14 ตอน Chapter 11 : Rebellion
โดย ‘Umbrella’
“นายเป็นของฉันแล้วนะ”
เสียงกระซิบของร่างด้านบนดังข้างหู ปะปนกับเสียงครวญครางของตนเองจนแทบไม่ได้ฟังเสียงทุ้มแหบนั้น ปลายนิ้วอุ่นร้อนเชยคางให้คนข้างใต้เงยหน้ามอง ดวงตาสีแดงทั้งสองคู่สบมองกันอย่างลึกซึ้ง
“และฉันเองก็จะเป็นของนายเหมือนกัน...”
อาณาจักรแฟลร์รูจ แดนสุริยา เดือนสีคราม
แสงอาทิตย์ยามสายส่องประกายแรงกล้า สุริยาร้อนแรงเสียจนทำให้ประชาชนต้องหลบพักอยู่ในร่มเงา เวลานี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว พืชผลกำลังเติบโตอย่างงดงาม ดีกว่าปีก่อนๆ ที่เกิดภัยแล้งทำให้ผลผลิตน้อยและขาดแคลนในยามฤดูหนาว
วันนี้ก็เหมือนกับวันธรรมดาของทุกวัน เจ้าชายองค์เล็กของอาณาจักรนี้ยังคงตั้งอกตั้งใจทำงานที่ห้องทรงงานเช่นเดิม ดวงตาสีตะวันยังคงจับต้องเอกสารอันมากมายเหลือล้น อ่านรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะลงลายมืออนุมัติงบประมาณเท่าที่จำเป็น
ข้ารับใช้คนสนิทที่เข้ามาช่วยงานเหลือบมองใบหน้าคมคายเป็นระยะๆ ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนไม่ได้พักเสียทีทั้งที่ถึงเวลาเที่ยงวันแล้ว
“เอ่อ พระโอรสพระเจ้าข้า...”
“รู้แล้ว เที่ยงแล้วใช่ไหม?” อพอลโลเอ่ยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร
“พระเจ้าข้า” คนสนิทยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าชายวางงานลงจากมือแล้ว
“งั้นแกไปพักซะ ส่วนที่เหลือฉันจะทำต่อเอง”
“พระเจ้าข้า...เอ เอ๋?! แล้วพระองค์ไม่พักด้วยหรือ?” ข้ารับใช้ตกใจตาเหลือก “ทรงงานมาตั้งแต่เช้าแล้วนะพระเจ้าข้า...”
“ก็ต้องเร่งจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จก่อนงานแต่งไดอาใช่ไหมล่ะ?” เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงถามกลับแก่ข้ารับใช้
“กะ–ก็ใช่พระเจ้าข้า...แต่ว่าพระองค์น่ะ...”
“แล้วก็เรื่องเขตปกครองตนเองน่ะ ได้ยินมาว่าเริ่มจะวางแผนก่อกบฏกันอีกแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้ช่วงเวลาที่มีงานอภิเษกสมรสที่ทุกคนกำลังยุ่งก่อความวุ่นวายขึ้นมา” อพอลโลปิดเปลือกตาลงแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“กระหม่อมจะไปตรวจสอบและให้กองทหารลาดตระเวนคอยเฝ้าระวังให้เข้มงวดมากขึ้น” ข้ารับใช้เอ่ยโดยไร้ความลังเล
“ฉันได้กลิ่นไม่ค่อยดีมาจากไดอา ไม่แน่ว่าเจ้านั่นกับพวกกบฏ...” ดวงตาสีแดงคมกล้าหรี่ลง คนสนิทรู้ว่าเจ้าชายของเขาหมายความว่าเช่นไร
“เข้าใจแล้วพระเจ้าข้า” ข้ารับใช้ทำความเคารพก่อนจะขอตัวออกจากห้องไป
ใบหน้าคมคายฉายแววกังวลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ทุกครั้งที่ถูกลอบทำร้ายจากมือสังหารของไดอา หรือแม้แต่ฝ่ายนั้นใช้เงินซื้อคนเพื่อหักหลังเขา เขาก็สามารถรอดมาได้ทุกครั้ง ทว่าเหตุการณ์ล่าสุดอย่างตอนที่เขาถูกหน้ากากควบคุมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นฝีมือของพี่ชาย
ถ้าหากว่าไดอาวางแผนอะไรกับนังแม่มดนั่น...
งานแต่งก็คงเป็นแผนล่อให้พวกกบฏเข้ามาโจมตีอาณาเขตตอนเราไม่อยู่...
แล้วจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ?...
