7 ตอน Special : Valentine’ s Day Special 1
โดย ‘Umbrella’
Valentine’s Special
เน้นใสๆและคอเมดี้เบาสมอง ขอให้สนุกค่ะ
แดนช็อกโกแลต เดือนสีขาว
ปีนี้มีการจัดเทศกาลช็อกโกแลตครั้งยิ่งใหญ่ในรอบยี่สิบปี โดยจัดในธีมของ ‘Chocolate’s Date’ เจ้าชายแดนช็อกโกแลตได้ไอเดียมาจากการบอกเล่าของเจ้าหญิงแห่งทรอยแมร์เกี่ยวกับวันแห่งความรักในดินแดนเดิมของเจ้าหญิง เจ้าชายริกะเห็นว่าน่าสนใจและช็อกโกแลตนั้นเป็นเหมือนธรรมเนียมการบอกรักทางอ้อมตามที่เจ้าหญิงทรอยแมร์เล่ามา ทำให้ได้คิดธีมของเทศกาลนี้ขึ้นมา โดยมีเจ้าชายเครโตที่แสนกระตือรือร้นเป็นผู้ช่วยในการคิดค้นช็อกโกแลตสูตรพิเศษของเทศกาลปีนี้
กิจกรรมในเทศกาลนั้นล้วนจัดขึ้นเพื่อเอาใจเด็กๆที่ชื่นชอบของหวานและสาวๆ ที่ต้องการมาเที่ยวเทศกาลกับคนรัก เป็นการใช้เวลาร่วมกันเพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษอันเป็นกิจกรมที่สาวๆ นั้นใฝ่ฝัน คือการออกเดตระยะสั้นกับเจ้าชายจากอาณาจักรต่างๆ ที่ทางแดนช็อกโกแลตนั้นได้เชิญมาให้เป็นผู้สร้างความสุขให้กับสาวๆ ทว่าเจ้าหญิงแห่งทรอยแมร์นั้นได้ขอเอาไว้ว่าปัจจุบันนั้นผู้คนต่างมีความหลากหลายทางเพศ ขอให้เหล่าเจ้าชายนั้นไม่จำกัดเพศของผู้ที่จะได้ออกเดตด้วย ทีแรกนั้นเจ้าชายริกะไม่ค่อยเห็นด้วย ทว่าเจ้าชายโคโลเรกลับเห็นด้วยและสนับสนุนเต็มที่ และเสียงตัดสินต้องเป็นของเจ้าชายแดนช็อกโกแลตอีกคนอย่างเจ้าชายเครโต เขาเห็นด้วยกับเจ้าหญิงทรอยแมร์ ทำให้คำค้านของริกะนั้นตกไป
“เพราะริกะอยากเดตแต่กับผู้หญิงสินะครับ” โคโลเรเอ่ยแซวอย่างอารมณ์ดี
“ผู้ชายมันน่าไปเดตด้วยที่ไหนกันล่ะ...” เสียงบ่นอุบอิบของริกะนั้นทำให้ทุกคนอมยิ้มขำ
วันงานเทศกาล วันที่ 14 เดือนสีขาว
นอกจากเหล่าเจ้าชายที่ได้รับเชิญมาให้เป็นผู้ร่วมออกเดตกับหญิงสาวผู้โชคดี ยังมีเจ้าชายอีกส่วนที่มาร่วมงานนี้เพราะต้องการมาชิมของหวานภายในงาน และซื้อเป็นของฝากให้กับคนที่บ้าน เจ้าชายที่มาส่วนมากยังเป็นผู้เยาว์และมากับผู้ปกครองหรือคนสนิทที่ตามมาดูแล บรรยากาศครึกครื้นเมื่อร้านรวงเริ่มเปิดให้ชิมขนมหวานและจับจ่ายซื้อของ
“ชเนย์ ผู้ร่วมงานมีจำนวนมาก ระวังอย่าให้หลง” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นพลางคว้าแขนของเด็กชายที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับขนมหวานมากมาย
“รู้แล้วน่า พี่ฟรอ” เด็กน้อยยู่ปากก่อนจะหันไปสนใจซุ้มโมจิไส้ช็อกโกแลตที่กำลังทำสดๆ ร้อนๆ “พี่ฟรอ อยากกินอันนั้นแน่ะ” นิ้วเล็กๆชี้พลางส่งสายตาเป็นประกายอ้อนผู้เป็นพี่
“ก็เอาสิ” และด้วยความเป็นพี่ที่ดีจึงตามใจให้ท้ายอย่างเอ็นดู เดินจูงมือน้องชายไปเลือกซื้อขนมทันที แม้จะมีสีหน้าที่เย็นชาทว่าแฝงรอยยิ้มเล็กๆ อยู่บนใบหน้า
ในอีกด้าน...
“นี่ๆ ลูกพี่! ดูนั่นสิ มีไอติมด้วยแหละ!” ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองเอ่ยกับคนข้างๆและกระชากแขนแบบลืมแรงกายตนให้อีกคนเดินตามตนไป
เขาสั่งซื้อไอศกรีมรสช็อกโกแลตและดาร์กช็อกโกแลตอย่างฉับไว ไม่นานนักก็รับไอศกรีมมาสองแท่งและจ่ายเงินเรียบร้อย
“เหมือนเด็กไม่มีผิด” แม้จะรูปร่างสูงใหญ่ ทว่าเจ้าของเรือนผมสีตะวันนั้นกลับสู้แรงไม่ได้เลย จึงได้แต่ยอมให้แขนโดนลากเข้าซุ้มโน้นทีซุ้มนั้นทีจนขาล้าไปหมด
“อยากกินด้วยมั้ย?” คนตัวโตกว่ายิ้มแฉ่งพลางยื่นไอศกรีมแบบโบราณแท่งรูปทรงสี่เหลี่ยมให้ ตั้งใจยื่นแท่งที่สีเข้มกว่าเพราะรู้ว่าอีกคนคงไม่ชอบกินหวาน
“ไม่” เสียงเข้มพร้อมแววตาดุดันนั้นเอ่ยขึ้นเรียบๆ ทว่าเด็ดขาด อีกคนถึงกับหน้าหงอยทันที
“อร่อยน้า...”
“ฉันไม่กินของ...”
“อ๊ะ นั่นอันทาเรสนี่นา หล่อเชียว!”
ยังพูดไม่ทันจบก็โดนเจ้าคนหัวบลอนด์ทองแทรกขัดขึ้นมาก่อน มือที่ใหญ่กว่านั้นยัดไอศกรีมสองแท่งคล้ายจะฝากเขาถือ ส่วนเจ้าตัวนั้นก็เผ่นไปหาคนรู้จักที่ได้รับเชิญมาเป็นคู่เดตในงานเทศกาลนี้
“ฝากหน่อยน้า ฮิๆ”
“เฮ้ย! ไอ้เด็กโข่ง! ไอศกรีมแกน่ะ...!” เสียงทุ้มร้องตะโกนหา แต่คนตัวสูงชะลูดนั้นก็หายกลืนไปกับฝูงชน รู้ชัดว่าคนจะก้มตัวไม่ให้ร่างที่สูงชะลูดนั้นเป็นที่สังเกต
เนตรแห่งสุริยันหรี่ลงอย่างอารมณ์เสีย ครั้นจะขว้างไอศกรีมนี่ทิ้งก็เกรงจะทำสถานที่สกปรกเลอะเทอะ จึงหมายจะเดินไปที่ถังขยะเพื่อเอาไปทิ้งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้กินเลยสักคำ ระหว่างที่กำลังเดินไปถังขยะนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและไม่ค่อยจะอยากได้ยินสักเท่าไหร่
“อพอลโล?...ใช่ไหม?”
เขาหันไปมองอย่างช้าๆ และก็เป็นดังคาดเมื่อเห็นคนที่เขาจำเสียงทุ้มหวานนั้นได้ ดวงตาสีตะวันคมกริบจดจ้องชายหนุ่มร่างเล็ก เจ้าของเรือนผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าเข้มดูล้ำลึก
“ชแตร์...” อพอลโลพ่นลมหายใจยาวก่อนจะเอ่ยถาม “มาทำอะไรที่นี่?”
“เฮราเคลสนัดผมมาเที่ยวน่ะ...” ตอบแจ้งแถลงไขแต่ท้ายเสียงเบาลงเมื่อมองเห็นของในมือของชายหนุ่มที่ตัวใหญ่กว่า “นั่น...”
