12 ตอน Chapter 9 : Crimson Thorn
โดย ‘Umbrella’
“ฟรอสต์...”
“อืม...”
ดวงตาสีแดงค่อยๆ เปิดขึ้นมา มองคนที่เรียกชื่อของเขา ด้วยกำลังแรงที่น้อยลงและความเหนื่อยล้าตาจึงพร่าเล็กน้อย เมื่อปรับโฟกัสให้ดีก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มเข้ามาหา ยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำใด คำเหล่านั้นก็ถูกกลืนลงไปในลำคอเมื่อริมฝีปากร้อนประกบเข้ามาทาบทับ รสจูบร้อนแรงแฝงความเศร้าสร้อยทำให้ฟรอสต์ตอบกลับอย่างอ่อนหวาน ไม่นานความอุ่นนุ่มก็ถอนจากไป ตะวันข้างซ้ายหรี่ลงมองด้วยความรู้สึกผิด
“อพอลโล...ทำไมนายถึง...” ฟรอสต์เบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึงที่คนที่พวกคาลิเบิร์นตามหาจะจู่ๆ มาปรากฏตรงหน้าเขาแบบนี้
“ฉันขอโทษ ฉันอยากจะเอาหน้ากากนี่ออก...ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้เลย...” อาทิตย์หม่นแสงมองไปยังร่างของเพื่อนสมัยเด็กทั้งสองที่นอนหมดสติถูกหนามกุหลาบรัดด้วยความเจ็บปวด
“พวกเขาไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” พอเห็นคนที่มาเฝ้าเขาล้มลงไปแบบนั้นก็อดที่จะเป็นหัวไม่ได้
“ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจ...แค่อยากมาหานาย...” สีหน้าของคนตรงหน้าดูล่องลอยเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อตัว
“อพอลโล ตั้งสติ!” เจ้าชายหิมะเอ่ยเรียกสติคนตรงหน้า
“ฉันไม่อยากทำร้ายเจ้าพวกนั้น!”
“ฉันรู้น่า...”
“แต่ฉัน...ก็ทำร้ายนายด้วย...” ดวงตาที่เคยสดใสนั้นหม่นหมองและเหม่อลอย เพียงเพราะหน้ากากประหลาดๆ นี้หรือที่ทำให้คนที่จิตใจเข้มแข็งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
“ใจเย็นๆ ก่อน ทุกคนกำลังหาวิธีช่วยนายนะ” ทับทิมเม็ดงามทอดสายตาอ่อนโยนกลับไปให้ ฟรอสต์เสตามองเถาวัลย์ที่ตรึงร่างของเขาอยู่บนรังหนามรูปใบแมงมุม “ยังดีที่นายยังพอมีสติบ้าง...ก่อนอื่นช่วยฉันลงไปก่อนได้ไหม?”
“อืม...” อพอลโลขยับมือเพียงเล็กน้อย หนามที่เคยรัดร่างขององค์ชายสโนว์ฟิเลียก็หายไปจนหมดสิ้น แขนกำยำรับร่างที่อ่อนล้าให้ลงมาอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะประคองไปนั่งพักที่โคนต้นไม้
“แบบนี้ค่อยสบายตัวขึ้นหน่อย...”
“นายเจ็บตรงไหนบ้าง?” ดูเหมือนความเข้มแข็งเย่อหยิ่งของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจเริ่มกลับมาแล้ว มือร้อนๆ แตะตามบาดแผลที่ผิวกายขาวผุดผ่องนั้นด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา เขาจัดชุดของคนเจ็บให้เข้าที่เรียบร้อย
“ช่างเรื่องนั้นก่อน นายนั่นแหละ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” มือเย็นๆ ลูบแก้มอีกคนเบาๆ
“ฉันดูดพลังของคนอื่นมา จะเป็นอะไรได้ยังไง?” รอยยิ้มเย่อหยิ่งผุดขึ้นมา นั่นทำให้ฟรอสต์สบายใจขึ้นเล็กน้อย
“เปล่า ฉันหมายถึงจิตใจของนาย หน้ากากนั่นดูเหมือนจะเล่นงานถึงจิตใจของนาย นายไม่ใช่คนที่เหม่อลอยและจมกับความรู้สึกผิดขนาดนั้น อพอลโลที่เคยดุดันเด็ดขาดกลับหายไปเพราะหน้ากากอันเดียว...”