อาณาจักรสโนว์ฟิเลีย แดนหิมะ
เป็นช่วงเวลาเย็นในฤดูร้อนของแดนหิมะอันแสนหนาวเหน็บ แม้เป็นคิมหันตฤดูอุณหภูมิของดินแดนแห่งนี้ก็ยังเย็นเยียบและปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ อากาศที่อบอุ่นกว่าช่วงเวลาอื่นของปีทำให้พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้เริ่มมีการไถพรวนดินและหว่านเมล็ดลงแปลง คล้ายกับฤดูใบไม้ผลิของอาณาจักรอื่น
สายลงโชยพัดมาต้องกายสูงโปร่งของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งของสโนว์ฟิเลีย เส้นไหมสีเงินปลิวไปตามลมอ่อน เนตรสีทับทิมทอดสายตามองบรรยากาศภายในเมืองอันห่างไกลจากปราสาท เขายืนตรงระเบียงด้านหน้าที่สามารถมองเห็นได้เกือบรอบทิศ ยกยิ้มมุมปากพลางตระหนักถึงหน้าที่สำคัญของตน
หมับ...
แขนบอบบางของสตรีตวัดโอบรอบเอวสอบของชายหนุ่มที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ แม้ไม่มองดูก็รู้ว่าเป็นใคร ผู้หญิงคนไหนจะกล้ากอดเขาจากด้านหลังถ้าไม่ใช่...
“ท่านแม่...”
“อะไรกัน...มายืนมองดูประชาชนในมุมของราชาเหรอจ๊ะ?” หญิงวัยกลางคนเอียงหัวซบบ่าลูกชายคนโตเส้นผมสีเงินแบบเดียวกันปรกต้นของของคนตัวสูง
“อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ครับ” ฟรอสต์ยิ้มออกมาเปลี่ยนมากอดแม่ของเขาบ้าง “ผมคือราชาในอนาคตของสโนว์ฟิเลียนะครับ”
“นั่นสินะ ฮึๆ ดีใจจังที่มีลูกชายเอาการเอางานแบบนี้” ราชินีจูบแก้มลูกชายของตนอย่างรักใคร่ “แหม...นึกถึงเพื่อนคนหนึ่งเลยที่ลูกชายเขาก็น่ารักแบบนี้”
“เพื่อนของท่านแม่?”
“อ้าว ไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอจ๊ะ? ควีนของแฟลร์รูจไง คนที่สวยๆ คนนั้นน่ะ” ผู้เป็นแม่หยีดวงตาลงแล้วระบายยิ้มงดงาม
“เอ๊ะ?” ฟรอสต์เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหู
“พอดีว่าคุยกันถูกคอตั้งแต่ไปหอศิลป์ที่เฟรเชียน แล้วก็เจอกันบ่อยๆ ที่งานเวทมนตร์ที่โซลเชียนา” ราชินีหัวเราะเบาๆ “เธอเป็นนักเวทมนตร์ที่เก่งมากเลยนะจ๊ะ คนสนิทของเธอที่ชื่อเฮร่าก็เป็นคนเขียนตำราเวทมนตร์หลายๆ เล่มด้วย”
“เอ๋?!”
“อะไรกัน ปฏิกิริยาแบบนั้นน่ะ?” เธอเลิกคิ้วเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกชาย “...จะว่าไปแล้วชเนย์ก็เคยเล่าให้ฟังนี่นาว่าลูกดูสนิทสนมกับเจ้าชายของแฟลร์รูจ...”
เมื่อเอ่ยถึง ‘เจ้าชายของแฟลร์รูจ’ ใบหน้าของฟรอสต์ก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันที ผิวขาวจัดของคนเมืองหนาวยิ่งทำให้สังเกตได้ง่าย ราชินีหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นแก้มของโอรสเป็นสีสตรอเบอร์รี่สุก เธอลูบแก้มนั้นเบาๆก่อนจะหยิกอย่างมันเขี้ยว
“ลูกมีอะไรกับเขาเหรอ?” เธอถามโดยไม่ได้คิดอะไร ทว่าอาการต่อมาของคนตรงหน้ากลับเป็น...
“มะ–ไม่! ไม่ใช่นะ...ท่านแม่... ไม่มีอะไร!” คนที่เคยสุขุมกลับลนลานอย่างผิดปรกติ ใบหน้าใบหูแดงไปหมดไปจนกระทั่งลำคอ
“ฟรอสต์ เป็นอะไรไปจ๊ะ?” ราชินียิ้มให้ลูกชายอย่างขันๆ “คงจะมีเพื่อนสนิทแล้วสินะ? ไม่ต้องกลัวท่านพ่อว่าหรอก...กลับดีเสียอีกที่ลูกมีเพื่อนบ้างเสียที”
“งะ–งั้นเหรอครับ...” ดวงตาสีแดงมองใบหน้าสะสวยของมารดาแล้วยิ้มบาง “เพื่อนสนิท...สินะ...”