“อ้อ ไอ้เด็กเวรนั่นฝากเอาไว้น่ะ กินไหม?”
“ให้ผมจะดีหรือ? เฮราเคลสเขาจะไม่ว่า...?”
“ดีเสียอีกจะได้ไม่ต้องทิ้งให้เสียของ” มือหนายื่นให้ทั้งสองแท่ง “เร็วสิ จะละลายแล้ว”
“อ่า...” มือเรียวบางรีบหยิบแท่งสีอ่อนมาถือไว้และใช้ลิ้นแตะชิมไอศกรีม รอยยิ้มบางๆ เผยออกมาต่อหน้าคนที่ชื่อว่าเป็นคู่กัด “อืม...หวานดีจัง...”
เห็นสีหน้าอ่อนโยนและเต็มสุขขณะลิ้มรสไอศกรีมนั้น เรียวลิ้นที่กำลังไล้ไปตามขนาดของแท่งรสหวานเย็นสีน้ำตาล บางส่วนหยดลงที่มือเรียวขาว ลิ้นเล็กนั้นก็แต้มเลียส่วนที่หยดเลอะมืออย่างใจเย็น หากว่าเป็นคนอื่นที่มองคงคิดอกุศลเป็นแน่แท้
มองนานๆนี่ไม่ดีต่อความคิดจริงๆ...
เนตรสีตะวันเสมองไปทางอื่น และตัดสินใจกินไอศกรีมอีกแท่งที่ยังเหลืออยู่ในมือแทน เพราะไม่อาจยกให้อีกฝ่ายกินต่อไปอีกแท่งได้หากวิธีกินยังคงเย้ายวนยั่วใจคนมองอยู่อย่างนั้น เขาหันหลังและทำท่าจะเดินต่อจนอีกคนต้องรีบเดินตามเพราะกลัวหลง
“รีบกินให้เสร็จเสียที ฉันจะได้ไปตามหาไอ้เด็กโข่งที่บังอาจลากฉันมาและทิ้งฉันไว้” น้ำเสียงขุ่นเคืองเล่าอย่างไม่สบอารมณ์ ชแตร์หัวเราะขึ้นเบาๆ
“ฮะๆ ถูกทิ้งเดตแล้วหรือ?” คงเพราะว่ากัดกันประจำเลยทำให้กล้าเอ่ยแซวโดยไม่กล้าสิงโตขย้ำกระมัง...
“เดต? มันคืออะไร?” ร่างสูงใหญ่หันกลับมามองทั้งที่ยังกัดไอศกรีมคาปากอยู่ ดูเท่อย่างน่าประหลาด
“เดเนบบอกว่าการเดตคือการไปเที่ยวสองต่อสองด้วยกันน่ะ” เรียนรู้คำศัพท์ประจำวันจากการที่ไปแดนดวงดาวบ่อยๆ เจ้าชายจากนอร์ทเทิร์นครอสก็สอนคำที่ดูสมัยใหม่ให้กับเขาด้วย
“หา? ใครจะอยากไปเดตกับไอ้เด็กเวรนั่น” ปากที่กัดไอศกรีมดาร์กช็อกโกแลตนั้นเผลออ้าค้างอย่างไม่เชื่อหูในสิ่งที่คนตัวเล็กกว่าพูด
“ก็ดูสิ...มีแต่คนมาเป็นคู่ทั้งนั้นเลย” ดวงตาสีนภาเข้มปรายมองไปรอบๆ อย่างช้าๆ “ไม่เรียกเดตจะเรียกว่าอะไรล่ะ?” คนตัวโตมองตามก็รู้สึกเห็นด้วย
“หึ...ถ้าอย่างนั้นฉันกับนายก็เหมือนมาเดตกันเลยน่ะสิ” รอยยิ้มเย่อหยิ่งนั้นเผยออกมา มือหนาโยนแท่งไม้ของไอศกรีมที่กินหมดแล้วลงในถังขยะใกล้ๆ อย่างแม่นยำ ขายาวๆ ก้าวไปยังกลางฝูงชนโดยไม่รอกัน
“เอ๊ะ?” คนฟังกะพริบตาปริบๆ พอเผลอค้างจนไอศกรีมละลายคามือก็นึกได้และรีบเดินตามคนตัวโตกว่าไปโดยไม่ลืมทิ้งแท่งไม้ให้ถูกที่ “รอด้วยสิ!”
ในห้องรับรองของเจ้าชายที่ถูกเชิญมาให้ร่วมงาน
เจ้าชายริกะได้นั่งหลับสัปหงกอย่างเบื่อหน่ายเพราะเขาต้องรอที่จะไปออกเดตกับสาวๆ ที่มาเที่ยวเทศกาล หน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือนจึงตกเป็นของเจ้าชายโคโลเรและเจ้าชายเครโตแทน
“อ่า เจ้าชายคาเอเดะ เจ้าชายฟรอสต์ ยินดีต้อนรับครับ” โคโลเรแย้มยิ้มอย่างยินดี เจ้าชายอีกสองคนก็เอ่ยทักทายอย่างเรียบง่าย
“ขอบคุณที่เชิญมา เจ้าชายโคโลเร”
“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญด้วยนะครับ ไม่คิดเลยว่าเจ้าชายที่สาวๆ ใฝ่ฝันอย่างเจ้าชายฟรอสต์จะยอมมาด้วย” ชายที่ดูนุ่มนิ่มยิ้มหวานแล้วเชื้อเชิญให้แขกนั่งรอเวลา
“พอดีไม่มีราชกิจ และพาน้องชายมาเที่ยวพักผ่อนด้วย” ความสง่างามแสดงออกทุกท่วงท่าของเจ้าชายแดนหิมะไม่เว้นแม้กระทั่งยามนั่งลงบนโซฟา
“ฉันเองก็กำลังหาแรงบันดาลใจในการเขียนภาพใหม่ มาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดีเหมือนกัน” คาเอเดะยิ้มพลางมองไปรอบๆ ห้อง เห็นเจ้าชายบางคนที่มาก่อนแล้วกำลังอ่านหนังสือบ้าง จิบชาบ้าง
“โฮ่...เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าชาฝรั่งหรือ?” เสียงทุ้มต่ำราวกับคนแก่นั้นดังออกมาจากชายที่มีผมสีขาวสะอาดและนั่งอยู่ตรงข้ามเจ้าชายแดนชา อยู่ตรงอีกมุมห้องไม่ไกลจากที่ฟรอสต์และคาเอเดะนั่งอยู่
“ชาชนิดนี้เรียกว่าเอิร์ลเกรย์ ลองชิมดูไหมครับ? คุณไซงะ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเอ่ยอย่างสุภาพ ดวงเนตรประดับไฝน้ำตาหยีลงอย่างอารมณ์ดีที่พบคนที่คุยถูกคอ
“อืม...รสชาติดีเหลือเกิน...” เขาลองจิบดู ใบหูเรียวยาวสีขาวสะอาดนั้นกระดิกเล็กน้อย หางยาวฟูฟ่องสีขาวส่ายไปมาอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าชายโจชัว ข้าชอบชาเอิร์ลเกรย์นี้จัง”
หะ...หู...แล้วยังหางนั่น...
ฟรอสต์มองอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาสีทับทิมกะพริบปริบๆ คาเอเดะที่เพิ่งสังเกตเห็นก็ทำตาโตพลางนึกถึงตำนานเทพจิ้งจอกที่เป็นนิทานโบราณในอาณาจักร
“เอ่อ คุณไซงะครับ หางคุณมันสะกิดแขนของผมอยู่” เจ้าของเรือนผมสีดำแดงไว้ปอยยาวด้านขวาเอ่ยอย่างเกรงใจ แม้จะนั่งอยู่ห่างไปหน่อยแต่ก็ยังถูกหางยาวๆ นั้นสะกิดเอาที่แขน
“หวา...น่าจับจังเลยน้า...” เจ้าชายอีกคนที่นั่งข้างๆทำมือขยุกขยิกจนคนข้างๆ ต้องเอ่ยเตือน
“อย่านะครับ เจอร์เบอร์”
“รู้แล้วล่ะน่า อาคิโตะ” เจอร์เบอร์หน้ามุ่ยทันที “ยูริอุสน่าจะมาด้วยนะ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี...”