ความพูดของชายผมสีเงินทำให้คนฟังรำลึกได้ว่าตอนที่เขาถูกสวมหน้ากากให้เกิดอะไรขึ้น ทันทีที่ถูกสวมโดยไม่ทันตั้งตัว จู่ๆ ความทรงจำอันเจ็บปวดสมัยเด็กที่เคยเป็นบาดแผลลึกที่ถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของจิตใจก็ถูกเรียกออกมา ฉายวนซ้ำในหัวพร้อมกับเสียงกล่าวโทษต่างๆ นานาจนเขาแทบเป็นบ้า
“เสด็จแม่...” หยาดน้ำใสเอ่อล้นขอบตาหยดร่วงเผาะลงที่แก้มซ้าย
“อพอลโล...?” เจ้าชายผู้แข็งแกร่งที่เขาไม่เคยเห็นด้านอ่อนแอกลับร้องไห้ออกมาเพียงเพราะนึกถึงเรื่องในอดีต
ไม่ว่าอดีตเรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรทว่ามันคงเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหวจนทำให้จิตใจที่เคยเข้มแข็งของอพอลโลแตกร้าวและเปลี่ยนเป็นอีกคน
“ฉันไม่ได้ทำ!” เสียงทุ้มแหบตวาดดังลั่น
“อพอลโล!” มือขาวจัดรีบกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ “เป็นอะไรไป...?”
พลั่ก!
“อย่าเข้ามา!...จะเอาลิ่มนั่นมาตอกที่อกฉันสินะ...!” อพอลโลผลักคนที่ตนเองรักออกอย่างแรง แววตาที่เคยหม่นหมองกลับแข็งกร้าวและจุดประกายเพลิงในดวงเนตรนั้น
“เฮ้ย! ใจเย็นๆ สิ!” ฟรอสต์พยายามจะคว้าร่างอีกฝ่ายมากอด แต่ก็ถูกหนามรั้งเท้าทั้งสองไว้ไม่ให้เคลื่อนตัวไปไหนได้ “อพอลโล! ตั้งสติ!”
ดูเหมือนเสียงของเขาจะไปไม่ถึงอีกฝ่าย เปลวเพลิงเริ่มก่อตัวล้อมรอบแขนขวา ไอร้อนจากไฟที่ถูกสร้างขึ้นแผดเผาใบไม้ให้แห้งกรอบและร่วงจากต้นไม้ เสียงโวยวายของพวกเขาเรียกให้กลุ่มของอาร์วีวิ่งกลับมาและพบว่าอพอลโลนั้นกำลังจะใช้ไฟทำร้ายฟรอสต์
“อพอลโล! หยุดเดี๋ยวนี้!” อาร์วีตะโกนลั่นพลางชักดาบออกมา
“เขาดูไม่มีสติเลย” ยูริอุสกัดฟันพลางถือดาบในท่าเตรียมพร้อม
“ผมเคยเห็นพลังของเขามาก่อน ร้ายกาจมากเลยล่ะครับ ทุกท่านระวังตัวด้วย!” คาลิเบิร์นยืนเคียงคู่พี่ชายเพื่อรอจังหวะที่เหมาะ
เปลวอัคคีร้อนแรงหลอมรวมกันเป็นลูกบอลไฟตรงฝ่ามือ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจนน่าหวาดหวั่นว่าหากปะทะเข้าโดยตรงคงต้องถูกเผาเป็นจุลแน่ พริธเวนตั้งโล่ขึ้นเพื่อเป็นแนวหน้าป้องกัน และเมื่ออพอลโลยกมือขึ้นสูงหมายจะขว้างลูกบอลไฟนั้นใส่...
“เฮ้ย! นี่นายกล้าทำร้ายคนที่นายรักจริงๆ ใช่ไหม!? ไอ้ที่เคยบอกมาโกหกกันรึไง!?” เจ้าชายแดนหิมะรวบรวมพลังและความกล้าหน้าด้านตะโกนออกไปโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น หวังเพียงอย่างเดียวคือเรียกสติบุรุษผู้ถูกสวมหน้ากากให้กลับมาให้ได้มากที่สุด
และได้ผล...เปลวไฟนั้นสลายหายไปจนสิ้นพร้อมทั้งร่างของอพอลโลที่หลบซ่อนในป่าลึก...
แต่กลับปรากฏหนามกุหลาบร้อยรัดร่างของฟรอสต์อีกครั้ง...
‘อพอลโล...มาทางนี้สิจ๊ะ’
เสด็จแม่...
‘ดูสิ มอมแมมไปหมดแล้วลูก’
คิดถึงเสด็จแม่จัง...
‘วันนี้ฝึกควบคุมพลังถึงไหนแล้วจ๊ะ? โอ้ งั้นเหรอ? เก่งมากเลยจ้ะ’
อยากกลับไปหาเสด็จแม่...
