Listen to this for your อรรถรสในการอ่าน

Chopin - Nocturne op.9 No.2

 

บทนำ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของเรา

(New York, Nueva York, EE. UU. Photo by Diogo Brandao on Unsplash)

 


 

‘อีก 200 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร’

 

แต่ที่แน่นอนคือ ยังไม่มีรถยนต์เหาะได้หรอกนะ

 

‘โลกในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เริ่มตั้งแต่ ค.ศ.2001-2100 ยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มวลมนุษยชาติมีวิวัฒนาการแบบก้าวกระโดด การเข้ามาของเทคโนโลยีไม่เพียงเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ยังเปลี่ยนชีวิตประจำวันของมนุษย์จนขาดอวัยวะที่ 33 อย่างสมาร์ตโฟนไปไม่ได้’

 

‘มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทันกลายเป็นผู้แพ้บนโลกใบใหม่นี้ เหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว วัฒนธรรม แนวโน้มแห่งโลกอนาคต แฟชั่นข้ามทวีปหลั่งไหลไปมาดุจแม่น้ำไนล์ เหตุการณ์สำคัญถูกลืมไปอย่างง่ายดายราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นเพราะผู้คนติดนิสัยบันทึกทุกอย่างไว้บนคลาวด์’

 

เมื่อไม่จำเป็นต้องใช้สมองจดจำ เรื่องไม่สำคัญจึงถูกลืม

 

‘ศตวรรษนั้น ไม่เพียงธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงจนผู้คนต้องออกมาเรียกร้อง เพราะรัฐบาลถือเป็นส่วนสำคัญในการออกกฎหมายควบคุมอุตสาหกรรมเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ยังเกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมหาศาลจนมนุษย์ล้มหายตายจากไปจากการบริหารของรัฐบาลที่ห่วยแตก เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน’

 

‘โลกในปี ค.ศ.2221 หรือคริสต์ศตวรรษที่ 23 นี้คือจุดเริ่มต้นของยุคฟื้นฟู รัฐบาลได้ให้นิยามของยุคนี้ไว้เช่นนั้น แต่ก็ชักไม่แน่ใจว่ามันกำลังฟื้นฟูดังชื่อยุคหรือไม่ เพราะประวัติศาสตร์ได้สอนให้เราเรียนรู้และไม่ทำผิดซ้ำ ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นผู้ที่ทำซ้ำรอยประวัติศาสตร์ผุดขึ้นมาอยู่เสมอ’

 

จบประโยคนี้ชายหนุ่มชะงักมือ ก่อนตัดสินใจกดลบสามประโยคก่อนหน้า เพราะมันออกจะใส่อารมณ์ร่วมเยอะไปหน่อย อีกทั้งยังจำคำพูดของรุ่นพี่คนหนึ่งที่เคยติวก่อนมาสอบได้

 

‘อย่าตอบแบบเอียงไปฝ่ายใดมากกว่า เพราะไม่รู้ว่าผู้ตรวจข้อสอบเป็นใคร’

 

เมื่อชำเลืองตาขึ้นมอง ก็รับรู้ได้จากระยะห้าเมตรว่าผู้คุมสอบน่าจะเป็นอัลฟา ชายหนุ่มลอบถอนหายใจแล้วลงมือพิมพ์ต่อ

 

‘ถึงอย่างนั้น อดีตไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่ควรหลีกเลี่ยง แต่อดีตเกิดขึ้นเพื่อให้เราเรียนรู้และมีประสบการณ์ ปัจจุบัน ค.ศ.2221 คือจุดเริ่มต้นของยุคฟื้นฟู จากการให้คำนิยามของรัฐบาล หลังผ่านความยากลำบากในอดีตมาได้ ก็เริ่มแก้ไขในสิ่งที่ บรรพบุรุษทำผิดพลาดอย่างชาญฉลาดและเป็นเหตุเป็นผล เรียนรู้อดีตเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดในปัจจุบัน ไม่ให้ประวัติศาสตร์นั้นเกิดซ้ำรอย’

 

‘นั่นคือจุดกำเนิดของการผลักดันความสามารถของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมมหัศจรรย์แห่งยุคอย่างเทคโนโลยีขึ้นมา เหตุใดจึงจะพัฒนามนุษย์ด้วยกันเองให้มีภูมิต้านทาน มันสมองและความแข็งแกร่งทางกายภาพไปอีกขั้นไม่ได้’

 

‘การทดลองสาร X2 ของในปี ค.ศ.2120 สำเร็จไปอีกขั้นในการดัดแปลงพันธุกรรมมนุษย์ให้มีศักยภาพเหนือชั้น โดยรัฐบาลออกกฎหมายให้ประชาชนทุกคนฉีดวัคซีนที่มีชื่อว่า Extaronein Clomiphene Triphenylethylene 2;X2 (เอ็กซ์ทู) โดยคุณสมบัติหลักของมันคือ สร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายจากอดีตในทุกด้าน และป้องกันโรคใหม่ที่ไม่ขึ้นเกิดขึ้นมาก่อนบนโลกนี้ แต่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

 

ก่อให้เกิดเพศรองที่มีพละกำลัง ความชาญฉลาดและไหวพริบมากกว่ามนุษย์ในอดีตอย่าง อัลฟา ถือกำเนิดขึ้น’

 

