10 ตอน Chapter 7 : The Wedge in the Heart
โดย ‘Umbrella’
เช้าวันใหม่ อาณาจักรโซลเชียนา แดนเวทมนตร์
ปกติเจ้าชายแดนหิมะเป็นคนที่ตื่นแต่เช้าตรู่ ทว่าเช้าวันนี้เขาตื่นสายจากปกติเล็กน้อยเพราะเมื่อคืนนั้นเขาต้องต่อสู้กับราชสีห์ตัวโตที่เอาแต่ใจไม่ยอมให้เขากลับห้องตนเอง ขนาดว่าจะตีเนียนหนีไปทานมื้อเย็นก็ยังไปตามถึงครัวทั้งที่ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี ลำบากเขาต้องพยุงกลับมาที่ห้อง ดีที่ว่าอิเรียเป็นห่วงเลยให้แม่บ้านให้เอาอาหารมาให้ถึงห้อง พวกเขาเลยไม่ต้องทนหิวไปถึงเช้า ทว่าก็ยังไม่มีใครไปแก้ต่างให้คนที่ถูกต่อว่าลับหลังเมื่อวานนี้
ยังหลับอยู่...
ฟรอสต์ค่อยๆ ลุกขึ้น ท่อนแขนแกร่งยังกอดก่ายเขาไม่ห่าง มือเรียวพยายามแงะมือปลาหมึกนั้นออกอย่างช้าๆ เพื่อไม่เป็นการปลุกให้อีกคนอื่น ดูท่าว่าเมื่อวานจะเหนื่อยและป่วยจริง เมื่อคืนก็หลับเร็วและหลับลึกหลับสนิทมาก จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก
สีหน้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อาการน่าจะดีขึ้น
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดีขึ้นกว่าเมื่อวานจึงวางใจและลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมของตนที่วางพาดอยู่เก้าอี้ข้างเตียงมาสวม พอเห็นชุดของอีกฝ่ายที่ถอดออกแล้วกองระเกะระกะที่ข้างเตียงก็หยิบมาสะบัดๆ ไล่ฝุ่นและวางพาดที่เก้าอี้ให้ เมื่อนึกไปถึงเมื่อคืนที่เขาถูกคนเปลือยท่อนบนนอนกอดทั้งคืนก็หน้าขึ้นสีระเรื่อ โชคดีที่อีกฝ่ายไม่คิด...หรือคิดแต่ไม่ทำก็ตาม และหลังจากนั้นเขาเสียเองที่เป็นฝ่ายจูบก่อนเสียหลายครั้ง ก็ได้แต่โทษในใจว่าเป็นความผิดของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาเสพติดการจูบไปแล้ว
ร่างสูงโปร่งผมสีเงินก้าวออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งให้เจ้าชายแดนสุริยานอนพักต่อเพียงลำพัง
จนเวลาล่วงมาใกล้เที่ยงวัน แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง พาดผ่านเตียงนอนหลังใหญ่และแยงตาสีตะวันให้เปิดขึ้นมารับแสงยามทิวา ดวงตานั้นหรี่ลงเล็กน้อยเพื่อปรับแสง ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเตียงอย่างแช่มช้าเพื่อหยิบเสื้อผ้าที่วางพาดอยู่บนเก้าอี้มาสวม เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องของเขาเปิดออก
“อ๊ะ...ขอโทษครับ!” เสียงเล็กๆ ของผู้เข้ามาใหม่ร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นเขากำลังแต่งตัว ประตูนั้นรีบปิดลงทันที “ดะ–เดี๋ยวผมจะยืนรอที่หน้าห้องนะครับ!”
และใช้เวลาไม่นาน เจ้าชายแห่งเพลิงก็แต่งฉลองพระองค์เสร็จ
“ฉันแต่งตัวเสร็จแล้ว เข้ามาสิ” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยเรียก ร่างสูงสง่าเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เคยพาดเสื้อผ้าไว้ มือหนาแตะที่อกซ้ายตนเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าไม่ร้อนเท่าเมื่อวานก็ถอนหายใจโล่งอก
ประตูห้องเปิดออกพร้อมด้วยเจ้าชายเจ้าของอาณาจักรทั้งสองคน และเจ้าชายผมสีเงินรูปร่างสูงโปร่งที่มีผ้าปิดตาข้างซ้าย ดวงตาสีตะวันจับจ้องที่เจ้าชายแปลกหน้าอย่างแวดระวัง
เจ้าชายอิเรียวางถาดที่มีซุปและขนมปังทาเนยที่โต๊ะใกล้กับที่เจ้าของห้องนั่งอยู่ ส่วนเจ้าชายมิยะก็นำนมโคสดและน้ำส้มคั้นวางไว้ข้างๆ กัน เจ้าชายที่ไม่คุ้นหน้าก็ถูกมิยะเชื้อเชิญให้นั่งลงข้างๆ อพอลโล
“แกรี่?” เสียงทุ้มเอ่ยทักคนข้างๆ
“คราวนี้ไม่ทักผิดแล้วนี่” เจ้าชายแกรี่ขยับยิ้มพอใจ นึกไปถึงคราที่พบกันครั้งล่าสุดถูกอีกฝ่ายทักผิดเป็นเจ้าชายองค์อื่น
“ถ้าผมสีดำเหมือนตอนเด็กฉันคงไม่ทักว่าเป็นคนอื่น” อพอลโลจ้องอย่างจับผิด แกรี่เผลอกลั้นลมหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อ่า แสดงว่ารู้จักกันมาก่อนแล้วจริงๆ สินะครับ” อิเรียขยับแว่นพลางยิ้มบาง
“เพราะตอนขอคำแนะนำจากแกรี่ว่าจะเชิญใครมาร่วมด้วยดี เขาเป็นคนแนะนำเจ้าชายอพอลโลและเจ้าชายไดอานี่นา” มิยะเสริมคำพูดของอิเรีย
“อา เพราะเราเป็นญาติกันน่ะ แม่ของอพอลโลเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของฉัน” แกรี่อธิบาย