“นั่นไง! เจอตัวแล้ว! อยู่ทางนั้น!”
เสียงตะโกนของกลุ่มบุรุษดังขึ้นเรียกสติให้เจ้าของดวงตาสีเพลิงกลับมา เขามองไปทางต้นเสียงก่อนจะพบว่ามีเหล่าเจ้าชายกำลังเดินมาทางเขา
จริงสิ...ไอ้หน้ากากบ้านี่!
อพอลโลพยายามดึงหน้ากากที่ติดใบหน้าด้านขวาของเขาออก ทว่าออกแรงดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก
“อ๊ากกกกกก!!! โธ่เว้ย! ออกสิวะ!”
“เจ้าชายอพอลโล!” คาลิเบิร์นรีบวิ่งเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่เกรงกลัว
“อึก...ถอยออกไป!” มือร้อนๆ ผลักองค์ชายรองแห่งอวาลอนให้ออกห่าง สีหน้าของเจ้าชายแห่งแฟลร์รูจเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความทรมาน “อึก...เสด็จแม่...”
“คาลิเบิร์น! ถอยออกมา เขากำลังสูญเสียสติ!” พริธเวนรีบพยุงให้น้องชายออกมา
“บ้าเอ๊ย! ไม่ได้อยากสู้กับเขาเลยนะ พลังร้ายกาจชะมัด!” อาร์วีบ่นออกมาอย่างหัวเสีย
พวกเขาต่อสู้กับอพอลโลมาเจ็ดรอบแล้ว เหลือหนามเส้นสุดท้ายจึงจะสามารถปลดปล่อยให้ฟรอสต์หลุดจากพันธนาการได้ ทว่าเมื่อพวกเขาต้องสู้กับอพอลโลที่สวมหน้ากากนานครั้งเข้าก็เริ่มเหนื่อย เพราะหน้ากากดูดพลังของฟรอสต์กอปรกับพลังของอพอลโลเองที่มีอยู่มหาศาล ต้านยังพอไหวแต่ถ้าให้สวนกลับก็ไม่ทะลุหนามกุหลาบซึ่งเป็นโล่กำบังได้เลย ซ้ำยังเรียกอสูรตัวเล็กตัวน้อยมารังควานพวกเขาอยู่ระหว่างทางอีก จะจัดการเผด็จศึกเลยก็ไม่ได้เพราะยังเป็นห่วงร่างกายของคนที่โดนหน้ากากควบคุม สิ่งที่พวกเขาทำได้คือยื้อการต่อสู้ให้อพอลโลหมดแรงและหนีไปเอง
“เสด็จแม่...” เสียงพึมพำแผ่วดังออกมาจากร่างสูงใหญ่กำยำที่กำลังยกมือปิดหน้า เหล่าเจ้าชายคอนดาบขึ้นเพื่อรอรับมือกับหนามกุหลาบที่เริ่มงอกขึ้นจากพื้นดิน
“บ้าเอ๊ย เมื่อไหร่พลังจะหมดเนี่ย ทั้งที่หนามพวกนี้น่าจะน้อยลงเพราะไม่ได้สูบพลังจากฟรอสต์แล้วแท้ๆ” ยูริอุสมองเส้นหนามอย่างระแวดระวัง
“นั่นสิ...ถ้าให้เล่นเกมยื้ออีกตาคงไม่ไหวแล้ว...” อาร์วีเสริมพลางก้าวเท้าถอยจนหลังชนกับหลังของเจ้าชายบลูแมเรีย
“จะมาแล้ว พี่ครับ...พร้อมนะ...”
“อื้ม! ระวังตัวด้วยล่ะ คาลิเบิร์น!”
เจ้าชายทั้งสี่ยกอาวุธขึ้นพร้อมกันพร้อมๆกับที่หนามกุหลาบอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงมายังร่างของพวกเขา ถ้าหากว่าป้องกันไว้ไม่ทันละก็...!
“อ๊ะ! หนามเส้นสุดท้ายหลุดออกไปแล้วล่ะ!” ดวงตาสีทองเบิกกว้างอย่างดีใจ “ฟรอสต์ ขยับได้แล้วสินะ!”
“อืม...” เจ้าชายผู้สูงศักดิ์ค่อยๆกระโดดลงมาจากหนามรังแมงมุม “ว่าแต่...พวกเจ้าชายล่ะ?”
“ยังไม่กลับมาเลย จะเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้นะ...”
“ออกไปตามหากันไหม?” ชแตร์ออกความเห็น “ผม...เป็นห่วง...”
“ฉันก็อยากตามไปอยู่หรอก แต่ว่าฟรอสต์น่ะ...”
