อาณาจักรอวาลอน แดนอาวุธ เดือนตะวัน

บรรยากาศภายในเมืองหลวงของอาณาจักรอวาลอนนั้นดูครึกครื้นและคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนที่เข้าร่วมงานประลองอาวุธซึ่งเป็นงานเทศกาลของอาณาจักรที่จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเวลานี้ ประชาชนจากต่างแดนเข้าออกเมืองและลานประลองขวักไขว่ วันนี้เป็นวันเปิดงานอย่างไม่เป็นทางการ ลานประลองจึงมีเพียงลานเปล่าๆ ที่จัดแสดงอาวุธชนิดต่างๆ และซุ้มร้านรวงที่ขายของจำเป็นสำหรับนักรบ

วันนี้น้องนายไม่มาด้วยหรือ?”

ฉันคิดว่าสองคนนั้นยังเด็กเกินไปที่จะจับอาวุธ แต่ก็ใช่ว่าไม่เคยสอนให้ใช้”

อย่างนั้นนายก็ใช้อาวุธเป็นด้วยสินะ”

ก็อย่างเช่นดาบหรือหอกน้ำแข็ง”

อ๋อ เป็นประเภทนิรมิตขึ้นมาเอง ไม่ต้องพกพา”

เสียงสนทนาของชายหนุ่มสองคนเอ่ยดังขึ้นระหว่างที่พวกเขาเดินดูร้านรวงต่างๆ คนผมสีเพลิงเด่นหยุดยืนมองอาวุธประเภทดาบด้วยความสนใจ คนข้างๆ จึงหยุดตามและมองอย่างไม่เข้าใจว่าอาวุธเหล่านี้น่าพิสมัยอย่างไร

ใบดาบบางและเบา ดูท่าทางแข็งแรง” มือหยาบกร้านด้วยรบทัพจับศึกมานานหยิบดาบเรียวยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาดูแล้วลองชักออกจากฝักดาบ

ดาบแบบนี้ฉันเคยเห็นตอนที่ไปคุโย” เจ้าของผิวกายขาวราวหิมะเอ่ย “รู้สึกว่าจะเรียกว่า ‘ดาบคาตานะ’

งั้นหรือ...” คนที่เชยชมดาบมีรอยยิ้มบางๆ “คมกริบราวกับกรงเล็บเหยี่ยว ฟันเพียงทีเดียวชีวาก็หาไม่”

เป็นคำชื่นชมที่น่าภาคภูมิใจของช่างตีดาบเหลือเกินครับ” เสียงแปลกไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านข้างไม่ห่างไกลนัก ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งผู้สะพายดาบเล่มโตไว้ที่เอว และอีกชายร่างเล็กที่แบกโล่ไว้บนหลัง “มาเร็วจังเลยนะครับ เจ้าชายฟรอสต์ เจ้าชายอพอลโล”

ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชายแห่งอวาลอนนิยมชมชอบเดินตามเจ้าชายอาณาจักรอื่น” อพอลโลยักยิ้มมุมปากก่อนจะวางดาบเล่มนั้นคืนที่แท่นวาง

พวกผมมาตรวจดูสถานการณ์ บังเอิญเจอเลยแวะมาทักทายน่ะครับ” คาลิเบิร์นยิ้มอย่างไม่ถือสา เพราะรู้นิสัยของคนตรงหน้าอยู่แล้วจากที่เคยพบกันในเทศกาลเวทมนตร์ที่โซลเชียนา

ทางเราเตรียมที่พักให้เรียบร้อยแล้วนะ ถ้าเดินชมเสร็จแล้วก็ไปที่ปราสาทได้เลย” พริธเวนเอ่ยอย่างเป็นมิตร

ทราบแล้ว เจ้าชายพริธเวน หลังจากพาอพอลโลเดินดูของเสร็จเดี๋ยวเราจะไปที่ปราสาท” ฟรอสต์กล่าวพลางเหล่สายตาไปหาคนข้างๆ แอบขำเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายเหล่กลับ

ถ้าเช่นนั้นพวกผมขอตัวไปตรวจตราต่อนะครับ”

ไว้เจอกันที่ปราสาทนะ”

เมื่อสองพี่น้องแห่งแดนอาวุธเดินจากไปแล้ว อพอลโลก็หันมามองคนที่ยืนข้างๆทันที กำลังจะปั้นหน้าดุใส่ก็กลับเปลี่ยนพลันเมื่อเห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยนของอีกฝ่าย สีหน้าแบบนั้นเขาเคยเห็นยามที่ฟรอสต์มองน้องชายทั้งสอง แต่ว่าเขาไม่ใช่น้องชายของฟรอสต์...ทำไมจึงถูกยิ้มแบบนั้นใส่...?

อยากดูอะไรอีกไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างใจเย็น

แล้วนายล่ะ?” เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจถามกลับ “ไม่มีอะไรที่อยากดูรึไง?”

อันที่จริงฉันก็ไม่ได้นิยมชื่นชมอาวุธนักหรอก แต่ถ้ามองในมุมศิลปะมันก็สวยดี ตามนายไปดูของที่นายชอบก็ไม่เลวเหมือนกัน” คนผมสีเงินหรี่ดวงตาลง

อพอลโลยิ้มกว้างอย่างเย่อหยิ่ง ก็เอาเถิด...สถานะตอนนี้ของพวกเขาก็ยังคลุมเครืออยู่ ตอนส่งจดหมายชวนมางานนี้ด้วยก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยากมาเหมือนกัน ขอคิดเข้าข้างตนเองว่าอีกคนก็คงอยากจะมาเพราะอยากทำความรู้จักตัวเขาเองก็แล้วกัน

ถ้าอย่างนั้นก็เดินต่ออีกสักหน่อยแล้วค่อยไปที่ปราสาท”

ตกลงตามนั้น”



 

ทวีปแห่งนี้ประกอบด้วยหลายอาณาจักรซึ่งเรียกโดยรวมว่า ‘แดนอาวุธ’ เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่สามารถเคลื่อนที่ได้และมอนสเตอร์ แต่ละอาณาจักรนั้นจำเป็นต้องต่อกรกับเหล่ามอนสเตอร์เพื่อไม่ให้เข้ามาทำร้ายประชาชนและบ้านเมือง การพัฒนาอาวุธจึงเป็นเอกลักษณ์เด่นของทวีปนี้ อวาลอนก็เป็นดินแดนหนึ่งที่พัฒนาอาวุธประเภทโล่และดาบจนมีชื่อเสียงโด่งดัง และเทศกาลประลองยุทธของอวาลอนจัดตั้งขึ้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพอาวุธของอวาลอน มีทั้งการประลองกับเหล่ามอนสเตอร์ และการประลองกับผู้เข้าร่วมการประลองด้วยกันเอง มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมประลองบาดเจ็บหนัก

อพอลโลได้รับเชิญให้มางานนี้ด้วยเพราะเคยใช้อาวุธให้สองพี่น้องคู่นั้นดู พวกเขาเลยอยากให้มาเข้าร่วมชมงานและแสดงความคิดเห็นว่างานนี้เป็นอย่างไรบ้าง คนถูกเชิญที่ชื่นชอบอาวุธอยู่แล้วก็ตอบรับที่จะไปทันที และยังแอบขอชวนเจ้าชายอีกคนไปด้วย พริธเวนและคาลิเบิร์นไม่ได้ว่าอะไรและยินดีถ้ามีคนมาร่วมงานเพิ่ม ด้วยเหตุนี้ฟรอสต์จึงได้มางานนี้ด้วยกันกับอพอลโลและเดินตามไปชมอาวุธเสียเกือบทั่วงาน

ขณะที่กำลังมองดูเกาทัณฑ์คันงามอยู่ ดวงตาสีเพลิงก็เหลือบไปเห็นชายร่างสูงใหญ่ผมสีบลอนด์ทองกำลังซื้อขนมอยู่กับชายร่างผอมบางอีกคนผมสีเงินพิสุทธิ์ประกายดาว มือหนาจึงวางธนูคันนั้นลงแล้วเดินดุ่มๆไปหา

กินรสอะไร? ช็อกโกแลตหรือว่าวานิลลา?” คนตัวใหญ่ถามคนข้างๆ อย่างอารมณ์ดี

แล้วแต่นายเลย” คนที่ตัวเล็กกว่ายิ้มบางๆ อย่างตามใจ

ง่า...” คนผมทองทำหน้าเศร้าเมื่ออีกฝ่ายไม่เลือกเสียที “ถ้างั้นเอารส

ปกติชอบช็อกโกแลตก็เลือกกินไปสิ” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยดังให้ทั้งคู่ได้ยิน คนที่ซื้อขนมอยู่ก็รีบหันขวับมามองเจ้าของเสียงเป็นตาเดียวกัน

อพอลโล?”