พอได้ยินชื่อของบุคลที่สาม อาคิโตะก็เงียบไป แสร้งทำเป็นจิบชาที่เจ้าชายโจชัวแนะนำให้ เจ้าชายอีกคนที่นั่งตรงข้ามก็เอาแต่นั่งกอดตุ๊กตาแพนด้าและมองบรรยากาศรอบข้าง และยังมีเจ้าชายที่เอาแต่นั่งหงอยตรงพื้นข้างๆ โซฟาโต๊ะวงชา หูหางสีดำนั้นลู่ลงราวกับสุนัขที่กำลังซึมเศร้า
“มีเจ้าชายหลายประเภทเลยนะ ฟรอสต์” คาเอเดะว่าพลางหยิบสมุดขึ้นมาสเก็ตภาพที่ปิ๊งขึ้นในหัวเล่นๆ
“นั่นน่ะสิ ท่าทางจะครึกครื้นดี” ฟรอสต์รับชาที่เครโตยกมาให้แล้วจิบรับรสอย่างช้าๆ ป่านนี้น้องชายของเขาคงเดินเล่นซื้อขนมกับเจ้าหญิงทรอยแมร์อย่างสนุกสนาน
เวลาเที่ยงตรง
หลังจากที่เดินทั่วงานและวนไปวนมาทั้งเช้า อพอลโลเริ่มเหนื่อยกับการเดินหาเฮราเคลสที่หายลับไปโดยมีชแตร์ที่พยายามก้าวขาตามขายาวๆ ของเขา แม้คนตัวเล็กจะเริ่มเหนื่อยแต่ก็ไม่ปริปากบ่นสักคำ มือเรียวบางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อที่ชื้นตามไรผมอย่างเงียบๆ ดวงตาสีฟ้าสวยมองไปรอบๆ เพื่อช่วยมองหาเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองที่เป็นคนนัดเขามาเที่ยวแท้ๆ แต่กลับหายไปไหนก็ไม่รู้
"ให้ตายสิ หายไปไหนกัน” คิ้วคมขมวดเข้าอย่างไม่สบอารมณ์ มือหนายกขึ้นเสยเส้นไหมสีตะวันเพื่อระบายความร้อนออกจากศีรษะ อาจเป็นเพราะเหงื่อที่ชื้นเส้นผมนั้นทำให้ค้างทรงเปิดหน้าผากไว้ แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ยามเปิดหน้าผากนั้นกลับดูดีอย่างน่าประหลาด
นานๆทีจะเห็นเปิดหน้าผากแบบนี้...
คนหน้าสวยที่มองทุกอิริยาบถของร่างสูงโปร่งนั้นอมยิ้มน้อยๆ ดวงใจเต้นผิดจังหวะเมื่อเห็นใบหน้าคมคายพ่นลมหายใจเพื่อระงับความหงุดหงิดไม่ให้ตนอาละวาดกลางงาน พอเห็นอีกฝ่ายถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอกออกเผยให้เห็นเสื้อคอกว้างแขนสั้นจนเห็นกล้ามเนื้อและรอยสักบนหน้าอกชัดเจนก็เริ่มรู้สึกหน้าร้อนๆ ขึ้นมา มือเรียวบางยกขึ้นมาพัดบริเวณใบหน้าอย่างลืมตัว
“หืม?” ดูเหมือนอีกคนจะสังเกตได้ มือหนานั้นจับปลายคางของชแตร์เชิดขึ้นมาและพลิกซ้ายขวาเพื่อมองใบหน้าหวานนั้นให้ชัดๆ “อ้อ จริงสิ คงจะเหนื่อยสินะ หน้าแดงเชียว”
“อ๊ะ...” คนตัวเล็กใช้มือปัดมือร้อนๆ ของอีกฝ่ายออกแล้วรีบถอยห่างก่อนที่คนตัวโตจะได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่เต้นแรงเสียจนแทบกระดอนออกมา
“พักหน่อยไหม?”
“ผมไม่เป็นไร” ชแตร์ปฏิเสธแทบจะทันที แต่คนที่มองอยู่ก็สังเกตดูทุกอย่าง
“เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินกัน” มือหนาคว้ามือเรียวบางแล้วออกแรงกระตุกเบาๆ ให้เดินไปด้วยกัน
“เอ๋?...แล้วเฮราเคลส...?” ยิ่งถูกจับมือก็ยิ่งขัดเขิน พอจะดึงมือออกก็ถูกจับแน่นขึ้น
“เดี๋ยวค่อยหาต่อ ฉันหิว” เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยเรียบๆ ยิ่งเป็นพวกโมโหหิวง่ายเสียด้วย ถ้าไม่รีบกินตอนนี้อาจต้องกินหัวคนข้างๆ นี้ก่อนแน่
“อืม...” คนตามก็ว่าพลางพยักหน้าหงึกหงัก
เดินมาสักพักคนตัวสูงก็หยุดเดินจนทำให้คนเดินตามมาอย่างรีบๆนั้นชนแผ่นหลังกว้างดังปั้ก ชแตร์ร้องโอยเบาๆ ก่อนจะยกมือกุมสันจมูกที่ชนหลังแข็งๆ เข้าเต็มๆ
พรึ่บ...
เสื้อแจ็กเก็ตสีดำของอพอลโลถูกวางคลุมลงบนศีรษะของเขา คนร่างเล็กเงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าฉงน มือก็จับเสื้ออย่างงงๆ สีหน้าถามชัดเจนว่าให้เสื้อทำไม
“เอาคลุมไว้ อากาศมันร้อน หน้านายยังแดงไม่หายเลยนะ” รอยยิ้มนั้นฉายความเย่อหยิ่ง ชแตร์แทบจะยกเท้าเหยียบเท้าอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ “อุตส่าห์ให้ยืมเสื้อของว่าที่ราชาแห่งแฟลร์รูจ หึ...”
ไม่ได้แดงเพราะแดดสักหน่อย...
ไม่ปล่อยให้เขาได้คิดอะไรในใจต่อ มือหนาก็คว้ามือเรียวให้เดินต่อไปยังร้านอาหารสักร้านแถวๆ นั้น รสนิยมของอพอลโลอาจจะดูเลือกมากสักหน่อย ทว่าก็ไม่ใช่คนติดหรูมากนักเพราะเจ้าตัวดูจะไม่อยากเป็นที่สนใจของคนรอบข้างเท่าไหร่ แม้รูปร่างที่ฮอตบอดี้และหน้าตาหล่อเหลานั้นจะดูโดดเด่นเกินคนทั่วไป ทั้งสีผมสีเพลิงที่หาได้ยากทำให้หนีจากการเป็นจุดสนใจไม่ได้
คราวหน้าหาหมวกให้ใส่ดีกว่า เด่นเกินไป...
พวกเขานั่งลงในร้านอาหารที่ค่อนข้างดูดีและมีคนเข้าร้านไม่มากจนเกินไป อพอลโลเปิดดูเมนูคร่าวๆ ก็พบแต่ของที่ไม่รู้จักอยู่หลายอย่าง เขาจึงปรายสายตาคมดุนั้นมาหาเพื่อนร่วมโต๊ะที่กำลังอ่านเมนูอาหารอย่างตั้งใจ
“นายจะกินอะไร?”
