16 ตอน Chapter 13 : Usurpation
โดย ‘Umbrella’
วันที่ลมสงบ อุทยานดอกไม้งดงามเบ่งบานแย้มกลีบท้าคิมหันตฤดู กลีบบุปผาที่แก่เฉาก็โรยร่วงไปตามสายลม มือหยาบกร้านจากการจับศาสตรามาช้านานคว้าเอากลีบดอกไม้สีขาวก่อนจะหยิบยกขึ้นมาพิศความงาม ชายหนุ่มเรือนผมสีเพลิงยาวประบ่าแย้มยิ้มมุมปากก่อนจะหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่นั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางสวน
“ที่ดอกไม้สวยแบบนี้ก็เพราะเวทมนตร์ของท่านงั้นเหรอ?” ราชาหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของสตรีสูงศักดิ์ตรงหน้า
“หึๆ” เธอวางถ้วยชาลงบนจานรองก่อนจะผุดยิ้มบาง “ใช่ค่ะ ท่านไดอา เป็นเวทมนตร์ของดิฉันเอง เพราะคนสวนของที่นี่ดูแลสวนได้ไม่ถูกใจดิฉัน”
เมื่อได้ฟังคำตอบ ไดอาก็หัวเราะในลำคอและมองความงดงามจอมปลอมตรงหน้า
“แม้แต่ความเยาว์วัยนี้ก็ล้วนแต่เป็นเวทมนตร์...หึ ความจริงแล้วน่าจะแก่หงำเหงือกเป็นยายเฒ่าแล้วแท้ๆ” อดีตเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจยิ้มหยาม
“หืม แต่ว่าท่านเองก็ยังต้องพึ่งพาเวทมนตร์ของดิฉันเพื่อโค่นอำนาจของราชาองค์ก่อนเลยนี่คะ” เธอจิบชาต่ออย่างไม่ยี่หระแม้ว่าจะเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของคู่สนทนา
“ถ้าไม่จำเป็นก็คงไม่ยืมพลังของท่านหรอก แต่ว่าเราสองคนมีจุดประสงค์เดียวกัน” ไดอายิ้มกริ่มมุมปาก “เพื่อความเป็นใหญ่และแก้แค้น”
“หึ ผู้ชายคนนั้นน่ะเขาก็มองทุกคนเป็นตัวหมากสำหรับใช้งานทั้งนั้นแหละค่ะ แม้กระทั่งลูกชายของตนเอง” สตรีชั้นสูงหรี่ดวงตามองชายหนุ่มที่เริ่มทำหน้าไม่สบอารมณ์
“งั้นเหรอ...ท่านเฮร่าเองก็เคยถูกใช้เป็นตัวหมากเหมือนกันนี่” ราชาแสยะปาก “แล้วก็โดนเขี่ยทิ้งน่ะ...แต่สุดท้ายก็กลับมาแก้แค้น...โดยการทำให้หญิงที่เขารักที่สุดต้องจากไปแล้วโยนความผิดให้ลูกชายคนเล็กที่เขาเกลียด”
เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์รินชาให้ตนและคนตรงหน้า
“ช่วยไม่ได้นี่ เขาก็คิดหลอกให้ดิฉันสอนเวทมนตร์ให้เหมือนกับที่ท่านหลอกดิฉันนั่นแหละ” มือเรียวบางยกชามาจิบอย่างสบายอารมณ์ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นหมายจะวางยาตนแต่ก็หาได้หวาดกลัว เพราะตัวเธอนั้นพกพายาแก้สารพัดพิษติดตัวอยู่เสมอ
“ก็ฉลาดเหมือนกันนี่ กระผมนี่ช่างโง่จริงๆ ที่คิดจะเขี่ยท่านทิ้งหลังจากที่ได้เป็นราชาแล้ว” ไดอาไม่คิดรับประทานอาหารใดๆ จึงได้ยกถ้วยชามารินใส่ต้นกุหลาบที่ปลูกประดับอยู่รอบศาลา ผลคือกุหลาบที่ถูกน้ำชาถ้วยนั้นเหี่ยวเฉาและสลายไปเป็นผุยผง
“หึ...แล้วค่าตอบแทนที่เป็นค่ำคืนอันแสนหวานที่ตกลงกันไว้ล่ะคะ?” ราชินีเฮร่ากรีดพัดออกมาป้องปากแสร้งทำเป็นเอียงอาย
ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพียวลุกขึ้นแล้วสืบเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะจุมพิตที่ริมฝีปากที่ทาลิปสติกเนื้อแน่น
“ราชินีที่รัก หากว่าท่านสอนวิชาตุ๊กตาเสมือนตนเหมือนอย่างที่ท่านเคยใช้ เป็นมเหสีของโอลิมโพสและคนสนิทของเสด็จแม่ของกระผมในเวลาเดียวกัน... กระผมจะยินยอมเสพสุขและเป็นพระสวามีให้อย่างเต็มใจ”
“ฮึๆ เสียใจด้วยนะคะ” ปลายนิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากคนตรงหน้าเบาๆ เธอแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ “แค่วิชานั้นที่ดิฉันสอนให้ไม่ได้ เพราะจะใช้เป็นไม้ตายเวลาท่านไดอาทรยศดิฉัน”
ฉึก!
“อ๊ะ!!” ดวงตาของสตรีชั้นสูงเบิกกว้างขึ้น ของเหลวสีแดงข้นอุ่นๆไหลซึมออกมาตามบาดแผลจากของมีคม
“น่าเสียดายนะครับที่ท่านคงหมดประโยชน์กับกระผมแล้ว...” สีหน้าเรียบเฉยและเยือกเย็นผิดกับคนขี้เล่นเมื่อครู่ เขากระชากมีดสั้นออกมามองดูเลือดที่เปรอะใบมีดแล้วทำท่าจะใช้ลิ้นสัมผัส “อ๊ะ ลืมไป กระผมเคลือบยาพิษชนิดพิเศษไว้ที่จะทำปฏิกิริยากับเลือดของท่านน่ะ”
มือเปื้อนเลือดของราชาจับปลายคางของฝ่ายที่ค้อมตัวเพราะเจ็บปวดกับบาดแผลที่หน้าท้อง เชยใบหน้าที่ตื่นตระหนกและค่อยๆ หมดความสาวและสวย ผิวกายเริ่มเหี่ยวยานและมีริ้วรอยมากมาย ชายหนุ่มแสยะยิ้มสยดสยอง
“นังแม่มด...” เสียงต่ำเอ่ยลอดไรฟัน “แกฆ่าแม่ฉัน...”
“ดะ–ไดอา...” เสียงแหบพร่าของคนชราดังออกมาจากปากของแม่มด
“หุบปาก!” ราชาเตะร่างที่กำลังผอมแห้งให้ตกจากเก้าอี้เหล็กดัดลวดลายงดงาม “แกก็รู้มาตลอดไม่ใช่เหรอว่าฉันแค่หลอกใช้แก ทุกวันคืนที่ต้องใช้ร่างกายแลกวิชามามันน่าขยะแขยงมากแค่ไหนแกคงไม่เข้าใจ”
“กะ–แก...”
“ฉันแอบเอาเลือดของแกไปทำวิจัย เพราะวางยาด้วยพิษชนิดไหนแกก็ยังไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายฉันก็เจอพิษชนิดพิเศษ...”
เขาผายมือไปยังสวนดอกไม้แสนสวยอันเกิดจากเวทมนตร์ของราชินีเฮร่า เมื่อเจ้าของเวทนั้นอ่อนแอลง สวนสวรรค์ก็เหี่ยวเฉาและเป็นสีน้ำตาลคล้ำ ก่อนที่จะถูกไอหมอกสีดำที่แผ่ขยายจากมือของไดอาเข้าปกคลุม และแปรสภาพเป็นทุ่งดอกพลับพลึงสีแดงที่งดงามและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
“เรดสไปเดอร์ลิลลี่...หรืออีกชื่อก็คือ...”
เขาเด็ดดอกหนึ่งขึ้นมาก่อนจะโยนลงมาตรงหน้าของหญิงชราที่นอนจมกองเลือดที่พื้น
“ฮิกังบานะ”
“ฮะ–ฮิกัง...” เสียงแหบแห้งเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก
พลั่ก!
ไดอาเตะท้องของหญิงสูงวัยจนแผลเริ่มใหญ่ขึ้น เลือดนองมากกว่าเดิมจนไม่เหลือพื้นที่ยังแห้งอยู่
“ใช่! ไม่ใช่พิษฮิกังบานะธรรมดา แต่เป็นพิษจากเลือดของเจ้าชายภูตดอกฮิกังบานะ ร้ายแรงกว่าเป็นร้อยเท่า แต่ก็ไม่คิดว่าแค่หยดเดียวก็ทำให้แกสิ้นฤทธิ์ได้” ราชาแห่งแฟลร์รูจระเบิดเสียงหัวเราะดังด้วยความสะใจ “ทั้งพ่อทั้งแกต่างก็เห็นฉันเป็นแค่ตัวหมาก ใช้เหยียบเพื่อให้ตัวเองสูงขึ้น ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าฉันก็เป็นแค่รัชทายาทที่แต่งตั้งขึ้นมาเพื่อให้อำนาจของพ่อสมบูรณ์ในฐานะกษัตริย์”
ดวงตาสีตะวันเผยหยาดน้ำสีแดงสดไหลอาบแก้ม
“สำหรับพวกเราสองพี่น้อง มีเพียงแม่ที่รักพวกเรา โลกของพวกเราจมหายไปตั้งแต่แม่ตาย...”