“อ๋อ อย่างนี้นี่เองสินะครับ” อิเรียพยักหน้าเข้าใจ
“อืม...” มิยะเอากำปั้นทุบมือตนเองเบาๆ แฝดน้องยิ้มร่าแล้วดันถาดซุปและขนมปังมาให้คนที่ป่วย “อ๊ะ จริงสิ เจ้าชายอพอลโลคงยังไม่ได้ทานมื้อเช้า พวกเราก็เลยเอามาให้น่ะ”
“เจ้าชายฟรอสต์บอกว่าท่านอพอลโลไม่สบายมาก และเมื่อวานท่านก็ใช้พลังเกินขีดจำกัดทำให้ล้มป่วย ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ผมไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วท่านไม่ได้มีพลังไร้ขีดจำกัด” อิเรียมีสีหน้าหมองลง
“พวกเรารู้แค่ว่าเจ้าชายสองพี่น้องจากแฟลร์รูจมีความสามารถในการใช้พลังไฟ เราจึงเชิญมาร่วมงานเท่านั้นเอง” มิยะเอ่ยเสริม
“ถ้าเป็นแกรี่ก็น่าจะรู้และไม่แนะนำฉันสิ” อพอลโลสวนทันควัน ทำเอาคนที่ถูกพูดถึงแอบสะดุ้ง
“ฉันขอโทษ ฉันเองก็ลืมคิดไป” แกรี่พยายามทำตัวให้เป็นธรรมชาติ แต่ก็ดูเกร็งจนสายตาคมปลาบนั้นจับได้ “เอ่อ...เห็นว่านายกับพี่ชายไม่ค่อยสนิทกัน ฉันเลยอยากให้บรรยากาศในเทศกาลนี้ฟื้นฟูความสัมพันธ์–”
“ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ายื่นมือมาสอด” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด ผู้มาเยี่ยมทั้งสามเงียบปากทันที กิตติศัพท์เจ้าชายปากร้ายคงจะไม่ใช่แค่ข่าวลือจากพี่ชายที่ปล่อยข่าวให้คนอื่นรู้
“อะ–เอ่อ...ทานมื้อเช้าก่อนเถอะนะครับ” อิเรียพยายามใจดีสู้เสือ...สู้สิงโตที่กำลังหงุดหงิดตรงหน้า ดวงตาสีตะวันตวัดมาจ้องอย่างดุๆ
“กินให้ดูก่อน” คำพูดของเจ้าชายแสนดุทำให้มิยะร้อง ‘หา’ ออกมาเสียงดัง “ฉันจะได้แน่ใจว่าไอ้ไดอาไม่ได้วางยามา”
สิ้นคำพูด มิยะกับอิเรียก็ร้องอ้อทันที และเพื่อแสดงความจริงใจ ทั้งมิยะและอิเรียก็ตักซุปกินกันคนละช้อน และบิขนมปังกินให้ดูเล็กน้อย จากนั้นจึงดื่มน้ำส้มคั้นและนมคนละอึก
“กินแบบนี้แล้วจะให้ฉันกินต่อได้อย่างไร?” เสียงทุ้มเอ่ยดุมาอีก เจ้าชายวัยรุ่นทั้งสองถึงกับสะอึกเมื่อนึกได้ว่าคงเสียมารยาทหากให้แขกกินอาหารต่อจากพวกเขา
“อ่า...” มิยะพยายามจะแก้สถานการณ์ แต่อพอลโลยกมือห้าม
“ไหนๆ ก็ยกมาให้แล้ว ฉันจะกินก็ได้ หิวอยู่พอดี” มือหนาหยิบขนมปังมาบิเป็นชิ้นพอดีคำและใช้ตักแทนช้อนที่ถูกฝาแฝดใช้ไปแล้ว
“เอ่อ รสชาติเป็นอย่างไรบ้างครับ?” อิเรียเห็นเจ้าชายต่างแดนทานอาหารก็อดจะถามความรู้สึกด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
“ไม่อร่อย”
อิเรียถึงกับหน้าเสียทันที
“แต่เอามาแค่นี้ฉันไม่อิ่มหรอก”
มิยะแอบกำมือแล้วร้องเยสอยู่เบื้องหลังอิเรีย
“ถะ–ถ้าอย่างนั้นผมจะไปเอามาให้...”
“เดี๋ยวฉันไปเองนะอิเรีย” มิยะรีบออกตัวแทนก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป แม้จะอยู่นอกห้องแล้วก็ยังได้ยินเสียงตะโกนว่า ‘เย้’ ดังมาถึงข้างในห้อง อิเรียถึงกับกุมขมับส่ายหน้า
“ว่าแต่...แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พอทานหมดถาด อพอลโลก็หันมาถามคนนั่งข้างๆ
“ฉันมาถึงเมื่อวานก่อนเริ่มพิธีเปิดงานนิดหน่อย” แกรี่ตอบไปตามจริง “อันที่จริงควรมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ฉันติดธุระที่อาณาจักรเลยต้องมาช้ากว่ากำหนด”
“ใช่ครับ ท่านแกรี่ก็แจ้งไว้แล้วครับ” อิเรียเสริมแกรี่
เจ้าชายแดนสุริยาไม่ตอบอะไรนอกจากนั่งรออาหารที่มิยะกำลังไปเอามาเพิ่ม ทางด้านแกรี่ก็กลัวจะถูกจับพิรุธอะไรได้ แม้ว่าจะพยายามทำตัวเนียน อีกฝ่ายที่จ้องจะจับผิดก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่จะทำให้เขาดูไม่ใช่แกรี่ในตอนนี้
บางทีเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจอาจจะคิดผิดไปกระมัง
ตกบ่าย เมื่อรู้สึกดีขึ้นและพอมีแรงจะทำอะไรแล้ว เจ้าชายแห่งแฟลร์รูจก็ออกจากห้องด้วยฉลองพระองค์ไม่เป็นทางการตัวใหม่ที่อิเรียจัดหามาให้ ระหว่างทางที่เดินในปราสาท เจ้าชายหลายพระองค์ได้มาขอโทษที่เคยต่อว่าอพอลโล และเมื่อเขาเอ่ยถามถึงคนก่อเรื่อง ทุกคนก็บอกว่าเจ้าชายไดอาได้ถูกตามตัวกลับไปทำธุระต่อที่แฟลร์รูจแล้ว แม้จะผิดหวังที่อยากจะเอาคืนสักหน่อย แต่เขาก็มีเป้าหมายอื่นที่มาโซลเชียนานอกจากการแสดงในพิธีเปิด