“หืม...” ครางตอบรับเบาๆ แม้จะยังไม่ได้ละสายตาจากเมนู “อืม...คงเป็นข้าวผัดปู…”
เพราะไม่รู้ว่าอย่างอื่นรสชาติเป็นอย่างไรบ้างจึงเลือกอาหารระดับเบสิกไป
“ฉันเอาด้วย”
“อืม” ชแตร์พยักหน้าก่อนจะสั่งอาหารกับบริกรชายอย่างคล่องแคล่ว เพราะเคยไปทานอาหารข้างนอกปราสาทอยู่บ่อยครั้งกับเพื่อนตัวโตที่ชอบเลี้ยงเม่นแคระ
“โปรดรอสักครู่นะครับ วันนี้ลูกค้าเยอะมากเลย” หลังจากทวนรายการอาหารแล้วจึงบอกแก่แขกชั้นพิเศษอย่างสุภาพ แล้วจึงขอตัวไปรับออร์เดอร์โต๊ะอื่นต่อ
“ดูท่าทางคล่องดีนะ” ร่างสูงสง่ายกขานั่งไขว่ห้างแล้วประสานมือไว้ตรงหน้าท้องอย่างสงบเพื่อรออาหาร แม้ในใจจะไม่ค่อยสงบเพราะโดนป่วนตั้งแต่เช้าก็ตาม
“อ่า ท่าทางจะได้เงินเดือนดีล่ะ” ชแตร์ว่าพลางมองไปทางบริกรชายเมื่อสักครู่
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงนาย” คนฟังหันกลับมามองทันที กะพริบตาปริบๆ ว่าหมายถึงตนหรือ? “ดูสั่งอาหารคล่องดี”
“ก็เคยทานอาหารนอกปราสาทบ่อยๆ อย่างเดเนบหรือเฮราเคลสก็พาไปร้านอาหารในเมืองบ้าง” คนหน้าสวยเอ่ยเล่าให้ฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อืม...” คนฟังเพียงรับคำเบาๆ ก่อนจะมองบรรยากาศภายในของร้าน มีใบปลิวติดที่ผนังข้างๆ เขา ดวงตาสีตะวันจึงจดจ้องอ่านอย่างละเอียด
“อะไรหรือ? อพอลโล” ชแตร์พยายามชะเง้อมองด้วยแต่ก็อ่านได้แต่หัวเรื่อง “...เข้าร่วมเดทกับเจ้าชายโดยไม่จำกัดเพศ...ในเทศกาล Chocolate’s Date...”
“เพียงแค่ซื้อช็อกโกแลตล็อตพิเศษจากร้านของเจ้าชายจะได้รับฉลากหมายเลขสำหรับจับคู่กับเจ้าชายในดวงใจ รายชื่อของเจ้าชายที่เข้าร่วมเดตมีดังนี้...” อพอลโลอ่านออกเสียงให้พอได้ยินกันสองคน
รายชื่อของเจ้าชายที่ปรากฏนั้นดูเหมือนร่างสูงจะไม่ค่อยรู้จักนัก ทั้งเจ้าชายแดนช็อกโกแลตอย่างริกะ เจ้าชายคนอื่นๆอย่าง อาคิโตะ เจอร์เบอร์ โตโต้ ไซงะ โจชัว ว่านหลี่ อันทาเรส คาเอเดะ และเจ้าชายที่มีชื่อในลำดับสุดท้ายเป็นเจ้าชายแดนไกลที่สาวๆ หลายดินแดนใฝ่ฝันหาว่าเขาจะออกจากอาณาจักรของตนเมื่อไหร่
“...และเจ้าชายฟรอสต์” ดวงตาคมดุเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา “ฟรอสต์?!”
“ทำไมหรือ?” ชแตร์ที่เห็นสีหน้าของอพอลโลเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย พอดีกับที่ข้าวผัดปูนั้นได้ถูกนำมาเสิร์ฟ
“นี่ ไอ้ที่เลือกเจ้าชายไปเดตจัดอยู่ตรงไหน?” ถามบริกรเสียงห้วนๆ แม้ในใบปลิวนั้นจะบอกสถานที่และเวลาบ่ายโมงตรง ทว่าพื้นที่ที่จัดเทศกาลนั้นก็ค่อนข้างกว้าง
“อ่า...ตรงเวทีใหญ่ข้างๆ ร้านของเจ้าชายน่ะครับ อยู่ตรงทางเหนือสุดของเทศกาล” แม้คุณบริกรชายจะไม่เข้าใจว่าผู้ชายที่ดูมาดแมนทั้งแท่งอย่างอพอลโลจะสนใจไปเดตกับเจ้าชายทำไม
“ขอบใจ” ยกยิ้มให้เล็กน้อยแล้วหันไปสนกับอาหารตรงหน้า โดยไม่รู้ว่าตนที่มีเซ็กส์แอปพีลสูงนั้นทำให้บริกรชายเกิดใจเต้นและเดินกลับไปในครัวแล้ว
ชแตร์ที่เห็นท่าทางของบริกรชายที่เพิ่งเดินกลับไปก็เผลอขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่พอใจนักที่คนอย่างอพอลโลแจกยิ้มที่มีสเน่ห์น่าดึงดูดนั้นให้คนอื่นไปทั่ว แม้จะดูเย่อหยิ่งแต่ก็เย้ายวนน่าหลงใหลไปทุกอิริยาบถ
ไม่อย่างนั้นเขาจะแอบชอบเพื่อนคนนี้หรือ...
“รีบกิน แล้วเราจะไปที่เวทีนั่น” คงจะเป็นความหิว คนหัวสีเพลิงนั้นกินเป็นพายุเข้าแทบไม่หยุดหายใจ
“อืม...” ชแตร์พยายามกลั้นขำและตั้งหน้าตั้งตากินข้าวผัดปูที่สั่งมา ไม่เคยเห็นเพื่อนตัวโตคนนี้หิวแล้วกินอย่างกับอดอาหารมาเป็นอาทิตย์ แถมดูท่าจะไม่อิ่มเสียด้วยสิ
หลังกินข้าวเสร็จจ่ายเงินเรียบร้อย ร่างสูงโปร่งก็ลากแขนคนที่ตัวเล็กกว่าออกจากร้านด้วยความรีบร้อน ยังดีที่ไม่ลืมหยิบเสื้อแจ็กเก็ตของอพอลโลมาด้วยไม่อย่างนั้นถูกด่าจนหูชา ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาหยุดที่ร้านช็อกโกแลตของเจ้าชาย
ไม่รอช้า อพอลโลเหมาช็อกโกแลตที่เหลือทั้งหมดในร้าน โดยยึดใบฉลากมาถือไว้ ส่วนช็อกโกแลตนั้นเขานำไปแจกให้กับเด็กๆ ที่มาร่วมงานแทน และยังใจดีให้ชแตร์สองสามกล่อง ถึงจะบอกว่าเอาไปให้เผื่อโพรซิออนกับเฮราเคลส แต่อีกกล่องที่เหลือนั้นคงตั้งใจจะเอาให้ชแตร์
“ฮ่าๆ ๆ” ชแตร์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อเห็นพฤติกรรมของอพอลโล มือเรียวบางยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตาเบาๆ พลางกุมหน้าอกที่เจ็บเพราะหัวเราะแรงเกินไป “โทษที ผมกลั้นขำไม่ไหวแล้ว…”
“ขำอะไรของนาย!” คนร่างสูงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“ลงทุนกว้านซื้อขนาดนี้แล้ว...นายอยากไปออกเดตกับเจ้าชายขนาดนั้นเลยหรือ?” คิ้วเรียวบางลาดปลายคิ้วลง หยีตาลงอย่างขำๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา ถ้าไม่ใช่สิทธิ์อันนี้คงไม่ได้คุยกันอีกแน่ๆ” เนตรสีตะวันมองไปยังใบฉลากที่มีหมายเลขหลายใบบนมือ คิดไว้ว่าต้องโดนสักหมายเลขในมือ
“แล้วคนไหนล่ะ?” เอ่ยถามด้วยความสนใจใคร่รู้ อพอลโลนั้นไม่ค่อยสนใจเจ้าชายคนอื่นด้วยซ้ำ ชแตร์ก้มลงเช็กสภาพกล่องแล้วพบว่ามีฉลากใบหนึ่งที่ติดอยู่บนกล่องที่ตนถือกว่า
“ทำไมฉันต้องบอกนาย” คนตัวโตว่าพลางเดินไปยืนรอในที่ที่สามารถมองเห็นเวทีได้ชัดๆ แต่ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวขนาดที่จะเอาร่างสูงๆ นั้นบังสาวๆ ที่ตัวเล็กกว่ามาก
“ก็...” พอเห็นสายตาดุดันนั้นปรายมามองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่เงียบปากไว้และถือฉลากที่ติดกล่องมานั้นเผื่อโชคดีจะได้เอาใบนั้นไปให้กับหญิงสาวที่อยากออกเดตกับเจ้าชายในดวงใจ
เห็นพูดชื่อฟรอสต์ออกมาก็คงจะเป็นเขาแน่ๆ...
