3 ตอน Chapter 2 : Memories of Power
โดย ‘Umbrella’
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ร่างบนเตียงที่หลับอยู่เมื่อถูกต้องแสงแดดเข้าที่ใบหน้าก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้าๆ ความปวดหน่วงที่ศีรษะทำให้เจ้าของร่างบนเตียงโงหัวแทบไม่ขึ้น ไหนจะความเจ็บปวดที่ไหล่ยิ่งทำให้ขยับตัวไม่ได้ดั่งใจ
บัดซบเอ๊ย...
แอ๊ด...
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ปรากฏกลุ่มเส้นผมสีบลอนด์ทองที่โผล่พ้นประตูบานใหญ่ออกมาทำให้เขามองเห็นเด็กคนหนึ่งถือถังไม้ใบเล็กพร้อมผ้าสีขาวเดินเข้ามาในห้อง
ด้วยความที่เป็นคนที่ต้องระวังกายตลอดเวลา คนบนเตียงจึงพยายามลุกและถอยห่างแม้ว่าจะเจ็บแผลอยู่ก็ไม่แสดงอาการออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น
“อ๊ะ อย่าเพิ่งขยับนะ แผลยังไม่สมานกันเลย” พอเห็นคนที่เคยนอนนิ่งมีการเคลื่อนไหวก็รีบร้อนเดินมาหา วางถังไม้และผ้าลง มือน้อยนั้นกลับแรงเยอะผิดคาด ผลักคนที่ตัวโตกว่าให้กลับลงไปนอนที่เตียง
“แก...” พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่มีเจตนาร้าย ผู้ป่วยก็ยอมนอนลงดีๆ หูนั้นก็เงี่ยฟังบรรยากาศรอบข้างอย่างระวังตน
“เมื่อวานผมเห็นเธอสลบอยู่ในป่า มีเลือดออกเยอะด้วย ก็เลยพามาทำแผลที่กระท่อม” ดวงตากลมโตสีทองเป็นประกายแวววาวเมื่อเห็นอีกคนฟื้น “ดูท่าจะไม่เป็นอะไรแล้วนะ พักก่อนค่อยกลับบ้านของเธอก็แล้วกัน”
คนฟังทอดถอนหายใจพลางยกมือแตะหัวและไหล่ที่มีผ้าพันแผลพันไว้ มีเลือดซึมเล็กน้อย พลางมองไปเห็นผ้าสีขาวนั้นคงจะเป็นผ้าพันแผลที่จะเอามาเปลี่ยนให้เขาสินะ
อยู่ๆ ดีคนตัวเล็กกว่าชะโงกหน้าเข้ามามองใกล้ๆ ทำเอาใจคนนอนอยู่กระเด็นไปอยู่ตาตุ่ม
“อ๊ะ สีตาสวยจัง เหมือนพระอาทิตย์เลย” รอยยิ้มสดใสน่ารักถูกส่งมาให้ คนมองก็เบือนหน้าหนีราวกับขัดเขินรอยยิ้มนั้น
ดูท่าจะไม่มีพิษภัย...
“แกช่วยฉันทำไม?” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามพลางคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ในหัวว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ยังนึกไม่ออก
“ก็เธอบาดเจ็บนี่” คนฟังหันมามองพลางจ้องตาอีกฝ่ายตาแป๋วเหมือนเดิม
“หวังผลตอบแทนอะไรล่ะ?” เอ่ยถามเป้าหมายของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจ
“อยากให้หายไวๆ นะ” แล้วยิ้มแฉ่งนั้นก็ถูกส่งมาอีก “เพราะงั้นเลยมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้น่ะ”
“หา?” คนฟังก็มีสีหน้าฉงนทันที เด็กน้อยผู้ร่าเริงได้แต่ส่งยิ้มใสๆ กลับมาให้
เอาเถอะ คงต้องอยู่กับหมอนี่สักพักแหละนะ ป่าลึกขนาดนี้มันคงไม่หาเราเจอเร็วๆ หรอก...
หลายวันต่อมา...