“ฟรอสต์อยู่ไหน?” ร่างสูงใหญ่ยืนขวางหน้าเจ้าชายรูปร่างสมส่วนผมสีเงินที่ถือหนังสือกำลังจะเดินกลับห้องของตน
“จะอยากรู้ไปทำมะ– ถอยออกไปเลยนะ!” คนที่ตัวเล็กกว่าถูกดันเข้าหาผนัง มือเรียวยกหนังสือเล่มโตขึ้นมาขวางระหว่างตนกับคนตัวใหญ่ไว้
“โวยวายกว่าคนพี่...” เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ มือหนาเชิงคางร่างเล็กกว่าให้เงยหน้ามาสบตา “เอาล่ะ บอกมาซะว่าพี่ชายนายอยู่ไหน”
“...อยู่ในเมือง กำลังเดินเล่นกับเจ้าหญิงกับชเนย์” เกรเซียรู้สึกหนาวๆร้อนๆกับสายตาอันทรงพลังนั้นจนเผลอตอบไปตามจริง เพราะถ้าเขาโกหกอีกฝ่ายจะต้องจับได้แน่นอน
“หืม? แล้วทำไมนายไม่ไปกับพี่น้องนายล่ะ?” มือหนาละออกจากคางมนและถอยออกห่างเพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม
“เมื่อวานไปเที่ยวทั้งวันแล้ว ฉันเหนื่อย” เจ้าชายรองแห่งสโนว์ฟิเลียหลับตาลงก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่อีกฝ่ายถอยห่างไป
“มีพี่น้องที่ดี...” เสียงทุ้มนั้นพึมพำก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เกรเซียต้องยืนงง
พอมาถึงในเมือง อพอลโลไม่ต้องใช้เวลามองหานานก็พบร่างสูงสง่าเจ้าของเรือนผมสีเงินที่เดินอยู่กับเด็กชายผมสีเดียวกัน และข้างๆ กันก็มีหญิงสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลเดินเยื้องไปด้านหลัง
เจ้าของดวงตาสีตะวันจับจ้องอย่างไม่พอใจนัก ขายาวแกร่งเดินตรงเข้าไปคว้าเอาแขนเรียวของเจ้าชายแดนหิมะและกระชากให้เดินแยกกลุ่มออกมา จนเด็กชายและหญิงสาวร้องออกมาอย่างตกใจ
“พี่ฟรอ!”
“คุณฟรอสต์! คุณอพอลโล?”
“ขอยืมตัวก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับฟรอสต์” ไม่พูดอะไรมากและไม่ปล่อยให้ฟรอสต์พูดอะไรอีก ราชสีห์หนุ่มก็ลากแขนคนที่สูงใหญ่พอกันให้เดินมายังที่ที่ลับตาคน
พอแรงฉุดกระชากที่แขนเบาลง ฟรอสต์ก็สะบัดแขนออกแล้วกอดอกอย่างไม่พอใจ ทว่าคนที่ฉุดเขามากลับยกยิ้มพอใจและยังหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นเขาโกรธอีก
“มีธุระอะไร?”
“ทำไมไม่ปลุกฉัน?”
“ก็เห็นนอนอยู่” ดวงตาสีทับทิมเสไปมองทางอื่นเพื่อคลายความหงุดหงิดไม่ให้ระเบิดออกมา
“ก็เลยลุกออกมาก่อน?” เสียงทุ้มขึ้นสูงด้วยความไม่พอใจในคำตอบ
“เออ”
“ตื่นมาไม่เจอนาย ฉัน–”
“เออ!” ยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกเจ้าชายแดนหิมะขัดคำพูดก่อน
“เป็นห่วงฉัน?”
“เออ...เอ๊ย ไม่ใช่!” ทีแรกก็ถามสั้นตอบห้วนกันอยู่ด้วยความหงุดหงิด แต่ก็เผลอหลุดเพราะอยากจะรีบจบบทสนทนา
“กลัวฉันนอนไม่พอ?”
“ไม่ใช่!” คนฟังรู้สึกหงุดหงิดจะเป็นบ้า คนอะไรหลงตัวเองชะมัด
“ทั้งที่เมื่อคืนก็ไม่ได้ใช้แรงมากแท้ๆ...”
“ไม่ชะ– เดี๋ยว พูดอะไรของนาย หา?!” ฟรอสต์ถึงกับหน้าขึ้นสีเมื่อได้ยินคำที่ชวนคิดสองง่ามสามแง่
เจ้าชายแดนสุริยาถึงกับต้องกลั้นขำจนไหล่สั่นเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลุด และเมื่อเห็นใบหน้าแดงซ่านของอีกฝ่ายก็ต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ฉันหมายถึงแรงกอด...” อพอลโลแก้ความกำกวมนั้นก่อนจะโดนแช่เป็นประติมากรรมน้ำแข็ง
“หมดธุระของนายหรือยัง?” เจ้าของเรือนผมสีเงินเสยผมเพื่อระงับอาการโมโห
“ยังเลย”
“ต้องการอะไรอีก?” ฟรอสต์กอดอกฟังอย่างเหนื่อยหน่าย
“พาฉันเที่ยวทีสิ” ได้ฟังคำตอบก็แทบจะถลึงตาใส่ “เดี๋ยวให้จูบเป็นรางวัล”
ผัวะ!
หมัดถูกปล่อยออกมาชกลงตรงกลางอก ใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อที่ผิวแก้มและใบหู คนโดนชกก็มีสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมาทันที ร่างสูงใหญ่ผมสีเพลิงถึงกับเซจะทรุด
“ทำไมไม่หลบเล่า?!” เป็นคนที่ชกเสียเองที่ต้องรีบเข้ามาพยุงอีกฝ่าย
“ตกลงว่าจะพาเที่ยวใช่ไหม?” เสียงทุ้มอันไม่เจียมตัวว่าเจ็บอยู่เอ่ยขึ้นทวงคำตอบ
“เออ ก็ได้ เห็นแก่คนป่วย...” ท้ายเสียงเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ แต่เพราะตกลงไปแล้ว เจ้าชายแดนหิมะจึงต้องพาเจ้าชายแดงสุริยาเดินเที่ยวชมเทศกาลเวทมนตร์นี้
หรืออันที่จริงเจ้าชายผมเงินจะสนใจรางวัลกันแน่?