ร่างสูงเสยผมหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับสตรีที่มีบาดแผลที่ตาข้างขวา เอียงหน้ามองดวงจันทราที่กำลังขึ้นที่ขอบฟ้า สายลมหวนพัดปัดให้เรือนเกศาสีทองอมแดงสยายไปยังเบื้องหลัง เขาเดินออกจากอุทยานไปโยนไม่สนใจยายแก่ที่กำลังจะตาย
ที่หน้ารถม้าที่จอดอยู่หน้าปราสาท มีกลุ่มชายในชุดขุนนางชั้นสูงกำลังรอต้อนรับกษัตริย์ของตน พวกเขาได้จัดการคนรับใช้ในปราสาทจนหมดสิ้นตามคำสั่งที่ถูกสั่งไว้ล่วงหน้า เจ้าของใบหน้างดงามหันมามองขุนนางของตนก่อนจะเดินลงจากบันไดหน้าปราสาท
“เผาที่นี่ซะ! แล้วกลับแฟลร์รูจ!” ราชาหนุ่มออกคำสั่งแก่คนสนิท
“พระเจ้าข้า!”
“ใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว ฉันจะต้องไปต้อนรับแขกที่ปราสาท”
ไดอาสะบัดผ้าคลุมไหล่แล้วก้าวเดินอย่างองอาจไปยังรถม้าของตน บัดนี้มีขวากหนามเพียงเส้นเดียวที่เขาต้องกำจัด และอีกไม่นานหนามเส้นนั้นจักต้องมาตามบัตรเชิญของเขาอย่างแน่นอน
ปัง!
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์!!!”
เสียงพลุกระดาษดังขึ้นอย่างพร้อมเรียงกันเมื่อดวงตาสีตะวันถูกปลดผ้าปิดตาออก ภาพที่ได้เห็นหลังจากที่ต้องนั่งนิ่งๆอยู่ท่ามกลางความมืดมิดคือเค้กก้อนไม่ใหญ่มากที่ปักเทียนเป็นเลขอายุของเจ้าของวันเกิด เขามองไปรอบๆ ก็พบว่าตนเองนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้กลมกลางฟ้าจันทร์แจ่ม และมีประชาชนอยู่รายล้อมที่ถือกล่องของขวัญไว้แทบทุกคน
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายไม่ได้ตื่นตกใจหรือดีใจหรือแม้กระทั่งเสียใจ กลับถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำท่าจะลุกออกจากที่ตรงนั้นในทันที
“อ้าว จะไปไหนเล่าลูกพี่” คนที่ตัวใหญ่กว่าฉุดร่างกำยำให้กลับมานั่งลงที่เดิมแล้วโอบไหล่รั้งไว้ไม่ให้คิดจะลุกหนีอีก
“วันเกิดฉันผ่านมาเกือบเดือนแล้ว”
“เอาน่า จัดฉลองพร้อมกับชแตร์เลยไง ไหนๆ ก็เกิดเดือนเดียวกันทั้งที” เจ้าคนต้นคิดฉลองวันเกิดยิ้มแฉ่งอย่างใสซื่อ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก็ขยับยิ้มบางตามวิสัยคนยิ้มน้อย
อพอลโลถอนหายใจอีกครั้งเมื่อมองใบหน้างดงามหมดจดของเจ้าชายแห่งมีเทียร์เวล ผู้เป็นเจ้าของวันเกิดที่แท้จริง พวกเขาพักอยู่ที่กระท่อมของเฮราเคลสได้เกือบสามสัปดาห์แล้ว และต้องอาศัยพวกชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเพื่อแลกเปลี่ยนอาหารและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว บางครั้งที่เฮราเคลสจะแวะกลับไปดูที่อาณาจักรตนเองบ้าง และบางครั้งที่ชแตร์จะกลับแดนดาวตกเพื่อเอาของยังชีพมาช่วยดูแลคนเจ็บ
ประชาชนที่ทราบข่าวว่าเจ้าชายของตนนั้นกำลังพักรักษาตัวอย่างลับๆ ก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี และสอนวิถีชาวบ้านให้กับคนในวังที่ไม่รู้จักการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ อพอลโลไม่ได้ปริปากบ่นถึงความลำบากที่ต้องมาใช้ชีวิตเยี่ยงราษฎรที่เขามักจะเป็นฝ่ายดูแลจากห้องทำงาน ทว่ากลับให้ความใส่ใจผิดคาดและเรียนรู้ไวจนเป็นงานได้ภายในไม่กี่วัน คนในหมู่บ้านที่เคยได้ยินถึงโหดร้ายเข้มงวดของราชวงศ์แฟลร์รูจต่างก็ยิ้มแย้มและเอ็นดูเจ้าชายของตนอย่างรักใคร่
การปกครองของไดอานั้นโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี ผู้ใดที่บังอาจต่อต้านจะถูกสังหารกลางที่สาธารณะเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู อพอลโลนั้นทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นประชาชนล้มตายไปมากกว่านี้ ทว่าก็ยังทำอะไรไม่ได้ด้วยร่างกายที่ยังฟื้นฟูไม่เต็มที่และกำลังทหารที่ถูกไดอายึดไปทั้งหมด จึงได้เพียงแค่แนะนำราษฎรหลีกเลี่ยงไม่ให้ปะทะกับกองทหารลาดตระเวนเท่านั้น
วันนี้เป็นปลายเดือนสีครามแล้ว เป็นวันเกิดของเจ้าชายแห่งมีเทียร์เวล แต่เฮราเคลสกลับไปแอบรู้วันเกิดของลูกพี่ของเขาจากคนสนิทของอพอลโลที่คอยแวะเวียนมาส่งข่าวภายในปราสาทให้ และรู้มาว่าอันที่จริงแล้ววันที่เกิดเรื่องนั้นเป็นวันเกิดของเจ้าชายองค์เล็กของแฟลร์รูจนั่นเอง จึงได้คิดที่จะจัดงานวันเกิดรวบขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้สหายทั้งสองได้สนิทกันมากขึ้น
หลังจากที่ทำสงครามสายตากันเองได้ไม่เท่าไหร่ เฮราเคลสก็ให้ทั้งสองคนเจ้าของวันเกิดได้เป่าเทียนแล้วอธิษฐานขอพรให้สมปรารถนา
“แกจะบ้าเหรอ!? ถ้าอธิษฐานมันก็จะใช้ดาวตกน่ะสิ” ดวงตาคมปลาบตวัดไปมองหนุ่มหน้าสวยร่างบางที่กะพริบตามองเขา
“อ่า เอ่อ...งั้นชแตร์ไม่ต้องทำให้ลูกพี่สมหวังได้มั้ยล่ะ?” เฮราเคลสเอ่ยอ้อนวอนเจ้าของเรือนผมสีเงินด้วยสีหน้าออดอ้อน และด้วยความเป็นคนใจอ่อนจึงได้พยักหน้าตกลง
“นายอธิษฐานไปเถอะ ผมรู้ว่าถึงนายจะขอนายก็ห้ามไม่ให้ผมทำอยู่ดี” เขายิ้มบาง
“เอางั้นก็ได้” เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจมองดวงตาสีฟ้าครามล้ำลึก ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วเป่าเทียนพร้อมๆ กัน
“เย้! ได้งั้นก็ได้เวลากินเค้กและแกะของขวัญ!” เจ้าคนผมทองผู้ร่าเริงก็โบกไม้โบกมือกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน ประชาชนที่มาร่วมฉลองกันเต็มลานกว้างก็ส่งห่อของขวัญคนละเล็กละน้อยให้กับอพอลโลและชแตร์
พวกเขาได้ปล่อยให้เด็กๆ แบ่งกันรับประทานเค้กไป และก็มาแกะดูห่อของขวัญที่ตนได้รับมาทีละอันๆ มีทั้งตุ๊กตาที่ระลึกบ้าง หมวกไหมพรมไว้ใช้ในฤดูหนาว ผ้าพันคอลายบูดเบี้ยวที่พยายามถักเป็นลายสิงโตจากเด็กสาวตัวน้อย ดอกไม้แห้งที่ทับจนแบนแต่ยังงดงาม เจ้าของร้านเครื่องประดับได้ให้กำไลและแหวนประดับแบบที่อพอลโลชอบ ไวน์ชั้นดีจากเจ้าของร้านเหล้า ผู้ร่วมวันเกิดเผยยิ้มบางๆ และแววตาอ่อนโยนเมื่อได้มองสิ่งของเหล่านั้น เขาลืมเลือนความอบอุ่นในวันเกิดไปเกือบสิบปีแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้จัดปาร์ตี้แกะของขวัญแบบนี้
เมื่อเวลาเริ่มดึกดื่น ทั้งสามคนก็ชวนกันกลับกระท่อมกลางป่า และอพอลโลปฏิเสธเฮราเคลสที่จะเข้ามาช่วยถือของ ชแตร์จึงแอบกระซิบบอกว่าก็แค่อยากจะถือของสำคัญด้วยตัวเองน่ะ ไม่ได้โกรธเคืองอะไรเฮราเคลสหรอก
ร่างสูงใหญ่ผิดมนุษย์นั่งลงที่เก้าอี้ไม้และเปิดสมุดบันทึกเพื่อเขียนเรื่องราวของวันนี้ และยังเขียนได้ไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงทุ้มเรียกจากด้านหลัง
“เฮ้...ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว ดื่มด้วยกันหน่อยสิ” ร่างสูงสง่าของเจ้าชายเจ้าของดินแดนถือแก้วไวน์มาสองแก้วและเปิดขวดไวน์รินอย่างละเมียดละไม ก่อนจะส่งแก้วหนึ่งในกับเจ้าของกระท่อม
“เห แล้วชแตร์ล่ะ?” มือใหญ่รับมาแล้วยกจิบลิ้มรสเล็กน้อย ได้สัมผัสความนุ่มนวลของไวน์แดงก็ผุดยิ้มพอใจ
“เหนื่อยจนหลับไปแล้วน่ะ” ดวงตาสีตะวันเบนไปยังคนร่างผอมบางที่นอนหลับสนิทบนโซฟา จากนั้นก็ละเลียดชิมเครื่องดื่มองุ่นหมักอย่างชำนาญ
“หึๆ ก็สมเป็นชแตร์ล่ะนะ...”
