื่อเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ลมหายใจจังหวะสม่ำเสมอนั้นทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องละเมอออกมาเอง ไม่ได้แกล้งหลับแล้วแกล้งเพ้อให้เขาไขว้เขวแน่ๆ
คำเรียกทำเอาไม่อยากลุกไปไหนแล้วต้องหันมาเฝ้ามองว่าจะมีคำต่อไปออกมาอีกหรือเปล่า หมอนี่อาจจะแอบด่าเขาในใจอยู่ก็ได้แต่ตอนหลับเผลอละเมอออกมา หรือเขาไปทำอะไรไม่ดีไว้เมื่อสิบห้าปีก่อนหมอนี่ถึงได้รู้สึกแค้นฝังใจจนลืมไม่ลงและตามหาตัวเขามาตลอดก็เป็นได้
“...คิดถึง...”
ผ่านไปสักพักก็มีคำออกจากปากคนหลับอีก คำต่อมาทำเอาลมหายใจคนฟังสะดุด ฟังแล้วรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยิ่งทำให้อยากรู้ว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้อีกฝ่ายคิดถึงเขาจนละเมอออกมาแบบนี้ได้
ทำไมถึงได้บอกว่าคิดถึง ทั้งที่เขาไม่รู้จักอีกฝ่ายเลยแท้ๆ ฟรอสต์ไม่เข้าใจความคิดของคนเมาตรงหน้านี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ดูท่าทางจะหลับไม่สนิทและคงฝันอยู่ ไม่ก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังหลับ ในเมื่ออยู่ๆ ก็ไร้สติขณะกอดเขา ถ้าให้เดาความฝันในตอนนี้คงกำลังพูดคุยกับเขาเหมือนตอนก่อนจะหลับอยู่แน่ๆ
“...อยากเจอ...”
คำนี้ก็ไม่ต่างจากคำเมื่อครู่ ทว่ามันเริ่มกระตุกหัวใจของเขาให้เริ่มเต้นแรงขึ้น ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงขยับเข้าไปสังเกตอีกฝ่ายใกล้ๆ ความคิดที่ว่าจะออกจากห้องไปร่วมพิธีเปิดก็หายลับไปเพราะอยากรู้ความลับบางอย่างที่อีกฝ่ายจะเผลอพูดออกมาขณะหลับ
พรึ่บ...
ร่างใหญ่อย่างกับสิงโตนั้นขยับพลิกตัวเล็กน้อยพลางกอดผ้าคลุมของเขาหลวมๆ ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหมอนี่กำลังฝันถึงเขาในเรื่องอะไร ใบหน้าแดงซ่านนั้นยิ่งชวนให้คิดมาก หากว่าอีกฝ่ายไม่ได้ฝันถึงเรื่องลามกอยู่ก็คงจะดีไม่น้อย
จะเอาอะไรกับคนเมากันล่ะ ความคิดมันก็ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้วนี่
“...ฟรอสต์..”
เรียกอะไรหนักหนา ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ไปไหน หรือเขาในฝันกำลังจะหนีไป ก็ดี ตอนนี้เขาก็อยากจะหนีไปเหมือนกันถ้าไม่ได้จะพูดอะไรต่อ
“...ชอบนะ...”
ใบหน้าคมคายขณะหลับที่แดงระเรื่อนั้นเผยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็น ฟรอสต์เบิกตากว้างและพยายามควบคุมหัวใจตนไม่ให้เต้นกระดอนออกมาจากอก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครเอ่ยคำนี้กับเขา ...ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
คำพูดนั้นดูแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นมั่นคง
ให้ตายสิ ทำไมต้องมารู้สึกตื่นเต้นกับผู้ชายด้วย
ฟรอสต์ลุกขึ้นไปสั่งสาเกกับสาวใช้แล้วนั่งรอเงียบๆ ในห้อง ไม่นานเกินรอเหล้าที่สั่งก็วางลงที่โต๊ะกลางห้อง สาวใช้ยังใจดีหาหมอนและปูที่นอนให้กับคนเมาที่นอนอยู่ก่อนแล้ว และขอให้พนักงานชายช่วยขยับร่างของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจให้นอนดีๆ บนฟูก ทั้งยังบริการคลายชุดและช่วยเช็ดเหงื่อออกจากร่างของราชสีห์ตัวโตคนนี้ด้วย
ร่างสูงสง่ารินเหล้าใส่จอกแล้วนั่งจิบมองคนหลับสบายไม่รู้เรื่องอะไร ทิ้งให้คนนั่งข้างๆ ต้องมาคิดมากและร่ำสุราระบายความเครียดกับคำละเมอที่เบาหวิวแต่ดันฝังลึกอยู่ในหัวของเขา
อยากลืมให้หมด คำบ้าๆ พวกนั้น...