อือ...เพศรองอัลฟาคือความสำเร็จในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติเมื่อ 2120 ก็จริง แต่เบตากับโอเมกา ผู้คนกลับมองว่าคือความล้มเหลว

 

เบตา คือเพศรองที่มีความใกล้เคียงกับมนุษย์ในยุคก่อนหน้ามากที่สุด เป็น กลุ่มคนที่มีพันธุกรรมดั้งเดิม เกิดจากการที่พันธุกรรมของผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเข้ากันกับวัคซีน X2 หรือก็คือร่างกายต่อต้านสิ่งเหล่านี้ ทำให้การพยายามดัดแปลงพันธุกรรมไม่เป็นผล

 

โอเมกา คือเพศรองที่มีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาทั้งหมดสามเพศรอง เป็นกลุ่มมนุษย์ที่ร่างกายสามารถเข้ากันได้กับสารเคมี X2 ทว่าเมื่อเข้ากันได้แล้ว สารนี้ดันไปปรับเปลี่ยนฮอร์โมนในร่างกายในทางตรงกันข้ามกับเพศรองอัลฟา

 

อาจไม่ได้ถึงขั้นไม่สมประกอบ แต่ก็ถือว่าไม่ได้ชาญฉลาด หรือมีพละกำลังมากไปกว่าอัลฟา เพราะสารนี้จะมีผลอย่างไรขึ้นอยู่กับพันธุกรรมของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน แต่ที่แน่นอนก็คือผู้ที่มีเพศรองโอเมกาจะมีฮอร์โมนใกล้เคียงกับเพศหญิงในร่างกายสูงถึง 97.13905920%

 

ไม่ต้องถามว่าทำไมจำตัวเลขแม่นขนาดนี้ ก็เพราะมันเคยออกในข้อสอบไฮสคูลระดับชาติน่ะสิ

 

ถ้าให้อธิบายง่ายๆ เกี่ยวกับผู้ที่มีเพศรองเป็นโอเมกา คือเป็นเพศผู้ให้กำเนิด สามารถตั้งท้องได้ไม่ว่าจะมีเพศหลักเป็นชายหรือหญิง มีฮอร์โมนที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงอยู่ในร่างกายมากถึง 97% ได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีลักษณะทางกายภาพที่เหมือนผู้หญิงเป๊ะ เหมือนมนุษย์ในอดีตที่ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นเท่านั้น และผู้ชายไม่จำเป็นต้องตัวสูงกล้ามใหญ่แบบในอุดมคติของใครหลายคนเพียงอย่างเดียว

 

มนุษย์มักติดนิสัยเหมารวมเสมอ ไม่ว่าจะเหมารวมทั้งทางกายภาพและลักษณะนิสัย แต่นั่นก็เป็นเพียงในช่วงแรกหลังจากมีการปฏิวัติมนุษย์ การเหยียดหยามทางเพศ เชื้อชาติ ฐานะทางสังคมลดน้อยถอยลงมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน

 

เพราะเมื่อตรรกะเหตุผลทำงานมากกว่าอารมณ์และอุดมคติ มนุษย์จึงยอมรับได้เสียทีว่าความหลากหลายต่างหากคือความสวยงามของโลกใบนี้

 

เดี๋ยวนี้มียากดฮอร์โมนเพศรองสำหรับผู้ที่เป็น LGBTQ+ หรือเพศทางเลือกหลากหลายอีกมากมาย เพื่อผู้ชายที่มีเพศรองเป็นโอเมกาแต่ไม่ได้อยากรูปร่างบอบบางอรชรดั่งหญิง และผู้หญิงที่มีเพศรองอัลฟาแต่ไม่ได้อยากดูแข็งแรงดั่งชาย ถึงจะกล่าวเช่นนั้น ยาทางเลือกนี้ก็ค่อนข้างแพงและเข้าถึงคนได้บางกลุ่มเท่านั้น

 

ต้องเข้าใจก่อนว่าตอนนี้โลกมีความหลากหลายมาก และเพศสภาพก็ไม่ใช่สิ่งที่จำกัดความสามารถมนุษย์ดั่งในอดีตอีกต่อไป

 

เมื่อก่อน คนเพิ่งจะค้นพบสิ่งนี้ ซึ่งมันถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ความรู้และประสบการณ์รับมือยังน้อยนัก บันทึกข่าวประจำวันในช่วงต้นศตวรรษที่ 22 จึงมีแต่เรื่องน่าสะเทือนขวัญ ในใจความเดียวกัน

 

...อนาถ พ่อแม่ลงมือฆ่าลูก เพราะมีเพศรองเป็นโอเมกา...

 

...อุกฉกรรจ์ ฆ่า ข่มขืน โอเมกาในสถานเด็กกำพร้า...

 

...กฎหมายป้องกันสิทธิและความปลอดภัยของโอเมกา ทำได้จริง หรือแค่ลมปาก...

 

...ประชาชนร่วมลงชื่อแบน ซีรีส์ที่มีฉากข่มขืนโอเมกา...