“ฉันไม่เป็นไร ตามพวกนั้นไปเถอะ ฉันเองก็...” ...เป็นห่วงอพอลโล...
“หืม?...” เมื่อเห็นเจ้าชายแดนหิมะหยุดพูดไป ดวงตาสีทองก็มองอย่างฉงน
“เปล่า ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ ร่างกายฉันดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร” ฟรอสต์เอ่ยห้วนๆ ก่อนจะเดินไปตามทางที่พวกคาลิเบิร์นเดินไปก่อนหน้านั้น เฮราเคลสและชแตร์ก็รีบเดินตามไปให้ทัน
ระหว่างที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน บรรยากาศระหว่างเจ้าชายผมสีเงินทั้งสองคนนั้นไม่สู้ดีนัก ชแตร์ที่เอาแต่นิ่งเงียบ และฟรอสต์ที่ไม่ยอมพูดอะไรก่อน เฮราเคลสจึงเป็นฝ่ายชวนคุยเล่นฆ่าเวลาและเปลี่ยนบรรยากาศที่เคยมาคุให้สดใสร่าเริง แต่ถ้าให้คุยเรื่องอื่นทั้งคู่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาสักเท่าไหร่ เขาจึงเปิดปากเล่าเรื่องราวสมัยเด็กของอพอลโลให้ฟังแทน และได้ผลเมื่อสองคนนั้นแสดงท่าทีสนอกสนใจ เขาจึงเล่าให้ฟังเรื่อยๆ ในส่วนที่ไม่ใช่ความลับของราชวงศ์
“ตอนที่พวกคาลิเบิร์นกลับมา เขาเล่าให้ฟังด้วยนี่ว่าอพอลโลเอาแต่พึมพำว่า ‘เสด็จแม่’ น่ะ” เจ้าชายร่างสูงผมสีเงินเอ่ยระหว่างเดินไปตามทางในป่า
“อื้อ...เพราะว่าไม่ค่อยสนิทกับพี่ชายและท่านพ่อ ลูกพี่ก็เลยสนิทกับท่านแม่มากกว่า”
“แล้วตอนนี้แม่ของเขาล่ะ...อยู่ที่ไหน?”
“แม่ของอพอลโลเสียแล้วน่ะ...” ชแตร์เป็นคนตอบคำถามนั้น “ตอนเจอกันครั้งแรกในสุสาน...รู้สึกว่าจะเป็นหลุมศพของแม่เขา...”
“ใช่แล้วล่ะ...เพราะลูกพี่ถูกกล่าวโทษว่าเป็นคนทำให้ท่านแม่ตาย”
“ถูกกล่าวโทษ?”
“อืม...เพราะพลังสร้างไฟขอลูกพี่ทำให้แม่ของเขาบาดเจ็บสาหัสจนกระทั่งสิ้นพระชนม์” เจ้าของนัยน์ตาสีทองเอ่ยต่ออย่างหม่นหมอง “แต่รู้สึกว่าข้อเท็จจริงถูกบิดเบือนไป”
“แล้วทำไมนายรู้?”
“ลูกพี่น่ะรักท่านแม่จะตาย จะกล้าทำร้ายลงเหรอ?” เฮราเคลสย่นหัวคิ้ว “เชื่อเถอะว่ามีแต่เจ้านั่นนั่นแหละที่จะทำ”
“เจ้านั่น?” ฟรอสต์ทวนคำ
“พี่ชายของ–” ยังไม่ทันที่เจ้าชายจากโอลิมโพสจะกล่าวจนจบ พวกเขาก็เดินมาถึงที่ที่พวกอาร์วีอยู่ สภาพตรงหน้าเห็นแล้วแทบหยุดหายใจ
เจ้าชายทั้งสี่พร้อมด้วยเหล่าทหารหาญนอนหมดสติอยู่บนพื้นหญ้าที่ถูกไฟเผาจนเป็นสีดำ ถูกเถาวัลย์หนามรัดและสูบพลังจากเลือดที่ซึมออกมาจากบาดแผล หนามกุหลาบเหล่านั้นถูกย้อมด้วยสีเลือดน่าพรั่นพรึง
“บ้าน่า...นี่ไม่ใช่แค่สูบพลังแล้ว...” เจ้าชายน้ำแข็งเบิกตากว้างและมองหนามสีแดงสดอย่างหดหู่
“สูบเอากระทั่งเลือด...” ชแตร์ที่เห็นภาพเหล่านั้นก็เริ่มเซ เฮราเคลสรีบเข้าไปประคอง “ขอ...โทษ แต่ผมรับไม่ไหวจริงๆ...”