เวลาผ่านไปจนพิธีกรนั้นกล่าวเปิดกิจกรรมเดตในฝันกับเจ้าชาย ทั่วทั้งบริเวณนั้นมีแต่หญิงสาวทั้งสาวแท้สาวเทียม กระทั่งเด็กชายหญิงที่มีไอดอลเป็นเจ้าชายจากดินแดนต่างๆ เมื่อแนะนำเจ้าชายจนครบทุกคนแล้สจึงได้ให้เจ้าชายแต่ละคนมาจับฉลากคนละหนึ่งหมายเลข เพื่อให้ได้ออกเดตกับผู้เข้าร่วมงานที่มีหมายเลขตรงกัน
“เจ้าชายริกะ หมายเลขหนึ่ง!” พิธีกรเอ่ยเสียงดังฟังชัด เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังระงมไปทั่วด้วยความเสียดาย ดูท่าทางจะเป็นเจ้าชายที่มีความนิยมสูงสุด
“อ๊ะ...” ชแตร์มองหมายเลขในมือแล้วเหงื่อตกนิดๆ ไม่คิดเลยว่าจะดวงดีขนาดที่ได้หมายเลขเดียวกับริกะ
พิธีกรนั้นให้เจ้าชายมาจับหมายเลขทีละคนจนครบหมดทุกคน และประกาศซ้ำอีกทีรวมทั้งรอเวลาที่ผู้โชคดีจะได้ยืนยันหมายเลขและเตรียมตัวออกเดตกับเจ้าชายที่มีหมายเลขตรงกัน
“เจ้าชายฟรอสต์ หมายเลขหนึ่งศูนย์สี่!”
อพอลโลนั้นเช็กใบฉลากในมือจนครบทุกใบก็ยังไม่มีใบใดตรงกับหมายเลขของฟรอสต์ และดูท่าว่าจะยังไม่มีหญิงสาวคนไหนออกมาแสดงตนว่าได้หมายเลขของฟรอสต์ด้วย จะมีอยู่หนึ่งใบคือเจ้าชายไซงะที่บังเอิญตรงกับหมายเลขที่เขามี ชแตร์ยิ้มขำและเดินมาบอกว่าเขาดวงดีที่ได้เจ้าชายริกะ แต่เขาไม่คิดจะออกเดตกับใครเลยว่าจะเดินหาหญิงสาวที่ต้องการฉลากใบนั้นแทน
จนกระทั่งผ่านไปเกือบหลายนาที เจ้าชายริกะ เจ้าชายฟรอสต์ และเจ้าชายไซงะนั้นยังไม่มีผู้โชคดีมีแสดงตน ทว่าเสียงวี้ดว้ายเบาๆ อย่างเสียดายของหญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจนั้นบ่นงึมงำว่าได้เลขตรงกับเจ้าชายฟรอสต์แต่หล่อนอยากเดตกับเจ้าชายริกะมากกว่า หล่อนจึงยังไม่ยอมไปขึ้นเวที
รอยยิ้มเย่อหยิ่งนั้นเผยออกมาทันที มือหนารีบคว้าเอาฉลากในมือของชแตร์มาและเดินฉับๆ ตรงเข้าไปยื่นให้กับหญิงสาวผู้โชคดีคนนั้น คนตัวเล็กรีบวิ่งตามหลังมาและบ่นอุบอิบว่าถ้าอยากได้ทำไมไม่ขอดีๆ
“ฉันขอแลกฉลากใบนั้นกับอันนี้”
เมื่อเห็นหมายเลขบนฉลากที่อพอลโลหญิงสาวก็แทบกรี๊ดออกมาถ้าไม่เห็นสายตาดุดันของชายหนุ่มที่จ้องหล่อนอยู่
“กรี๊...อะ...เอาไปเลยค่ะ...” แม้จะยื่นใบฉลากหมายเลขหนึ่งศูนย์สี่แลกกับหมายเลขหนึ่งแล้ว หญิงสาวกลับรู้สึกว่าตนเปลี่ยนใจอยากจะไปออกเดตกับผู้ชายหัวสีเพลิงตรงหน้านี้มากกว่าเสียแล้ว ทว่าสีหน้าคมคายดุดันนั้นทำเอาไม่กล้าที่จะเอ่ยคำใดต่อ
“หึ ขอบใจ” อพอลโลส่งรอยยิ้มเย่อหยิ่งกลับไปให้และทำท่าจะเดินไปยืนยันสิทธิ์ออกเดตกับเจ้าชาย แต่ชแตร์นั้นเดินเข้ามาขวางและกำลังจะอ้าปากบ่นสักหน่อย
“นี่...!”
“ส่วนของนายก็ใบนี้” ไม่ปล่อยให้คนบ่น เขายื่นหมายเลขของเจ้าชายไซงะให้เพื่อนตัวเล็ก และเมื่อพิธีกรเริ่มนับถอยหลังจะให้เจ้าชายทั้งสามจับฉลากใหม่ ผู้โชคดีหมาดๆ ทั้งสามก็รีบไปยืนยันสิทธิ์ทันที
และเป็นที่น่าแปลกใจว่ามีผู้ชายที่ดูมาดแมนถึงสองคนนั้นยืนยันสิทธิ์ที่จะออกเดตกับเจ้าชายตลอดเวลาช่วงบ่ายของวันนี้ อันทาเรสมองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าชายแดนดาวตกกับเจ้าชายแดนสุริยาจึงได้เข้าร่วมกิจกรรมเดตในฝันนี้ด้วย
“ฝากตัวด้วยนะขอรับ ท่านชาย” เจ้าชายไซงะเอ่ยอย่างสุภาพกับชแตร์จนรู้สึกเกรงไปหมด แม้จะเป็นเจ้าชายด้วยกันแต่เขาก็ยังไม่ได้เปิดเผยตนว่าเป็นใคร
“อ่า...ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ เอ่อ...เรียกผมว่าชแตร์ก็ได้ครับ เจ้าชายไซงะ” น้ำเสียงที่ดูสูงวัยนั้นทำให้ชแตร์รู้สึกเกรงใจราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่ จึงได้แสดงท่าทีนอบน้อมไปอย่างเกรงใจ
“ชแตร์” รอยยิ้มใจดีและน้ำเสียงอบอุ่นทำให้คนฟังเผลอยิ้มออกมา “เช่นนั้นเราไปเดินชมสวนทางโน้นไหมขอรับ ดอกไม้กำลังบานสวยเชียว”
“ครับ” เขาพยักหน้าและเดินตามเจ้าชายแดนจิ้งจอกเทพไป คิดว่าการเดตกับไซงะคงไม่เลวเท่าไรนัก เหมือนกับไปคุยเล่นกับญาติผู้ใหญ่มากกว่า
ส่วนอีกคู่ผู้ชายนั้น ฟรอสต์นั้นแสดงสีหน้านิ่งสนิทและปล่อยบรรยากาศอึมครึมออกมาเสียเต็มที่ ผิดกับเจ้าชายแห่งตะวันที่ยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี เจ้าชายโคโลเรถึงกับต้องเข้ามากำชับว่าขอให้ฟรอสต์ทำตามหน้าที่ที่ได้บรีฟไว้อย่างเต็มที่ เพราะต้องการให้ผู้โชคดีนั้นได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเจ้าชายในฝัน
ฟรอสต์ยืนทำใจอย่างหงุดหงิดอยู่สองสามนาที ก่อนจะถอนหายใจแล้วพยายามยิ้มอย่างเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดแม้จะดูเกร็งจนจะกลายเป็นยิ้มก่อนเชือดก็ตาม
“ยินดีที่ได้ร่วมเดตกับคุณชาย...อพอลโล...” น้ำเสียงเย็นเยียบ ทว่าเจ้าของชื่อกลับยิ้มกลั้นขำจนไหล่สั่น และด้วยที่ไม่แน่ใจว่าในขณะอยู่ในเทศกาล อพอลโลนั้นต้องการเปิดเผยตัวตนหรือไม่จึงได้เลี่ยงคำที่ใช้กับราชวงศ์
“ฉันยินดีเป็นอย่างยิ่ง คุณเจ้าชายฟรอสต์” รอยยิ้มแห่งความสุขนั้นเผยออกมาอย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีตะวันหยีลงอย่างซุกซน
“คุณชายปรารถนาจะไปเดตที่ไหน?” รอยยิ้มของฟรอสต์นั้นยังคงเป็นรอยยิ้มก่อนเชือด แม้ว่ารังสีอำมหิตนั้นจะแผ่ออกมาอย่างชัดเจนแต่คู่เดตก็ยังคงไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
“ไปที่สวนนั่น” อพอลโลมองไปยังอุทยานใกล้ปราสาทที่ดูไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน เจ้าชายแดนหิมะเริ่มจะไม่ไว้ใจคนตรงหน้า เพราะที่พบกันครั้งล่าสุดนั้นก็ถูกทำอะไรที่ไม่สมควรไปหลายอย่าง
“...ก็ได้ คุณชายอพอลโล” กัดฟันพูดไปก่อนจะเดินนำทางไปที่อุทยานที่ว่านั้น
หมับ...