 

พวกเราจะรู้เพศรองที่นอกเหนือจากเพศสภาพโดยกำเนิดอย่างชาย หญิง และผู้มีสองเพศได้เมื่อก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือตั้งแต่อายุประมาณสิบสองปีเป็นต้นไป และจะรู้ได้อย่างไรว่าใครมีเพศรองเป็นอะไร

 

รับรู้ได้จากฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาจากร่างกาย ตามบริเวณต้นคอ ข้อพับ และอวัยวะเพศคือต่อมปล่อยฟีโรโมนชั้นดี จะเรียกว่าเหงื่อก็ไม่ใช่ กลิ่นตัวก็ไม่เชิง

 

ฟีโรโมนจะมีคุณสมบัติคล้ายกับกลิ่นกายเฉพาะบุคคลนั้น แต่มันไม่เหมือนกลิ่นตรงที่ เราจะรับรู้กลิ่นได้จากการดม ในอดีตถ้ามนุษย์เป็นหวัด ประสาทสัมผัสที่ใช้ในการดมอย่างจมูกจะผิดเพี้ยนไปหรือใช้การไม่ได้ ทำให้ไม่ได้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นต่างๆ รอบตัว

 

แต่ฟีโรโมนที่ปล่อยออกมาจากมนุษย์ในยุคนี้ พวกเราจะสามารถรับรู้ได้แม้ปิดจมูกหรือกลั้นหายใจ แล้วไอ้ฟีโรโมนที่ว่านี่มันทำงานอย่างไร มีประโยชน์หรือข้อดีข้อเสียหรือไม่

 

ถ้าให้ว่ากันอย่างง่ายๆ เลยนะ ฟีโรโมนมีไว้เพื่อหาคู่และสืบพันธุ์

 

นักวิทยาศาสตร์ในอดีตไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อขยายเผ่าพันธุ์หรือประชากรมนุษย์ให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

 

อย่างที่พิมพ์ไปในกระดาษคำตอบตอนต้น คริสต์ศตวรรษที่ 21 เกิดโรคระบาดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมหาศาลจนมนุษย์ล้มหายตายจากไปเพราะการบริหารของรัฐบาลที่ห่วยแตก

 

คีย์เวิร์ดคือ มนุษย์ล้มตายไปจำนวนมาก แล้วนักวิทยาศาสตร์ในยุคที่มีรัฐบาลห่วยแตกจะทำอะไรได้ล่ะ

 

ก็คิดวิธีเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นมาไปเลยสิ

 

ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในคลาสนี่แทบจะกุมขมับ

 

...บรรพบุรุษกูทำอะไรลงไปวะ...

 

โอเค มาต่อเรื่องการทำงานของฟีโรโมนว่ามันจะทำให้มนุษย์หาคู่และสืบพันธุ์เพิ่มประชากรได้อย่างไร

 

เบตา ไม่มีฟีโรโมน ก็อย่างที่บอกว่าวัคซีน X2 ไม่มีผลกับพันธุกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ ก็เลยถือว่าเป็นมนุษย์กลุ่มที่ปกติสุด ฟีโรโมนไม่มีผลต่อร่างกายแต่อย่างใด แต่ถ้าได้รับฟีโรโมนในจำนวนมากๆ ก็อาจจะส่งผลไปทางสมองได้ แต่จะส่งผลไปในทิศทางไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้ปล่อยฟีโรโมนด้วย

 

จำจากตอนเรียนมัธยมปลายมาได้เท่านี้ ขอโทษที่ตอนนั้นไม่ค่อยตั้งใจเรียนด้วยครับ ก็คนมันไม่ค่อยชอบวิชาชีวะวิทยานี่นา

 

ประโยคหนึ่งใน “Oxford River Books” ว่าไว้ “The Alpha and Omega” ให้ความหมายได้ว่า

 

...การเริ่มต้นและการสิ้นสุด...

 

ถ้าให้แปลในแปลอีกทีก็คือ เพราะอัลฟาเป็นอักษรตัวแรกของอักษรกรีก และโอเมกาเป็นตัวอักษรในภาษากรีกตัวสุดท้าย

 

ยัง... ยังไม่เข้าใจอีกใช่ไหม ถ้าให้แปลในแปลอีกทีมันก็ดูเหมือนกับว่าสองเพศรองนี้ เริ่มต้นและสิ้นสุดด้วยกัน

 

ราวกับว่าเกิดมาคู่กันยังไงล่ะ

 

อัลฟา จะมีฟีโรโมนที่คล้ายกับกลิ่นประจำกาย สามารถควบคุมความเข้มข้นของกลิ่นได้ ฟีโรโมนนั้นจะลอยอยู่ในอากาศไกลออกไประยะหนึ่งเมตรถ้าเจ้าของควบคุมโดยการกดมันไว้ แต่จะสามารถลอยไปได้ไกลถึงยี่สิบเมตรถ้าเจ้าของควบคุมโดยการตั้งใจปล่อยฟีโรโมนแบบระยะไกล และจะลอยอยู่ในอากาศระยะสามถึงห้าเมตรในยามปกติที่ไม่ได้ตั้งใจควบคุมหรือกดฟีโรโมน

 

โอเมกา จะมีฟีโรโมนที่คล้ายกับกลิ่นประจำกายเช่นเดียวกัน แต่จะกดมันหรือปล่อยระยะไกลไม่ได้เหมือนอัลฟา ซึ่งฟีโรโมนจะลอยออกไปในอากาศระยะ สามถึงห้าเมตร

 