ลูกพี่!”

นี่พวกแกมาทำอะไรที่นี่?” อพอลโลกอดอกถามด้วยสีหน้าไม่พอใจนิดๆ

อ๊ะ...ก็...ลูกพี่บอกว่าจะมาที่นี่นี่นา” เฮราเคลสยิ้มร่าเริงตอบเสียงใส

ฉันบอกว่าจะมาแต่ก็ไม่ได้หมายความให้แกตามมา” ชายหนุ่มผมสีเพลิงทำหน้าหน่าย ไปทำราชกิจต่างที่ก็จะแอบเห็นไอ้หัวทองคนนี้ผลุบโผล่ๆ อยู่ตลอด แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปิดบังเรื่องเดินทางไปต่างถิ่นก็เถอะนะ...

น่าๆ พวกเราเป็นหน่วยเฝ้าระวังภัยอพอลโลนี่นา! ...เพื่อปกป้องลูกพี่จาก...อุ๊บ!” มือเรียวขาวรีบตะปบปากของเฮราเคลสทันที

หืม ปกป้องฉันจากอะไร? ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้พวกแกมาปกป้อง” คิ้วคมขมวดเข้าพลางชักสีหน้า

ไม่มีอะไรหรอก เฮราเคลสเขาก็พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ชแตร์รีบแก้ตัวให้คนที่มาด้วยกัน “ครั้งนี้พวกเราไม่ได้มาในฐานะตัวแทนราชอาณาจักร อยากให้นายช่วยปกปิดหน่อยได้ไหม?”

ฉันไม่บอกใครหรอก” อพอลโลรับปากมั่นเหมาะ เมื่อหันไปมองคนข้างกายที่ยืนนิ่วหน้าเงียบสนิทก็นึกขึ้นได้ “...รู้จักกันแล้วไม่ใช่หรือ? ที่งานเทศกาลเก็บเกี่ยวที่โรโตเรีย...”

อ้อ...เจ้าชายเฮราเคลสกับเจ้าชายชแตร์สินะ” ฟรอสต์ใช้ความคิดเพียงเล็กน้อย พูดเบาๆ ให้พอได้ยินกันในวง “ขออภัยที่เสียมารยาทไม่ได้เอ่ยทักทายก่อน”

ผมไม่ได้ติดใจอะไร เจ้าชายฟรอสต์” ชแตร์ยิ้มเล็กๆ ทว่าก็เปลี่ยนสีหน้าและดึงเสื้อของเฮราเคลสเบาๆ “เอ่อ...จริงสิ...พวกเรามีบางอย่างที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะ”

ชแตร์...?” พอสังเกตเห็นหน้าซีดเซียวของอีกคน เฮราเคลสก็รีบเออออไปตามน้ำ “งั้น...ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่ล่ะลูกพี่!” รีบพาชแตร์ออกไปจากที่ตรงนั้นทันที

อะไรของพวกมัน...” อพอลโลย่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันกลับมาหาฟรอสต์ “เริ่มมืดแล้ว ไปที่ปราสาทกันเถอะ...”

อืม...” พยักหน้ารับพลางเดินนำไปก่อน

ดวงตาสีแดงแอบมองไปทางซอกตึกที่มีเงาอะไรบางอย่างไหววูบอยู่ เมื่อลองเพ่งดูอีกครั้งให้ชัดๆก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เขาจึงเลิกสนใจและเดินตามคนที่ตนเองรักไป



 

วันต่อมา

หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้นลง กิจกรรมต่อไปคือการแสดงการประลองยุทธเพื่อแสดงแสนยานุภาพอาวุธของอวาลอน ระหว่างเจ้าชายของดินแดนอย่างคาลิเบิร์นกับพริธเวนและเจ้าชายแขกรับเชิญอย่างอาร์วีกับยูริอุส ฟรอสต์ลอบมองคนข้างๆ ที่มีท่าทีสนใจการประลองครั้งนี้ ดวงตาสีเพลิงที่เปล่งประกายราวกับเด็กน้อยเจอของเล่นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนที่มองอยู่