มือหนาร้อนสอดประสานกุมมือกับมือขาวซีดเย็น ดวงตาสีทับทิมหันขวับมามองตาขวาง สบกับดวงตาสีตะวันที่ดูจะระริกระรี้มีความสุขแม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าหรือกิริยาใดๆ
“ไปเดตกันก็ต้องกุมมือกันสิ ใช่ไหม? คุณเจ้าชาย”
อยากจะชักมือกลับแต่ก็เกรงว่าถ้าทำกิจกรรมนี้ล่มคงมีปัญหากับแดนช็อกโกแลต เขาไม่อยากมีปัญหาอะไรนักเพราะชเนย์ น้องชายของเขาก็ชอบมาเยือนเทศกาลขนมหวานนี้
เขาจำใจกุมมือตอบไป แอบถูกลวนลามที่หลังมือเล็กน้อยแต่ก็ดีกว่าถูกกอดจูบแบบคราวก่อนที่อาณาจักรคุโย ในตอนนั้นเพราะสุราและบรรยากาศพาไปจึงเผลอไผลให้อีกฝ่ายละลาบละล้วงล่วงเกิน ไม่ได้รู้สึกดีอะไรด้วย
ใช่! ไม่ได้อยากจูบด้วยเลยสักนิด ขยะแขยง!
พอเดินมาถึงอุทยาน ฤดูหนาวที่ยังไม่จากไปทำให้ยามยืนอยู่ใต้ร่มไม้ลมที่พัดมานั้นหนาวเสียดผิว เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจนั้นอาศัยที่อากาศร้อนกว่าจึงไม่ชินกับอากาศหนาวเช่นนี้ มือหนาสั่นเล็กน้อยแต่ก็ทำให้มือที่กุมไว้อยู่รู้สึกได้
หนาวหรือ?
ค่อนข้างจะแปลกใจที่เห็นอีกฝ่ายแสดงความอ่อนแอเพียงนิดให้เห็น ทว่าดูจากชุดที่อีกฝ่ายสวมมาก็ทำให้เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหนาว เสื้อคอกว้างแขนสั้นที่เปิดให้เห็นถึงไหนต่อไหน รอยสักรูปพระอาทิตย์และราชสีห์คำรามบนหน้าอกดูมีเสน่ห์เย้ายวนอย่างน่าประหลาด ใครมองก็ถูกดึงดูดให้ไม่อาจละสายตาจากได้
จู่ๆ มือก็ถูกดึงให้ไปวางแปะบนหน้าอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแกร่ง บนอกซ้ายที่มีรอยสักที่เขาเผลอมองนานเกินไป อุณหภูมิร่างกายที่สูงผิดกับคนทั่วไปทำให้ฟรอสต์รู้สึกตัวและพยายามจะชักมือกลับ แต่จังหวะหัวใจที่เต้นอยู่ภายในนั้นทำให้ชะงักและพยายามรับสัมผัสให้มากขึ้นแทน
“ถ้าจะมองขนาดนี้...จับเลยดีกว่าไหม?” เสียงทุ้มต่ำมาพร้อมกับรอยยิ้มฉายความมั่นใจ
“ใครจะอยากจับ” ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ก็ไม่ดึงมือออกเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายก็แรงเยอะพอๆ กัน
“ถูกคนที่ชอบมองนานๆ ฉันก็เขินเป็นนะ” ฟรอสต์สังเกตเห็นสีแดงระเรื่อที่แก้มของคนตรงหน้า เผลอคิดไปว่าก็ดูน่ารักดี...
...น่ารักตรงไหนวะ!
แต่เมื่อถูกสารภาพตรงๆ ก็กระอักกระอ่วนที่จะตอบอะไรกลับไปเหมือนกัน เจ้าชายแดนหิมะทำได้เพียงยืนแข็งทื่อและหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนานั้น จังหวะการเต้นของหัวใจของอพอลโลเหมือนจะทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะและกำลังจะสอดประสานเป็นจังหวะเดียวกัน
แค่ยืนจับหน้าอกหมอนี่เฉยๆทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ...
ใบหน้าขาวซีดแบบคนเมืองหนาวนั้นเริ่มมีเลือดฝาดเลี้ยงที่ข้างแก้ม มือที่เคยแห้งสนิทกลับชื้นเหงื่อด้วยความตื่นเต้นจนมือร้อนนั้นใช้ทั้งสองมือกุมไว้ไม่ให้ลื่นหลุดไป เมื่อเสตาหันมาสบก็พบแต่เนตรสีตะวันที่เอาแต่จับจ้องใบหน้าของเขา รู้สึกอึดอัดจนทนไม่ไหวจึงจะเอ่ยบอกให้อีกฝ่ายรู้แต่ก็โดนพูดแทรกขึ้นมาเสียงก่อน
“เอ่อ...”
“ฉันอยากขอโทษนาย”
แก้วตาสีทับทิมเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำที่ไม่น่าจะออกมาจากเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งแห่งแฟลร์รูจคนนี้ ฟรอสต์เผลอจ้องหน้าอพอลโลค้างไป เมื่อรู้สึกตัวจึงกะพริบตาถี่ๆและเสมองไปทางอื่นแทน
“ขอโทษเรื่องอะไร?”
“เรื่องที่ฉันจูบนาย” เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์นั้นตอบกลับมาโดยทันที “ฉันรีบร้อนเกินไป คงทำให้นายรู้สึกกลัว”
ฟรอสต์นั้นหาเสียงตนเองไม่เจอ ไม่รู้จะพูดอะไร ค่อยๆ บิดข้อมือชักกลับมาอย่างช้าๆ คนที่เคยกุมมือก็ให้ความร่วมมือโดยการปล่อยมือขาวซีดนั้นให้เป็นอิสระ สังเกตได้ว่ามือหนานั้นสั่นเล็กน้อยเพราะอากาศหนาว
เจ้าของเรือนผมสีเงินนั้นปลดเสื้อคลุมไหล่ของตนออกและนำไปห่มคลุมให้กับเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจ ผูกสายเชือกให้เรียบร้อยไม่ให้หลุดจากไหล่กว้าง มือเรียวจัดเสื้อคลุมให้พอดีตัวของคนตรงหน้า โชคดีที่รูปร่างค่อนข้างใกล้เคียงกัน เขาที่ล่ำกว่าเล็กน้อยเสื้อผ้าเลยตัวใหญ่กว่า
“คุณชาย อากาศค่อนข้างเย็น จะไม่สบายเอา” น้ำเสียงเย็นชาผิดการกระทำ “...แค่ทำตามหน้าที่คู่เดต”
ประโยคหลังเอ่ยออกมาราวกับจะแก้ตัวในการกระทำของตน แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้อพอลโลยิ้มออก
“อากาศเย็นดี” เนตรแห่งสุริยันหรี่ลงเล็กน้อย “แต่อยากให้คุณเจ้าชายมาช่วยคลายหนาวจัง”
น้ำเสียงทุ้มต่ำดูจะออดอ้อนนิดๆ ผิดวิสัยของคนเย่อหยิ่ง ทำเอาคนฟังนึกถึงน้องชายทั้งสองของตนที่ในบางคราก็อยากอ้อนแม้จะทำตัวแก่แดดไปหน่อย
“คลายหนาว?” แค่เสื้อคลุมนั่นไม่หายหนาวหรือ...