“ท่านเฮราเคลส! แย่แล้วครับ!” จู่ๆ คนสนิทของเฮราเคลสก็วิ่งหน้าตื่นมาหาพวกเขาทั้งสองที่กำลังพูดคุยกัน ก่อนหน้านี้คนสนิทของพวกเขาได้ออกไปดูสถานการณ์ที่อาณาจักรเป็นระยะๆ แล้วจึงกลับมาส่งข่าวทุกๆ สามวัน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” เจ้าชายแห่งโอลิมโพสใจไม่ดีนักเมื่อเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของข้ารับใช้คนสนิท เขาเผลอกำมือแน่นเพราะคิดว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่
“ราชาไดอา...เผาปราสาทโอลิมโพสครับ!”
“ไดอา!” อพอลโลกระแทกแก้วไวน์ลงบนโต๊ะอย่างแรง
“หา!?” เจ้าของผมสีทองเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู “แล้ว...คนในปราสาท…!”
“ได้ยินมาว่าถูกสังหารจนสิ้นเลยครับ...แต่ว่าตอนนี้มีพระญาติของท่านที่เคยลี้ภัยที่กำลังกลับไปช่วยอยู่” คนสนิทของเฮราเคลสมีสีหน้าเศร้าหมอง
“งั้นฉันจะไป” ชายหนุ่มมีสีหน้ามุ่งมั่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจาก
“เฮราเคลส!” เจ้าของร่างอันใหญ่โตหยุดตามเสียงที่เรียกอย่างกะทันหัน “ฉันมีเรื่องหนึ่งที่จะขอร้องแก...ที่ปราสาทโอลิมโพสนั่น...”
อพอลโลเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและกำชับว่าให้เฮราเคลสหาของสิ่งนั้นให้พบ เพื่อที่จะนำมาใช้ถอนลิ่มในอกของตน อีกฝ่ายรับปากมั่นเหมาะว่าจะไม่ยอมให้มันถูกเผาไปกับปราสาทอย่างแน่นอน
และไม่นานหลังจากที่เจ้าชายแดนดวงดาวได้รีบร้อนขึ้นมูนโรดข้ามฟากฟ้าไป คนสนิทของอพอลโลก็ควบม้าเร็วมาแจ้งข่าวแก่เจ้าชายของตน
“พระโอรสพระเจ้าข้า กระหม่อมเห็นเจ้าชายสามพี่น้องจากสโนว์ฟิเลียมาที่พระราชวังแฟลร์รูจและพบท่านไดอาพระเจ้าข้า!”
“ว่าไงนะ!”
อาณาจักรโอลิมโพส แดนดวงดาว
เมื่อเฮราเคลสมาถึงก็พบเพียงเถ้าถ่านและซากปรักหักพังของปราสาท เขาแทบเข่าทรุดเมื่อพบว่าปราสาทที่เคยงดงามและรุ่งเรืองเหลือเพียงเถ้าธุลีที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ ทว่าสิ่งที่ลูกพี่ของเขาขอร้องมาก็ทำให้เขานึกอยากจะหาของสิ่งนั้นที่ถูกไหว้วานมาให้พบ เขาเดินหาในซากของหอสมุด แต่ก็ไม่พบอะไรที่เข้าเค้า เมื่อนึกได้ว่ามีห้องใต้ดินที่น่าจะเก็บของสำคัญไว้ก็พยายามคุ้ยหาทางลับที่น่าจะถูกซากหลังคาปิดทับอยู่
หมับ!
“ท่านเฮราเคลส...!” เสียงของหญิงชราดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปมองก็พบหญิงแก่ๆ ภายใต้ผ้าคลุมโทรมๆ
“ใครน่ะ?” เขากะพริบตาปริบๆ
“ดิฉันเป็นแม่บ้านในปราสาท กำลังหาของสำคัญมากๆ อยู่เจ้าค่ะ” เธอทำหน้าเศร้าและร้องไห้
“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะช่วยหานะ”
ทั้งสองคนช่วยกันหาของสำคัญที่ว่าซึ่งก็ไม่ได้ทราบลักษณะแน่ชัดว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ แต่คาดว่าจะเป็นสิ่งที่น่าจะถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องใต้ดินเหมือนกัน ทั้งคู่จึงได้หาทางเข้าห้องใต้ดิน จนกระทั่งเขาได้พบว่าชั้นหนังสือในห้องสมุดนั้นล้มมาปิดทางเข้าตรงพื้นอยู่
“ฮึ้บ...!”
ฉึก!
ทันทีที่เฮราเคลสนั้นไปเปิดเส้นทางที่ไปยังห้องใต้ดินได้แล้ว มีดสั้นเล่มเล็กก็ได้แทงเข้าที่สีข้างของเขาอย่างแมนยำ โลหิตสีสดไหลออกมาจากบาดแผล แต่ด้วยแรงของหญิงชราคงไม่มากพอที่จะทำให้เจ้าชายผู้ถึกทนต้องสิ้นท่าด้วยแค่แผลสะกิดผิว ทว่า...
“พิษของดอกไม้งามนั่นออกฤทธิ์เร็วจริงๆ ด้วย ถ้าหากว่าฉันไม่ได้มียาชะลอพิษติดตัวก็คงตายไปนานแล้ว...”
“ฮะ–เฮร่า...” แม้จะมีพละกำลังมหาศาลมากมายเพียงใด แต่ฤทธิ์อัมพาตก็ทำให้ร่างทั้งร่างขยับไม่ได้
“ของขวัญจากเฮร่า...คือความหมายชื่อของเธอ แม่ของเธอน่ะ...ไม่ยอมให้ลูกชายโดนฉันรังแกเลยขโมยยาวิเศษของฉันผสมใส่นมในลูกกิน...” หญิงชราผลักร่างกายอันใหญ่โตนั้นให้ล้มลงกับพื้น
ตึง!
“จะโดนฉันรังแกแค่ไหนก็ยังคงหน้าด้านหน้าทนอยู่ในปราสาท ทั้งที่แผ่นดินนี้ควรเป็นของฉันตั้งนานแล้ว หึ...แต่จุดจบที่ตายในป่าอย่างหมาที่โดนเจ้าของทอดทิ้งนั่นน่ะก็เหมาะกับแม่แกดีนะ...” แม่มดปีศาจผุดยิ้มสยองให้เห็นก่อนจะเปิดประตูห้องใต้ดิน ทิ้งให้เฮราเคลสกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
“แก...!!”
บ้าเอ๊ย! ทำไมโง่นักนะ ทำไมถึงได้มาที่นี่!...
เจ้าของเรือนผมสีเพลิงเด่นแม้ในยามวิกาลขบกรามแน่นด้วยความโมโห ความเร็วของม้านั้นไม่เร็วมากพอทันใจเขา แม้ว่าเขาจะอยากพบหน้าอีกฝ่ายมากเพียงไรก็หาทำได้ไม่ ด้วยความเป็นห่วงว่าจะถูกไดอาหลอกใช้จึงได้ยอมตัดขาดห่างหายไปไม่ส่งข่าว ทว่าสุดท้ายไดอาก็คงรู้อยู่ดีว่าการที่จะทำให้เขายอมโผล่หัวออกมาสู้กันซึ่งๆ หน้าคือการเอาของสำคัญมาล่อ
และมันสำคัญมากจนไม่อาจสูญเสียได้...
ทันทีที่มาถึงรั้วปราสาท อพอลโลไม่รีรออะไรทั้งนั้นและบุกตะลุยฝ่าเหล่าทหารที่มีอาวุธครบมือโดยไม่ออมมือให้ เพลิงกาฬโหมกระพือขึ้นตามแรงโทสะของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจ หากเป็นปรกติคงต้องไต่ถามทหารถึงการเตรียมใจที่จะประมือกัน ทว่าความร้อนรุ่มในใจทำให้เขาไม่สนสิ่งรอบข้าง มุ่งหวังจะกำจัดสิ่งขีดขวางและไปหาคนที่ตนรักให้เร็วที่สุดเท่านั้น
ขายาวๆ ก้าวผ่านศพของผู้ปกปักษ์พระราชวังอย่างระมัดระวังไม่ให้สะดุด เถ้าถ่านที่มอดไหม้ปลิดปลิวไปตามแรงลมที่พัดในคืนจันทร์ฉาย ตกลงบนศพของทหารในทางเดินเชื่อมปราสาท ร่างไร้วิญญาณถูกปลิดชีพด้วยหอกน้ำแข็งที่เริ่มละลาย ผลึกน้ำแข็งที่พบตรงผนังทำให้อพอลโลคิดไม่ผิดว่าฟรอสต์มาที่นี่จริงๆ แต่ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุอันใด คนที่เก่งด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคงไม่สุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามายังดินแดนที่ยังมีปัญหาเรื่องการเมืองกับอาณาจักรอื่น คงต้องเป็นแผนของราชาไดอาอย่างแน่นอน
♫♪~
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฮัมเพลงดังแว่วมา บรรยากาศเงียบสงบที่ไร้ซึ่งผู้คนภายในปราสาททำให้ได้ยินเสียงแว่วหวานนั้นชัด เพลงกล่อมเด็กที่เคยฟังเมื่อครั้งยังเยาว์วัยดังมาพร้อมกับเสียงส้นรองเท้าดังกระทบพื้นเป็นจังหวะเต้นรำ
เจ้าของร่างสูงกำยำสาวเท้าสืบหาห้องต่างๆ ภายในพระราชวังอันกว้างใหญ่ ราวกับเสียงนั้นหลอนอยู่ภายในหู เสียงร่ำร้องเริ่มคร่ำครวญกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ เขาทราบดีว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
เพลงกล่อมเด็กเพลงนั้น...เสด็จแม่เป็นคนแต่งขึ้นมาเอง...