ฟีโรโมนของสองเพศรองนี้จะทำงานประสานกันในเชิงดึงดูด อยากเข้าหา ฟีโรโมนนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของเจ้าของ ในทางกลับกันถ้าอัลฟาปล่อยในตอนที่กำลังโกรธ โอเมกาอาจจะรู้สึกเหมือนถูกผลักดันให้ออกห่าง พลอยรู้สึกกลัว รู้สึกไม่ดี หรือจำต้องยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจ

 

โอเมกาชายจะมีวันนั้นของเดือนหรือที่เรียกกันว่า ช่วงฮีท เวลาสามถึงเจ็ดวันทุกเดือน โอเมกาหญิงจะไม่มีประจำเดือนแต่แทนที่ด้วยช่วงฮีทแทน แต่ผู้หญิงในเพศรองอื่นๆ จะยังมีประจำเดือนปกติเหมือนคนยุคก่อน

 

ลองนึกสภาพโอเมกาหญิงที่ทั้งเดือนไม่ได้ทำอะไร หมดช่วงประจำเดือนได้ไม่เท่าไร ช่วงฮีทก็มาต่อสิ ตายกันพอดี

 

ในอดีตที่มีคดีอุกฉกรรจ์มากขนาดนี้เพราะช่วงฮีท โอเมกาจะปล่อยฟีโรโมนดึงดูดทางเพศออกมามากแบบล้นทะลัก ต่อให้สมองจะต่อต้าน แต่ร่างกายก็จะปล่อยฟีโรโมนออกมาดึงดูดคนที่มีเพศรองเป็นอัลฟาอยู่ดี

 

สมัยนี้มียาระงับฟีโรโมนในช่วงฮีททั้งแบบฉุกเฉินและแบบกินรายเดือนออกฤทธิ์แน่นอนกว่าแต่ก่อนก็จริง แต่ข่าวน่าสะเทือนขวัญก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่เสมอ และที่น่าโมโหที่สุดคือ

 

อัลฟาพวกนั้นมักจะให้การกับศาลว่า เหยื่อปล่อยฟีโรโมนออกมายั่วเอง ช่วยไม่ได้ ทำไปเพราะสันชาตญาณ...

 

นิสัยโทษเหยื่อ จะกี่ปีกี่ชาติ ก็ยังมีสัตว์นรกพวกนี้ผุดออกมาไม่หยุดหย่อน

 

อย่าโทษเหยื่อเลย เหยื่อก็คือเหยื่อ ความหมายของเหยื่อคือผู้ถูกกระทำ

 

แม้ว่าความหมายของเหยื่อตามพจนานุกรมจะระบุไว้ว่า

 

เหยื่อ— (น.) ตัวรับเคราะห์

 

แต่ที่จริงแล้วเหยื่อไม่ใช่ตัวรับเคราะห์ ถ้าปราศจากผู้สร้างเคราะห์ร้ายนั้น ไม่สมควรมีใครได้รับเคราะห์จากการกระทำอันชั่วร้ายของผู้อื่น

 

กฎหมายฉบับล่าสุดมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้โอเมกาจะเกิดอาการฮีทแบบกะทันหันในที่สาธารณะ อัลฟา เบตา หรือโอเมกาด้วยกันเอง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปคุกคาม

 

แล้วโอเมกาต้องทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง แถมถ้าแถวนั้นยังมีอัลฟาที่ดันหน้ามืดตามัว ควบคุมสติสัมปชัญญะไม่ได้ หรือไม่ยอมเอายาระงับฮีทฉุกเฉินมาฉีดให้

 

รัฐบาลแก้ไขปัญหาแสนเรื้อรังนี้อย่างไรรู้ไหม ก็เลือกที่จะปัดภาระให้ผู้มีเพศรองโอเมกาซื้อยาระงับฮีทติดกระเป๋าไว้เอง ทั้งแบบปกติและแบบฉุกเฉิน

 

ดั่งวลียอดฮิต...ประชาชนต้องดูแลตัวเอง

 

ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก กฎหมายมาตราที่ 1213 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ที่มีเพศรองเป็นโอเมกาทุกคนต้องมียาระงับฮีททั้งแบบปกติและแบบฉุกเฉินติดตัวทุกครั้งที่ออกไปในที่สาธารณะ ถ้าสุ่มตรวจแล้วไม่พบ โทษอาจจะหนักถึงขั้นจำคุกสองปี

 

ในขณะที่อัลฟา หลักสูตรการเรียนการสอนมาตรฐาน บังคับให้อัลฟาทุกคนออกกำลังกาย เพื่อลดความใคร่อยากทางเพศ…

 

ทั้งๆ ที่อัลฟานั้นก็มียาระงับอาการรัทและสามารถเข้ารับการฝึกอบรมให้ควบคุมฟีโรโมนได้ตั้งแต่ตอนรู้เพศรอง ผู้ที่ฝึกจบระดับ A แล้วจะเก่งถึงขั้นต่อให้มีคนฮีทต่อหน้า หรือทั้งฮีทและนอนเปลือยกายอ้าซ่าอยู่ใต้ร่าง ก็ควบคุมตนเองได้

 

เนี่ย หลักสูตรแบบนี้ทำไมถึงไม่เป็นหลักสูตรบังคับกัน

 