จอกแล้วจอกเล่าที่เจ้าชายหิมะดื่มด่ำไปกับสาเกรสดี แม้จะคอแข็งแต่ก็เริ่มกรึ่มๆ แล้ว เขาวางจอกลงเมื่อรู้ว่าเริ่มจะครองสติไม่อยู่
“อึก...”
เสียงครวญครางอย่างทรมานของคนข้างๆ ทำให้เขาตั้งสติกลับมาได้ ลุกขึ้นไปดูก็เห็นอพอลโลเอามือกุมอกแล้วร้องอย่างทรมาน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้า คิ้วคมขมวดแน่น ฟันขาวกัดกันแน่น เมื่อสัมผัสผิวสีแทนอ่อนนั้นก็รับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงผิดปกติ
ราวกับว่าภาพในวันวานได้ย้อนกลับคืนมา เขาเคยสัมผัสคนที่มีผิวกายร้อนดั่งไฟมาก่อน...
มือเรียวขาวแตะข้างแก้มอีกฝ่ายเบาๆ และส่งไอเย็นจางๆ ไปให้ และมันได้ผลเมื่อสีหน้าของคนหลับนั้นเริ่มดีขึ้น มือหนาเริ่มคลายออกจากอกและหลับตาพริ้มดังก่อนหน้านี้
อา...นายคือคนที่บาดเจ็บที่โรโตเรียนั่นเอง...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
Talk
สวัสดีค่ะ ทิ้งท้ายไว้ว่าจะมาเดือนหน้าเพราะคิดว่าเดือนนี้คงจะแต่งตอนนี้ไม่เสร็จแน่ๆ แต่ก็แต่งต่อไปเรื่อยๆจนจบตอนได้เลยเอามาลงให้อ่านกันค่ะ
ถ้าพบเห็นคำผิดหรือใช้คำแล้วงงๆก็ทักท้วงกันได้นะคะ บางครั้งเราตรวจทานแล้วก็พลาดไปเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เขียนค่อนข้างยาวด้วย อาจจะมีเบลอๆไปบ้าง
อันที่จริงคำลักษณนามของพลุใช้เป็น ‘ตับ’ นะคะ แต่ในบริบทนั้นมันแตกกระจายเป็นดอกบนท้องฟ้าเลยใช้คำว่า ‘ดอก’ แทนค่ะ รวมทั้งฉากกำลังโรแมนติก ถ้ามีคำว่า ‘ตับ’ เข้าไปแทรกคงตลกน่าดู ฮรือออออออ ยอมใช้ผิดเพื่อไม่ให้มันดูตลกเกินไปค่ะ 555555
สำหรับเรื่องสินค้านั้นเราอ้างอิงแฟลร์รูจเป็นกรีก-โรมันย้อนยุคนิดๆค่ะ สินค้าสำคัญจะเป็นผ้าลินินกับเหล้าองุ่น ส่วนสโนว์ฟิเลียนั้นเราคิดว่าน่าจะเป็นประเทศทางสแกนดิเนเวีย ทางนั้นจะสวมเสื้อผ้าหนาๆอย่างผ้าขนสัตว์หรือผ้าทอขนแกะที่ค่อนข้างอบอุ่น แต่ทางกรีก-โรมันก็มีผ้าขนแกะนะ แต่ผ้าลินินนั้นเป็นที่นิยมของชนชั้นสูงมากกว่า
Comments (0)