“วันนี้ก็ล่ากระต่ายมาอีกแล้วเหรอ?” เด็กผมบลอนด์ทองเอ่ยถามคนที่เพิ่งเดินกลับกระท่อมเข้ามา มือที่ใหญ่กว่าโยนกระต่ายสองตัวที่มีลูกธนูปักเสียบทะลุคออย่างแม่นยำนั้นให้คนที่ตัวเล็กกว่า
“ไปทำมาให้กินเร็วๆ” เด็กที่ตัวโตกว่าก็วางแล่งใส่ลูกธนูกับคันธนูวางบนโต๊ะในห้อง
“อื้อ รอแป๊บนึงนะ อพอลโล!” อีกคนยิ้มให้แล้วก็วิ่งหายเข้าไปในครัว
เจ็ดวันแล้วที่อยู่กระท่อมนี่ ดูเหมือนเด็กนี่จะอยู่คนเดียวด้วย... อพอลโลขบคิดในหัวอย่างเงียบๆ เด็กคนเดียวจะอยู่กลางป่าได้ยังไง...
แก๊ง!...
“หวา!!” เสียงร้องดังขึ้นในครัวแถมเสียงเครื่องครัวตกพื้นก็ชวนให้คนที่นั่งรอมื้อเย็นรู้สึกใจหาย
ไม่เสียเวลาคิด อพอลโลหยิบธนูในท่าเตรียมง้างแล้วรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที
ฟ่อ...
งูเหลือมขนาดใหญ่กำลังเลื้อยเข้ามาทางหน้าต่าง ตรงใกล้ๆ ประตูพบเด็กผมบลอนด์ทองที่ตกใจนั่งกองอยู่ที่พื้นพร้อมเครื่องครัวที่ตกลงมาเกลื่อน อพอลโลเอานิ้วชี้แตะปากบอกให้ให้อีกฝ่ายเงียบและอยู่นิ่งๆ เด็กน้อยพยักหน้าแล้วปิดตาลงต่ำไม่กล้ามอง
ฉึก!
ลูกธนูผ่าสายลมเข้าไปปักกลางหัวแล้วทะลุไปยังลำตัวของงูเหลือม เจ้างูตายสนิทคาที่ทันที เด็กชายเรือนผมสีตะวันพ่นลมหายใจอย่างโล่งอกพลางหันไปมองเด็กน้อยที่อยู่ข้างกาย
“เป็นอะไรมั้ย?” น้ำเสียงกึ่งจะเป็นห่วงเอ่ยถามจากคนมาดดุ มือใหญ่กว่ายื่นไปหมายจะช่วยจับให้คนตัวเล็กลุกขึ้น
“อื้อ ไม่หรอก–” เด็กน้อยยิ้มได้เพียงเสี้ยววินาทีก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังอพอลโล “อพอลโลระวัง!!”
หมับ!!
เด็กผมบลอนด์ทองกระโจนเข้าหาคนที่ตัวโตกว่าทำเอาคนที่ยืนอยู่เสียหลักล้มลงไปด้วย กลายเป็นว่าอพอลโลอยู่ใต้ร่างคนที่เด็กกว่าที่พยายามช่วยชีวิตเขา สองมือน้อยกำรอบคอสิ่งมีชีวิตลำตัวยาวทันที
“ย้ากกกกก!!!” เด็กน้อยออกแรงบีบสองอสรพิษในมืออย่างแรง แววตาวาวโรจน์ราวกับโกรธแค้นที่สองงูคิดจะทำร้ายอพอลโล
ไม่กี่นาที อสรพิษร้ายนั้นก็สิ้นใจคามือ แต่ผู้สังหารก็ยังคงบีบซากในมือนั้นอย่างมีโทสะ อพอลโลนั้นตกตะลึงในพลังมือของเฮราเคลส
“เฮราเคลส! มันตายแล้ว” มือที่หนากว่าจับข้อมือทั้งสองของเด็กน้อย เมื่อเฮราเคลสได้สติกลับมาก็รีบปล่อยงูออก
“อึก...ตาย...” สีหน้าสำนึกผิดปรากฏบนใบหน้าของคนที่เด็กกว่า “...กะ–กลัวพลังของผมแล้วสินะ!”
เฮราเคลสทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วลุกวิ่งออกไปจากกระท่อมทันที ทิ้งให้อพอลโลที่ยังปะติดปะต่อเรื่องไม่ได้ต้องนั่งงงและเรียบเรียงเรื่องใหม่
พลังงั้นเหรอ?...