ฟรอสต์พึมพำทิ้งท้ายไว้ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปทำงานต่อในห้องของตน นึกถึงคำพูดของอีกฝ่ายหลังงานเวิลด์ซาลอนนั้นจบลง...
‘หลังจากนี้เราเลิกมาพบกันสักพักนะ’
ทั้งที่ความสัมพันธ์นั้นกำลังไปได้สวยและราบรื่น ทั้งการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้าชายด้วยกันในงานฉลองนั้นยิ่งทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังจะพูดว่ารักอีกฝ่ายได้อย่างเต็มปาก ทว่าจู่ๆ ฝ่ายนั้นก็กลับเอ่ยเป็นนัยว่าขอยุติความสัมพันธ์
...หรือที่ผ่านมานายแค่อยากจะมีอะไรกับฉัน?...
กลางเดือนสีคราม
หลังการจัดเตรียมงานอภิเษกสมรสได้เสร็จสิ้นลง วันพระราชพิธีก็ได้มาถึงแล้ว ท้องพระโรงของปราสาทกลางขนาดใหญ่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาว สีครีม และสีชมพู ดูบริสุทธิ์งดงาม สมกับเป็นพิธีมงคลของหนุ่มสาว ขุนนางและข้ารับใช้ต่างพร้อมหน้ากันเพื่อบริการและอำนวยความสะดวกแก่แขกกิตติมศักดิ์อย่างเจ้าชายแกรี่จากแคลร์บูล พระราชพิธีเสกสมรสนี้ไม่ได้จัดขึ้นอย่างใหญ่โตนัก จึงเชิญเพียงแค่พระญาติทั้งสองฝ่ายและเชื้อพระวงศ์คนสนิทของเจ้าชายไดอาและเจ้าชายอพอลโล ทว่าองค์ชายเล็กนั้นมิได้เชิญพระสหายองค์ใดมาเลยด้วยระแวงว่าอาจมีกบฏ ส่วนไดอานั้นเชิญราชินีเฮร่าของโอลิมโพสมา ราชาแฟลร์รูจและอพอลโลแทบหยุดหายใจเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงที่น่าจะตายจากไปแล้วเข้ามาร่วมงานพิธีนี้
...กะแล้วเชียว นังแม่มด...ตอนนั้นคงใช้อุบายแกล้งตายเพื่อกลับมาวางยาเสด็จแม่สินะ...
ดวงตาสีตะวันปิดลงอย่างนึกแค้น ทว่าในยามนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้เพราะต้องรอให้พิธีผ่านพ้นไปเสียก่อน หากกระทำอะไรหุนหันอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ระหว่างที่รอเวลา ไดอาให้ข้ารับใช้ตรวจเช็กชุดทางการสีขาวสะอาดของตนให้เรียบร้อย ทั้งกระดุมเสื้อ คัฟลิงก์ ลวดลายบนชุดและการขลิบขอบผ้า ล้วนเป็นสีขาวและสีเงินที่เหมาะกับเจ้าชายผู้มีภาพลักษณ์อ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนดั่งดวงจันทร์
อพอลโลถอนหายใจให้กับความเสแสร้งนั้น เหล่าข้าราชบริพารเองก็ทราบดีว่าเจ้าชายรัชทายาทเป็นคนเช่นไร แต่คาดว่าคงถูกคำขู่ฆ่านั้นทำให้ปิดปากเงียบแม้ไดอาจะกระทำอะไรที่ไม่เหมาะควรกับเลือดขัตติยะ และด้วยตำแหน่งที่ต่ำกว่าพี่ชายทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบากเช่นกัน โดยเฉพาะการช่วยเหลือประชาชนในเมืองหลวงที่ถูกทหารของไดอารังแก เขาถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนับเวลาว่าอีกนานพอสมควรเลยจะถึงเวลาเริ่มพิธี มือหนาภายใต้ถุงมือสีครีมสีเดียวกับชุดทางการของตนจับกระบี่ที่ห้อยอยู่ที่เอวข้างซ้ายแน่น แน่นอนว่าเขายังคงหวาดระแวงว่าพวกกบฏอาจจะบุกเข้ามาได้ทุกเมื่อ
ใกล้เวลาที่จะส่งตัวเจ้าสาวมายังแท่นพิธี เจ้าชายทั้งสองของแฟลร์รูจยืนรอพ่อของตนที่ควรจะมาถึงยังหน้าแท่นพิธีแล้วแต่ก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็น ไดอากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด
“จวนจะได้เวลาแล้วนะ เสด็จพ่อหายไปไหน?” พี่ชายคนโตขมวดคิ้วแล้วมองนาฬิกาอย่างลนลาน “อพอลโล ไปตามเสด็จพ่อที่ห้องแต่งตัวดูไหม?”
“หา? แล้วทำไมต้องเป็นฉัน ข้ารับใช้ก็มี...”