ฟรอสต์ที่มาเที่ยวกับน้องชายแล้วก็พาอพอลโลเดินชมงานไปตามจุดที่เคยเดินผ่านมาแล้ว ทั้งร้านอุปกรณ์เวทมนตร์ต่างๆ อาหาร ขนม ซุ้มกิจกรรมต่างๆ เจ้าชายที่อ่อนวัยกว่าก็ดูจะสนใจพวกเวทมนตร์ที่ประกอบอาวุธได้ ซ้ำยังเข้าไปลองใช้กับมีดสั้นที่พกมาด้วยอย่างไม่เจียมสังขารอีก คนพาเที่ยวถึงกับถอนหายใจให้กับเจ้าชายนักรบตรงหน้า
สายตาของอพอลโลสอดส่องไปเห็นเจ้าชายอิเรียที่กำลังพูดคุยอยู่กับชายร่างสูงผมสีดำคนหนึ่งที่เขารู้สึกคุ้นหน้า แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน จนเสียงของคนข้างๆ ดังขึ้นทำให้เขาเบนความสนใจมาอยู่กับคนพาเที่ยวแทน
“นี่ก็เย็นแล้ว ฉันมีกำหนดการจะต้องกลับอาณาจักรคืนนี้” ฟรอสต์เอ่ยเตือนคนที่กำลังจะทำให้เขาเสียเวลา
“ไม่เห็นบอกก่อน” อพอลโลที่กำลังสนุกหันมามุ่นคิ้วใส่
“ก็...”
“อ๋อ กลัวฉันพะวงจนจะเที่ยวไม่สนุกล่ะสิ?”
“...เออ” ฟรอสต์จำต้องตอบรับไป เพราะด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงคนตรงหน้าอีก
“ถ้าอย่างนั้นมาทางนี้...” มือร้อนคว้าแขนเรียวให้เดินตามมายังซอกตึกที่ลับตาผู้คน
อพอลโลดันให้อีกฝ่ายหลังชิดผนังและเขาค่อยเบียดกายเข้าหาอย่างช้าๆ ก่อนจะยกแขนโอบรอบเอวสอบกอดไว้หลวมๆ มือเรียวยกขึ้นดันไหล่อีกฝ่ายอย่างประหม่า
“จะทำอะไร?” แม้ในใจฟรอสต์จะมีคำตอบอยู่แล้ว ทว่าก็ยังถามออกไปเพื่อให้แน่ใจ
“ให้รางวัล...” สิ้นคำพูด ริมฝีปากอุ่นร้อนก็ประทับปิดเรียวปากบางที่เผยอรับสัมผัสทันที
ครานี้ฟรอสต์หาได้ต่อต้าน เพราะเขามั่นใจว่ามันจะต้องจบลงแค่จูบ มือเรียวยกขึ้นลูบเส้นไหมสีตะวัน สอดนิ้วเข้ากลุ่มเส้นผมและลูบไล้ต้นคอหนาอย่างพึงพอใจ ดวงตาสีทัมทิมปิดลงรับความรู้สึกที่กำลังถาโถมเข้ามา ขยับริมฝีปากตอบรับอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณที่เคยเรียนรู้มาเมื่อคืนนี้ เรียวลิ้นร้อนเริ่มรุกเข้ามาในโพรงปากของเจ้าชายแดนหิมะ ลิ้นเล็กขยับทักทายตามที่ถูกสอนมาอย่างตื่นเต้น
สองเจ้าชายแลกจูบแลกลมหายใจกันอยู่นานสองนาน เสียงแลกเปลี่ยนของเหลวในปากส่งเสียงดังอย่างน่าอาย แม้ทั้งคู่ไม่ส่งเสียงอะไรออกมามาก แต่เสียงหัวใจที่เต้นระรัวสอดประสานกันก็แสดงความพึงพอใจต่อการสัมผัสกันและกัน และเมื่อรับรู้ได้ว่าคนถูกกอดกำลังจะหมดแรง เจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงจึงต้องละออกอย่างแสนเสียดาย
“พอแล้วใช่ไหม?” ฟรอสต์ทำทีเป็นเฉยๆ แต่ไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ที่ไหนจึงหลุบลงต่ำด้วยความขะเขิน
“ถ้านายพอแล้ว ฉันก็พอ” คำพูดนั้นเหมือนจะตามใจอีกฝ่าย ทว่าอพอลโลก็รู้ดีว่า ‘มันยังไม่พอ’ อีกฝ่ายเพียงแค่ต้องยับยั้งชั่งใจไม่ให้มันนานไปมากกว่านี้
“ฉันต้องกลับแล้ว” แขนแกร่งคลายออกอย่างรู้หน้าที่ และทำให้คนที่ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรต้องเซลงมาซบอกแกร่ง
“อ้าวๆ เป็นอะไรไป คุณเจ้าชาย” อพอลโลขำเบาๆ เมื่อเห็นคนตรงหน้าหมดแรงจนต้องมาใช้ร่างของเขาเป็นที่ยึดเพื่อยืนตรง
“บัดซบ...” พอรู้ตัวว่าทำอะไรที่ขายหน้าให้คนขี้แกล้งเห็นก็สบถออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ ขายาวๆ รีบก้าวออกจากซอกตึกก่อนจะถูกเห็นอะไรที่น่าอายอีก
โชคดีที่เจ้าชายแห่งตะวันไม่ได้จูบรุนแรงจนทำให้ริมฝีปากของฟรอสต์เห่อแดงจนสังเกตได้ แต่ใบหน้าแดงเรื่อของฟรอสต์ก็ยังไม่เหมาะที่จะไปเจอน้องชายและกลับอาณาจักร
“ฟรอสต์...” มือร้อนคว้าแขนรั้งไว้
“อะไรอีก?” คนถูกคว้า
“ฉันจะได้พบนายอีกไหม?”