เริ่มมืดแล้ว เฮราเคลสก็ยังไม่กลับมา อพอลโลจึงตัดสินใจที่จะไปตามหาเด็กน้อยเจ้าของกระท่อม คิดว่าอีกฝ่ายคงจะหิวจึงเอาใบไม้สะอาดห่อกระต่ายย่างที่ตนทำไว้ตั้งแต่เมื่อตอนเย็นหมายจะเอาไปให้เด็กคนนั้นด้วย
เด็กชายเริ่มเดินออกไปไกลจากกระท่อมทุกทีๆ เขาพยายามทำสัญลักษณ์ไว้บนต้นไม้เพื่อกันการหลงป่า บนต้นไม้บางต้นก็ปรากฏกรงเล็บขนาดใหญ่ที่อยู่สูงกว่าตัวเด็กชาย รอยนั้นยังใหม่ๆ อยู่ ทำให้เด็กชายเริ่มเป็นห่วงคนที่หนีออกมา และเริ่มคิดผิดที่ไม่ถือธนูออกมาด้วยเพราะคิดว่าคงไม่ไกลจากกระท่อม
เดินหาได้สักพักก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมา เจ้าของเรือนผมสีตะวันเดินฉับๆ เข้าไปหาทันทีอย่างมั่นใจ ไม่นานก็เห็นคนที่ตนตามหาอยู่ครู่ใหญ่ ร่างของเด็กคนหนึ่งนั่งขดกลมอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มือน้อยๆ ประคองสิ่งมีชีวิตเล็กๆไว้ในมือ
“นี่...อพอลโลคงกลัวพลังของฉันแล้วสินะ” เสียงเล็กๆ นั้นพูดอยู่คนเดียว “เจ้าเม่นน้อย ฉันควรจะทำยังไงดี?”
เด็กโตกว่ายืนมองด้านหลังของเด็กขี้แยแล้วถอนหายใจเบาๆ แยกกันได้ไม่นานก็มาเป็นเพื่อนกับเม่นตัวเล็กเสียแล้ว แถมดูเหมือนเจ้าเม่นก็กำลังปลอบเด็กคนนี้เสียด้วย น้ำตาร่วงเผาะลงทีละหยดๆ ลงบนขนแหลมเจ้าเม่นจิ๋ว
“ฉันไม่กลัวหรอก เลิกร้องไห้ได้แล้ว เจ้าขี้แย” เสียงอันคุ้นเคยดังออกมาจากด้านหลัง เฮราเคลสรีบเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วหันกลับมามอง
“อพอลโล!”
“หิวรึยัง?” มือหนากว่ายื่นกระต่ายย่างให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ “นั่งกินตรงนี้แหละ ขี้เกียจเดินกลับ”
ถึงปากจะร้ายไปสักหน่อยแต่เฮราเคลสก็ยิ้มออกมากับคำพูดของอพอลโล มือน้อยๆ นั้นรับอาหารมากินอย่างหิวโหย ยังมีแก่ใจแบ่งให้เม่นน้อยที่ยังไม่ไปไหนกินด้วย แม้ว่าอาหารจริงๆ ของมันจะเป็นพวกไส้เดือนหรือแมลงก็เถอะ
“ที่พูดตอนนั้นน่ะ...” หลังกินเสร็จ อพอลโลก็เปิดปากชวนคุยก่อน “พลังของแก...คืออะไร?”
เฮราเคลสหลุบตาไม่กล้าสบตามองอีกฝ่าย มือน้อยๆ นั้นกำแน่น เด็กน้อยเปลี่ยนท่านั่งเป็นกอดเข่าแล้วเอาหน้าซบแขนของตนแทน เด็กโตกว่าถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“ฉันเองก็มีพลังเหมือนกัน”
แน่นอนว่าคำพูดนั้นทำให้เด็กผมบลอนด์ทองหันมาสนใจทันที
“และนั่นก็ทำให้ฉันโดนปองร้าย” อพอลโลหลับตาลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องหนีเข้าป่ามา “เหตุผลที่แกต้องอยู่ในป่าคนเดียวก็เพราะพลังนั่นเหมือนกันใช่มั้ย?”
เด็กน้อยพยักหน้าหงึกๆ
“แกไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมฉันทำกระต่ายย่างนี่ได้ทั้งที่ฉันก่อไฟเองไม่เป็น” มือหนาเอื้อมมือไปเล่นกับเม่นน้อย แต่ก็ถูกขนมันทิ่มนิ้วเข้าให้
เฮราเคลสทำตาแป๋วอย่างสนอกสนใจ กะพริบตาปริบๆ รอฟัง
“พลังของฉันน่ะ–”
โฮกกกกกกกกกกกก!!!