การฝึกนี้ไม่บังคับอัลฟาทุกคนให้เรียน บังคับเพียงคนที่จะต้องประกอบอาชีพที่รัฐบาลกำหนดเท่านั้น เพราะจำเป็นต้องเอาหลักฐานการฝึกไปรับรองเพื่อทำเอกสารประกอบทางวิชาชีพ ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าการฝึกนี้เฉพาะผู้ที่จะไปเป็นแพทย์ นักการเมือง ทนายความ หรือผู้ที่ต้องทำงานรับมือได้ทุกสถานการณ์

 

การสื่อสารที่ไม่กระจ่างของหน่วยงานรัฐบาล ไร้การรณรงค์ที่ดี ขาดเงินทุนสนับสนุน แล้วประชาชนจะไปตื่นรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตมันมีทางเลือกนี้

 

นักวิทยาศาสตร์เขาก็คิดมาให้แล้ว ยาก็มีอะ พกยาตัวเองบ้างก็ได้ไหมล่ะ ทำไมถึงทำให้มันยากแต่โอเมกาอยู่ฝ่ายเดียวด้วยเล่า

 

คุณคิดว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ของรัฐบาลได้ผลหรือไม่ (10 คะแนน)

 

อ้อ...แต่ก็ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ว่าทำไมความยากทุกอย่างมันถึงมาตกอยู่ที่ผู้เป็นโอเมกา เพราะคนในสภามีแต่อัลฟายังไงล่ะ มันถึงได้มีนโยบายห่วยแตกแบบนี้เกิดขึ้น

 

อัลฟา:เบตา:โอเมกา อัตราส่วนคือ 3:5:2 ไม่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่างกันเท่าไรนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วมีคนส่วนน้อยที่จะสามารถพบเจออัลฟาได้ทั่วไป เพราะอัลฟาส่วนใหญ่ฉลาด หรือเป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก

 

เมื่อรู้เพศรองของตัวเองก็จะมีอภิสิทธิ์ที่เหนือกว่าเพศอื่นในเชิง ได้รับการศึกษาในสถาบันระดับชาติ ได้รับสวัสดิการที่ดีกว่า ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายที่ครอบคลุมกว่า เพราะถือว่าคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่คือหัวกะทิที่จะมีหน้าที่ในการปกครองบ้านเมืองและพัฒนาประเทศ

 

ดังนั้นหน้าที่การงาน ถ้าไม่อยู่ในสภา ก็อยู่ในโรงพยาบาล

 

อดีต ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์แบ่งว่า สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ด้วยการดูว่ายุคนั้นมีอักษรใช้หรือยังใช่ไหม

 

ถ้ามันมียุคสมัยใหม่ที่มีการปฏิวัติวิทยาศาสตร์และเป็นยุคแห่งการรู้แจ้ง

 

แล้วตอนนี้ล่ะคือยุคสมัยของอะไร...

 

ย้อนกลับไปในยุคก่อนหน้านี้ หรือในช่วงศตวรรษที่ 21 ยุครุ่งเรืองของเทคโนโลยี แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการสืบต่อเทคโนโลยีล้ำหน้าในปัจจุบัน

 

แต่ลักษณะเด่นที่สุดในยุคนั้น จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก อุตสาหกรรมเพลงและความบันเทิง

 

ถ้าเคยอ่านบทความเกี่ยวกับแนวโน้มของโลกมาบ้าง จะรู้ได้เลยว่าแฟชั่นไม่มีอะไรจะใหม่ไปกว่านี้หรอก เพราะแฟชั่นมันจะวนลูปอยู่ตลอด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนในปี ค.ศ.2022 หันกลับมาฮิตแต่งตัวแบบปี 70-80s กันละก็ ตอนนี้ผู้คนในปัจจุบันก็จะกลับไปฮิตแฟชั่นในยุคนั้นกันอีกครั้งนั่นเอง

 

แต่หนึ่งสิ่งที่ดูเหมือนจะวนกลับมาฮิตติดเทรนด์กันมากที่สุด เห็นทีจะเป็นเพลงในยุคนั้น

 

ศตวรรษที่ 21 ยุคแห่งความบันเทิง

 

ศตวรรษที่ 22 ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติ

 

ศตวรรษที่ 23 ยุคแห่งการฟื้นฟู

 

ในช่วงแรกของการกำเนิดเพศรอง ผู้คนมีความคิดว่าโอเมกาคือเพศที่อ่อนแอและอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่การเป็นมนุษย์

 

ยุคถอยหลังลงหลุมสิไม่ว่า

 

ชายหนุ่มจรดปลายนิ้วลงแป้นพิมพ์ที่แทบจะไร้เสียงกด เพราะมันถูกออกแบบมาใช้ในการสอบ เสียงการกดจะได้ไม่ไปรบกวนผู้เข้าสอบคนอื่น แถมยังเด้งสู้นิ้วแบบนุ่มนวล ลดปัญหาการพิมพ์ผิดพลาดได้ดีกว่าแป้นพิมพ์ในยุคเก่า

 

แม้ว่าในใจของหนุ่มผิวน้ำผึ้งจะอยากพิมพ์ตามสิ่งที่คิดขนาดไหน แต่เพราะนี่คือการสอบวิชาทั่วไปเป็นวิชาสุดท้าย ก็ขอสรุปแบบสวยๆ สักหน่อย

 

‘แม้ว่าในยุคแรกเริ่มนั้นเพศรองเสมือนเป็นบ่วงผูกคอที่แบ่งแยกชนชั้นของผู้คนออกจากกัน แต่เพราะมนุษย์สมัยนี้มีความคิดที่โตแบบก้าวกระโดด ปัญหาการแบ่งแยกชนชั้นลดลงอย่างรวดเร็ว’