โถงทางเดินที่เต็มไปด้วยซากศพที่ตายอย่างน่าสยดสยองและไร้ความปรานีทำให้รู้ว่าส่วนหนึ่งนั้นไม่ใช่เพราะเจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลียเป็นผู้ลงมือ ทว่ากลับเป็นเจ้าของปราสาทนี้เองที่ลงดาบสังหารลูกน้องของตนอย่างเลือดเย็น ทะเลโลหิตท่วมเส้นทางที่อพอลโลต้องการจะไป เขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องย่ำเท้าบนพื้นจนรองเท้าเปรอะเลือดคาว ทว่าก็ยังเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการเป็นแม่ทัพนำทัพปราบกบฏที่ชายแดนอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
♫♪~
เสียงร้องเพลงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเข้าใกล้ห้องเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเขาก็ได้ยินเสียงเพลงจากแผ่นเสียงที่ดังไม่เป็นทำนอง ราวกับแผ่นเสียงนั้นถูกใช้งานมานานจนบันทึกเสียงผิดเพี้ยนไปมา
เพลงที่เสด็จแม่ชอบ...
เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหยุดยืนตรงหน้าห้องโถงสำหรับจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่ของปราสาทปีกตะวันตก แสงจันทร์นวลสาดส่องมายังแผ่นหลังกว้างและทอดเงายาวลงบนประตูบานใหญ่ เขาไม่ได้ถืออาวุธอะไรเพื่อไปต่อกรกับพระเชษฐาที่กำลังครอบครองปราสาทและกระทำการปั่นป่วนประสาทของเขาให้ถึงขีดสุด
อพอลโลค่อนข้างมั่นใจว่าเรื่องกำลังการต่อสู้และพลังสร้างไฟของเขาเหนือกว่าพี่ชายหลายขุม แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาที่ไดอาได้ใช้เวทมนตร์ในการลอบกัดอยู่หลายหนทำให้เขาชักไม่แน่ใจว่าคนเจ้าเล่ห์คนนั้นได้วางแผนอะไรไว้อีก โดยรู้ทั้งรู้ว่าเขาเหนือกว่าแทบทุกด้านและไดอาไม่คิดจะสู้ซึ่งๆ หน้าอย่างแน่นอนถ้าไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้
แต่มาถึงขั้นนี้แล้วชายหนุ่มผมสีเพลิงก็ไม่อาจถอยหลังกลับ แม้จะรู้ว่าร่างกายยังฟื้นฟูไม่เต็มที่และไม่มีอาวุธครบมือ เขาก็จะเสี่ยงไปตัวเปล่าไปแก้สถานการณ์เอาข้างหน้าแทน
แอ๊ด...
มือหนาค่อยๆ ผลักประตูไปในห้องนั้นอย่างเชื่องช้า ลอบมองบรรยากาศภายในห้องโถงเต้นรำที่สภาพไม่ต่างจากการจัดงานเลี้ยงตามปรกติ อพอลโลมองเห็นว่าพี่ชายของเขากำลังประคองร่างหนึ่งในชุดราตรีงดงามสีแดงสุดประดับด้วยทับทิมจำนวนมาก พร้อมทั้งเครื่องเพชรอัญมณีสีแดง เต้นรำไปตามจังหวะเพลงที่ไม่เป็นทำนองและมีแต่เสียงร้องหวานหูของราชาแทน ร่างในอ้อมแขนนั้นอ่อนปวกเปียกราวกับคนไม่ได้สติ เอียงศีรษะซบบ่าของไดอานิ่งสงบ ทว่าเส้นผมสั้นสีเงินนั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
“เกรเซีย...?” ดวงตาสีตะวันเบิกกว้างเมื่อเห็นน้องชายของฟรอสต์ในชุดราตรีสีแดงสด เขาจำได้ว่าเป็นชุดของแม่ของเขา และรูปร่างของเกรเซียก็ใกล้เคียงกับเจ้าของชุดคนเก่า
“หืม...ดูซิใครมา...” เมื่อกษัตริย์ทรราชได้ยินเสียงผู้มาเยือนก็พาร่างไร้สติของเจ้าชายคนรองแดนหิมะไปนั่งพักที่เก้าอี้ ที่ข้างๆ กันมีน้องเล็กแดนหิมะในชุดสมัยเด็กของไดอาที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ ร่างสูงเพรียวผละออกมาจากสองพี่น้องและเดินไปยังเวทีซึ่งมีม่านสีแดงกั้นไว้อยู่
“นี่แกทำอะไรกับพวกเขา!?” อพอลโลตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล เขารีบเข้าไปดูน้องชายของคนรักของตน ทว่าก็พบแต่เพียงอาการแน่นิ่งไปเหมือนไร้วิญญาณ “หรือว่า...พิษแบบเดียวกับพี่วางยาเสด็จพ่อ?”
“ฉลาดนี่” ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยชมพร้อมทั้งปรบมือให้ เขาเดินไปปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงและหยิบเอาขวดยาเล็กๆ สองขวดขึ้นมา แล้วเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อด้านใน “นี่คือยาถอนพิษ ฉันทำไว้แค่สองขวดเท่านั้น”
“แก...” คนอายุน้อยกว่ากัดฟันกรอด
“หึ ถ้าอยากจะช่วยเจ้าเด็กสองคนนี่...แกก็ต้องมาต่อสู้กับนักรบของฉันที่เตรียมไว้ให้ ถ้าเอาชนะได้ก็จะเอายาถอนพิษให้แก” ราชาผู้ถือไพ่เหนือกว่าเอ่ยยื่นข้อเสนอให้
“หึ ฉันอุตส่าห์มาแบบไม่มีอาวุธ ท่าทางแกคงไม่คิดจะปรานีกันเลยสินะ” เจ้าชายหนุ่มยิ้มหยันมุมปากแล้วกอดอกอย่างท้าทาย
“ดาบเล่มโปรดของแกน่ะฉันเตรียมเผื่อว่าแกจะมาแล้ว” ไดอาหยิบดาบสีเลือดเล่มโตออกมาจากหลังม่านแล้วโยนเหวี่ยงไปทางน้องชายของตน เรี่ยวแรงของราชาที่ไม่นิยมจับอาวุธหนักทำให้ดาบนั้นแกว่งไปมาบนพื้นและไหลไปทางอพอลโล
กึก!
ปลายรองเท้าที่เหนอะไปด้วยโลหิตขุ่นข้นหยุดดาบของตนไว้แล้วก้มลงจับด้ามดาบประคองขึ้นมาอย่างสบายๆ นึกขำว่าถ้าเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายได้คงจะปลิดชีพได้ไม่ยาก แต่ไดอานั้นถนัดล่าสัตว์จึงย่อมใช้ธนูและอาวุธบินระยะไกลคล่องกว่า โดยเฉพาะการลอบกัดนั้นถนัดยิ่งกว่าสิ่งใด
“ว่าไงล่ะ จะเอายาถอนพิษมั้ย?” ใบหน้างดงามราวกับสตรีผุดยิ้มหวานซึ่งให้น้องชาย แต่คนมองนั้นคลื่นไส้อยากอาเจียนเมื่อเห็นสีหน้าเสแสร้งนั้น
“หึ ตอนนี้ฉันก็ปฏิเสธอะไรแกไม่ได้แล้วนี่” อพอลโลยกดาบใหญ่ขึ้นชี้หน้าพี่ชายอย่างไม่หวั่นเกรง “จะนักรบกี่คนก็ส่งมา ไม่มีอะไรมาขวางฉันได้หรอกน่า!”
“ให้มันได้อย่างนี้สิถึงจะสนุก” ไดอาปรบมือรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น จากนั้นจึงหันไปเรียกใครบางคนจากหลังม่านสีแดงนั้น
เมื่อนักรบคนแรกที่ไดอาส่งมาปรากฏกายขึ้น อพอลโลแทบลืมหายใจเมื่อเห็นเรือนผมสีเงินสง่า ส่องประกายล้อแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างตกกระทบภายในห้องโถง ใบหน้างดงามเย็นชาที่จับใจเขายังไม่บีบหัวใจเท่าหน้ากากสีดำที่ปิดโฉมสะคราญไปครึ่งหนึ่ง
“ฟรอสต์...?”
มกุฎราชกุมารแห่งสโนว์ฟิเลียเดินตรงมายังจุดที่อพอลโลยืนอยู่ ร่างสูงสง่าในชุดเกราะโลหะเบาและดาบสองคมยาวที่สะพายอยู่ที่เอวหยุดยืนนิ่ง มือเรียวขาวจัดจับดาบแล้วชักออกมาในท่าเตรียมพร้อมสู้ ชุดเกราะที่ฟรอสต์สวมอยู่เป็นของสะสมของอดีตราชาซึ่งได้มาจากการประมูลที่ต่างแดน เป็นเหล็กเบาชั้นดีที่ทนทานและยืดหยุ่นพอสมควร กระทั่งดาบที่ได้มาคู่กับก็ทำจากเหล็กดามัสกัสคุณภาพสูง แบบเดียวกับดาบใหญ่ของอพอลโลเอง
“สู้สิ...” เสียงทุ้มของเจ้าชายแดนหิมะเอ่ยราบเรียบ มนต์สะกดจากหน้ากากทำให้ชายผมสีเงินลืมเลือนเสียสิ้นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“ฟรอสต์...”
“สู้!”