เสียงร้องดังลั่นป่าทำให้อพอลโลเอื้อมมือมาปิดปากเฮราเคลสไม่ให้ส่งเสียงร้อง เด็กขี้แยดูจะตกใจมากจนหน้าซีด เด็กที่โตพยักหน้าและพลางบอกให้อยู่นิ่งๆ ก่อน เฮราเคลสพยักหน้าตอบและมีสีหน้าที่ดีขึ้น เมื่อเห็นเด็กน้อยใจเย็นลงแล้วก็คลายมือที่ปิดปากออก
“ไม่ไกลจากนี่มีถ้ำ ตามทางที่ฉันมาหาแกก็มีกรงเล็บมันฝนอยู่ที่ต้นไม้...” อพอลโลอธิบาย “แกโชคดีมากที่อยู่ในป่าแล้วไม่เคยเจอมัน สงสัยจะออกจากการจำศีลแล้ว”
“หมีเหรอ?”
“ใช่ ฉันประมาทเองที่คิดว่ามันคงไม่ออกหากินกลางคืน...” อพอลโลเริ่มมีเหงื่อชื้นตามไรผม แม้ว่าจะยังคงสีหน้าใจเย็นอยู่ แม้ว่าเสียงฝีเท้าหนักๆ นั่นเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว “ห้ามออกมาจนกว่าฉันจะเรียก...”
มือหนากว่าดันให้คนตัวเล็กไปหลบหลังต้นไม้อีกต้นที่ดูมั่นคงแข็งแรงกว่า เด็กตัวโตกระโจนออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าหมีขนาดใหญ่กว่าเด็กชายถึงห้าเท่า มันยืนขึ้นเมื่อเห็นเป้าหมายและง้างกรงเล็บพยายามทำร้ายคนที่มาขวางทางมัน
เฮราเคลสตกใจจนหาเสียงของตนไม่เจอ ร่างกายแข็งทื่อเมื่อพบขนาดใหญ่ยักษ์ของมัน และยิ่งตกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อพอลโลทำ
เปลวไฟปรากฏขึ้นที่มือและท่อนแขนของอพอลโล ลูกไฟขนาดเล็กพุ่งเข้าใส่เจ้าสัตว์มีขนนั้นอย่างต่อเนื่อง บางส่วนกระเด็นไปโดนใบไม้แห้งทำให้ไฟลุกเล็กน้อย
“เฮ้ย ไอ้หมีบ้า! กลับถ้ำแกไปได้แล้ว!!” เด็กตัวโตพยายามใช้ลูกไฟไล่ต้อนให้หมีกลับไป พยายามเล็งเข้าไปที่หน้าของมันเพื่อก่อกวน
เมื่อโดนโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ มันก็คำรามเสียงดังและวิ่งกลับไปทางเดิมที่มันมา อพอลโลรีบเดินเข้าไปใช้รองเท้าเหยียบไฟให้ดับสนิทเพื่อป้องกันไฟป่า ก่อนจะเดินกลับมายังต้นไม้ที่เฮราเคลสหลบอยู่
“มันไปแล้ว...” น้ำเสียงอ่อนโยนผิดปกติทำให้เด็กน้อยรู้สึกใจชื้นขึ้น “ไม่ต้องกลัวนะ กลับกันเถอะ”
หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดกำลังจะเข้านอน ในห้องนอนซึ่งมีเตียงเดียวและมีโซฟายาวหนึ่งตัว เด็กคนโตนอนแผ่ลงบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ข้างๆ ที่นอนยวบยาบลงเพราะมีเด็กอีกคนปีนขึ้นมานั่งด้วย
“ไหนบอกยกเตียงให้ฉันไง?” ปากก็ว่าไปอย่างนั้นแต่ก็ขยับให้เด็กน้อยขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยอยู่ดี “ห้ามไอ้เม่นนั่นมานอนเตียงฉันนะ” มองตาขวางไปยังเม่นตัวจิ๋วที่นอนหลับสบายอยู่ที่พื้น
“เนแมร์นอนในตะกร้าแล้วแน่ะ” เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง “คือว่า...คืนนี้อยากคุยด้วยน่ะ”
“คุยเรื่องอะไร?” อพอลโลหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ ที่ยังอยู่กระท่อมนี่เพราะไม่รู้จะไปหลบที่ไหน แล้วเด็กคนนี้ก็ยังดูไม่มีพิษภัยอะไรและไม่คิดจะถามประวัติเขาด้วย พออีกฝ่ายเริ่มสนใจเรื่องของเขามากขึ้นก็อดที่จะระแวงไม่ได้
“ก็เรื่องของอพอลโลน่ะ” แววตาเป็นประกายวิบวับ “ตอนไล่หมีน่ะเท่มากเลย เธอเป็นใครเหรอ? มาจากไหน? ทำไมมีพลังแบบนั้นได้?”