“อึก...ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปหาอพอลโลเอง พวกนายอยู่ตรงนี้...ดูแลคนอื่นๆ ไปก่อน” ฟรอสต์ออกคำสั่งและเดินหายเข้าป่าไป ชแตร์และเฮราเคลสจึงไปที่ลำธารเพื่อหาน้ำมาให้ผู้เคราะห์ร้ายเผื่อว่าอาการจะดีขึ้น
ร่างสูงสง่าในชุดสีขาวที่เปรอะเปื้อนเลือดและฝุ่นเดินอย่างองอาจเข้าไปในพนาอย่างรีบร้อน ดวงตาสีแดงสอดส่องมองทั่วเพื่อหาร่างของเจ้าของเรือนผมสีเพลิง
อาทิตย์สุริยาของเขาอยู่ที่แห่งใด ป่านนี้จะอาละวาดหรือร้องไห้อยู่ลำพังที่ไหน...
ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ปรากฏร่างสูงของชายคนหนึ่ง หรี่ดวงตาสีเพลิงมองตามหลังชายผมสีเงินด้วยความซุกซน ในมือของเขาถือหลอดแก้วบรรจุของเหลวสีแดงข้นหลายหลอด
“เอาล่ะ เลือดพวกนี้คงพอที่จะทำพิธีกรรมได้แล้วล่ะนะ พืชมีพิษที่ได้จากอาคิโตะก็พร้อมอยู่แล้ว หึ...”
ว่าจบก็เดินฉับๆ ตามทางหมายจะเดินออกจากป่าไป ทว่าก็ถูกภูตตัวเล็กบินเข้ามาขวางเสียก่อน
“เดี๋ยวสิ แบบนี้ทำเกินไปแล้วนะ ใช้หน้ากากของฉันเล่นกับจิตใจของคนแถมยังทำร้ายคนอื่นๆ อีกน่ะ!”
“ก็เธออยากสนุกไม่ใช่เหรอ? หึๆ แบบนี้ยังไม่สนุกอีกรึไง?” รอยยิ้มน่าขนลุกผุดของออกมาจากใบหน้าคมคาย
“แต่เดี๋ยวสิ...!”
“ฉันไปล่ะ วันนี้ฉันสนุกพอแล้ว ทีเหลือเธอก็จัดการเองก็แล้วกันนะ”
“เฮ้!”
แล้วจึงปล่อยให้ภูตน้อยต้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นตามลำพัง ชายคนนั้นเดินหายลับออกจากป่าไปในที่สุด
“ย้ากกกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากมุมหนึ่งของป่า เจ้าของร่างสูงสง่าจำไม่ผิดว่านั่นคือเสียงของคนที่เขาตามหา ขายาวรีบสับเท้าไปตามต้นเสียงโดยไม่สนใจว่าจะเหยียบย่ำพื้นที่ชื้นแฉะหรือโคลนจะเลอะกางเกงสีขาว เขารู้เพียงแค่ว่าต้องรีบไปหาให้เร็วที่สุด
“อพอลโล!”
ในที่สุดเข้าก็พบกับร่างกำยำผมสีตะวันที่นั่งหลังอิงต้นไม้อย่างอ่อนแรง มือข้างขวามีเศษหน้ากากที่แตกออกถือไว้ หน้ากากบางส่วนยังอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาที่ซีดเซียว ดวงตาสีเพลิงที่เคยคมกล้ากลับปิดลงอย่างอ่อนล้า ร่องรอยเล็บข่วนปรากฏบนแก้ม สันนิษฐานได้เพียงอย่างเดียวคืออีกฝ่ายฝืนถอดหน้ากากออกแม้ว่าจะถอดออกไม่สำเร็จก็ตาม
“อพอลโล...” ฟรอสต์นั่งลงข้างๆ มือสัมผัสดูก็พบว่าร่างกายนั้นร้อนจี๋เหมือนกับครั้งที่ใช้พลังเกินขีดจำกัดร่างกาย
ไม่รอช้า...เขารีบใช้พลังไอเย็นบรรเทาความร้อนจากร่างกายของคนตรงหน้าทันที และดูท่าไอเย็นของเขาจะทำให้อีกฝ่ายได้สติ ดวงตาดุดันนั้นเปิดขึ้นมาสบเขาอย่างช้าๆ
“ไง รู้สึกยังไงบ้าง?”
“นายปลอดภัยใช่มั้ยฟรอสต์?”