“น่า ทุกคนกำลังยุ่ง ตอนนี้นายว่างนี่?” คนเป็นพี่ส่งสายตากดดันมาให้ ทว่าก็ไม่อาจทำให้ใจทรนงของคนน้องสั่นไหว
“ก็ได้ อย่าก่อเรื่องล่ะ” และเพื่อความรวดเร็วจึงไม่อยากต่อปากต่อคำ อพอลโลจึงเออออตกปากรับคำไป
“ฉันไม่ใช่เด็กนะ!” พี่ชายตะโกนไล่หลังแบบเบาๆ ให้พอได้ยินกันสองคน
ผู้เป็นน้องเพียงแค่ทำหูทวนลมไม่สนใจและเดินออกจากท้องพระโรงไปยังห้องแต่งตัวของราชาเพื่อเรียกให้พ่อของตนรีบเข้ามาร่วมงานแต่โดยเร็ว
ก๊อกๆ ๆ
“เสด็จพ่อ ใกล้ถึงเวลาแล้วครับ” อพอลโลเคาะประตูเรียกพลางเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน ทว่าภายในห้องกลับไม่มีเสียงตอบรับอะไร “เสด็จพ่อ?”
...หรือว่าพวกกบฏจะ...
ปัง!
ไม่รอช้า เจ้าชายองค์เล็กแห่งแฟลร์รูจก็พังประตูเข้าไปในห้องด้วยความรีบร้อน
และเป็นดังคาด...
องค์ราชาและเหล่าข้ารับใช้ต่างก็ล้มลงกองอยู่ที่พื้นกันแทบทั้งสิ้น ทว่าไม่มีเลือดสักหยดและไร้ร่องรอยการต่อสู้ ร่างสูงสง่าย่อกายลงประคองร่างผู้เป็นพ่อขึ้นมาแล้วตรวจสอบชีพจรและการเต้นของหัวใจ
...ไม่มีชีพจร หัวใจหยุดเต้น...ตายแล้วงั้นหรือ? แต่ตัวยังอุ่นอยู่เลย...
คิ้วคมขมวดเข้ากลางหน้าผากอย่างงุนงง มองเห็นพวกแก้วและเหยือกใส่น้ำที่หล่นแตกอยู่ไม่ไกลก็คาดเดาไปว่าอาจจะถูกวางยาพิษ
...แต่พวกข้ารับใช้ก็โดนวางยาด้วยเนี่ยนะ?...
ฉึก!
เมื่อมือหนากำลังจะวางร่างของราชากลับที่เดิม จู่ๆ ก็มีมือปริศนาสอดกระบี่ที่ช่องระหว่างแขนและลำตัว แล้วแทงเข้ากลางอกของชายวัยกลางคนอย่างแม่นยำ เลือดอุ่นๆ ข้นขลั่กกระฉูดเลอะชุดสีครีมของอพอลโลที่เคยสะอาดเอี่ยมจนถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
“อึก!”
ชายคนนั้นเบิกตากว้างราวกับได้สติ ทว่าร้องได้เพียงคำเดียวก็แน่นิ่งไปโดยที่ดวงตาสีตะวันเฉกเช่นเดียวกันกำลังเปิดค้างไว้ โลหิตกระเซ็นเปรอะทั่วบริเวณ ไหลนองพื้นกระเบื้องสีขาวจนเป็นทะเลสาบขนาดย่อม
มือคู่นั้นที่สังหารราชาชักกลับไปโดยทิ้งกระบี่ที่เคยอยู่ในฝักข้างเอวอพอลโลให้ปักคาไว้บนร่างของเจ้าแผ่นดิน ยาพิษนั้นเพียงแค่ทำให้ผู้ที่ดื่มเข้าไปมีอาการคล้ายกับคนตาย คนผู้นั้นที่วางยาต้องการจัดฉากให้เขามาพบแล้วยืมมือฆ่าและโยนความผิดให้
เจ้าของร่างเปื้อนเลือดวางร่างไร้วิญญาณลงกับพื้นแล้วลุกขึ้นมา ไม่ต้องหันหน้าไปมองเขาก็รู้ดีว่าใครเป็นผู้ลงมือ
“หึๆ...ฮะๆ...ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” เสียงหัวเราะอันโรคจิตและคุ้นเคยดังขึ้นอยู่เบื้องหลัง “ในที่สุดแกก็ติดกับจนได้ น้องรัก”
อพอลโลหรี่ดวงตาแล้วกัดริมฝีปากอย่างโกรธแค้นที่หลงกลยอมมาหาบิดาตามที่พี่ชายร้องขอ ทว่ายังไม่ทันจะได้หันไปต่อว่าพระเชษฐาก็มีทหารที่จงรักภักดีกับไดอาบุกเข้ามาในห้องแต่งตัวของราชา เจ้าชายรัชทายาทจึงหยุดหัวเราะทันที
“พระโอรสไดอา! กระหม่อมได้ทำการอพยพแขกเชื้อพระวงศ์ให้ไปที่หลบภัยแล้วพระเจ้าข้า!”