เด็กน้อยรัวคำถามใส่จนคนฟังไม่รู้จะเริ่มเล่าจากตรงไหนก่อน
“ว่าแต่แกเถอะ มาถามฉันแบบนี้ไม่คิดจะเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังรึไง?” คนปากหนักไม่ยอมเล่าเรื่องก่อน อยู่ด้วยกันเจ็ดวันแล้วก็ยังรู้จักกันเพียงแค่ชื่อ
“อ๊ะ งั้นผมเล่าให้ฟังก่อนก็ได้” เฮราเคลสหัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวของตน
เด็กน้อยเล่าให้ฟังว่าตนเป็นเจ้าชายจากแดนไกลที่หนีแม่เลี้ยงมาจนถึงชายแดนแฟลร์รูจ พลังที่มีนั้นเขาได้รับมาตั้งแต่เกิด แต่มันเริ่มชัดเจนมากขึ้นเมื่อเริ่มเติบโต แม่แท้ๆ ของเขาเสียตั้งแต่เขายังเล็ก แม่เลี้ยงนั้นเกรงกลัวพลังของเขาและเป่าหูพ่อของเขาให้เกรงกลัวตามไปด้วย เขาถูกคนสนิทที่ไว้ใจได้พาหนีมาไกลมากและได้สร้างกระท่อมไว้ที่นี่ ทุกๆ เดือนคนรับใช้จะต้องออกไปหาเสบียงเพิ่มเติมมาตุนไว้ทำให้เฮราเคลสต้องอยู่คนเดียวในช่วงนี้ แต่ว่าเขาก็ออกไปนานผิดปกติจนเฮราเคลสรู้สึกเป็นห่วงแต่ก็ออกจากป่าไปไม่ได้
พลังของเฮราเคลสคือการมีพลังกำลังมากและร่างกายที่ค่อนข้างถึกทน แต่แม้จะถึกทนเพียงใดก็มักจะมีบาดแผลอยู่บ่อยๆ คนรับใช้นั้นจึงสอนให้เจ้าชายน้อยให้หัดทำแผลเองบ้างถ้าไม่ร้ายแรง และเฮราเคลสก็คล่องแคล่วมากเพราะทุกวันเวลาหาอาหารป่าก็มักจะมีบาดแผลอยู่เสมอ
เมื่ออพอลโลถามถึงอายุของเฮราเคลส เขาบอกว่าเขาจำไม่ได้ เพราะไม่เคยมีใครจัดงานวันเกิดให้มานานแล้ว เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่ทราบเช่นกัน อพอลโลจึงเอ่ยว่าตอนนี้เขาอายุได้สิบสองปีแล้ว
“งั้นเหรอ แกเป็นเจ้าชายสินะ” คนโตกว่ายิ้มขำ “เพราะแกตัวเล็กกว่าแกจะต้องอยู่ในฐานะน้องชายของฉัน”
“น้องชายเหรอ?”
“บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่เคยมีน้อง เฮอะ” อพอลโลแค่นยิ้มพลางหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆ
“ว้าว แบบนี้ต้องเรียกว่าลูกพี่สินะ?!” แววตาเด็กน้อยเป็นประกายวาววับ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นทำเอาคนพูดก่อนหน้าคิดผิดที่บังคับให้อีกฝ่ายอยู่ในฐานะรองกว่า
“ไม่ต้อง!”
“งื้อ...” สีหน้านั้นเง้างอนทันทีอย่างผิดหวัง ทำเอาอพอลโลทำตัวไม่ถูก
“เออ อยากเรียกอะไรก็เรียก...” โบกมือพลางบอกปัดหวังจะให้เลิกทำสีหน้าแบบนั้นเสียที
“งั้นก็จะเรียกลูกพี่นะ!” ถ้าเฮราเคลสมีหูมีหางคงเห็นมันกระดิกรัวๆ เหมือนหมาน้อยมีความสุขแล้ว
“เออ..” น้ำเสียงบอกปัดตัดรำคาญด้วยความง่วง
อพอลโลทำท่าจะเอาตัวลงนอนและดึงผ้าห่มมาคลุมตัว หัวก็จะแนบไปถึงหมอนแล้ว มือน้อยๆ ของเฮราเคลสก็ดึง...ไม่สิ กระชากเสื้อของอพอลโลให้ลุกขึ้นมาคุยต่อ
แควก...