นายว่าทีมไหนจะชนะ?” เสียงทุ้มแหบเอ่ยถามหลังจากที่เงียบมานาน

หา...อะ...อ้อ...” เสียงที่ดังขึ้นเรียกสติของเจ้าชายหิมะให้กลับมาอยู่กับตัว มองไปยังลานกว้างเบื้องหน้าเพื่อดูสถานการณ์ “ไม่รู้สิ ท่าทางแข็งแรงแข็งขันกันทั้งคู่”

ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเสมอ หรือไม่ก็ฝ่ายพี่น้องอวาลอนต้องชนะเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้อาณาจักร” เรือนผมสีตะวันพลิ้วไหวยามสายลมพัดต้อง ร่างสูงกำยำกอดอกเอนหลังมองลานประลองอย่างสบายอารมณ์

นั่นสินะ ท่าทางชอบดูอะไรแบบนี้นี่นาย...” ลูกแก้วสีแดงเลื่อนไปมองคนข้างๆ อีกครั้ง

เพราะฉันต้องฝึกทหาร เรื่องแบบนี้ถือเป็นกิจวัตรประจำวัน...แต่การประลองที่น่าสนใจก็หาดูได้ยาก ได้มาดูแบบนี้ก็เป็นบุญตา” ขยับยิ้มเย่อหยิ่งแล้วจับจ้องมองไปตรงหน้าอย่างไม่วางตา

ฟรอสต์รู้สึกเจ็บในอกแปลกๆ เหตุใดคนข้างๆ ที่เอาแต่พร่ำบอกรักเขาถึงได้ทอดสายตาไปมองคนอื่นไม่กะพริบตา รู้สึก...ไม่พอใจ...

สายตาของนายควรมองแต่ฉันไม่ใช่หรือ?...



 

อีกด้านหนึ่ง...

แย่จริง งานประลองนี้ไม่มีอะไรสนุกๆ ให้ทำเลยเหรอเนี่ย...” สิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆใช้ปีกของตนบินร่อนไปรอบๆงานประลอง “คงไม่ต้องใช้หน้ากากนี้แล้วล่ะมั้ง...”

หมับ!

ว้าย!!” มีมือใหญ่คว้าเอาตัวภูตตัวจิ๋วไว้แล้วจับปีกเล็กๆ นั่นไม่ให้บินหนี

เห...เธอมีของที่น่าสนใจอยู่นี่นา...”

นะ...นายเป็นใคร!?” ดวงตากลมโตมองคนที่จับตนอย่างหวาดระแวง

หึ...ฉันเหรอ?” ดวงตาสีเพลิงมองหรี่มองอย่างมีเลศนัย “ฉันก็เป็นคนที่จะมอบความสนุกให้กับเธอน่ะสิ...”

เอ๊ะ?” ภูตน้อยมองอย่างไม่เข้าใจ

หน้ากากที่เธอว่าคงทำให้เราสนุกได้ใช่มั้ยล่ะ?” แล้วก็กระซิบแผนการบางอย่างให้เจ้าตัวเล็กฟัง เธอยิ้มคิกคักก่อนจะพยักหน้าตกลง



 

บ้าเอ๊ย! หายไปไหนแล้วเนี่ย” ร่างใหญ่โตผมสีบลอนด์ขมวดคิ้วเมื่อคลาดสายตาจากคนที่เขาติดตามอยู่

หลบไปเร็วมากเลย” เจ้าของเรือผมสีเงินมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่ต้องวิ่งและแอบไปตลอดทาง มือเรียวกุมหน้าอกตนอย่างทรมาน “อึก...” 

หวา ชแตร์...เป็นยังไงบ้าง?” คนตัวโตกว่ารีบเข้ามาประคอง “ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...กลับไปพักที่โรงแรมกันก่อนมั้ย?”

อือ ก็ดีเหมือนกัน ไหนๆ ก็ตามไม่ทันแล้ว...” ชแตร์ใช้ร่างของเฮราเคลสเป็นที่ยึดพิง “ถ้าอพอลโลอยู่กับเขาคงไม่เป็นไร”

ปวดแปลบในอกทุกครั้งที่พูดถึง อาการนี้...เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่เขาเห็นคนที่เขารักอยู่กับผู้ชายคนนั้น อยากจะลืมมันไปแต่ก็ยังเห็นชัดทุกครั้งที่หลับตา ยังดีที่มีคนตัวโตข้างๆ คอยคุยเล่นไม่ให้เขาคิดมาก

...เป็นหน่วยเฝ้าระวังภัยกับนายอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน...