“หา? เกิดอะไรขึ้น!?” อพอลโลตะคอกถามคนสนิทของไดอา ในใจหวังเพียงว่าอย่าได้เป็นอย่างที่เขากังวล
“มีกบฏบุกเข้ามาพระเจ้าข้า!” ขุนนางหนุ่มกล่าวตอบคนถาม
“กะแล้วเชียว...” ดวงตาสีอาทิตย์ตวัดไปมองพี่ชายของตนอย่างเกรี้ยวกราด “ฝีมือแกสินะ!”
“ฝีมือฉัน? แกพูดเรื่องอะไร?...” ไดอาเปลี่ยนสายตาเป็นอ่อนไหวทันทีแล้วชี้ไปที่ร่างของราชาที่สิ้นพระชนม์ “แกต่างหาก...แกเป็นคนฆ่าเสด็จพ่อ! ...แกเป็นคนพาพวกนั้นเข้ามา! แกต่างหากที่เป็นกบฏ!”
คนสนิทของไดอาและเหล่าทหารมองเห็นกระบี่ของอพอลโลปักอยู่บนร่างก็เชื่อคำพูดของไดอาอย่างสนิทใจ กอปรกับจงรักภักดีกับรัชทายาทอยู่แล้วจึงไม่ได้ข้อสงสัย
“ทหาร! จับมัน! อย่าให้หนีรอดออกไปได้!” สิ้นเสียงคำสั่งผู้เป็นนาย ทั้งพลดาบพลหอกก็รี่เข้ามาหมายจะทำร้ายและจับกุมองค์ชายเล็กของแฟลร์รูจทันที
พรึ่บ!
ต่อหน้าทหารของพี่ชายก็ป่วยการจะแก้ตัว ด้วยกังวลแต่กับเรื่องกบฏโดยไม่ได้นึกถึงว่าไดอาจะวางแผนซ้อนถึงขั้นชิงบัลลังก์จากพ่อของตน เปลวเพลิงของอพอลโลจึงก่อตัวเป็นรูปร่างและกลายเป็นสิงโตไฟเพื่อปกป้องผู้เป็นนาย
“เหวอ...!” เหล่าทหารหลีกทางให้เพลิงอัคคีที่องค์ชายรองสร้างขึ้น แม้ว่าไดอาจะขู่ฆ่าญาติพี่น้องของเหล่าทหารก็ไม่อาจสร้างความกล้าจากความหวาดกลัวพลังของอพอลโลได้
อพอลโลจึงได้โอกาสหลบหนีออกจากปราสาท ระหว่างทางก็ถูกทหารขวางทางไว้มากมาย คาดว่าไดอาคงกระจายคำสั่งให้มาล้อมจับเขาทุกทาง น่าแปลกที่ไม่มีทหารไล่ตามจับพวกกบฏที่เข้ามาบุกปราสาทเลย
เมื่อพ้นจากเขตของปราสาท เขาคิดว่าพวกทหารคงตามไม่ทันแล้วจึงได้หยุดพักเหนื่อย นั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อเอาแรง หัวใจก็เจ็บปวดเนื่องจากการใช้พลังสร้างไฟและถูกลิ่มทิ่มแทง ร่างกายกำยำชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ อพอลโลถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดพระบิดาของตนออกแล้วทิ้งลงพื้น อาวุธอย่างอื่นก็ไม่มีไว้ใช้ป้องกันตัว นึกโมโหตนเองที่ไม่คิดเอะใจที่ไดอาใช้ตนไปตามราชาที่ห้อง
กรรรร!!!
ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ราชสีห์เพลิงข้างกายก็คำรามเมื่อมีภยันตรายใกล้เข้ามา ผู้ถูกหมายหัวรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่มีเวลาให้วางแผนมาก หากจะหนีเข้าเมืองเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะมีที่ให้หลบซ่อนตัวเพราะประชาชนส่วนมากกลัวไดอายิ่งกว่าสิ่งใด ทางเดียวในตอนนี้คือหนีเข้าป่าไปตายเอาดาบหน้า หากเจอสัตว์ร้ายคงดีกว่าที่จะต้องถูกจับตัวเพราะข้อหาที่ตนไม่ได้ก่อ
“เฮ้ย! ทางนั้น!”
ฝีเท้าของคนจำนวนมากไล่ตามมาพร้อมกับสำเนียงแปลกๆ ที่อพอลโลคุ้นเคยเป็นอย่างดี ภาษาของดินแดนข้างเคียงที่เคยเป็นเขตปกครองตนเองภายใต้การปกครองของแฟลร์รูจ ภาษาของกลุ่มคนที่เขาเคยทำการรบด้วยมาหลายหน
...พวกกบฏ?...