คงจะลืมพลังของตนไป เล่นเอาเสื้อเด็กชายขาดวิ่นเป็นสองส่วนโชว์ผิวเนียนสีแทนอ่อนนั้นอย่างชัดเจน คนที่ถูกทำเสื้อขาดถอนหายใจแรงๆ พลางลุกไปเปลี่ยนเสื้อใหม่แล้วกลับมาที่เตียงเหมือนเดิม
“นี่ ผมเล่าฟังแล้ว ลูกพี่ก็เล่าเรื่องของลูกพี่ให้ฟังบ้างสิ” ดูเหมือนจะไม่ได้สำนึกผิดเรื่องทำเสื้อขาด เพราะเสื้อตัวนั้นเป็นของเฮราเคลสเอง
“อืม...” อพอลโลครางเบาๆอย่างรำคาญ “ฉันเองก็เหมือนกับแก...”
เด็กตัวโตเล่าให้ฟังว่าตนก็เป็นเจ้าชายแห่งอาณาจักรแฟลร์รูจ อาณาจักรที่เฮราเคลสเข้ามาพึ่งพิงในป่าลึกแห่งนี้ แต่เป็นเจ้าชายองค์เล็กจึงไม่ได้รับความสนใจจากบิดามากนัก กลับกันแล้วผู้เป็นมารดากลับเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีทั้งยังให้เรียนรู้ศาสตร์ทุกอย่างที่เหมือนกับรัชทายาทต้องเรียนทุกประการ
บอกว่ามีพี่ชายหนึ่งคนชื่อไดอา พระบิดามักเปรียบเทียบอพอลโลเป็นสุริยัน ไดอาเป็นจันทรา ด้วยนิสัยการแสดงออกส่วนตัวของทั้งคู่ที่ค่อนข้างตรงข้ามกัน อพอลโลเป็นคนใจร้อน หุนหันพลันแล่น และมุทะลุ ส่วนไดอานั้นใจเย็น เรียบร้อย และแยบคายกว่า เพราะนิสัยแบบนั้นจึงทำให้เป็นคนที่ดูลึกลับกว่าด้วย ด้วยอายุที่ต่างกันไม่มากทำให้มีใบหน้าที่ค่อนข้างคล้ายกัน ทั้งสีผมและสีตาก็เป็นสีอาทิตย์อัสดงเหมือนกัน ไดอานั้นเป็นคนใจดีและมักมาเล่นกับน้องชายเป็นประจำ ทำให้อพอลโลไม่รู้สึกเหงาแม้ว่าพระบิดานั้นไม่ให้ความใส่ใจ
ราชวงศ์แฟลร์รูจมีความสามารถในการควบคุมไฟ แต่อพอลโลนั้นต่างออกไปเพราะเป็นคนเดียวที่สามารถสร้างไฟออกมาเองได้ เมื่อพลังเริ่มตื่นขึ้นทำให้ต้องระมัดระวังตนมากขึ้นไม่ให้เผลอเผาอะไรไป พลังนั้นสร้างความหวาดกลัวให้พระบิดาและพระเชษฐายิ่งนัก เพราะอพอลโลนั้นเริ่มมีเป้าหมายคือการเป็นราชา ผู้เป็นราชาและรัชทายาทนั้นจึงคิดระแวงไปว่าสักวันอพอลโลคิดจะล้มล้างพวกตนและสถาปนาตนเองเป็นราชาแห่งแฟลร์รูจแทน ทว่าเจตนาของอพอลโลนั้นเป็นเพียงการแสดงความสามารถว่าตนเหมาะสมที่จะเป็นราชา ให้คนรอบข้างยอมรับและแต่งตั้งตนเอง
“ไดอาเริ่มอิจฉาพลังของฉัน...” อพอลโลเล่าด้วยน้ำเสียงขมขื่น “...มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาอยากกำจัดฉัน”
วันหนึ่งที่สองพี่น้องประดาบกัน ไดอาเอ่ยท้าทายและกวนประสาทอพอลโลให้ใช้พลังสร้างไฟ ทีแรกอพอลโลนั้นไม่อยากทำเพราะยังควบคุมไม่ได้ แต่เมื่อโดนกวนมากเข้าจึงทำให้อพอลโลที่ความอดทนต่ำและฉุนเฉียวง่ายนั้นขาดสติและใช้พลังที่ควบคุมไม่ได้นั้น ฉับพลันเขาเห็นไดอายิ้มเยาะ เปลวเพลิงนั้นแผดเผาลานฝึกและทำร้ายทหารองครักษ์ เว้นเสียแต่ไดอาที่ปลอดภัยไร้รอยไหม้เพราะควบคุมไม่ให้เปลวไฟนั้นมาถึงตนได้