 

การแสดงการประลองระหว่างเจ้าชายแห่งอวาลอนและเจ้าชายต่างถิ่นจบลงอย่างสวยงามด้วยการเสมอกัน เพลงดาบที่งดงามของเจ้าชายผมสีดำผู้ใช้ดาบใหญ่ทำให้อพอลโลรู้สึกสนอกสนใจจนต้องเดินลงไปคุยด้วย แม้ว่าจะรู้จักกันเล็กน้อยก่อนจะถึงพิธีเปิด แต่การได้เห็นฝีมือด้านศาสตราทำให้เจ้าชายผู้กร้านศึกอดที่จะชมเชยไม่ได้ ฟรอสต์ที่ไม่เคยเห็นคนที่มาด้วยเอ่ยชื่นชมใครจึงแปลกใจนัก ความไม่พอใจก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อเจ้าชายยูริอุสกับอพอลโลแลกดาบกันดู เจ้าชายแดนหิมะไม่สันทัดเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์จึงขอตัวไปเดินชมงานที่อื่นเพื่อหลบภาพบาดตาบาดใจนั้น

เป็นบ้าอะไรของเรานะ ทำไมต้องรู้สึกโมโหด้วย...

ฟรอสต์และผู้ติดตามเดินชมร้านรวงอย่างเรื่อยเปื่อย พบเจอร้านขนมก็นึกอยากซื้อไปฝากน้องชายคนเล็กที่ชอบกินของหวาน แวะร้านหนังสือลองเลือกเล่มวรรณกรรมของอัศวินหรือนักรบที่น่าสนใจเผื่อฝากน้องชายรอง และหนังสือปรัชญาที่อ่านยากให้กับตนเอง

กรี๊ดดดดดด!!! สัตว์ประหลาด!!!” เสียงกรีดร้องของชาวเมืองดังมาจากนอกร้านหนังสือ ฟรอสต์รีบเดินออกไปและสอบถามสถานการณ์จากชาวเมือง

เกิดอะไรขึ้น?!”

มีสัตว์ประหลาดจู่ๆก็บุกเข้ามาน่ะค่ะ...” หญิงสาวกลัวจนตัวสั่น

มันไปทางไหน?”

ทางนั้นค่ะ...” เธอตอบเสียงเบาแล้วชี้ไปยังลานประลอง

ไปหาที่ปลอดภัยอยู่ซะ!” เขาออกคำสั่งแล้วตรงไปยังทิศที่มอนสเตอร์เข้ามาทันที

ท่านฟรอสต์!” ผู้ติดตามร้องตามหลังด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ถูกสั่งให้อยู่ดูแลประชาชน พวกเขาจึงต้องอยู่ในบริเวณนั้นต่อ

บัดซบ! ถ้าเกิดว่ามันเข้าไปในงาน...อพอลโล...!

ฟรอสต์วิ่งมาถึงลานประลองและบริเวณที่จัดงานพบว่าพวกสัตว์ประหลาดที่กำลังอาละวาดและมีทหารหลายคนกำลังรุมล้อมเพื่อจัดการให้มันสงบลง ทับทิมน้ำงามที่เต็มไปด้วยความกังวลสอดส่องไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบร่างของคนที่เขาต้องการพบ ด้วยความโมโหและรีบร้อนฟรอสต์เรียกเอาผลึกน้ำแข็งยึดเท้าทั้งสี่ของสัตว์ประหลาดเอาไว้

ฉัวะ!

ใบดาบสีดำตวัดกลางอากาศเรียกเลือดมอนสเตอร์ให้ไหลซึมออกมาจากบาดแผล เจ้าของดาบเอาเท้าลงยืนบนพื้นอย่างมั่นคงก่อนจะเรียกให้เจ้าชายคาลิเบิร์นเผด็จศึก แม้เป้าหมายจะไม่ได้ทำให้สัตว์ประหลาดต้องจบชีวิต แต่การทำให้สลบและปล่อยคืนทีหลังก็ยากลำบากเอาการ

ปลอดภัยรึเปล่า? ...ฟรอสต์” เจ้าของเรือนผมสีดำคอนดาบในมือขึ้นอย่างมั่นคงคอยท่าว่าเมื่อมีคนเพลี่ยงพล้ำเขาจะเข้าไปซ้ำมอนสเตอร์ทันที

อืม เจ้าชายยูริอุส...” ฟรอสต์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “อ้อ ว่าแต่เห็นอพอลโลบ้างรึเปล่า?”