เมื่อรู้ว่าป่วยการที่จะพูดแล้ว อพอลโลจึงจับดาบขึ้นสองมือและชี้ปลายดาบไปยังคู่ต่อสู้อย่างไม่ลังเล เลือกแล้วว่าจะสู้กับคนที่ตนรัก แต่ไม่ได้หมายความว่าตนตั้งใจจะสังหารอีกฝ่าย
ไม่รอช้า ฝ่ายฟรอสต์เปิดฉากบุกก่อนโดยไร้ซึ่งคำพูด แท่งน้ำแข็งแหลมคมงอกจากพื้นหมายจะทิ่มแทงเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจ ทว่าเปลวเพลิงร้อนระอุได้เข้ามาขวางกั้นและละลายน้ำแข็งจนปลายนั้งทู่ลง อพอลโลใช้จังหวะที่ฟรอสต์ชะงักอ้อมไปด้านหลังแล้วสันดาบกระแทกท้ายทอยอีกฝ่ายอย่างจัง
ชายผมสีอ่อนเซไปเล็กน้อยทว่าก็ตั้งตัวได้ในไม่ช้า เขาตวัดข้อมือเล็กน้อยทำให้เกิดควันสีดำ บรรดาอสูรเล็กอสูรน้อยออกมาจากเงาดำนั้นและเข้าจู่โจมเพื่อก่อกวนเจ้าชายแห่งเพลิง ดาบสีเลือดตวัดไปมาอย่างเฉียบขาด ทลายร่างหมอกควันได้อย่างง่ายดาย ทว่ามันเป็นเพียงกลลวง...
ไม่ทันรู้ตัวที่อพอลโลถูกประชิดตัวและมีปลายดาบเฉี่ยวแผ่นหลังไปจนเสื้อขาดวิ่นไป โชคดีที่เคลื่อนไหวถอยห่างได้ทันจึงไม่ถูกศาสตราฟันจนตัวขาด ฟรอสต์ไม่ใช่พวกที่ใช้กำลังออกแรงมาก แต่เป็นพวกใช้สมองวางแผนและพยายามมองหาจุดอ่อนอย่างแม่นยำ ชายผมสีเพลิงไม่ใช่พวกที่จะสู้เกมยื้อให้อีกฝ่ายมองหาข้อด้อยอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาใจร้อนมุทะลุและอยากรีบจบการต่อสู้ให้ไวที่สุด
ฉัวะ!
ปลายดาบสองคมตวัดเข้าที่ปลายผมสีทองอมแดง หากว่าเบี่ยงหลบไม่ทันคอของอพอลโลอาจจะหลุดจากบ่าแล้วก็เป็นได้ เจ้าชายผู้เคยเป็นแม่ทัพกรำศึกถึงกับต้องถอนหายใจเมื่อต้องต่อสู้ไปโดยไม่หมายเอาชีวิต และต้องระมัดระวังไม่ให้คนหน้าสวยตรงหน้าต้องบาดเจ็บอีก กลับกลายเป็นว่าตัวเขาเองที่ต้องสะบักสะบอมเพราะเลือกที่จะร้องเรียกให้อีกฝ่ายได้สติและพยายามจะดึงหน้ากากพิศวงนั่นออก
“ฟรอสต์! ได้สติหน่อย” ดาบสีเลือดฟันเข้าที่หน้ากากหลายทีจนเริ่มแตกร้าว อพอลโลก้าวเท้าถอยเพื่อให้เข้าไปใกล้ที่ที่น้องชายของอีกคนหมดสติอยู่ “เห็นน้องของนายไหม!?”
ชายหนุ่มผู้เย็นชาไม่ปริปากตอบอะไร และเลือกที่จะใช้แท่งน้ำแข็งปาใส่อพอลโลอย่างไม่ยั้ง นึกอิจฉาเวทมนตร์อันไร้ขีดจำกัดของฟรอสต์ขึ้นมาไม่ได้ แม้ฝีดาบไม่ได้ถึงขั้นนักรบชั้นยอด แต่การประสานพลังคู่กับน้ำแข็งที่สามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระทำให้ยากที่จะต่อกรด้วย
“นี่เกรเซียกับชเนย์ไง!” ดาบขนาดใหญ่ปัดป้องทั้งตนเองและหนุ่มชาวสโนว์ฟิเลียที่ไร้สติ “น้องของนายทั้งคน นายจะปล่อยให้น้องตายรึไง!?”
เสียงแหบพร่าตะโกนต่ออย่างไม่ยอมแพ้ พลางใช้สันดาบฟาดไปที่กลางลำตัวที่สวมเกราะอันแข็งแกร่งไว้ จุดประสงค์นั้นเพื่อส่งเสียงดังและใช้คลื่นเสียงรบกวนโสตประสาทของฟรอสต์ ดวงตาสีทับทิมปิดลงเมื่อเริ่มรู้สึกมึนหัวเพราะเสียงโลหะกระทบกันและสะเทือนมาถึงร่างกายตน
เมื่อหน้ากากนั้นเริ่มแตกร้าว เหล่าอสูรจากหมอกควันดำก็ออกมาน้อยลง จากที่ต่อสู้มาสักพักก็ได้รู้ว่าหน้ากากประหลาดอันนี้เป็นของเลียนแบบจากหน้ากากภูตอสูรเมื่อคราวก่อน ประสิทธิภาพของมันจึงต่ำกว่าและไม่สามารถเรียกหนามกุหลาบออกมารัดใครได้
“ฟรอสต์!!” อพอลโลตะโกนเสียงดังขึ้นอีกเมื่อเห็นอีกคนเดินๆ หยุดๆ อยู่หลายหน และไม่นานมือขาวซีดก็สั่นระริกจนเผลอปล่อยดาบดามัสกัสร่วงลงกระแทกพื้น
เคร้ง!
“ฟรอสต์!” ชายหนุ่มผิวเข้มกว่าเล็กน้อยรีบปรี่เข้าไปหา เขาถูกคนสวมหน้ากากผลักออกทว่าคนผลักก็เป็นฝ่ายล้มลงไปเอง
“อึก....” ดวงตางดงามปิดลงแน่นและยกมือกุมขมับอย่างแรง หน้ากากที่แตกหลุดร่วงกราวบนพื้น เจ้าของเรียนผมสีเพลิงวางดาบคู่กายลงแล้วประคองใบหน้าสวยขึ้นให้รับจุมพิตจากตน “อะ–อื้อ...!”
ทับทิมคู่งามเบิกกว้างเมื่อความอุ่นชื้นปิดประทับที่ริมฝีปากเรียวบาง ชิวหาร้อนรุ่มสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากและกวาดกว้านเอาทั้งความหอมหวานและสติที่กำลังจะกลับมาให้กระเจิดกระเจิงไปหมด หัวใจน้ำแข็งสั่นระรัวและตวัดปลายลิ้นตอบรับสัมผัสจากอีกฝ่ายอย่างรู้งาน
ฉึก!
“อุก...” อพอลโลเซผงะออกจากสัมผัสอ่อนหวาน ที่ไหล่ซ้ายของเขามีเลือดไหลซึมออกมา
“หึ น่าหมั่นไส้ชะมัดที่ต้องมาเห็นพวกแกพลอดรักกันในสถานการณ์แบบนี้น่ะ” ราชาผู้เฝ้ามองการต่อสู้ในห้องเต้นรำเบ้ปากพลางสะพายแล่งใส่ลูกธนูขึ้นบ่าอย่างไม่สมอารมณ์ “แต่เสียใจด้วยนะยาถอนพิษมีสองขวด แต่คนถูกพิษตอนนี้มีสามคนแล้ว ก็เลือกเอาก็แล้วกันนะว่าอยากตายเพราะช่วยสองคนนั้นหรือว่าอยากจะรอดแล้วมาจัดการฉัน”
“ไดอา!” อพอลโลคำรามเสียงดัง มือหนาพยายามดึงธนูที่ปักไหล่ออก ทว่าปลายลูกธนูฝังแน่นจนไม่สามารถดึงออกได้ เขาจึงหักปลายมันออกไม่ให้แกะกะแทน
“จะรอที่ลานรวมพลของทหารก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็กระโดดออกจากหน้าต่างและหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่ลืมวางขวดยาถอนพิษไว้บนโต๊ะตามสัญญาที่น้องชายชนะนักรบ
“หนอย...” คนเป็นน้องขบกรามกรอดอย่างโมโห ทว่าก็หันมาสนใจคนสวยของเขาที่กำลังนั่งมองตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจเรื่องราว
เมื่อฟรอสต์ได้สติ เขาก็ประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นและบอกให้รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร อพอลโลเดินไปหยิบขวดยาสองขวดและยื่นเพื่อให้คนตรงหน้าได้ใช้รักษาน้องชายทั้งสอง มือเรียวลูบแก้มที่ซีดเซียวเพราะพิษชนิดเดียวกันก็นึกสงสารขึ้นมา
“เฮ้ รีบให้น้องนายกินยานี่ซะ ฉันไม่เป็นไรหรอก ไว้เดี๋ยวค่อยหายาแก้พิษมาเพิ่มก็ได้นี่นา เจ้านั่นคงไม่โง่ทำไว้แค่สองขวดหรอก มันต้องเผื่อไว้ตัวเองพลาดสิ” ใบหน้าคมคายที่เปรอะเปื้อนฝุ่นยิ้มบางก่อนจะจูบที่มุมปากของอีกคนเบาๆ
“อะ–อืม...” จุมพิตกะทันหันทำให้ฟรอสต์สติหลุดไปเล็กน้อย เขารับขวดยามาและรับปากว่าถ้าน้องชายของเขาดีขึ้นแล้วเขาจะตามไปช่วยทันที
“ฉันไปก่อนนะ” อพอลโลจูบย้ำที่เรียวปากบางอย่างหนักแน่นก่อนจะรีบคว้าเอาดาบสีเลือดเล่มโตไปตามทิศทางที่พี่ชายของตนหนีไป
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหยุดฝีเท้าเมื่อมาถึงลานรวมพลของทหาร สนามดินที่รายล้อมด้วยที่นั่งและอัฒจันทร์วงกลมทำให้ดูคล้ายกับลานประลองของแดนอาวุธเสียมากกว่า ทว่าที่แห่งนี้ไม่ได้เน้นใช้เพื่อความบันเทิง หากแต่เป็นการฝึกซ้อมรบของเหล่าทหารหาญแห่งแฟลร์รูจ
ดวงตาสีตะวันทอดมองร่างไร้วิญญาณของเหล่าทหารที่นอนกองกันเป็นเนินใหญ่ ฝีดาบที่เชือดคออย่างแม่นยำนี้ไม่ใช่ฝีมือของไดอาที่ไม่ถนัดการสู้ประชิดตัวอย่างแน่นอน แต่เป็นนักดาบชั้นเลิศที่เขาพอจะรู้จักอยู่สองถึงสามคน
ใบหน้าคมคายมองเบื้องหน้าของลานอีกฝั่ง ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปร่างกำยำสมส่วน สามคนที่ถือดาบ อีกหนึ่งถือโล่ยักษ์เอาไว้ อพอลโลเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่ตนรู้จัก
“พริธเวน คาลิเบิร์น อาร์วี ยูริอุส” เขาไล่เรียงนามของแต่ละคนเพื่อไม่ให้ตนสติหลุดไปเพราะความตกตะลึง
“ให้สี่คนนี้ฝึกรบกับทหารแฟลร์รูจตั้งนานแน่ะกว่าแกจะมา อุตส่าห์ปั้นไว้นึกว่านายจะมาชิงบัลลังก์เร็วกว่านี้ ก็เลยทำให้ทหารหมดสนามแล้ว เสียดายจัง” พี่ชายผู้เสแสร้งจีบปากจีบคอพูดอย่างมีอรรถรส ทว่าอนุชานั้นกลับตีสีหน้าเครียด
“แกทำอะไรกับคนพวกนี้!?” ปลายดาบชี้ไปทางพระเชษฐาอย่างไร้ปรานี
“ก็แค่หุ่นตุ๊กตาที่ปลุกเสกจากเลือดของเจ้าพวกนี้น่ะ ตัวจริงไม่ได้มารับรู้เรื่องราวอะไรหรอก” ไดอาแสยะยิ้มมุมปาก “แต่ว่าฉันดึงฝีมือของเจ้าพวกนี้มาทั้งหมด เพราะฉะนั้นที่สังหารยอดฝีมือของแฟลร์รูจได้ก็แสดงว่าไม่ธรรมดาแน่นอน!”