ขายาวๆ วิ่งไปเรื่อยๆ ในป่าอย่างไร้จุดหมาย มีบ้างที่ต้องปะทะกับกลุ่มของกบฏและกลุ่มของทหารที่ร่วมมือกันจับเขา แน่นอนว่าเขาสามารถเอาชนะและหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าได้นานหลายชั่วโมง ทว่ากลุ่มคนที่ตามล่าตัวเขานั้นมีจำนวนมากและหาทางปิดล้อมป่าแห่งนี้ไว้ไม่ให้เขาหนี
“รีบๆ จับเจ้าชายอพอลโลให้ได้ซะ หากจับได้ท่านไดอาจะปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ!”
สำเนียงแปร่งดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากพุ่มไม่ที่อพอลโลหลบซ่อนตัว เขาแยกทางกับสิงโตเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต และเพื่อล่อให้ผู้ที่ตามล่าหลงผิดไปอีกทาง
เวลานี้เริ่มมืด การหลบซ่อนในป่าเริ่มเห็นผลเมื่อแสงสว่างเริ่มลดลง ครานี้เขาเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่จัดการผู้ที่ตามล่าเพราะรู้ว่าร่างกายเริ่มถึงขีดจำกัด ไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าแถมยังต้องหลบหนีอยู่ในป่านานหลายชั่วโมง
โฮ่ง!
“เฮ้ย! เจ้าชายอพอลโลอยู่โน่น!”
ดูเหมือนว่าฝ่ายกบฏนั้นจะใช้สุนัขล่าเนื้อมาตามสะกดรอยเขาอีกขึ้น จากที่เริ่มวางใจความมืดของป่าก็ต้องออกแรงวิ่งหนีอีกครั้ง นึกโทษตัวเองว่าสะเพร่าที่ถอดเสื้อนอกทิ้งไว้ทำให้สุนัขดมกลิ่มตามตัวได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าไม่อาจจะหนีพ้นแล้วเขาก็เรียกให้สิงโตไฟกลับมาอยู่ข้างกายเพื่อปกป้องตนเอง พวกต่างด้าวนั้นใช้ธนูยิงมารวดเร็วและมากมายราวกับห่าฝน อพอลโลใช้ลูกไฟโจมตีกลับไป พลาดถูกธนูยิงเข้าที่ไหล่และหลังแต่ก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าตนเองได้ เขาใช้กำแพงไฟขวางกั้นเพื่อชะลอไปให้ฝ่ายไล่ล่าตามมาทัน
เจ้าชายผู้ถูกกล่าวหาวิ่งอย่างอ่อนแรงไปเรื่อยๆ จนโผล่พ้นป่า ถึงที่ราบโล่งไร้สิ่งให้ซ่อนกายา ทรุดร่างลงด้วยความเหนื่อยล้า จับร่างของสิงโตข้างกายเพื่อหยัดกายขึ้นอีกครั้ง โลหิตหยดลงพื้นเป็นทางทิ้งรอยให้ฝ่ายตรงข้ามไล่ตามต่อ อพอลโลเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปที่หมู่บ้านเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน จึงก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่มีทางหนีอีกเพราะตรงหน้าคือหน้าผาสูงชัน เบื้องล่างคือทะเลที่เต็มไปด้วยโขดหินโสโครกแหลมคม หากจะโดดลงทะเลหนีก็คงไม่พ้นโดนหินแทงตายอยู่ดี
ขายาวหยุดยืนที่ชะง่อนผาแล้วถอนหายใจ พลังก็ถึงขีดจำกัดจนไม่อาจคงรูปไว้ให้ราชสีห์เพลิง
...มาได้แค่นี้เองรึ?...