ใจหนึ่งก็แปลกใจ อีกใจหนึ่งก็อยากขำ คนตรงหน้าเจ็บหนักขนาดนี้ยังมีหน้าเป็นห่วงเขาที่ถูกรัดให้อยู่กับที่เฉยๆ เสียได้
“ฉันไม่เป็นไร” ตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ เรี่ยวแรงและพลังก็ฟื้นกลับมาพอสมควรแล้ว ไม่มีอะไรให้อีกฝ่ายได้ห่วง “ว่าแต่หน้ากากนี่บังคับให้นายสร้างหนามดูดเลือดขึ้นหรือ?”
“หนาม...เลือด?” อพอลโลเอ่ยแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ตอนนี้พวกเจ้าชายคนอื่นๆ ถูกหนามนั่นรัดและดูดเลือดอยู่นะ” ขยายควาให้อีกคนเข้าใจ
“ฉันไม่ได้ทำ ตอนนั้นฉันเป็นฝ่ายแพ้ด้วยซ้ำ...นายถึงหลุดจากหนามกุหลาบได้...”
“งั้นเหรอ...” ฟรอสต์เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจแต่ก็มิได้พูดอะไรต่อ
ท้ายที่สุดแล้วสถานการณ์หน้ากากภูตอสูรนั้นก็คลี่คลายลงเมื่อเจ้าของหน้ากากมาแสดงตัวรับผิดชอบเรื่องที่ทำลงไป และโชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสจนเสียชีวิต คนที่บาดเจ็บถูกส่งตัวกลับปราสาทไปเพื่อรักษาพยาบาล เฮราเคลสที่เคยเจอภูตแสนซนตนนั้นก็ขู่ว่าจะไปฟ้องราชินีภูตถ้าหากว่าเจ้าภูตน้อยไม่ยอมอยู่ช่วยเหลือจนกว่าทุกคนจะหายดี หน้ากากเจ้าปัญหาถูกถอดออกอย่างปลอดภัย อพอลโลไม่ได้สติอยู่หลายวันจนทั้งชแตร์และเฮราเคลสเป็นห่วง ฟรอสต์แจ้งกลับไปยังอาณาจักรของตนว่าจะขออยู่ต่ออีกนานหน่อยเพราะอยากดูอาการของอพอลโลจนกว่าจะฟื้น
“อือ...”
เกือบสามวันที่พวกเราเฝ้ารอคอยเสียงนี้อย่างมีความหวัง...สามร่างในห้องนั้นรีบหันมามองร่างที่นอนอยู่บนเตียงเป็นตาเดียวกัน
“ลูกพี่!”
“ให้ตายสิ...ฟื้นทีไรเจอแต่แกทุกรอบเลย...” เมื่อดวงตาสีตะวันเปิดออกก็คนหัวทองก็รีบเสนอหน้ามาหาใกล้ๆ ทันที มือหนาคว้าหาอะไรบางอย่างบนโต๊ะหัวเตียง คนตัวโตก็ยื่นแก้วน้ำมาให้อย่างรู้งานและคล่องแคล่ว
“ฮี่ๆ แต่ก็ดีใจใช่มั้ยล่ะ!?” เฮราเคลสยิ้มแฉ่ง “นี่ๆ เนแมร์ก็เป็นห่วงมากๆ เลยล่ะ” ฝ่ามือใหญ่ยื่นมาตรงหน้าพร้อมสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ทำตาละห้อยอยู่บนนั้น คนที่นอนอยู่ค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง
“มี้...”
“ฉันไม่เป็นไร” อพอลโลกระดกแก้วน้ำดื่มจนหมดด้วยความกระหาย คนเป็นลูกน้องรับแก้วที่ว่างเปล่ามาก่อนจะรินน้ำส้มคั้นแล้วส่งคืนให้ดื่มอีกหน
“มี้ๆ”
เจ้าเม่นแคระกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจก่อนจะถูกนำกลับไปวางไว้บนบ่าของเฮราเคลสตามเดิม คนร่างยักษ์ยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นลูกพี่ของตนบ้าจี้ตอบคู่หูของตน
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วล่ะ...” เจ้าชายร่างผอมบางขยับยิ้มเล็กๆ “ดีใจที่นายปลอดภัยนะ”
“แกก็ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
“เอ๊ะ...”
“ก็ที่โดนหนามรัดตอนนั้นไง” ใบหน้าคมคายขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าเอ๋อใส่
“อ้อ...” กว่าจะนึกออกก็เว้นช่วงไปหลายนาที “ผมไม่เป็นไรหรอก ก็ตอนนั้นเฮราเคลสเอาตัวมาบังไว้น่ะ”
“ก็ดีแล้ว...” พูดจบตะวันสีสดเบนสายตาไปมองทางอื่น
“ขอบใจที่เป็นห่วงนะ” ชแตร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เคยนั่ง “ผมคงต้องขอตัวกลับก่อน...”