เมื่อองค์ราชามาถึงที่ที่เกิดเรื่องก็ได้ดับไฟลงและต่อว่าอพอลโลอย่างรุนแรง ทั้งไดอายังใส่ร้ายว่าอพอลโลคิดจะฆ่าตนจึงได้ใช้ไฟทั้งที่ไม่ควรใช้ โอรสองค์เล็กเริ่มใจเสียเพราะถูกพี่ชายที่ตนเคารพนั้นหักหลัง พระมารดาจึงเข้ามาปลอบ มือเรียวบางนั้นจับมือที่ร้อนของอพอลโลไว้แน่น แม้ว่าจะทำให้มือสวยๆ ต้องเป็นแผลพุพองก็ตาม
‘แม่ไม่คิดว่าอพอลโลจะทำร้ายพี่ชายหรอกจ้ะ อพอลโลรักไดอาไม่ใช่เหรอ?’
คำพูดของมารดาทำให้อพอลโลกลับไปคิดทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งไดอาและพระบิดาก็ทำตัวกับเขาแปลกขึ้นทุกวันๆ ไดอามักออกไปล่าสัตว์ในป่าและไม่เข้ามาเล่นกับเขาอีก ส่วนพระบิดาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในหอสมุดหากไม่มีราชกิจสำคัญ มีเพียงพระมารดาที่เชื่อใจและพยายามทำให้อพอลโลไม่เหงา
‘ฉันพบสิ่งที่จะสะกดพลังแกไว้แล้ว ต่อจากนี้แกจะไม่สามารถใช้พลังทำร้ายใครได้อีก!’ พระบิดาเอ่ยขึ้นในวันเกิดครบรอบสิบสองปีของอพอลโล
“อึก...” พอเล่าถึงตรงนี้อพอลโลก็เริ่มมีสีหน้าไม่ดีขึ้นมา
“ไม่ต้องเล่าต่อก็ได้นะ...” มือน้อยๆนั้นบีบมือของอพอลโลไว้
“ไม่หรอก ฉันจะเล่าให้จบ...” คนพูดส่ายหน้าช้าๆ “จะเล่าให้ถึงตอนที่ฉันเจอแก”
องค์ราชาพยายามใช้ลิ่มเวทมนตร์กับอพอลโล ไดอาเป็นคนเสนอให้ใช้มัน เป้าหมายแท้จริงไม่ใช่เพียงให้อพอลโลหมดพลัง ซ้ำยังกัดกินร่างกายของอพอลโล และสุดท้ายก็จะตายลงตามความตั้งใจของเจ้าชายรัชทายาท ทว่าพระมารดานั้นได้ขอไว้และตั้งใจจะสั่งสอนอพอลโลให้ควบคุมพลังให้ได้เอง องค์ราชาจึงล้มเลิกความตั้งใจและปล่อยให้ราชินีดูแลลูกคนเล็กแทน
ในวันที่เกิดเหตุ ไดอาเข้ามาก่อกวนอพอลโลที่กำลังฝึกใช้พลังอีกครั้ง ทำให้พลังไฟที่ถูกสร้างออกมาทำร้ายพระมารดาจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อพระบิดามาเห็นจึงคิดจะใช้ลิ่มเล่มนั้นกับลูกชายคนสุดท้อง ทว่าคนรับใช้คนสนิทของอพอลโลนั้นได้พาองค์ชายหนีเข้าป่าไป
แต่หาได้หนีพ้นองค์รัชทายาทที่เชี่ยวชาญการล่าสัตว์ที่ขี่ม้าไล่ตามมา
ศรดอกแรกปักกลางศีรษะคนสนิทอย่างแม่นยำ อพอลโลจำต้องทิ้งและวิ่งต่อไปเพียงลำพัง หลบซ่อนตามหลังต้นไม้ใหญ่
เป้าหมายนั้นเล็กลงทำให้การเล็งเป้านั้นยากขึ้น
ศรสามดอกเริ่มใกล้ตัวองค์ชายเล็กมากยิ่งขึ้น และดอกที่สี่ปักเข้าที่ไหล่ทำให้การเคลื่อนไหวเริ่มไม่สะดวก
ไม่รอให้เป้าหมายวิ่งหนีได้ไกล ไดอาตามกลิ่นเลือดไปจนพบน้องชายที่หลบอยู่ คนเป็นพี่ไม่รีรอให้น้องได้เอ่ยคำใด คันธนูแข็งแรงก็ฟาดเข้าที่ศีรษะอนุชาจนนอนแน่นิ่งไป
โลหิตไหลนองพื้นดินทำให้ไดอาเผยยิ้มอำมหิตออกมา เขาเดินจากไปโดยที่ไม่มีใครพบร่างขององค์ชายอพอลโลอีก
โปรดติดตามตอนต่อไป...