ฟรอสต์ไม่ตอบคำถามและสะบัดแขนออก ขายาวก้าวเดินไปยังปราสาทเพื่อไปพบน้องชายที่กำลังรออยู่แทน อพอลโลเดินข้างๆ อย่างเงียบๆ จนผิดวิสัยของเจ้าชายที่ชอบแกล้งเขา แต่ก็ดีแล้ว หากพูดจาอะไรขึ้นมามันอาจทำให้เขาปรับอารมณ์ไม่ทันก่อนจะไปเจอน้องๆ ที่อาจจะเอ่ยแซวเขาได้ทุกเมื่อ
แต่เขาก็หงุดหงิดเมื่อเห็นสิงโตกลายเป็นแมวหงอยแบบนี้
“นี่ ถึงจะไม่ได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้ เดี๋ยวนายก็มีวิธีตามหาฉันอยู่ดี” คิ้วเรียวสีเงินกดลงอย่างไม่สบอารมณ์
“ถูกของนาย” รอยยิ้มเย่อหยิ่งเผยออกมาอย่างทะนงตน ดูท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
“เออ ฉันกลับก่อนล่ะ” ไม่รอให้เสียเวลาและเสียแรงหัวใจเต้นไปมากกว่านี้ พอเดินมาถึงปราสาทเขาก็แยกตัวไปห้องของน้องๆ ทันที
“แล้วพบกันใหม่” ราชสีห์หนุ่มที่อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาก็ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ที่มุมปาก
เมื่อบอกลากันแล้ว อพอลโลก็ตั้งใจจะเดินกลับห้องเพื่อพักผ่อน ทว่าเมื่อเดินผ่านสวนก็ได้ยินเสียงคนที่พูดคุยกัน เสียงนั้นฟังแล้วคุ้นเคยเหมือนได้ยินที่ไหน พอดวงตาคมกริบหันไปตามต้นเสียงก็พบเจ้าชายสองพระองค์ที่กำลังง้องอนกันอยู่
“เกรเซียเอ๋ย จะต้องจากกันแล้ว เจ้าโกรธเคืองข้าด้วยเหตุอันใด?” เสียงทุ้มต่ำราวกับคนมีอายุเอ่ยกับเจ้าของเรือนผมสีเงินที่ยืนกอดอกหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า
“ไหนบอกว่าวันนี้จะอยู่ด้วยไง ฉันอุตส่าห์ไปรอที่ห้อง” น้ำเสียงโมโหทำเอาคนฟังต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“พี่ชายของข้าเกิดอยากไปเที่ยวขึ้นมาข้าจึงต้องไปเป็นเพื่อน คิดว่าจะกลับมาทันพบเจ้า...”
“เพิ่งมาตอนนี้...เนี่ยนะ!!”
“เกรเซีย...” วงแขนแกร่งโอบกอดร่างที่เล็กกว่าอย่างใจเย็น จุมพิตที่ริมฝีปากแผ่วเบาโดยไม่ให้คนอ่อนวัยกว่าต้องตั้งตัว
“อ๊ะ...”
“ไว้คราวหน้าข้าจะเชิญเจ้าไปที่อิโรกุ เป็นการชดเชยที่วันนี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบาที่ข้างใบหู และทิ้งท้ายด้วยการจูบกลางหน้าผากของคนงอน
“สะ–สัญญาแล้วนะ...” คนผิวขาวจัดใบหูแดงซ่านขึ้นมา แต่ยังไม่ทันจะได้ฟังคำตอบ เขามองข้ามไหล่ของคนที่กอดไปเห็นคนที่บังเอิญเดินผ่านมาพบพอดี “อะ–อพอลโล?!!”
คนที่ยืนมองแบบไม่แอบก็เลิกคิ้วน้อยๆ เกรเซียรีบขืนตัวออกจากอ้อมกอดของชายร่างครึ่งจิ้งจอกและตรงมาหาเจ้าของชื่อที่เขาเรียกเมื่อสักครู่
“นาย...แอบมองเหรอ?!” คนถูกมองตอนกำลังพลอดรักหน้าแดงจัดและกัดฟันกรอด
“ฉันไม่ได้แอบ” อพอลโลยกยิ้มกึ่งจะล้อเลียนคนตรงหน้า “มองตรงๆ เลยล่ะ”
“ไอ้...!!!”
“เกรเซีย!” คนที่สูงวัยกว่าก็รีบเข้ามาห้ามคนรักวัยรุ่นก่อนจะวุ่นวายไปมากกว่า “เจ้าชายอพอลโล ต้องโทษด้วยที่เกรเซียเสียมารยาทต่อว่าท่าน แต่ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและไม่ไปบอกเจ้าชายฟรอสต์ได้หรือไม่?”
“หืม?”
“ข้าเองก็จะไม่บอกใครเรื่องของท่านที่อุทยานแดนช็อกโกแลตเช่นกัน” เจ้าชายแดนเทพจิ้งจอกเอ่ยยื่นข้อเสนอที่ทำให้อพอลโลปฏิเสธไม่ได้ เพราะถ้าหากความลับเรื่องนั้นแตก ฟรอสต์เองจะเป็นฝ่ายเสียหาย
“ตอนนั้น...ท่านเห็น?” เจ้าของผมสีขาวและหูจิ้งจอกฟูฟ่องพยักหน้า เจ้าชายแดนสุริยาจึงพยักหน้าอย่างจนใจ “ก็ได้...”
“เท่านี้ก็สบายใจแล้วนะ เกรเซีย” เจ้าชายแห่งสายฝนยิ้มบางและลูบไหล่คนรักเบาๆ ให้ใจเย็น ก่อนจะตบหลังผู้เยาว์วัยกว่าให้กลับเข้าปราสาท “เจ้าชายอพอลโลกลับมาแล้วแบบนี้แสดงว่าพี่ชายของเจ้าก็ต้องกลับมาแล้วเช่นกัน เจ้าควรรีบไปหาเขา”
เกรเซียลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันมามองอพอลโลอย่างไม่ไว้ใจ แต่คนรักตัวโตที่ยืนข้างๆ ก็ทำหน้าดุและเร่งเร้าให้รีบ เขาจึงเอ่ยคำลาสั้นๆก่อนจะรีบรุดเข้าปราสาทไปหาพี่ชายใหญ่ที่คงจะรอนานแล้ว ส่วนเจ้าชายครึ่งจิ้งจอกก็ผงกหัวบอกลาอพอลโลก่อนจะเดินกลับเข้าปราสาทไปเช่นกัน
คนที่บังเอิญเดินผ่านมาเจอก็ถอนหายใจน้อยๆ เมื่อต้องเข้ามาเจอกับเรื่องรักลับๆ ของสองเจ้าชายที่ต้องแอบพี่ชายมาพบกันแบบนี้ และนึกไปถึงตนเองกับฟรอสต์ที่ต้องซ่อนแอบความสัมพันธ์ที่เริ่มเกินเลยเช่นกัน
ฟุ่บ ฟุ่บ!