ร่างสูงผู้หยิ่งทระนงหันกลับมาเผชิญหน้ากับผู้ล่า กัดริมฝีปากตนเองแน่นจนห้อเลือด กำหมัดแน่นจนขึ้นข้อขาว ดวงตาสีตะวันที่เริ่มพร่าเลือนมองเห็นพระเชษฐาที่ส่งยิ้มเยาะและแกว่งดาบในมืออย่างไม่รู้ร้อนหนาว ทั้งทหารของแฟลร์รูจและเหล่ากบฏแบ่งแยกดินแดนที่รวมกันเป็นกองทัพเดียวต่างก็สืบเท้าเข้ามาล้อมคนที่ถูกไล่ต้อนให้ไร้ซึ่งทางหนี
“ยอมมอบตัว แล้วจะไว้ชีวิต” น้ำเสียงเนิบนาบแต่ฟังดูน่าขนลุกดังออกมาจากว่าที่ราชาเมื่อสิ้นราชาองค์ก่อน
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะยอมไว้ชีวิตฉันให้เป็นเสี้ยนหนามบัลลังก์แก” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยดังกังวานโดยไม่แสดงอาการบาดเจ็บออกมา
“หึ ลืมไปแล้วเหรอว่าภาพลักษณ์ของฉันคือคนใจดี อ่อนโยน มีเมตตา” พี่ชายเหยียดยิ้มเหี้ยมที่มุมปาก
“พวกทหารที่ยืนข้างกายแกต่างก็รู้ดีว่าแกขู่ฆ่าครอบครัวจึงได้ยอมรับใช้แก”
“แล้วไง? ตอนนี้ฉันเป็นราชาแล้ว คำสัตย์ปฏิญาณของทหารพวกนี้คือเชื่อฟังคำสั่งราชา ถึงขู่ฆ่าไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว” ไดอายักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ราชาไม่เอาไหนอย่างแกน่ะเหรอ?” แม้จะอับจนหนทาง ผู้เป็นน้องก็ยังปากดีไม่เปลี่ยน ไม่กลัวซึ่งความตายที่กำลังใกล้เข้ามา
“ไม่เอาไหน? ฉันไล่ต้อนแกได้ขนาดนี้แกยังว่าฉันไม่เอาไหนเหรอ!?” ไดอาตวัดดาบด้วยความโมโห “ทั้งพ่อทั้งแกก็เอาแต่ว่าฉัน ทั้งที่ฉันพยายามเพื่อที่จะเป็นราชา!!”
“คนอย่างแกทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้หรอก” อพอลโลยักยิ้มมุมปาก ตอนนี้แขนของเขาเริ่มชาไปแล้วเพราะเสียเลือดไปมาก แต่ก็ยังคงแสร้งว่ายังไม่เป็นอะไร
“ว่าไงนะ?”
“ฉันรู้นะว่าแกร่วมมือกับนังแม่มดนั่น หลอกมันให้สอนเวทมนตร์ให้เพื่อเอามาใช้กับฉัน”
“แก!” มือเรียวบางของผู้ไม่ถนัดจับอาวุธยกดาบขึ้นชี้หน้าน้องชาย “แกไม่รู้หรอกว่าฉันทำไปทั้งหมดเพื่ออะไร!”
“ก็ไม่ได้อยากรู้อยู่แล้ว” อพอลโลแค่นหัวเราะขึ้นจมูกราวกับจะท้าทาย “เรื่องของคนไม่เอาไหนอย่างแกฉันไม่เคยใส่ใจ”
“หึ ก็ดี... แกมีอะไรจะสั่งเสียก่อนตายมั้ย? ฉันจะมีเมตตาให้กับน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย...” ราชาองค์ปัจุบันยกดาบขึ้นมาพาดไหล่แล้วหรี่ตามองอนุชาอย่างผู้ชนะ
“ไม่มี...” สิ้นคำพูด ดวงตาสีตะวันก็ปิดลงอย่างเชื่องช้า กลั้นใจรอจังหวะที่พระเชษฐาจะลงดาบอย่างไม่หวั่นเกรง
ไดอานึกชื่นชมความเด็ดเดี่ยวของคนตรงหน้า เขาค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาอย่างมั่นคงเพื่อเข้าไปรัศมีที่ดาบตวัดถึง ทว่า...
“พระโอรส ระวัง!!”
ตูม! ตูม! ตูม!
จู่ๆ ก็มีอุกกาบาตจำนวนมหาศาลตกลงมายังพื้นดินบริเวณระหว่างไดอาและอพอลโล โชคดีที่คนสนิทของไดอาเข้ามาดึงตัวกลับไปได้ทันก่อนที่นายของตนจะบาดเจ็บ
ฝุ่นคละคลุ้งไปเต็มบริเวณจนไม่สามารถมองเห็นพื้นข้างหน้าได้
และเมื่อฝุ่นนั้นจางลงพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองไม่เห็นพื้นตรงหน้า...
เพราะพื้นมันหายไป...
“บ้าน่า! พื้นมันถล่มลงไปเหรอ!?” ไดอาเข้าไปยืนดูใกล้ๆ และพบว่าพื้นที่ควรมีอพอลโลยืนอยู่มันทรุดตัวลงและตกไปยังท้องทะเลด้านล่าง ทว่าไม่พบร่างของผู้ถูกกล่าวหาว่าสังหารราชาแม้แต่เศษร่าง “แล้วไอ้น้องบ้านั่นหายไปไหน!?”
“เอายังไงต่อดีพระเจ้าข้า?” คนสนิทเอ่ยถาม เขาชายตามองกลุ่มคนต่างถิ่นที่นายของตนไปยื่นข้อเสนอให้ “โดยเฉพาะกับพวกต่างด้าวนี่...”