 

อย่าคิดว่าผ่านมาแล้วสองร้อยปี ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมันจะหายไปทั้งหมด เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่ยังมีความคิดแบบเก่า เมื่อมีลูกหลาน สุดท้ายก็ส่งต่อความคิดแบบนั้นต่อไป เด็กเปรียบดั่งผ้าขาว เมื่อรับรู้สิ่งใดมาตั้งแต่เด็ก โตมาก็ยากที่จะให้ปรับเปลี่ยนความเชื่อนั้น

 

มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของสหพันธ์สาธารณรัฐ ศาสตราจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นหัวกะทิของโลก และส่วนใหญ่ที่เป็นหัวกะทิก็มีเพศรองเป็นอัลฟาทั้งนั้น เรียกได้ว่าที่นี่คือศูนย์รวมอัลฟา หรือผู้ที่เก่งจนอาจเรียกว่าอัจฉริยะได้

 

เขาเคยนั่งค้นรายชื่อศาสตราจารย์ที่มีเพศรองเป็นโอเมกาในมหาวิทยาลัยนี้ มันก็มี...แต่ถือว่าน้อยกว่ามาก

 

ในขณะที่กำลังนั่งไตร่ตรองอยู่ว่าจะลบคำว่า ‘รัฐบาลที่ห่วยแตก’ ออกจากคำตอบบนหน้าจอดีหรือไม่ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเก็บมันไว้ เพราะย่อหน้านั้นเล่าถึงรัฐบาลในอดีต ไม่ใช่รัฐบาลในปัจจุบัน

 

เสียงของอาจารย์คุมสอบดังเข้าหูฟังในจังหวะนั้น พาให้สะดุ้งเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงความคิดของตัวเอง เป็นเหมือนทุกครั้งที่เวลาจดจ่อกับสิ่งใด ประสาทการรับรู้ภายนอกแทบจะถูกตัดออกไปทั้งหมด

 

“ย้ำ ตอบได้ไม่เกินห้าหน้ากระดาษ แต่ไม่น้อยกว่าหนึ่งหน้ากระดาษ เสร็จแล้วกดส่งคำตอบ ถอดอินเอียร์และปิดหน้าจอ ไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบ จนกว่าจะหมดเวลาสอบ”

 

คร้าบ คร้าบ ย้ำกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ คนเก่งๆ เค้าชอบย้ำคิดย้ำทำกันหรือไงนะ

 

ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะลงมือพิมพ์บทสรุป

 

‘ต่อให้จะมีคำนิยามเพศรองอย่างอัลฟา เบตา หรือโอเมกาเพื่อจะแบ่งประเภทของคนออกจากกัน แต่ความรู้สึกนึกคิดและจิตใจนั้นถือว่าเป็นมนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน’

 

‘ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน จะอีกสองร้อยปีข้างหน้า ห้าร้อยปีข้างหน้า หรือหนึ่งพันปีข้างหน้า ต่อให้โลกจะเปลี่ยนไปในทางกายภาพมากเท่าไร แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ สิ่งที่เรียกว่า ความเท่าเทียม’

 

เขาพิมพ์คำตอบเวิ่นเว้อเพ้อไปได้ถึงสี่หน้าครึ่ง ก็จบด้วยย่อหน้าสุดท้ายที่อ่านอย่างไรก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองสุดๆ ไม่รู้ว่าตอบทั้งหมดที่คิดไปแล้วหรือยัง แต่ถ้าให้พิมพ์ไปมากกว่านี้น่าจะเกินห้าหน้าไปโข

 

ก็มันเป็นคำถามที่ไม่มีผิดถูกตายตัวนี่นา...ใครมันจะไปรู้อนาคต แล้วก็พวกทฤษฎีฟิสิกส์ เคมี ชีวะ วิทยาศาสตร์อะไรอย่างนี้ก็ไม่ค่อยจะสันทัดด้วย

 

หนุ่มหน้าหวานมุ่นหน้ากับตัวเอง

 

อ้อ...แล้วก็มาสอบที่นี่เพื่อจะเข้าเรียนในสาขาวิชาศิลปะและกลยุทธ์การออกแบบ ดังนั้น การสอบในครั้งนี้อาจจะไม่ได้เป็นตัวที่วัดคะแนนเป็นหลักก็ได้ เพราะเขาทั้งสอบวาด สอบการออกแบบ และการจัดวางองค์ประกอบไปก่อนหน้าหมดแล้ว และคิดว่าตัวเองทำได้ดีสุดๆ เช่นกัน

 

เก่งที่สุดเลยนะตัวเรา

 

เขายิ้มกับตัวเอง พลางคิดว่าถ้าไม่ติดที่นี่ก็ไม่เสียดาย เพราะคนเก่งอย่างตัวเขาน่ะ ในอนาคตไม่ว่าจะมหาวิทยาลัยไหนก็ต้องเสียใจแน่ที่ไม่รับ!