เสียงพุ่มไม้ไหวทำให้เจ้าชายที่ระมัดระวังตนเสมอต้องตวัดสายตาคมมองหาต้นเสียง และเมื่อพบต้นเสียงก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ก่อนจะใช้มือหนาตะครุบปิดปากคนที่ทำตัวมีพิรุธเมื่อครู่
“เจ้าชายอิเรีย กำลังทำอะไรอยู่?” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวว่าเขาเห็น ดวงตาสีไพลินเลื่อนขึ้นมาสบและหลับตาลงอย่างยอมแพ้ มือหนาก็ค่อยคลายออกปากเล็กๆ นั่น
“คือผม...เห็นเจ้าชายแกรี่มีท่าทีแปลกๆ เห็นเขาแอบออกจากปราสาทตอนเริ่มมืดก็เลยแอบตามมาดูครับ” อิเรียสารภาพสิ่งที่เขาทำ อพอลโลจึงวางใจเมื่อรู้ว่าไม่ได้แอบมาลอบทำร้ายเขา
“แกรี่น่ะหรือ?” อพอลโลไม่แปลกใจหากแกรี่จะทำตัวมีพิรุธ เพราะเขาก็จ้องจับผิดมาตั้งแต่กลางวันแล้ว
อิเรียยกนิ้วชี้ทิศทางที่แกรี่วิ่งตามลูกไฟสีส้มดวงเล็กไป เป็นทางเข้าป่าที่จะออกนอกเขตพระราชฐาน อิเรียนั้นลังเลที่จะตามไป แต่อพอลโลกลับคว้าแขนเล็กๆ นั้นและวิ่งตามเข้าไปในป่า
ภายในป่า
ลูกไฟสีส้มที่ชายหนุ่มผมสีเงินปิดตาข้างหนึ่งอุตส่าห์วิ่งตามมาก็ค่อยๆ มีขนาดเล็กลง จนมันใกล้จะสลายไปก็มีเสียงร้องเรียกจากใครบางคนที่ทำให้เขาต้องรีบรุดวิ่งไปหาทันที
“กิลเบิร์ต!”
“พี่!”
ชายหนุ่มผมสั้นสีดำยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นคนที่วิ่งมาหาเขา แขนแข็งแรงอ้าออกเพื่อรอรับกอดผู้มาเยือนที่โผเข้ากอดเขาเสียเต็มแรง
“เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ กิลเบิร์ต” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนโยน มือหนาลูบศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นไหมสีเงินอย่างเอ็นดู
“พี่...”
“อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง...”
ยังไม่ทันที่เจ้าชายแกรี่ตัวปลอมจะได้เอ่ยอะไรกับชายผมสีดำสนิท เสียงทุ้มกังวานก็เอ่ยขัดการพบกันของทั้งคู่ กิลเบิร์ตหน้าซีดทันทีเมื่อรู้ว่ามีคนตามมาและอาจทำให้ตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผย อาจเป็นเพราะได้รับจดหมายเวทมนตร์ทำให้รีบร้อนออกมาพบพี่ชายจนไม่ทันระวังตน
“ใคร? จงเผยตนออกมา!” และเป็นชายผมดำที่เอ่ยท้าทายแก่คนแปลกหน้า
ร่างสูงสง่าเจ้าของเรือนผมสีอาทิตย์อัสดงก้าวออกมาจากเงาของต้นไม้ และเด็กหนุ่มร่างเล็กผมสีบลอนด์ซีดที่เดินตามหลังคนตัวโตออกมา
“อพอลโล...กับท่านอิเรีย?”
“อ๊ะ คุณ...” อิเรียถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อพบชายผมสีดำที่เขาเคยเจอเมื่อหนึ่งปีก่อนและพบอีกครั้งในงานเทศกาลเมื่อตอนกลางวัน
“นี่รู้จักกันหมดเลยหรือ?” และเป็นกิลเบิร์ตที่ยืนงงจับแพะชนแกะไม่ถูก
“เฮ้อ...ต่อหน้าอพอลโลแล้ว ฉันคงปกปิดตัวตนไม่ได้แล้วล่ะ” ชายผมดำหัวเราะเบาๆอย่างอ่อนใจ “ขอแนะนำตัวเลยก็แล้วฉัน ฉันคือเจ้าชายแกรี่แห่งแคลร์บูล ส่วนนี่น้องชายต่างแม่ ชื่อกิลเบิร์ต”
“พี่!” กิลเบิร์ตถึงกับเหวอเมื่อพี่ชายของตนเปิดเผยตนออกมา
“คุณคือ...เจ้าชายแกรี่?” อิเรียกะพริบตาปริบๆ มองชายผมดำ และพอหันมามองชายผมสีเงินที่ยืนเหงื่อตกอยู่ข้างๆ “แล้ว...เจ้าชายแกรี่?...”