“หึ...ก็แค่ยืมมือพวกนั้นเฉยๆ ฉันไม่ปล่อยให้พวกกบฏมาเหยียบย่ำอาณาจักรแฟลร์รูจอันสูงส่งของฉันหรอก” ดวงตาสีส้มอมแดงมองกราดไปกองทัพที่ไม่ใช่ชาวแฟลร์รูจ
ราชาวัยหนุ่มชูดาบอาญาสิทธิ์ขึ้นสูงเพื่อออกคำสั่งแต่กองทัพของตน
“ทหาร! จงสังหารเหล่ากบฏที่อยู่บนแผ่นดินแฟลร์รูจให้หมด! อย่าให้มีชีวิตรอดกลับไปแม้แต่คนเดียว!!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าทหารขานรับกันอย่างพร้อมเพรียงและกันไปสังหารคนต่างแดนทันที
“ดะ–เดี๋ยว...ท่านไดอา! นี่ไม่ใช่ตามที่ตกลงกันไว้นี่!” หัวหน้ากบฏร้องลั่นเมื่อเห็นลูกน้องถูกสังหารคนแล้วคนเล่า
“หึ แกมันโง่เองที่มาเชื่อฉัน คิดเหรอว่าฉันจะให้โอกาสพวกแกเป็นอิสระแล้วมาเป็นหอกข้างแคร่” ใบหน้างดงามของไดอาแสยะยิ้มอย่างน่าขนหัวลุก
“กะ–แก!!!” หัวหน้ากบฏชี้ดาบมายังใบหน้าที่กำลังยิ้มอยู่ ทว่ายังไม่ทันจะทำอะไรก็ศีรษะหลุดจากบ่าด้วยฝีดาบของคนสนิทไดอา
“ช่วยไม่ได้นะ แกเข้ามาในถ้ำเสือตามคำเชื้อเชิญของเสือเอง โง่หรือว่าโง่กันนะ? หึ...สมน้ำหน้า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”
แล้วค่ำคืนที่นองเลือดของแฟลร์รูจก็จบลงพร้อมเสียงหัวเราะของราชาองค์ใหม่ เหล่าประชาชนต่างยกย่องสรรเสริญกษัตริย์หนุ่มผู้สามารถปราบกบฏได้อย่างหมดจด แม้ว่าเจ้าชายอพอลโลที่เป็นผู้สังหารราชาจะหนีไปได้แต่ก็ถูกประกาศตามหา ไว้ว่าจะพบศพหรือพบขณะที่ยังมีชีวิต ค่าหัวก็ถูกตั้งไว้สูงลิ่วด้วยความผิดอันร้ายแรง เหล่าประชาชนที่ได้รับข่าวสารเพียงด้านเดียวต่างก็มุ่งมั่นที่จะตามจับคนในประกาศอย่างขันแข็งเพราะอยากได้ค่าหัวอันมหาศาล
หลายวันผ่านไปหลังเกิดเรื่อง
ยังไม่มีใครพบเบาะแสที่เกี่ยวกับเจ้าชายอพอลโลเลย...
มือเรียวขาวจัดที่โผล่พ้นภายใต้ผ้าคลุมเก่าๆ ลูบใบหน้าคมคายที่ยิ้มเย่อหยิ่งในประกาศจับ ค่าหัวกว่าพันล้านโกลด์ทำให้เป็นที่ต้องการตัวเป็นอย่างมาก มือนั้นชักกลับเข้ามากำแน่นด้วยหลากความรู้สึก ฟันขบริมฝีปากบางแน่น ดวงตาสีแดงร้อนผ่าวจนไม่อาจมองใบหน้าบนแผ่นกระดาษนั้นได้ เขาเบือนหน้าหนีไปแล้วก้าวเดินอย่างไม่มั่นคงนัก คนสนิทที่อยู่ใต้ผ้าคลุมเช่นกันก็นึกเป็นห่วง ทว่าก็ไม่ได้ยื่นมือไปประคองด้วยรู้ว่าเจ้านายของตนนั้นหยิ่งทระนงตนนัก พวกเขาขึ้นรถม้าแล้วรีบกลับไปยังทางที่มาโดยทันที ก่อนที่จะมีใครสงสัยในตัวของพวกเขา
มือเรียวกุมหัวใจของตนอย่างเจ็บปวดแม้ว่าจะไม่มีบาดแผลให้เห็น
...เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่ อพอลโล...
โปรดติดตามตอนต่อไป…
พยายามเช็กคำผิดแล้วแต่ก็คงเช็กพลาด ไว้มีเวลาว่างกว่านี้จะมาเช็กให้ละเอียดๆนะคะ ตอนที่แล้วก็ยังไม่ได้แก้คำผิดเลย ฮือ TT แต่ยังไงก็ขอให้สนุกค่ะ อย่าลืมกดให้กำลังใจกันน้า > <