เกร็ดความรู้และข้อเท็จจริงในเกม
ในเกมนั้นไม่ได้บอกว่าอพอลโลมีพี่ชายกี่คน บอกแค่ว่าอพอลโลเป็นโอรสองค์เล็ก และเรื่องพี่ชายก็พูดถึงแต่เพียงไดอาคนเดียว โดยไดอานั้นมีสีผมและสีตาเหมือนกับอพอลโล และไม่มีการเอ่ยถึงราชินี พลังสร้างไฟมีแค่อพอลโลคนเดียว ส่วนพ่อและพี่นั้นไม่มีพลังอะไรเลย
นิสัยของไดอาในเกมนั้นเหมือนอพอลโลแทบทุกประการทั้งรูปร่างหน้าตาและนิสัย เว้นแต่อพอลโลนั้นมีพลังสร้างไฟและฉลาดกว่า มีความเป็นผู้นำมากกว่า ไดอานั้นขี้ขลาดเมื่ออยู่ต่อหน้าอพอลโล และการรบก็ไม่ได้เก่งเท่าอพอลโล
ในฟิคเรื่องนี้เราตีความไดอาใหม่โดยในมีอิมเมจคือเทพีไดอานาคู่กับเทพอพอลโลผู้เป็นน้องชายฝาแฝด โดยในมีนิสัยตรงข้ามกับอพอลโล จะชื่นชอบการล่าสัตว์
ในเกมนั้นไดอาจะใช้ดาบเหมือนกับอพอลโล แต่ในฟิคเรื่องนี้เราจะให้ทั้งคู่ใช้ธนูด้วย เพราะอิมเมจเทพแฝดนั้นใช้ธนูเป็นหลัก และในป่าถ้าใช้ธนูหรือปืนจะสะดวกกว่าการใช้ดาบ
“โลกมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียว แต่ดวงอาทิตย์มองเห็นดวงจันทร์ในทุกๆด้าน” “ดวงจันทร์ส่องสว่างได้โดยสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์” “หากไม่มีแสงอาทิตย์ก็ไร้ซึ่งแสงจันทร์”
เทพีไดอาน่ามีด้านมืด (ซึ่งก็คือด้านมืดของดวงจันทร์นั่นเอง) ที่เรียกว่า เทพีเฮกาตี เป็นเทพแห่งเวทมตร์ ไสยศาสตร์ มนต์ดำ ผี การอัญเชิญดวงวิญญาณ และคืนเดือน
เทพอพอลโลสังหารงูไพธอนโดยใช้ธนู งูนั้นเทพีเฮรา(จูโน)ส่งมาเพื่อสังหารอพอลโลกับไดอานา
เฮราเคลสใช้มือเปล่าสังหารงูพิษสองตัวที่เฮราส่งมาสังหารเขาและน้องชาย
ตามลำดับการเกิดในเทพนิยาย อพอลโลเกิดก่อนเฮราเคลส และเคยทะเลาะกันเพราะเฮราเคลสลบหลู่อพอลโลโดยการขโมยกระถางธูปไปจากวิหารของอพอลโล
เฮราเคลสในเกมยังไม่บอกอายุ แต่ในฟิคเราให้เขาอายุน้อยกว่าอพอลโลเพื่อความมุ้งมิ้ง #ใช่เรอะ
Comments (0)