“ท่านอิเรีย ผมต้องขอโทษด้วยที่ปกปิดตัวตน ผมมีเหตุผลนะครับ” แกรี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนรู้สึกผิด อิเรียกลับส่ายหน้าและบอกว่าไม่ได้ใส่ใจ
“เอ่อ...ผมแค่ตกใจครับ แต่ว่าก็คงมีเหตุผลสำคัญทำให้ต้องให้ท่านกิลเบิร์ตทำหน้าที่เป็นเจ้าชายแกรี่แทนสินะครับ”
“อ่า เรื่องมันยาวน่ะครับ เดี๋ยวค่อยเคลียร์กันหลังจากนี้นะครับ ผมคิดว่าผมมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กับอพอลโลก่อน” แกรี่ส่งยิ้มให้อิเรียอย่างอ่อนโยน และหันมาสั่งน้องชายด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ปนขอร้อง “ส่วนกิลเบิร์ต ขอให้นายเล่าบางเรื่องให้ท่านอิเรียฟังก็แล้วกัน นายกลับไปก่อนนะ”
เมื่อความแตกแล้ว กิลเบิร์ตจึงไม่จำเป็นต้องเก๊กท่าเป็นแกรี่ เขาพยักหน้าและพาอิเรียกลับไปที่ปราสาทก่อน ปล่อยให้แกรี่ต้องอยู่กับอพอลโลตามลำพัง
“ฉันคิดว่ากิลเบิร์ตทำได้ดีแล้วเชียว ...เธอรู้ได้อย่างไร?” แกรี่เป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“สรรพนามที่เขาใช้ ทุกครั้งที่เราพบกัน แกจะใช้ ‘เธอ’ กับฉันที่อายุน้อยกว่าตลอดมาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับเรียกฉันว่า ‘นาย’ เหมือนกับคนอายุไล่เลี่ยกัน”
“ฮะๆ แสดงว่ายังพอจำฉันได้อยู่สินะ...” เจ้าชายแห่งแคลร์บูลหัวเราะเบาๆ “คิดถึงสมัยนั้นจัง”
“ตอนเด็กๆ ไปมาหาสู่กันออกจะบ่อย ทำไมจะจำไม่ได้” เจ้าของเรือนผมสีตะวันมุ่นหัวคิ้วหงุดหงิดเล็กน้อย ตั้งแต่เด็กแล้วชายคนนี้ก็ชอบแหย่เขาเล่นบ่อยๆ
“แล้วนี่...ลิ่มที่หัวใจ ถอนออกได้ไหม?” มือใหญ่คล้ายอุ้งเท้าหมีแตะเบาๆ ที่แผ่นอกของผู้อ่อนวัยกว่า
อพอลโลถึงกับพูดไม่ออกและหลบสายตาของคนที่อายุมากกว่า เพียงแค่นั้นแกรี่ก็เข้าใจทันทีว่ามันเป็นคำสาปที่หาทางแก้ไขไม่ได้ นึกไปถึงครั้งล่าสุดที่เคยพบกัน อพอลโลยังเป็นเพียงเด็กชายที่ถูกพ่อทอดทิ้งและทำร้าย ผ้าพันแผลเต็มกายอันเกิดจากการตอกลิ่มเข้าที่หัวใจและคำสาปนั้นลุกลามไปทั่วร่าง เขาถามอะไรก็ไม่ตอบสักคำ
“ว่าแต่แกเถอะ ทำไมถึงออกจากปราสาทและให้น้องชายทำหน้าที่แทน?” เขาเอ่ยถามชายผู้เป็นญาติห่างๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องของอาณาจักรที่มีความเกี่ยวดองกัน แต่เพราะการเมืองภายในทำให้เขาต้องละเรื่องอาณาจักรอื่นไป
“ก็อย่างที่บอกไปว่าเรื่องมันยาว ถ้าให้เล่าย่อๆ...” แกรี่ถอนหายใจก่อนจะเอ่ย “แม่เลี้ยงสาปฉัน ฉันจึงออกจากปราสาทมาหาทางแก้คำสาป...ระหว่างนั้นก็ให้กิลเบิร์ตทำหน้าที่แทนฉัน”
“แก้คำสาป?” อพอลโลทวนคำ “แล้วแกหาวิธีเจอไหม?”
“ไม่เลย” แกรี่ส่ายหน้า และทำหน้าเหมือนจะนึกอะไรออก “จริงสิ แม่ของนายเป็นแม่มดนี่ น่าจะมีตำราเก่าๆเกี่ยวกับคำสาปบ้าง”
ชาวแคลร์บูลหลายคนนั้นชื่นชอบในไสยศาสตร์ ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่ต้องปกปิดหากได้ร่ำเรียนวิชาแห่งความมืดนี้ การศึกษาศาสตร์ด้านนี้แพร่หลายในกลุ่มของสตรี ส่วนมากจะเป็นเรื่องการทำเสน่ห์ เสริมความงาม และสาปส่งศัตรู เชื้อพระวงศ์บางคนนั้นก็แอบร่ำเรียนจนช่ำชอง แม่ของอพอลโลก็เช่นกัน ทว่านางเป็นผู้ใช้ศาสตร์ขาวที่ใช้ต่อกรกับศาสตร์มืด จึงต้องศึกษาทั้งวิธีสาปและวิธีแก้ เมื่อเสกสมรสกับราชาแห่งแฟลร์รูจนางก็ต้องละทิ้งศาสตร์ด้านนี้ไป แต่ด้วยความรักในวิชาจึงได้นำตำราบางส่วนติดตัวไปด้วยเผื่อใช้เป็นประโยชน์
และนางก็ไม่คิดว่าสามีของนางจะใช้คำสาปนั้นกับลูกชายแท้ๆ !
“หลังจากตอกลิ่มแล้ว พ่อของฉันก็เผาตำราทิ้งหมดเพื่อไม่ให้ฉันถอนลิ่มออกได้” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยอย่างขมขื่น
“อย่างนั้นหรือ...” เจ้าชายแดนเงาจันทราดูจะผิดหวังทั้งที่ใกล้จะพบทางออก แกรี่ถอนหายใจเบาๆ
“แต่...” เสียงของอพอลโลนั้นจุดประกายความหวังของคนที่เพิ่งจะสิ้นหวังขึ้นมา “ถ้าจะยังมีอยู่...คนสนิทเก่าของแม่ฉันก็เป็นแม่มด แต่หล่อนทะเลาะกับแม่ฉันและหนีไปแต่งงานกับราชาสักอาณาจักร...”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“ถ้าแกยังอยากแก้คำสาปก็ตามหานางเองก็แล้วกัน” เจ้าชายแดนสุริยาเอ่ยพลางหันหลังจะกลับปราสาท
“ขอบใจนะ อพอลโล” แกรี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม
“ไม่ได้มาเพื่อช่วยบอกสักหน่อย”
“แล้วเธอตามกิลเบิร์ตมาทำไมล่ะ?” นั่นสิ ทั้งที่จะไม่สนใจกิลเบิร์ตก็ได้ แต่ก็ยังตามเข้ามาในป่า “หรือจะเป็นห่วงกิลเบิร์ต?”