เจ้าชายแดนสุริยาไม่ตอบอะไร เพียงแค่อ้าแขนออกกว้างแล้วค่อยๆ สืบเท้าเข้าหาเจ้าชายแดนหิมะอย่างใจเย็น เมื่อเข้าใจถึงความหมาย ‘คลายหนาว’ ของอีกฝ่าย ฟรอสต์นึกไปถึงเรื่องเมื่อคราวก่อนนั้นและทำให้เผลอถอยหลังทุกครั้งที่อีกฝ่ายขยับเข้ามาหา แต่ก็พลาดไปเพราะถอยได้ไม่กี่ก้าวก็หลังชนกับต้นไม้ใหญ่ เปิดโอกาสให้ราชสีห์ที่ไล่ต้อนหมาป่าหิมะได้เอาแขนโอบรัดเอวแน่น
“ปล่อย...”
“คู่เดตหนาวอยู่นะ...” อพอลโลฝังใบหน้าลงที่ซอกคอของคนที่ร่างกายเย็นกว่า พลางเนียนสูดหายใจเข้าไปเสียฟอดใหญ่เพื่อเอากลิ่นกายของเจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลีย
“จะให้ฉันทำอย่างไร...นี่...!!”
ฟรอสต์รู้สึกจั๊กจี้เมื่อถูกทำเช่นนั้นจนต้องย่นคอและดันอกคนตัวโตออกเสียเต็มแรง แต่แขนแกร่งนั้นรัดเอวเขาแน่นเกินไป เมื่ออีกฝ่ายเซ เขาก็เซตาม กลายเป็นว่าล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ โดยที่ฟรอสต์ล้มทับอยู่บนร่างของราชสีห์ตัวโตที่ร้องโอยเบาๆ ตัวเขาก็ไม่ได้เบาๆ กล้ามเนื้อก็แน่นพอกัน คนถูกทับคงจะจุกอยู่ไม่น้อย...
“โอย...”
“หึ สมน้ำหน้า แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว” พอเริ่มดูจะมีชัยเหนือกว่าจึงเอาแขนชันร่างตนเองขึ้น แขนแกร่งที่รัดเอวอยู่ก็ทำให้ท่อนล่างแนบชิดกันอย่างน่าอาย
“ฟรอสต์...” เสียงพึมพำแผ่วเบาทว่าได้ยินชัดเจนทำให้เจ้าของชื่อตระหนักได้ว่าใบหน้าของพวกเขาอยู่ใกล้กันเกินไป
ใบหน้าหล่อเหลาที่แฝงความเย้ายวนใจให้แก่คนมอง ดวงตาสีประหลาดมีสเน่ห์ดึงดูดในอย่างอัศจรรย์ใจ สีหน้าแปลกๆ ราวกับอัดอั้นอะไรบางอย่างทำให้คนมองรู้สึกสงสัย ทว่าใบหน้าที่แดงซ่านของอีกฝ่ายและจังหวะหัวใจที่เต้นรัวภายใต้ร่างทำให้เขาต้องโน้มกายลงไปหาและประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากร้อนรุ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
เขามองเห็นดวงตาสีตะวันนั้นเบิกกว้าง เขากดริมฝีปากลงอีกและใช้มือลูบไรผมที่ชื้นเหงื่อนั้นอย่างช้าๆ นิ้วเรียวยาวขาวซีดไล้ไปตามสันกรามและลำคอหนาของคนใต้ร่าง เขาสังเกตได้ว่าคนด้านใต้นอนแข็งทื่อซ้ำยังเม้มปากไม่ยอมจูบตอบเขาเลยแม้แต่น้อย ฟรอสต์จึงยอมผละออกอย่างเสียดายที่ไม่ได้เอาคืนไปมากกว่านี้ แขนแกร่งที่เคยรัดเอวเขาไว้ก็คลายออกจนสามารถลุกได้ตามปกติ
“ดูเหมือนฉันจะจูบแย่นะ เดตครั้งนี้คงผิดหวังล่ะสิ” นึกขำท่าทีของอพอลโลที่ทำตัวแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ แต่เขาก็รู้สึกเสียความมั่นใจไปพอสมควรเมื่อถูกปฏิเสธจูบทางอ้อมแบบนี้
“ฉันมาเพื่อขอโทษนาย ถ้าทำกับนายมากกว่านั้น...” อพอลโลลุกขึ้นนั่งกับพื้นหญ้า “มันจะไม่หยุดแค่จูบ”
ใบหน้าแดงซ่านของอพอลโลรวมทั้งแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนารุ่มร้อนทำให้ฟรอสต์เผลอกลืนน้ำลาย
“ฉัน...”
“ถ้านายรุกฉันก่อนแบบนี้...” เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงดันกายเบียดเจ้าชายหิมะให้แนบชิดกับต้นไม้ แทรกเข่าเข้าที่ระหว่างขาทั้งสองและเอาแขนกางกั้นไม่ให้อีกฝ่ายนั้นหนีไปไหน “ฉันจะไม่ทนอีกต่อไป”
“เดี๋ยว...!!” ราวกับรับรู้ถึงชะตากรรมที่ไปแหย่หนวดราชสีห์เข้า คนผิวขาวจัดยกแขนขึ้นเพื่อขวางสร้างระยะห่างระหว่างร่างสองร่าง ทว่าคนหัวร้อนก็ไม่อาจจะอดทน
“ฉันรักนาย”
คำยืนยันหนักแน่นส่งผ่านมายังริมฝีปากร้อนรุ่มที่กดแนบบนที่ริมฝีปากบางเฉียบ กระซิบคำรักผ่านเข้าไปในโพรงปากอีกฝ่ายอย่างเร่าร้อนและไม่ปล่อยให้พักหายใจ บดเบียดแนบชิดแลกของเหลวในปากส่งเสียงดังเสียน่าอาย เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกันกลับกระตุ้นปลุกเร้าอารมณ์ลึกลับในร่างกายให้ตื่นขึ้น
ฟรอสต์ไม่เคยเข้าไปหมกหมุ่นกับเรื่องทางนี้ อาจเคยเห็นบิดามารดาแสดงความรักผ่านการจูบที่ริมฝีปากแต่ไม่ลึกซึ้งอย่างที่คนตรงหน้ากำลังสั่งสอนเขาให้รู้ซึ้งถึงการบอกรักที่มากกว่าคำพูด ร่างกายไม่ได้สัมผัสกันนอกจากริมฝีปาก หากแต่ยิ่งปล่อยให้จุมพิตนี้ปลุกเร้าอารมณ์บางอย่างขึ้นมาเรื่อยๆ ในตอนนี้เขาก็ยิ่งโหยหาอยากจะสัมผัสคนตรงหน้าให้มากขึ้น
เป็นความรู้สึกที่ประหลาดนัก ทั้งที่เขาไม่ได้รู้สึกชอบหรือถูกใจคนคนนี้ กลับไม่ชอบและค่อนไปทางเกลียดขี้หน้าเสียด้วยซ้ำ
หรือส่วนลึกแล้วเขาหวั่นไหวไปกับคำบอกรักของอีกฝ่าย อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยมีใครให้รู้สึกแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ถูกรัก เป็นครั้งแรกที่ถูกมอบความรักในรูปแบบอื่นนอกจากครอบครัว
ควรหยุด...
สมองเขาสั่งไปแบบนั้นก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิด ทว่าความต้องการสัญชาตญาณดิบในร่างกายกลับต้องการมากกว่านี้ อยากทำมากกว่าจูบแต่ไม่รู้ว่าจริงๆ ต้องการอะไร
เขาไม่เข้าใจตนเองเลย!
ยังไม่ทันที่ฟรอสต์จะทะเลาะกับตนเองเสร็จ ริมฝีปากร้อนรุ่มนั้นก็ผละออกไปเสียก่อน ใบหน้าคมคายนั้นแฝงความเสียดายแม้จะต้องลุกจากไปและทิ้งตัวลงนั่งให้ห่างจากคนที่ถูกจูบจนหมดแรง
“ให้ตายสิ ฉันทำอะไรลงไป...” เสียงทุ้มนั้นเอ่ยโวยวายกับตนเอง
ฟรอสต์ได้แต่เพียงนั่งหอบหายใจมองเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจทึ้งผมตนเองจนเสียทรงและเอาแต่พ่นลมหายใจแรงๆ เพื่อระงับอารมณ์รุนแรงที่กำลังก่อตัวขึ้น
“อ้าว เอาแต่มองอยู่นั่น เลิกทำหน้ายั่วและรีบแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนที่ฉันจะทำมากกว่านั้นจริงๆ!” เสียงทุ้มเผลอตวาดลั่นใส่
เจ้าชายหิมะสะดุ้งและก้มลงสำรวจเสื้อผ้าตนเองและพบว่าเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินนั้นถูกปลดกระดุมออกจนหมดและถูกดึงชายเสื้อออกมาจากขอบกางเกง เผยผิวขาวจัดแบบคนเมืองหนาว ฟันขาวเผลอกัดลงที่ริมฝีปากล่างด้วยความประหม่าและความอับอาย ไม่ใช่เพราะอพอลโลไม่ได้สัมผัสร่างกายเขา แต่เพราะเขาเคลิบเคลิ้มเสียจนไม่รู้ตัวว่าถูกล่วงเกินไปถึงไหนต่อไหนแล้วต่างหาก!