 

บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะใจจริงก็ไม่ได้อยากเรียนที่นี่ตั้งแต่แรก จะมีก็แต่ความรู้สึกกลัวมากกว่า

 

กลัวสังคมเพื่อน กลัวว่าตัวเองจะไม่เหมาะกับที่นี่ กลัวอะไรหลายๆ อย่าง แต่มาสอบไว้เพราะหม่าม้าเป็นศิษย์เก่าของที่นี่ ก็เลยอยากให้เขาลองมาสอบไว้ก่อน เผื่อได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่คนทั้งโลกอยากเข้ามาเรียน มหาวิทยาลัยอื่นที่เด่นด้านศิลปะก็มีอีกเยอะแยะ ติดหรือไม่ติดที่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

 

อีกทั้งเขายังแอบได้ยินข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาว่า

 

มีอัลฟาปสด.อยู่เยอะมาก

 

ปสด. = เป็นไรมากป่าว ส่งแต่พลังงานลบให้คนอื่น แดกควายมาทั้งตัวหรอค้าาาคุณพี่~

 

จริงไม่จริงไม่รู้ เห็นคนในอินเทอร์เน็ตเขาว่าไว้อย่างนั้น

 

“ย้ำ อย่าลืมเขียนข้อมูลตัวเองลงในหน้าแรกด้วยนะครับ”

 

เกือบลืมแล้วไง ที่บ่นไปเมื่อกี้ ขอโทษด้วยครับ…

 

เขากดกลับไปหน้าแรก กรอกข้อมูลผู้ทำข้อสอบลงไปให้ครบถ้วน

 

Name: Han Allen Knight         

Age: 20                                     

ID No.: 2201-3164-9755          

Sex/Gender: Male/Male           

Sub-Sex: Omega                       

Pronoun: He, Him, They, Them

Sexual orientation:                    

 

แล้วก็ต้องมาชะงักที่ช่องสุดท้าย เพศวิถี (Sexual orientation) หรือก็คือรสนิยมทางเพศ แรงดึงดูดทางเพศที่คนคนหนึ่งจะมีต่อผู้อื่นหรือเพศตรงข้าม ถ้าให้แปลในแปลในแปลอีกที ช่องนี้กำลังถามว่า

 

เธอน่ะ ชอบเพศอะไรล่ะ….

 

เรื่องแบบนี้ก็ถามด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวหรอกเหรอ

 

เสียงแจ้งเตือนเวลาสอบเหลืออีกห้านาทีทำให้เขาคลายความสงสัยลงไปเล็กน้อย

 

ไม่รู้ๆๆๆ

 

ถ้าตอนนี้พูดออกมาได้ก็อยากจะพูดคำนี้ซ้ำๆ แล้วส่ายหน้าแรงๆ เพราะถึงแม้ว่าสมัยนี้โลกจะเปิดกว้างถึงขั้นที่ผู้คนบอกว่าตัวเองมีรสนิยมทางเพศยังไงได้อย่างไม่ต้องขลาดเขินแล้ว แต่เขานั้นกลับไม่รู้

 

เกิดมาไม่เคยมีความรัก ไม่เคยคบกับใครมาก่อน ไม่มีความสนใจในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับใครด้วย จนแอบคิดว่าตัวเองเป็น Asexual (ผู้ไม่ฝักใจทางเพศ) หรือเปล่า แต่ว่าเวลาอ่านการ์ตูนแล้วเห็นพระเอก 2D หล่อลาก เขาก็ชอบนะ อยากได้…

มันมีคำนิยามคนที่ชอบแต่ตัวละคร 2D แบบเขาไหมนะ

“เหลืออีกสองนาที ตรวจสอบความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบ แล้วถอดเครื่องมือสื่อสารออกให้เรียบร้อย”

อย่าเร่งจะได้ไหม คนกำลังใช้ความคิด!

จนในนาทีสุดท้าย เขาตัดสินใจรีบพิมพ์ข้อมูลบรรทัดท้ายสุดก่อนที่เวลาจะหมด แล้วก็หมดสิทธิ์ส่งกระดาษคำตอบเพียงเพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีเพศวิถีอย่างไร

 

Name: Han Allen Knight         

Age: 20                                     

ID No.: 2201-3164-9755          

Sex/Gender: Male/Male           

Sub-Sex: Omega                       

Pronoun: He, Him, They, Them

Sexual orientation: Non-Binary

 

ขอโทษด้วยนะครับ คุณจินซองอู ผมยังรักคุณเหมือนเดิมนะ...

ชายหนุ่มเดินออกจากห้องสอบไป ขอโทษขอโพยกับตัวละคร 2D ที่รักของตัวเองในใจที่ไม่ยอมกรอกในช่องสุดท้ายไปว่า Gay โดยที่ไม่รู้เลยว่าช่องเพศวิถี ไม่ต้องใส่หรือกรอกแค่ Q: Questioning สำหรับคนที่ไม่อยากระบุตัวตน หรือคนที่ยังไม่รู้ว่าเพศวิถีของตัวเองคืออะไรก็ได้

แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ...ระบบมันเก็บข้อมูลไปแล้ว

และมันก็กำลังนำข้อมูลไปประมวลผล...เพื่อวิเคราะห์ต่อไป

 

 

TO BE CONTINUED

ใครที่อ่านแล้วสับสนการนับปีค.ศ.(คริสตศักราช) และการนับศตวรรษ หรือเคยเรียนมาแต่ส่งคืนครูกันหมดแล้ว มาทวนไปพร้อมกันได้เลย

และขอต้อนรับเข้าสู่ช่วง

อย่าหาว่าเราสอน!