“อ๊ะ ฉันไปด้วยสิ!” พอเห็นเพื่อนสนิทเดินออกจากห้อง เฮราเคลสก็รีบร้อนตามไปทันที แต่ก็ไม่วายหันกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง “จริงสิลูกพี่! เดี๋ยวมีเรื่องจะคุยด้วยทีหลังนะ ถ้ายังไงก็ไปที่กระท่อมของฉันได้มั้ย?”
“กระท่อมของแก?”
“อื้อ อยากคุยกันสองคนตามประสาพี่น้อง!” ทำหน้าฮึดใส่ คนมองเริ่มระอาจนต้องรับปากไปส่งๆ
“เออ ไอ้บ้าสมองกล้ามเนื้อ” แม้ว่าจะโดนด่าทว่ารอยยิ้มสดใสก็ฉายกลับมา
รู้จักกันมานานเป็นสิบปีแล้ว...ทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นแอบแฝงอะไรไว้ แค่คุยตามประสาพี่น้องไม่เห็นต้องไปคุยถึงที่ลับตาคนอย่างในกระท่อมกลางป่าหลังนั้นเลย...
หลังจากที่ก้างขวางคอทั้งหลายออกจากห้องไปแล้ว เจ้าชายผู้แสนเย็นชาก็ลุกจากโซฟามานั่งบนเตียงข้างๆ คนเจ็บทันที ริมฝีปากนุ่มประกบลงมาอย่างเอาแต่ใจ ครั้นจะผละออกให้อีกคนได้เป็นฝ่ายโหยหากลับถูกรั้งด้วยมืออุ่นร้อนไม่ให้ถอนออก ความปรารถนาร้อนแรงถ่ายทอดผ่านริมฝีปากมาโดยไม่เว้นช่วงให้พักหายใจ ไม่นานนักคนเริ่มรุกก็หมดแรงและซบอยู่บนอกของอีกคน
“ไง เสพติดจูบแล้วรึไง?” แขนกำยำคว้าร่างของฟรอสต์เข้ามากอดแน่นอย่างวางอำนาจ “ตกใจนิดหน่อย...แต่ก็ชอบ...”
“อึก...” ใบหน้างดงามที่เคยขาวจัดเริ่มมีสีแดงระบายที่โหนกแก้ม
“มีอะไรก็พูดมาสิ” มือหยาบกร้านลูบผมสีเงินนุ่มๆ เบาๆ ปลายนิ้วม้วนปอยผมเล่นอย่างนึกสนุก
“ฉันนี่...เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลยนะ...” เจ้าชายหิมะขยับกายขึ้นมานั่งดีๆ
“หมายความว่ายังไง?” แขนแกร่งยังไม่ยอมคลายกอดจากเอว กระชับระยะห่างให้ลดเข้ามาใกล้ชิดกันดังเดิม
“สองคนนั้นรู้เรื่องนายเยอะกว่าฉันอีก...” แขนเรียวยกขึ้นมาขวางระหว่างอกของทั้งคู่ “ทั้งเรื่องครอบครัวของนาย...เรื่องนิสัย...ของที่ชอบ...”
“แล้วไง? พวกนั้นรู้จักฉันมานานหลายปี นายเพิ่งจะรู้จักฉันไม่กี่เดือนเองนี่” คิ้วคมเลิกขึ้นอย่างฉงน
“ก็...ฉัน...” สีหน้าวุ่นวายปรากฏบนใบหน้าสวยคม
“อะไรเล่า? ฉันฟังอยู่...”
“ชแตร์น่ะจับมือนายอยู่ตลอดเลย...เฮราเคลสก็ดูแลนายดี...”
“แล้วมันทำไม?” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดสักทีก็เริ่มหงุดหงิด
“ฉัน...” ดวงตาสีแดงชาดมองสบกับตะวันร้อนแรงได้เพียงครู่เดียวก็หลบไปมองทางอื่น เห็นท่าทางที่น่าหงุดหงิดแบบนั้นก็อดโมโหไม่ได้ แต่ก็เลือกที่จะแกล้งอีกฝ่ายแทน
“อ๋อ...นายหึงงั้นเหรอ?” อพอลโลเลือกใช้คำที่น่าจะทำให้คนตรงหน้าแสดงปฏิกิริยามากที่สุด
“หะ–หา...” เมื่อได้ยินคำที่ตรงกับความรู้สึกก็เผลอแสดงสีหน้าเหลอหลาออกมา “หะ–หึง...บ้าอะไร...”