อพอลโล? ไม่นะ หลังจากที่แยกกันก็ไม่เห็นเลย เขาบอกว่าจะไปหานายนี่นา” ยูริอุสทำหน้าแปลกใจ

ไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” เจ้าชายแห่งสโนว์ฟิเลียขมวดคิ้วไม่พอใจก่อนจะหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่เดินมา

แล้วนั่นนายจะไปไหน?”

ไปหาอพอลโล”



 

หลายชั่วโมงผ่านไปหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองสงบลง

ในป่านอกเมือง กองสำรวจของอวาลอนกำลังลาดตระเวนหลังจากที่ได้รับคำร้องขอจากประชาชนที่เดือดร้อนที่จู่ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดโจมตีเข้าใส่

แปลกจังเลยนะ...เจ้าตัวนี้ปกติไม่ได้ดุร้ายนี่นา... ใครมาทำแบบนี้กับมันนะ?” คาลิเบิร์นมองสิ่งมีชีวิตขนฟูอยู่บนพื้นหญ้าพลางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “อีกอย่างคือพวกปีศาจกินฝันก็มีท่าทางประหลาดๆ ด้วย มันไม่ได้แค่มาแย่งชิงความฝันแล้วยังทำร้ายพวกมอนสเตอร์อีก...”

นั่นสินะ แปลกจริงด้วย...” พริธเวนมุ่นหัวคิ้วแล้วมองไปรอบๆ

บริเวณนี้ไม่น่าจะใช่ที่ที่กุหลาบเติบโตได้นี่นา” เจ้าชายแดนบุปผาและพฤกษาเบิกตากว้างเมื่อพบหนามกุหลาบขึ้นตรงบริเวณใกล้ๆ กับที่ที่สัตว์ประหลาดถูกทำร้าย

ยูริอุส...ป่านี้มันมีพวกพืชที่เคลื่อนที่ได้ด้วยนะ อาจจะเป็นพวกที่นายไม่รู้จักก็ได้” อาร์วีเอ่ยและมองหนามเหล่านั้นอย่างไม่ไว้ใจ

โอ๊ยยยยย!!! อ๊ากกกกกก!!!”

จู่ๆ ก็มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นกลางป่า เจ้าชายทั้งสี่มองหน้ากันก่อนจะให้เหล่าทหารแยกย้ายกันตามหาต้นเสียง ยูริอุสที่แปลกใจเรื่องหนามกุหลาบจึงชวนอาร์วีเดินตามหนามเหล่านั้นมาเรื่อยๆ พวกเขาเดินเข้ามาใจกลางป่าลึกและพบกับ...

ฟรอสต์ อย่าขยับสิ หนามพวกนี้มันดึงออกด้วยแรงไม่ได้”

บ้าเอ๊ย! ไอ้หนามนี่...!”

ฟรอสต์ ใจเย็นๆก่อนนะ...”

เฮราเคลสและชแตร์กำลังยืนประคองเจ้าชายหิมะที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยด้วยความเป็นห่วง เขาพยายามห้ามฟรอสต์ที่พยายามใช้กำลังออกแรงกระชากหนามที่รัดตัวอยู่ ทว่าทำได้ไม่นานนักก็หมดแรงและหายใจหอบอย่างทรมาน

ฉันรู้จักเจ้าหนามนี่ เจ้าภูตจอมซนนั่นอีกแล้วสินะ” เฮราเคลสขมวดคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ

ฟรอสต์ นายเจ็บตรงไหน...ผมจะอธิษฐานให้นายหาย...”

ไม่ได้นะชแตร์!” คนตัวโตรีบห้ามเพื่อนตัวเล็ก

แต่ว่า...”

เอ่อ ว่าแต่ใครสามารถอธิบายได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น” อาร์วีเอ่ยขัดสองคนที่กำลังคุยกัน

เจ้าชายอาร์วี เจ้าชายยูริอุส...” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา “อุก...ร่างกายมันไม่มีแรงเลย...”