ทศวรรษ (Decade) = 10 ปี เช่น

1550s = ค.ศ.1550 - 1559

1980s = ค.ศ.1980 - 1989

2010s = ค.ศ.2010 - 2019

หรือมักจะเห็นเป็นรูปย่อ เช่น 50s จะหมายถึงช่วง 10 ปี ระหว่าง 50-59 เป็นต้น

ศตวรรษ (Century) = 100 ปี เช่น

ศตวรรษที่ 1 = ค.ศ.1 - 100

ศตวรรษที่ 15 = ค.ศ.1401 - 1500

ศตวรรษที่ 19 = ค.ศ.1801 - 1900

สหัสวรรษ (Millennium) = 1000 ปี เช่น

สหัสวรรษที่ 1 = ค.ศ.1 - 1000

สหัสวรรษที่ 2 = ค.ศ.1001 - 2000

สหัสวรรษที่ 3 = ค.ศ.2001 - 3000

ดังนั้น ค.ศ.2022 คือทศวรรษ 2020 ศตวรรษที่ 21 และสหัสวรรษที่ 3

หรือถ้าเทียบเป็นพ.ศ.2565 จะได้เป็น ทศวรรษ 2560 ศตวรรษที่ 26 และสหัสวรรษที่ 3

- Extaronein Clomiphene Triphenylethylene 2;X2 (เอ็กซ์ทู) เป็นชื่อวัคซีนที่เราคิดมั่วขึ้นมาเอง โดยเอาชื่อยาหลายๆ ตัวมาผสมกัน ไม่มีอยู่จริง และอย่าถามว่าอ่านว่าอะไร เรียกมันว่าเอ็กซ์ทูก้ะพอ

- โอเมก้าจะมีฮอร์โมนที่ใกล้เคียงกับเพศหญิงในร่างกายสูงถึง 97.13905920% จดไว้นะเผื่อออกข้อสอบ

- Sex กับ Gender ต่างกันตรงที่ Sex จะคือเพศโดยกำเนิด ตั้งแต่ที่เราเกิดมาแล้วหมอระบุให้ ส่วน Gender จะคือเพศสภาพในปัจจุบัน ถ้าใครที่แปลงเพศไปแล้วก็จะมี Gender ไม่ตรงกับ Sex ได้นั่นเอง

- Sexual orientation (เพศวิถี) หรือที่เรามักเห็นคำว่า LGBTQA+ ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด คือความรู้สึกดึงดูดต่อเพศอื่น หรือเราชอบเพศไหนนั่นเอง เช่น เราเกิดมาเป็นเพศชาย แปลงเพศเป็นผู้หญิงแล้ว แต่ชอบผู้หญิงอยู่ Sex ของเราคือ Male, Gender เราคือ Female, และ Sexual เราคือ Lesbian

- ยัง งงอยู่เหรอ กูเกิ้ลช่วยท่านได้นะ (เพราะเราอาจจะอธิบายให้งงกว่าเดิม55555)

- Asexual (ผู้ไม่ฝักใจทางเพศ) คือผู้ที่ไม่รู้สึกดึงดูดทางเพศต่อเพศไหนเลย บางคนอาจอยู่เป็นโสดและไม่มีความสนใจเรื่องการมีคู่ครอง หรือหรือหรือ บางคนอาจจะมีคนรักได้ในความสัมพันธ์แบบ "เควียร์พลาโทนิก รีเลชันชิป" (queerplatonic relationship) ซึ่งเป็นการมีคู่ชีวิตที่มีความรู้สึกเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่มีเรื่องเพศหรือความรู้สึกรักแบบชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้อง อ่านเพิ่มเติมได้ที่ BBC NEWS

- Non-Binary คือ อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender identity) หรือสำนึกนึกทางเพศ ที่ไม่ได้อยู่ในระบบ 2 ขั้ว แบบชาย–หญิง ชายหญิงคือเพศที่ถูกกำหนดโดยสังคม เป็นขั้วตรงข้ามกัน ส่วน Non-Binary คือ บุคคลที่มีสำนึกทางเพศไม่ใช่หญิงหรือชาย หรือไม่ได้รู้สึกว่าเป็นหญิงตลอดเวลา หรือชายตลอดเวลา อาจจะผสมผสานระหว่าง 2 เพศ หรือไม่ได้รู้สึกว่าตนเป็นเพศไหนเลย เฉยๆ ไม่มีเพศ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ SPECTRUM

ทำไมรู้สึกว่าช่วงอย่าหาว่าเราสอนมันจะยาวกว่าเนื้อหาอีกนะ...

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ข้อมูลผิดพลาดประการใด ท้วงติงได้เลย ใครที่ไม่เคยรู้มาก่อน อย่าคิดว่าตัวเองโง่เด็ดขาดเลยนะ เพราะพวกเราทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ที่ยังต้องเรียนรู้กันอีกเยอะ โลกต่างหากที่มันใบใหญ่เกินไปทั้งนี้ทั้งนั้น เปิดใจให้กว้าง แล้วค่อยๆ เรียนรู้ไปพร้อมกันเถอะ

 

ติดต่อ ติดตามได้ทาง

Twitter: @FIT_FOR_FINE

TikTok: @fit_for_fine

YouTube: FIT FOR FINE

Facebook: @FITFORFINE1

Instagram: @fitforfine1

Email: fine4fit@gmail.com

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU

หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!