“แก!!!”
พอได้ยินเสียงคำรามของอพอลโล ราชาองค์ปัจจุบันก็วิ่งไปหลบหลังของพริธเวนผู้ครองโล่ศักดิ์สิทธิ์ทันที
“หึ ถ้าอยากจะเอาชนะฉันละก็...ก็ต้องชนะเวทมนตร์ของฉันให้ได้สิ!” สิ้นเสียงของไดอา เจ้าชายปลอมทั้งสามที่ถือดาบอยู่ก็คอนดาบขึ้นในท่าเตรียมสู้โดยพร้อมเพรียง
“ให้ตายสิ...ตึงมือจริงๆ”
ชายหนุ่มรู้ดีกว่าหากต้องประมือกับเจ้าชายนักดาบทั้งสาม เขาก็ทำได้แค่สูสีฝีมือ ไหล่ก็ยังเจ็บอยู่ โชคดีที่ยาพิษนั้นยังไม่ออกฤทธิ์จึงยังไม่ได้เป็นอัมพาต ทว่าก็หาใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น เขาต้องจัดการตนเองว่าจะทำอย่างไรจึงจะสู้เจ้าชายทั้งสามได้พร้อมๆ กันต่างหาก
เคร้ง!
คาลิเบิร์นเปิดฉากก่อน ประดาบศักดิ์สิทธิ์กับดาบเล่มโตสีเลือดได้อย่างมั่นคง อพอลโลใช้กำลังที่มากกว่าดันดาบกลับไปและหมายจะสวนด้วยคมดาบ ทว่ายูริอุสก็เอาดาบสีดำสนิทมาปิดช่องว่างของคาลิเบิร์นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้แต่ตอนที่เขาจะถอยมาตั้งหลักถูกอาร์วีคอยซ้ำให้เสียจังหวะ
ร่างสูงผมสีเพลิงไม่มีโอกาสให้สวนกลับเลยสักหน ดวงตาเริ่มพร่าเลือนซึ่งเป็นผลจากยาพิษที่ถูกอาบอยู่บนปลายหัวศร อพอลโลไม่นึกเสียดายยาที่ให้ฟรอสต์ไป เขายังสู้ไหวอยู่
อัคคีเริ่มลุกไหม้ขึ้นจากปลายนิ้วข้างซ้าย ลามมายังท่อนแขนและไหล่ มือหนากระชากเอาลูกธนูที่ปักคาไว้ออกโดยไม่สนใจว่าเนื้อจะหลุดไปด้วยหรือแผลจะเหวอะหวะมาเพียงไร แขนกำยำสะบัดรุนแรงจนทำให้เปลวเพลิงกระเด็นไปติดที่ร่างของอาร์วีโดยบังเอิญ ไฟลุกท่วมร่างนั้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมอดไหม้ไปหมด
“หึ เป็นตุ๊กตาจริงๆ ด้วยสินะ” ใบหน้าคมคายเริ่มยิ้มออก ทว่าการเผาไหม้ของตุ๊กตาหนึ่งตัวนั้นก็ทำให้ตุ๊กตาที่เหลือเริ่มโมโห ดวงตาที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเรืองรองจับจ้องมาที่อพอลโล
ควับๆ!
ยูริอุสตวัดดาบรุกอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว หากว่าเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจถอยหลังหลบไม่ทันคงถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว และเบื้องหลังของเขานั้นมีคาลิเบิร์นที่ตั้งท่ารอเสียบดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ เมื่อเข้าใกล้แล้วอพอลโลจึงพลิกตัวหลบให้นักดาบทั้งสองได้เฉือนเนื้อกันเองจนเสียแขนไปคนละข้าง
แม้จะเหลือแขนข้างเดียวก็ยังจับศาสตราขึ้นสู้กับชายหนุ่มที่จุดไฟโอบล้อมดาบของตน ครานี้ไม่ได้สู้อย่างจนปัญญาอีกแล้ว อพอลโลหมายจะให้เปลวเพลิงเฉี่ยวร่างของตุ๊กตาและลุกไหม้ไปเอง และท่าทางไดอาจะอ่านแผนการออกจึงได้ให้พริธเวนเข้ามาป้องกันดาบนั้นแทน
“อุก...” ลิ่มที่หัวใจเริ่มจะกัดกินร่างของเขา ต้องรีบเผด็จศึกให้เร็วที่สุด
การเคลื่อนไหวที่สอดประสานกันของนักดาบทั้งสองและโล่ที่แข็งแกร่ง ทำให้ดาบเพลิงสีเลือดของอพอลโลนั้นแหวกเข้าไปไม่ถึงตัวของคู่ต่อสู้เลย ไม่ว่าจะลองใช้วิถีดาบรับเพื่อรุกก็ยังไม่สามารถทะลุโล่ของพริธเวนให้ถึงตัวคาลิเบิร์นได้ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนที่จะจับดาบคอนขึ้นอีกครั้ง
แขนแกร่งโยนดาบที่ลุกไหม้ขึ้นแล้วผลักด้ามดาบให้ปลายดาบตรงไปยังร่างกายของยูริอุสที่อยู่นอกโล่พริธเวน เจ้าชายองค์โตของอวาลอนรีบถลาเข้าไปเอาโล่บังให้ ทว่าสายตาของคาลิเบิร์นนั้นกลับมองเห็นมือกร้านที่คว้าจับขาของเขาและฉุดให้ล้มลง
โครม!