สิ้นคำพูด ชายหนุ่มผมสีเพลิงก็หันมาถลึงตาใส่ แต่ก็กลับมามองด้วยแววตาดุดันดังเดิม
“ก็แค่...” เจ้าชายแห่งเพลิงเว้นจังหวะราวกับหาคำพูดที่เหมาะสมอยู่ “...มายืนยันว่าแกรี่คนนั้นเป็นตัวปลอม”
“ฮะๆ ตอนนี้ก็รู้แล้วนี่”
“ฝากบอกน้องชายแกด้วยว่าอย่าทำตัวสนิทสนมกับฉันให้มาก เราไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว” พูดจบก็ยกมือโบกช้าๆ ราวกับกล่าวลา ขายาวเดินกลับไปยังทางที่เดินมา
“เรื่องนั้นเธอควรบอกเขาเองนะ” แกรี่ตะโกนบอกไล่หลังไป
“เรื่องสิ!” เสียงนั้นตะโกนกลับมาให้พอได้ยิน เพียงเท่านั้นแกรี่ก็ยิ้มพอใจ
สายลมยามวิกาลพัดผ่านเสียดผิวกายของเจ้าชายแดนเงาจันทรา เขาคลี่ยิ้มบางเมื่อเห็นว่าญาติห่างๆ ของเขานั้นดูปลอดภัยจากเรื่องการเมืองภายใน แม้จะดูแข็งกร้าวแต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร เพราะสมัยเด็กนั้นไปมาหาสู่กันบ่อยจึงค่อนข้างสนิทกันและรู้ว่าเด็กคนนี้แข็งทั้งในและนอก พ่อและพี่ชายก็ทำอะไรเขาไม่ได้
เป็นห่วงก็แต่ลิ่มที่หัวใจ
เพราะในพิธีเปิดเขาก็สังเกตเห็นว่ากวางสีเงินและสิงโตเพลิงนั้นเป็นตัวแทนของไดอากับอพอลโล ทั้งคู่ประกาศศึกกันอย่างเป็นทางการแต่ไม่มีใครเข้าใจ ในอนาคตแฟลร์รูจคงต้องลุกเป็นไฟ เพราะเท่าที่เขาเคยได้ยินข่าวทั้งคู่ออกงานร่วมกัน นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงให้เห็นว่ากำลังต่อสู้กันนอกอาณาจักร เมื่อก่อนนั้นปิดข่าวเสียเงียบเชียบ ครานี้ไดอาคงมีแผนกำลังทำอะไรบางอย่าง
ถ้าหากลางสังหรณ์ของเขาผิดก็คงดี...
อาณาจักรโอลิมโพส แดนดวงดาว
ในห้องนอนของราชาผู้ปกครองอาณาจักร ปรากฏร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มกำลังปีนหน้าต่างเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เรือนผมสีบลอนด์ทองสะท้อนแสงจันทร์นวลผ่องดูงามสง่า ร่างนั้นค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง และเดินไปยังข้างเตียงของราชา
“ท่านพ่อ...” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดาที่นอนหายใจรวยริน มือใหญ่กว่าคนทั่วไปกุมมือของผู้ป่วยอย่างทะนุถนอมราวกับจะแตกสลายไป “ผมมาหาพ่อแล้ว...”
“เฮราเคลส...?” เมื่อคนที่นอนอยู่ได้สติ ผู้มาเยือนก็ยิ้มกว้างทันที “เฮราเคลส...”
“ท่านพ่อ...” แม้จะถูกบิดาขับไสไล่ส่งอย่างไร เขาก็ยังรัก เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นบิดา เขาเชื่อมาตลอดว่าที่ถูกขับไล่ออกมานั้นไม่ใช่เพราะถูกเกลียด
“พ่อขอโทษ นังปีศาจนั่น...” พูดได้ไม่มากคำ ราชาแห่งโอลิมโพสก็ไอโขลกๆ เฮราเคลสรีบหาน้ำมาให้ดื่ม “พ่อมันโง่ ไปหลงเสน่ห์และอำนาจ มันต้องการจะเป็นราชินีปกครองอาณาจักรนี้...”
“หมายความว่า...”
“พ่อถูกมันใช้เวทมนตร์บงการ พอคาถานั้นเสื่อมลง...พ่อก็เริ่มรู้สึกตัวและเรียกให้ลูกกลับมา” มืออันอ่อนแรงยกขึ้นลูบหัวลูกชาย “มันก็วางยาพ่อจนแทบสิ้นชีวิต พ่อคิดว่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน...”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ผมน่ะ พอไม่มีท่านแม่...ก็เหลือแค่ท่านพ่อแล้ว...”
“เฮราเคลส ลูกจงฟัง...” โอรสเพียงหนึ่งเดียวพยักหน้าก่อนจะตั้งใจฟังคำบิดา “หาโอกาสกำจัดนางเสีย ก่อนที่อาณาจักรของเราจะล่มจม หาล่มแล้ว...อาณาจักรในแดนดวงดาวอื่นก็จะมีผลกระทบไปด้วย...”
“ครับ” เฮราเคลสรับคำ
เสียงเอะอะดังขึ้นจากภายนอกห้องบริเวณทางเดิน ทำให้สองพ่อลูกนั้นสะดุ้งและมองไปยังต้นเสียง เฮราเคลสเริ่มขยับกายอย่างระมัดระวัง
“ลูกคงต้องรีบออกไปจากที่นี่ มันคงกลับมาจากธุระนอกปราสาทแล้ว...”
“แต่ว่าผมยังอยากอยู่กับท่านพ่อ...”
“ไม่มีเวลาแล้ว จงไปเสีย...” มือแห้งเหี่ยวไร้ชีวิตชีวาตบไหล่ลูกชายเบาๆ
เฮราเคลสจึงจำใจออกไปทางหน้าต่างตามเดิม และเมื่อลงมาถึงพื้นก็แอบหลบซ่อนอยู่หลังเงาไม้ เขามองเห็นรถม้าที่มาถึงหน้าปราสาท และทหารยามออกมาต้อนรับอารักขาพระราชินีที่สำเร็จราชการแทนองค์ราชาที่ประชวรอยู่ นอกจากสตรีวัยกลางคนแล้ว เขายังเห็นชายหนุ่มอีกคนเดินตามออกมาจากรถม้า เรือนผมสีเพลิงเด่นสะดุดตานั้นเฮราเคลสจำไม่มีผิด...
เขามาทำอะไรที่นี่?!
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ตอนหลังจากนี้อาจจะไม่ต่อเนื่องลื่นไหลนะคะเพราะเราพักการเขียนเรื่องนี้มานานมากเลย หวังว่าจะติดตามกันน้า ; w ;
Comments (0)