มิน่าเล่า อารมณ์วาบหวามมันถึงได้เกิดขึ้นเร็วนัก!
“สารเลว...” เสียงก่นด่านั้นอพอลโลได้ยินชัดเจน ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อของฟรอสต์นั้นปิดไม่มิดเมื่อเป็นคนผิวขาวจัด เขารีบแต่งตัวให้เรียบร้อยและแม้จะมีรอยยับแต่ก็ดูดีกว่าเมื่อครู่ขึ้นเยอะ
“เดตยังไม่ล่มใช่ไหม?” ผู้โชคดีด้วยการโกงที่ได้มาเดตกับเจ้าชายหิมะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
“ยังไม่หมดบ่าย ก็ยังไม่จบ” เจ้าชายหิมะลุกขึ้นและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พยายามลืมเรื่องราวเมื่อครู่นี้ไป เพียงแค่จูบก็ทำให้ความคิดทุกอย่างแตกกระเจิงไปหมด
“ฉันไม่อยากรีบร้อนรวบรัดนาย แม้จะทำได้ก็เถอะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยและลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ฉันอยากจะค่อยๆ สานความสัมพันธ์กับนาย อยากให้นายชอบฉันจากใจจริง”
น้ำเสียง สีหน้า รวมทั้งแววตาที่จริงจังสะกดสายตาฟรอสต์ให้มองเจ้าชายแดนสุริยาโดยไม่ละสายตาไปไหน พอจะเข้าใจขึ้นมานิดๆ แต่ไม่อาจเอ่ยตอบรับอะไรได้ ความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้จะใช่ความรู้สึกเดียวกันหรือไม่ก็ไม่อาจทราบ
“อะไรทำให้นายชอบฉันถึงขนาดนี้...” ฟรอสต์พึมพำเบาๆ กับตนเอง แต่เจ้าชายหูผีข้างๆ นั้นได้ยินชัดเจน
“ความรักมันต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?” เจ้าชายแดนสุริยาเผยยิ้มเย่อหยิ่ง
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย ทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องมีเหตุมีผลสิ!”
“นายรู้แค่ว่าฉันรักนายก็พอ ไม่ต้องไปหาคำตอบอื่น” มือร้อนๆ นั้นจับมือเย็นๆ ขึ้นมาแล้วจุมพิตลงที่ข้อมือด้านในเบาๆ สบตากับแก้วตาสีทับทิมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาร้อนรุ่ม
เพียงแค่นั้นก็สั่นหัวใจน้ำแข็งของเจ้าชายผู้แสนเย็นชา
“ฉันอยากใช้เวลาร่วมกับนายให้มากกว่านี้” มือหนาปล่อยมือเย็นให้เป็นอิสระ ส่งยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดให้เจ้าชายแดนหิมะ
ฟรอสต์ไม่เคยรู้สึกขัดเขินขนาดนี้มาก่อน
“ตอนนี้ขอแค่เดินชมสวนกับนายก็พอ” เรือนผมสีตะวันต้องลมพัดเล็กน้อย มือหนายกขึ้นเสยเปิดหน้าผากออกไม่ให้เกะกะบังตา
“หึ แค่เดินชมสวน อย่างฉันน่ะหรือจะทำไม่ได้...” เจ้าชายผู้สูงส่งแย้มยิ้มมุมปากและเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง “เชิญเลย คุณชายผู้เอาแต่ใจ จนกว่าเดตวันนี้จะจบลงฉันจะพยายามทำให้นายรู้สึกคุ้มค่าที่มาเดตกับฉัน”
มือเรียวเย็นข้างหนึ่งยื่นออกมา มืออุ่นร้อนทาบทับลงไป สองมือกุมสอดนิ้วประสานกันอย่างหลวมๆ ก้าวเดินไปในอุทยานใกล้ปราสาทด้วยกัน ราวกับจะเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ไม่อาจรับรู้ถึงอุปสรรคมากมายที่ต้องเผชิญในภายภาคหน้า
อีกด้านหนึ่ง สองร่างที่เดินเข้าไปชมอุทยานนั้นไม่ทันสังเกตเห็นชายหนุ่มอีกคู่หนึ่งที่ยืนมองอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาในอุทยาน เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นชายหนุ่มคู่นั้นเห็นชัดแจ้งทุกอย่าง และในขณะนี้ชายหนุ่มในร่างครึ่งจิ้งจอกสีขาวกำลังยกผ้าเช็ดหน้าช่วยซับน้ำตาให้ชายหนุ่มหน้าสวยที่น้ำตารื้นอย่างไม่รู้ตัว
“ชแตร์เอ๋ย มีความรักก็มีความเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา”
“คุณไซงะ...” มือเรียวบางยกขึ้นแตะใบหน้าและเพิ่งรู้สึกว่าตนร้องไห้
“แม้จะต้องผิดหวังจากความรักก็ยังดีกว่าเกิดมาไม่รู้จักรัก” มือหนาใหญ่นั้นลูบเรือนผมสีเงินแผ่วเบาราวจะปลอบประโลม “เข้มแข็งไว้ หากรักเขาก็รักไปเถิด หากตัดใจไม่ได้ก็อย่าฝืนตนเอง”
รอยยิ้มอบอุ่นส่งผ่านมาให้ดวงใจที่เริ่มร้าวนั้นไม่แตกสลาย รอยยิ้มอ่อนจางส่งกลับไปให้อย่างขอบคุณ คนตัวใหญ่กว่าดึงคนร่างเล็กเข้ามากอดปลอบอย่างใจเย็น
“เหมือนได้ลูกชายมาคนหนึ่งเลยหนา”
“ผมขอโทษครับ...”
“ไม่เป็นไร ชแตร์เอ๋ย ไว้คราวหน้าจะลองพาไปเที่ยวที่อิโรกุดูนะ”
อีกมุมหนึ่งบนต้นไม้ที่ไม่ไกลจากจุดที่ชายหนุ่มครึ่งจิ้งจอกปลอบประโลมคนที่ผิดหวังในความรัก มือใหญ่กุมจี้ห้อยคอรูปดวงดาวไว้แน่น หยาดน้ำหยดลงที่หลังมือสองสามหยด
มีรักก็มีเจ็บ
คำพูดของไซงะดังชัดในหัว ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทอง ยกยิ้มขึ้นอย่างช้าๆราวกับสมเพชตนเอง เมื่อในบริเวณนั้นไม่เหลือใครอยู่เขาจึงค่อยๆลงจากต้นไม้มายืนบนพื้นหญ้าอย่างไม่มั่นคง
“ขอโทษนะชแตร์ ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนให้นายกับลูกพี่มาเดตกันสนุกๆแท้ๆเลย”
Talk
ตอนนี้แต่งออกมาในช่วงวาเลนไทน์ค่ะ อยากจะแต่งเอาใจแฟนๆที่รอคอยฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างอพอลโลและพี่ฟรอสต์นะคะ เหตุการณ์จริงๆก็ต่อเนื่องจากเนื้อเรื่องปีใหม่
แต่งด้วยความเมากาวมากมายค่ะ อาจใช้ภาษาที่มึนๆไปนิดหน่อยเพราะอ่านทวนซ้ำแค่รอบเดียว ช่วงนี้แค่อยากแต่งอะไรหวานๆที่ไร้สาระไร้เหตุผลเพื่อฮีลตัวเองค่ะ
หวังว่าจะถูกใจกันนะคะ อย่าลืมคอมเม้นและให้คำแนะนำกันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
Comments (0)