สามหนุ่มล้มต่อกันเป็นโดมิโนโดยที่อพอลโลนั้นกลิ้งหลบได้ทัน ก่อนที่เพลิงกาฬจะลุกจากขาของคาลิเบิร์นและลามไปยังร่างของตุ๊กตาพยนต์อีกสองตัวที่ล้มอยู่ข้างกัน เพียงเท่านี้เขาก็สามารถกำจัดยอดฝีมือของพี่ชายลงได้อีกสี่แล้ว
“หมดแล้วรึไง นักรบของแกน่ะ...” ผู้เป็นน้องเอ่ยอย่างท้าทายแม้ว่าจะเหนื่อยจนเหงื่อท่วมกายและในอกเจ็บปวดจนขยับร่างกายแทบไม่ไหว
“หึ แกคิดว่าฉันทำได้แค่นี้เรอะ! ฉันทำได้มากกว่าที่แกคิดอีก!!” ไดอาที่ยืนมองอยู่ตลอดก็เดินมาหยิบดาบ ปักดาบลงบนพื้นก่อนจะหลับตาลงและกล่าวบริกรรมคาถา
คืนจันทร์สว่างเริ่มมีเมฆหมอกสีดำเข้าปกคลุม แสงนวลผ่องจางหายไปให้เหลือเพียงความมืดมิด ฟ้าเบื้องบนคำรามก้องพร้อมแสงกะพริบ
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงมากลางยอดหอคอยสูงของปราสาทแฟลร์รูจ อพอลโลขมวดคิ้วเมื่อเห็นพี่ชายที่อวดดีกระทำเพียงแค่เรียกฟ้าฝน ไม่ต่างอะไรกับเจ้าชายแดนจิ้งจอกเทพที่เพียงร้องเพลงก็สามารถทำให้ฝนพรำ ทว่าเขาก็ต้องคิดใหม่เมื่อเห็นซากศพของทหารเริ่มเคลื่อนไหวและลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน
“รู้จักซอมบี้รึเปล่าน้องรัก?” ผู้เป็นพี่ชายแสยะยิ้มมุมปาก
“ซอมบี้?” อพอลโลทวนคำก่อนจะคอนดาบขึ้นเพื่อเตรียมต่อสู้
“หึ พวกคนที่ตายแต่ไม่รู้จักตาย อันเดดน่ะ” ไดอาไหวข้อมืออย่างไม่ยี่หระ เขาเพียงแค่ดีดนิ้วเป๊าะเดียว ศพเดินได้ก็เดินตรงไปล้อมน้องชายทันที
“ไอ้พวกนี้ตายไปแล้วนี่!” ดาบใหญ่ตวัดอย่างไร้ทิศทางเพราะไม่อาจคาดเดาความคิดของซากศพได้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงเฉือนเนื้อเถือหนัง ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของพวกมันได้
“หูย แรงก็ไม่ค่อยจะมี เปลี่ยนดาบไหม?” ราชายิ้มสยดสยองแล้วเตะดาบของตนไปให้ ทว่าคนน้องก็หาได้สนใจพี่ เขาตั้งใจที่จะจัดการศพเดินได้ที่ขัดขวางเขาให้หมดสิ้น
“ไอ้พวกกเฬวราก!” ด้วยความโมโหที่ไม่มีทางล้มมันได้เสียที ซ้ำยังถูกรุมล้อมและกัดข่วนร่างกายจนเลือดไม่หยุดไหล เพลิงร้อนไหววูบที่ท่อนแขนกำยำ ระเบิดไอระอุออกมาลุกไหม้ร่างไร้วิญญาณให้แผดเผาเป็นธุลี ทว่าก็ยังมีบางส่วนที่ยังเดินได้และก้าวอย่างสะเปะสะปะทำให้ไฟลุกติดซากศพต่อกันไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นกองไฟเคลื่อนที่ที่สามารถจุดวัตถุไวไฟได้ทุกอย่าง
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ !!!! โคตรโง่เลยว่ะ!!!” ไดอาที่ขยับร่างกายไปยังเก้าอี้อัฒจันทร์ที่ปลอดภัยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อเห็นพลังอันน่าครั่นคร้านของน้องชายกลายเป็นภัยเสียเอง
“หุบปากเน่าๆ ของแกไปซะ!” อพอลโลเตะดาบเบาขึ้นมาจากพื้นแล้วปาไปยังทิศทางของพี่ชาย ไดอาหลบได้อย่างฉิวเฉียด “ลงมาสู้กันดีๆ!”
“ใครจะไปสู้วะ ข้างล่างนั้นมีแต่ซากศพ น่าสยองจะตาย!” คนเป็นพี่ลูบแขนของตนไปมา คนน้องหัวเราะขึ้นจมูกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายกลัวผีขึ้นสมองจนเคยบังคับให้เขาไปเทศกาลเก็บเกี่ยวที่โรโตเรียแทน
“ไอ้ขี้ขลาด...” เจ้าชายพระองค์เล็กแสยะมุมปากก่อนจะหันมาสนใจกับซอมบี้และพยายามหยุดการเคลื่อนไหวของมันก่อนจะใช้ไฟเผาปิดท้าย แต่จำนวนก็มากเกินกว่าที่เขาจะจัดการคนเดียวไหว ทั้งลิ่มที่หัวใจก็เริ่มย้อนกลับมาทำร้ายร่างของเขา
ฉึก!
“อึก!” มีดเล่มเล็กปามาจากอัฒจันทร์ ปักเข้าตรงกลางอกกำยำอย่างจัง และเมื่อเขากำลังจะเอาออกก็ถูกอีกเล่มปาเข้าซ้ำที่หลังมือจนเลือดทะลักไม่หยุด เขาไม่หยุดร่างกายและพยายามกำจัดซากไร้วิญญาณนั้นให้สิ้น
ศพแล้วศพเล่าที่ถูกเผาไปจนเหลือเพียงเศษเถ้า อพอลโลไม่หยุดกวัดแกว่งดาบของตนโดยมีพี่ชายจ้องมองอยู่ราวกับดูการแสดงต่อสู้ของเหล่ากลาดิเอเตอร์ เรี่ยวแรงนั้นเริ่มตกลงจนแทบยกดาบไม่ไหว ดวงตาพร่ามัวจนต้องหลับตาและหยุดยืนนิ่ง
เมื่อร่างกำยำเซกำลังจะล้มลง...
หมับ...
มือเย็นๆ ของใครบางคนก็เข้ามาประคองไว้และแนบฝ่ามือลงที่หน้าอกร้อนรุ่ม ไอเย็นแผ่นซ่านออกมาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด เขาได้ยินเสียงของคนสนิทกำลังสั่งให้กลุ่มคนเข้าต่อสู้กับฝูงซอมบี้ ครั้นลืมตาขึ้นมาหมายจะมองสถานการณ์ก็พบกับใบหน้างดงามในระยะประชิด
“รู้สึกดีขึ้นรึเปล่า?” ดวงตาสีทับทิมทอดมองลงมาอย่างอ่อนโยน พอเห็นคนในอ้อมแขนพยักหน้าเขาก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“เกิดอะไรขึ้น?” อพอลโลเค้นเสียงถามอย่างยากลำบาก ปลายนิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากเขาเป็นเชิงห้ามพูด
“คนสนิทของนายพาชาวเมืองมาช่วยน่ะ เห็นว่าอยู่ๆ พวกศพที่กำลังจะถูกกำจัดก็ลุกขึ้นเคลื่อนไหว พวกเขาก็เลยช่วยกันต่อสู้น่ะ แล้วคนสนิทของนายก็นึกได้ว่าในปราสาทมีศพจำนวนมาก เลยคิดว่านายน่าจะกำลังมีอันตรายก็เลยมาช่วยนาย” เจ้าของใบหน้างดงามเล่าอธิบายอย่างรวบรัด “แล้วก็มาเจอฉัน ฉันเลยบอกพวกเขาว่านายอยู่ที่ไหน ก็เลยตามมาน่ะ”
“แล้วน้องของนาย...”
“ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว มีชแตร์คอยดูแลอยู่ ส่วนเฮราเคลสก็กำลังเก็บกวาดพวกศพเดินได้น่ะ”
“ทำไมสองคนนั้น...”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ร่างกายของนายน่ะ...” สีหน้าของเจ้าชายหิมะเป็นห่วงอีกคนอย่างเห็นได้ชัด
“เสียเวลาน่า...ฉัน...”
“จับท่านไดอาได้แล้ว!!” เสียงของคนสนิทของอพอลโลประกาศเสียงดังกลบเสียงแหบพร่าที่กำลังจะเอ่ยต่อ และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนของไดอา “เอาไปให้ท่านอพอลโลสำเร็จโทษ!”
เมื่อทุกอย่างเริ่มจัดการได้เรียบร้อย เหล่าชาวเมืองที่มาช่วยเหลืออพอลโลต่างก็คุกเข่าลงและเหลือเพียงว่าที่ราชาองค์ต่อไปที่กำลังยืนหยัดอย่างสง่า ดวงตาสีตะวันมองประชาชนรอบกายด้วยสายตาขอบคุณและรู้สึกเต็มตื้นในอก จากนั้นจึงมองพระเชษฐาด้วยแววตาว่างเปล่า บัดนี้เขาเข้าใจถึงภาระหน้าที่ของราชาอย่างเต็มภูมิ
สภาพที่ไดอาถูกประชาชนรุมล้อมจับและตัดมือตัดเท้าอย่างไร้ปรานี นั่นคือผลสะท้อนจากที่ราชาใจทรามหมั่นเชือดไก่ให้ลิงดู ซึมซับความโหดเหี้ยมมาไม่ต่างกัน โกรธแค้นต่อผู้เป็นที่รักที่ถูกพรากชีวิตไป เหมือนอย่างที่เขา พ่อ และไดอาเคียดแค้นทุกอย่างที่พรากแม่ไป
ความบ้าอำนาจและไม่เห็นหัวของประชาชนผู้เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน ความทะเยอทะยานอยากยึดครองดินแดนอื่นจนต้องใช้วิธีสกปรก
“เภทภัยแห่งแฟลร์รูจ...”
อพอลโลลากพี่ชายของตนที่ถูกตัดมือตัดเท้าจนไม่อาจทำอะไรได้อีก แม้ว่าจะทุลักทุเลเพราะบาดแผลถูกแทงที่กลางอกจำกัดการเคลื่อนไหวของเขาไม่ให้ขยับได้คล่องแคล่วดังใจ ดวงตาคมกริบมองพระเชษฐาที่นอนนิ่งโดยไม่ต้องต้านแม้จะรู้ว่าจะต้องถูกประหาร
ไดอาสิ้นฤทธิ์อย่างสมบูรณ์
ปลายทางใกล้เข้ามา สุสานราชวงศ์แฟลร์รูจอยู่ตรงหน้าอีกไม่ไกล ชายหนุ่มก้มลงเด็ดดอกหญ้าที่บานยามค่ำคืนแห่งจันทร์และถือมันอย่างทะนุถนอม ก้าวเดินอย่างองอาจไปจนถึงหลุมศพของอดีตราชินีแห่งแฟลร์รูจ เขาวางดอกไม้เคารพหลุมศพก่อนจะหันมามองพี่ชายและเอาบาทเหยียบยอดอกไว้
“มีอะไรจะสั่งเสียไหม?” ปลายดาบสีเลือดชี้มายังคนที่นอนอยู่ใต้เท้าของเขา ไดอาสูดลมหายใจเข้าสุดปอดเมื่อรู้ว่าไม่อาจรอดจากเงื้อมมือราชสีห์ได้แล้ว
“ฉันอยากเก่งเหมือนแก...”