ฟรอสต์ที่ถูกหนามกุหลาบรัดกับต้นไม้คล้ายกับผีเสื้อติดใยแมงมุม เขาอ่อนแรงลงทุกครั้งที่จะขยับกาย ดวงตาสีแดงปิดลงอย่างเหนื่อยล้า

คือ...” คนผมทองอึกอักที่จะเล่า เขามองหน้าคนร่วมสถานการณ์อีกสองคนก่อนจะตัดสินใจเปิดปากเล่าให้ฟัง



 

หลังจากที่คาลิเบิร์นและพริธเวนตามมาสมทบก็ได้รับทราบเรื่องราวว่า ฟรอสต์ที่กำลังตามหาอพอลโลจนเข้าป่ามาเจอพอดี จู่ๆ ก็ถูกอพอลโลที่สวมหน้ากากประหลาดเสกหนามกุหลาบมารัดร่างของฟรอสต์จนขยับไม่ได้แบบนี้ และโชคดีที่เฮราเคลสและชแตร์ที่บังเอิญตามมาเจอพยายามช่วยเหลือพอดี

แม้ว่าเรื่องราวที่จริงแล้วคือฟรอสต์และอพอลโลที่สวมหน้ากากแปลกๆ นั่นกำลังพลอดรักกันในป่าและอีกสองคนตามมาเจอ อพอลโลจึงหนีไปและรัดฟรอสต์ด้วยหนามกุหลาบไม่ให้ขยับได้ และอีกสองคนก็ไม่สามารถตามมาเพราะเป็นห่วงฟรอสต์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุดของฟรอสต์ดูไม่เรียบร้อยเหมือนตอนก่อนเข้าป่า

เป็นเพราะหน้ากากนั่นทำให้อพอลโลเปลี่ยนไป เขาไม่ใช่คนไม่ดีนะ!” เฮราเคลสรีบแก้ต่างให้ลูกพี่ของตน

จากที่ฟังที่นายเล่าเรื่องหน้ากากภูตอสูรนี่ให้ฟัง แสดงว่าถ้าไม่จัดการกับอพอลโลก็จะถอนหนามนี่ออกไม่ได้สินะ” อาร์วีเอ่ยรวบรัดตรงประเด็น “จะหลีกเลี่ยงไม่ปะทะก็ไม่ได้เสียด้วยสิ...”

คือ...” ชแตร์พยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป “เอ่อ...พลังสร้างไฟของอพอลโล...”

เฮราเคลสเข้าใจได้ทันทีว่าเพื่อนของเขากำลังจะพูดอะไร

คืออย่างนี้นะ เวลาอพอลโลสร้างไฟขึ้นมาหัวใจของเขาจะเจ็บปวดมาก ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากให้ทำหรอก...แต่ถ้าใช้พลังมากๆ เขาก็จะเหนื่อยและหมดสติไปเอง...”

เฮราเคลส!” มือเรียวขาวของชแตร์บีบแขนคนข้างๆ แน่น ดวงตาสีทองมองร่างเล็กกว่าด้วยแววตาเจ็บปวดไม่แพ้กัน

เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าวิธีที่จะทำให้เขาอ่อนแอลงคือปล่อยให้เขาใช้ไฟสินะ แต่ก็ต้องควบคุมไม่ให้เขาใช้มากเกินไปจนร่างกายเป็นภาระ” พริธเวนสรุปให้เข้าใจง่าย “เดี๋ยวพวกอสูรที่เขาเรียกมาให้พวกทหารจัดการ พวกเราก็ออกตามหาเจ้าชายอพอลโลกันเถอะ!”

สิ้นคำสั่งเจ้าชายลำดับที่หนึ่งของอวาลอน คนอื่นๆ ก็ออกไปจากที่แห่งนั้นจนหมด ทิ้งไว้เพียงคนแปลกหน้าสองคนและหนึ่งเจ้าชายที่นอนไร้เรี่ยวแรงบนรังแมงมุมที่สร้างจากหนามกุหลาบ ดวงตาสีแดงชาดหรี่ลงอย่างอ่อนล้า ถอนหายใจแผ่วเบาด้วยแรงอันน้อยนิด

อย่าเป็นอะไรไปเลยนะ อพอลโล...



 

โปรดติดตามตอนต่อไป...