กิริยาน่าสนใจทำให้สะกิดต่อมขี้แกล้งของเจ้าชายองค์เล็กแห่งแฟลร์รูจ รอยยิ้มมีเลศนัยเผยออกมาอย่างซุกซน ดวงตาหยีลงจนไม่น่าไว้ใจ
“เห็นนายไม่ค่อยจะพอใจตั้งแต่ที่ฉันไปทักพวกเฮราเคลสตอนนั้น...”
“บ้าน่า...ไม่ใช่สักหน่อย...” เอ่ยปฏิเสธได้ไม่เต็มเสียงนักเพราะ...จริง...ที่เขาเผลอชักสีหน้าไป
“แล้วก็ตอนงานพิธีเปิด...” เรื่องก่อนหน้าอาจเฉไฉไม่ยอมรับได้ แต่เรื่องนี้...
“ก็นายนั่นแหละ!” จู่ๆเจ้าชายน้ำแข็งก็ขึ้นเสียงด้วยความโมโหร้อน “ทั้งที่บอกรักฉันอยู่ปาวๆแต่กลับมองคนอื่นเนี่ยนะ! แถมยังทิ้งฉันไปดูดาบกับเจ้าชายยูริอุสนั่นอีก!”
“เหรอ...” เป็นอพอลโลเสียเองที่มองตาค้างในปฏิกิริยาอันดุเดือด
“แถมยัง...จู่ๆ ก็หายตัวไปอีก โดนสวมหน้ากากนั่นน่ะ...” สีหน้าโกรธของคนสวยทำให้คนมองรู้สึกเอ็นดูอย่างประหลาด “ฉันตามหานายไปทั่วอย่างกับคนบ้า...”
“งั้นเหรอ...” ใบหน้าคมคายผุดรอยยิ้มพราย
“ตอนหลับอยู่ก็ดันมีแต่คนมารุมล้อม...ฉันไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน...”
“หึๆ...” คนฟังขำเบาๆ ในลำคอ พยายามกลั้นจนไหล่สั่น
“ขำอะไร?” ฟรอสต์เคืองจนชักสีหน้าอีกครั้ง
“อา...โทษที...หึๆ...ฮะๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!” อพอลโลขำไม่หยุดและทิ้งให้คนมองต้องงง จนผ่านไปสักพักกว่าเขาจะหยุดขำแล้วรวบคนในอ้อมแขนมากอดแน่นๆ อีกครั้ง
“อะไรเล่า?! ปล่อยฉัน!” ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอด โชคดีที่คนเคยป่วยไม่ค่อยมีแรงรั้งไว้เหมือนคราก่อน จึงยอมคลายให้หลวมลงหน่อย
“ฉันดีใจน่ะ แค่รู้ว่านายทั้งหึง ทั้งหวง ทั้งห่วง...ฉันก็แทบบ้า...” ดึงเข้ามาจูบที่ริมฝีปากอย่างหนักแน่นก่อนจะปล่อยออก “ดีใจมากเสียจนใจเต้นแรงจนลืมเจ็บ...” เขายกมือเรียวบางมาทาบไว้บนอก
“อะ–อพอลโล...” ใบหน้าสวยแดงเรื่ออีกครั้ง สัมผัสถึงจังหวะที่เต้นถี่พอๆกับหัวใจของเขาในตอนนี้
“นายรู้สึกอย่างเดียวกับฉันแล้วใช่ไหม?”
“รู้สึกอะไร?” ฟรอสต์รู้สึกว่าลมหายใจของตนติดขัดด้วยความตื่นเต้น ...ทั้งที่ไม่มีอะไรให้ต้องตื่นเต้นเลยแท้ๆ...
เจ้าของเรือนผมสีเพลิงดึงร่างสูงโปร่งของคนตรงหน้าเข้ามาซบตรงอกตนอีกครั้ง กดให้ศีรษะที่ปรกด้วยเส้นไหมสีเงินแนบลงที่กลางใจของเขา อกอุ่นๆ และสิ่งที่ส่งเสียงดังข้างในนั้นยิ่งเรียกให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้างดงาม ประดับสีแดงสวยเลอค่าน่าชม อพอลโลอยากฟัดพวงแก้มสีชมพูนั้นอย่างมันเขี้ยว ทว่าก็ต้องอดทนเพื่อพูดประโยคที่น่าจะสั่นคลอนดวงใจน้ำแข็งของเจ้าชายผู้เย็นชา
“รู้สึกว่านายก็รักฉันเหมือนกัน...”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
มาได้เกินครึ่งทางแล้วล่ะค่ะ รวบรัดเกินไปรึเปล่าเน่อ ติชมกันได้นะคะ ขอบคุณค่า ^^