ดวงตาสีตะวันเอ่อคลอด้วยน้ำใส...
“อยากก้าวข้ามแกไปให้ได้...”
หยาดน้ำไหลรินจากขอบตา...
“อยากเป็นราชาที่เป็นที่รักของประชาชน...”
ตกลงมาสู่พื้นดิน...
“ฉันอาจจะเป็นพี่ชายที่แย่...”
รอยยิ้มหมองขยับยก...
“แต่ถ้าให้เป็นพี่คนอื่นฉันก็ไม่เอา...”
“...พี่แบบแกฉันก็ไม่อยากได้เหมือนกัน”
“หึๆ...” เขาหัวเราะเบาๆ แม้ในวาระสุดท้าย
“แต่เลือกเกิดไม่ได้นี่นะ...”
“นั่นสินะ...” เขายิ้ม
“ลาก่อน ไดอา”
ฉึก!
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ประคองร่างบอบช้ำเข้ามายังห้องโถงบัลลังก์ พื้นเจิ่งนองไปด้วยเลือดของเหล่าทหารและขุนนาง ศพมากมายเกลื่อนห้องน่าหดหู่ ร่างข้างๆ เซล้มลงเพราะขาไร้กำลัง เจ้าของเรือนผมสีเงินจึงช้อนแขนอุ้มร่างนั้นขึ้นแล้วก้าวเดินอย่างมั่นคงผ่านกองศพโดยไม่สนใจ
ชายผิวขาวจัดจึงค่อยๆ วางร่างที่สูงใหญ่เทียมกันบนบัลลังก์อันว่างเปล่า ดวงตาสีแดงทั้งสองคู่สบกัน มองเข้าไปในนั้นอย่างลึกซึ้ง ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว
เคร้ง!
ดาบสีเลือดเล่มโตที่เคยอยู่ในมือกลับร่วงลงกระแทกพื้น มือของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไร้เรี่ยวแรงจะประคองมันต่อ ทั้งลิ่มที่หัวใจและพิษร้ายแผ่ซ่านไปทั่วกาย อีกไม่นานเขาคงเป็นอัมพาต มือขาวซีดหยิบดาบเล่มนั้นมาวางพิงบัลลังก์ใกล้ๆ มือของว่าที่ราชา เจ้าชายน้ำแข็งจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น ย่อกายลงต่อหน้าชายบนบัลลังก์
“ปล่อยไว้แบบนี้จะดีหรือ?” ดวงตาสีทับทิมก้มลงมองมือที่เริ่มเย็นลง “นายควรรีบไปหาหมอ...”
“ฉันคือราชา...” เสียงนั้นเอ่ยหนักแน่นแม้จะแผ่วเบา “ฉันจะปกป้องแฟลร์รูจ...จากเภทภัยที่เป็นอันตรายต่อแฟลร์รูจ แม้ว่าจะเป็นพ่อหรือพี่ชาย...”
“จะบ้าหรือไร!?” เจ้าชายขมวดคิ้วแน่น ว่าที่ราชาหยุดพูดต่อ “ถ้านายตายไปจะปกป้องมันได้อย่างไร! มันต้องมียาแก้พิษสิ!”
“ยานั่นฉันให้น้องชายนายหมดแล้ว ฉันคง...ไม่รอดแล้วล่ะ นายเองก็...รู้ ถึงได้ยอมพาฉันมาที่นี่...” ใบหน้าหล่อเหลาขยับยิ้มอ่อนโยนผิดวิสัยเย่อหยิ่ง
“อพอลโล...”
“ไดอาไม่ได้ใช้พิษแค่ชนิดเดียวเล่นงานฉัน ถ้าฉันรู้ว่าดาบของนายก็มีพิษจะไม่เสี่ยงเอาตัวไปรับหรอก”
“ฉันขอโทษ...” ฟรอสต์จับมือซีดเผือดมาแนบแก้มของเขาแล้วหลับตาลง “เพราะความขาดสติของฉันแท้ๆ ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้...”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้นายและน้องชายนายต้องมารับเคราะห์ด้วย เพราะพี่ชายบ้าๆ นั่น...” อพอลโลหยุดคำเพื่อไอออกมาอย่างหนัก เลือดไหลที่ซึมมุมปากเป็นสีดำสนิท
เขาแค่นยิ้มหยัน แล้วถอดสร้อยเล็บสิงโตสีทองบริสุทธิ์ใส่มือของอีกฝ่าย
“ทิ้งฉันไว้แล้วไปเสีย...ฟรอสต์ น้องชายนายรออยู่” ดวงตาสีตะวันเบือนหนีคนตรงหน้า “ขอบคุณที่ให้ฉันตายในฐานะราชา”
ทับทิมเม็ดงามหลั่งน้ำใสออกมาอย่างเงียบงัน เขาทำเพียงประทับจุมพิตลงบนหลังมือของผู้ที่เป็นราชาแห่งแฟลร์รูจในขณะนี้ ฟรอสต์หยัดกายขึ้น เอ่ยคำลาด้วยจุมพิตที่ริมฝีปาก ก่อนจะหันหลังเดินออกจากที่แห่งนั้นโดยไม่เหลียวกลับไปมองอีก เนตรแห่งรพีมองตามแผ่นหลังอันเข้มแข็งนั้นอย่างชื่นชม ก่อนจะยกมือสัมผัสหยดน้ำอุ่นบนใบหน้า
...สิ่งนั้นคือน้ำตาของเขาหรือของฟรอสต์กันแน่?...
อพอลโลปิดเปลือกตาลง ยอมรับชะตากรรมสุดท้ายที่เขาไม่อาจฝืนได้
ปาฏิหาริย์ไม่มีหรอก...อยากได้ต้องลิขิตเอง...
ตึก ตึก ตึก!
“อพอลโล!” เสียงฝีเท้ามาพร้อมเสียงตะโกนเรียก ร่างอันใหญ่โตปรากฏพร้อมกับชายร่างผอมบางที่ถูกอุ้มมาด้วย เขาปล่อยให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนลงมายืนแล้วปรี่เข้าไปหา “ลูกพี่ เป็นยังไงบ้าง...”
“เฮราเคลส...?” ดวงตาสีประหลาดที่ปิดไปแล้วค่อยๆเปิดขึ้น มือจับดาบเพื่อใช้ประคองกายให้เงยหน้ามองผู้มาใหม่ เขาถามเสียงเบา “ชแตร์...มาได้ยังไง...?”
“อพอลโล แผลนาย...” ชายผมสีเงินประกายดาวที่เท้าเพิ่งแตะพื้นก็เดินโซเซมาหาคนบนบัลลังก์ ย่อกายลงแล้วจับมือซีดเซียวของอีกคนไว้ “ผมจะ...รักษาให้...”
“ไม่ได้นะชแตร์! เมื่อกี้นายก็เพิ่งรักษา–” คนตัวโตสุดในนี้ร้องตะโกนห้ามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น มืออันใหญ่โตกุมสร้อยจี้รูปดาวของตนแน่น เขากัดริมฝีปากแรงจนห้อเลือด
“ผมจะทำ!” ชแตร์ร้องตอบอย่างหนักแน่น “แม้ว่ามันจะ...อีกแค่ครั้งเดียว...”
มือเรียวถอดสร้อยนาฬิกาละอองดาวออกมากุมไว้ ดวงตาสีตะวันเริ่มพร่าเลือนจนมองไม่เห็นคนตรงหน้า อพอลโลพึมพำห้ามไม่ให้ช่วย ทว่าเนตรราตรีสีเข้มส่องประกายกล้าแสง แสงดาวรายล้อมร่างที่บาดเจ็บสาหัสและพยุงให้ลอยกลางอากาศ บาดแผลได้รับการสมานจนหายดี ผิวกายที่ซีดเซียวเริ่มมีเลือดฝาด ร่างนั้นค่อยๆ วางลงบนพื้นที่ไม่เปื้อนเลือด ชแตร์ยกมือสัมผัสอกแกร่งตรงตำแหน่งหัวใจ รู้สึกถึงการเต้นจังหวะสม่ำเสมอ รวมทั้งใบหน้าหล่อเหลาที่ปิดเปลือกตาลงดูผ่อนคลาย เขาคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นชายที่ตนรักปลอดภัยดี
“หลับไปแล้วสินะ เท่านี้ก็...” ร่างผอมบางล้มฟุบลงข้างกายว่าที่ราชาแห่งแฟลร์รูจ นาฬิกาละอองดาวหล่นร่วงกระแทกพื้น ละอองดาวเม็ดสุดท้ายใกล้จะหมดลง
“ชแตร์!!”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
เดี๋ยวจะขอพักการอัพฟิคเรื่องนี้ก่อนนะคะ คิดว่าจะพักอย่างไม่มีกำหนดเลย เพราะดูท่าทางแล้วเงียบเหงามาก ไม่รู้ว่ายังมีคนชอบรึเปล่า ไม่ค่อยมีแรงใจจะเขียนต่อเท่าไหร่ รู้สึกท้อแท้มากเลยค่ะทั้งๆที่มันจะจบแล้ว ขอผลัดไปเขียนเรื่องอื่นก่อนก็แล้วกันค่ะ ขอบคุณที่ยังติดตามกันตลอดมานะคะ
ป.ล. ตอนหน้าจะเป็นตอนเฉลยทั้งหมด กว่าเราจะกลับมาอัพให้ก็วิเคราะห์กันเล่นๆไปก่อนก็แล้วกันนะคะ
Comments (0)