listen to this for your อรรถรสในการอ่าน

Conan Gray - Family Line

 

XXV

It's not my fucking family.

sds

(Photo by Hayley Murray on Unsplash)

 


 

My father never talked a lot

He just took a walk around the block

'Til all his anger took a hold of him

And then he'd hit

My mother never cried a lot

She took the punches, but she never fought

 

God, I have my father's eyes

 

I can run, but I can't hide

From my family line

 


 

 
TW

ความรุนแรงในครอบครัว

ความคิดอยากฆ่าตัวตาย

 

 

“นั่งสิ”

“มีอะไรรีบพูด ช่วงนี้ผมยุ่ง”

“แกคิดว่าฉันว่างนักเรอะ เจ้านี่ ตั้งแต่มีเมียแล้ว—”

“บอกว่าห้ามเรียกเม— เมีย...”

อาดัมเลิกคิ้วขึ้นระหว่างนั่งไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะยกยิ้มอย่างชอบใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลานชายที่เปลี่ยนไปเมื่อกล่าวถึงใครบางคน

เด็กหนุ่มตัวสูงยกมือเกาท้ายทอยเมื่อแม้แต่ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยคำว่า ‘เมีย’ ได้อย่างเต็มปาก ใบหูและลำคอขึ้นริ้วเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัดคงเพราะเป็นคนผิวขาวจัด แต่ที่ดูจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากน่าจะเป็นรูปร่าง

ไหล่ที่เคยห่อเหี่ยวตอนนี้เปิดกว้างผึ่งผายขับให้ร่างกายสูงชะลูดดูสง่างาม ผิวพรรณกลับมามีสีอีกครั้งจากที่เคยเหี่ยวเฉาอย่างกับต้นไม้ไร้การรดน้ำ จากที่เป็นคนโหนกแก้มและปลายคางซูบแหลมดูน่ากลัว ตอนนี้ก็ดูเต็มอิ่มขึ้น ดูสุขภาพดี กลายเป็นคนที่โครงหน้าชัดอย่างกับนายแบบยุคก่อนก็ไม่ปาน

“เอ้อ ตั้งแต่มีผัวเป็นตัวเป็นตนนี่ปีกกล้าขาแข็งขนาดนี้แล้วเหรอ” เรียกเมียไม่ได้ก็เรียกผัวแทน เป็นการแซวหลานชายขำๆ เพราะได้เห็นท่าทางไปไม่เป็นของมันแล้วก็น่ารักดี

“ผัวก็ห้าม แล้วก็ทำไมเดี๋ยวนี้คำพูดคำจาเหมือนลุงในกะลาต่อต้านความเจริญ”

อาดัมหลุดขำพรืดกับคำว่า ‘ลุงในกะลา’ คำด่าชายอายุมากที่ไม่เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงของโลก คิดว่าตัวเองอยู่ศูนย์กลางของจักรวาล ตัวเองทำอะไรก็ถูกหมด ส่วนคนอื่นทำอะไรแตกต่างไปจากตัวเองถือว่าผิดหมด ไม่รับคำวิจารณ์หรือคำโต้แย้งใดๆ เพราะจะยกการ์ด ‘อย่าเถียง’ มาเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอในจิตใจตัวเอง

“จะด่าฉันคำนั้นก็แรงไปนะไอ้หนู ถึงฉันจะแก่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รับฟังใคร นั่งลงก่อน ฉันกินเวลาแกไม่เกินสิบนาทีหรอก” ชายวัย 47 ปีกล่าว

“...” คาร์ลอสยังยืนนิ่ง

“รู้ใช่ไหมว่ามันจะยิ่งเสียเวลาถ้าแกยังยืนทื่ออยู่ตรงนั้น”

สุดท้ายคาร์ลอสก็จำต้องยอมล้มตัวลงนั่ง แต่ไม่ใช่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของท่านประธานาธิบดีที่ใครๆ ต่างก็รักใคร่ แต่เป็นโซฟารับแขกที่อยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย

เพราะคาร์ลอสไม่อยากทำเหมือนว่าเรื่องที่คุยเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ ถ้าเขาเลือกนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย คงให้อารมณ์ไม่ต่างจากเลขาที่มานั่งฟังสรุปรายงาน หรือคนที่ทำงานให้แล้วต้องรับคำสั่งจากผู้เหนือกว่าอย่างไรอย่างนั้น การที่ยอมนั่งตรงนั้นคงเป็นการเอื้อให้ลุงไม่จดจ่อในสิ่งที่ตนเองพูด เพราะเอกสารงานต่างๆ ที่อยู่บนโต๊ะบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพูดอาจจะไม่สำคัญเท่างานที่อยู่ตรงหน้า นั่นจึงทำให้คาร์ลอสยอมนั่งที่โซนรับแขกสุดสบายกาย แต่ไม่ได้สบายใจ

ทว่าทั้งคู่กลับคิดไปคนละขั้ว

อาดัมผละออกจากโต๊ะทำงานที่มีไฟล์เอกสารรอคิวให้เปิดอ่าน ปลดกระดุมเสื้อสูทแล้วเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกอย่างสบายๆ

ที่อาดัมบอกให้หลานชายนั่งเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานไม่ใช่โซฟารับแขกแต่แรก เพราะเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่ฟังเขานานขนาดนั้น และเขาจำได้ ว่าเจ้าหลานชายตัวดีเคยบอกว่า...เกลียด

เกลียดความหรูหราในห้องเขา เกลียดชุดโซฟาที่บ่งบอกถึงสถานะทางการเงิน

ไม่ใช่เพราะอาดัมเป็นประธานาธิบดี มีเงินมากมายก็เลยอวดความอู้ฟู่จากเงินที่ได้มาจากประชาชนคนทำงาน แต่เพราะเงินเหล่านี้มาจากบริษัทของครอบครัวทางสายเลือด บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง...เมตาเวิร์ส เวิล์ด กรุ๊ป

หนึ่งในบริษัทที่มีผู้บริหารเป็นคนที่คาร์ลอสเกลียดแสนเกลียด ซึ่งแม้แต่ชื่อยังไม่เอ่ย

อาดัมถอดสูทตัวนอกพาดพนัก ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกัน เป็นนัยว่า ณ ที่นี้ เราจะคุยกันอย่างญาติมิตร ไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้อง ไม่ใช่ประธานาธิบดีกับคนคนหนึ่ง และเขาก็สามารถแบ่งเวลามาพูดคุยเรื่องส่วนตัวได้ ไม่ได้สนใจแต่งานเพียงอย่างเดียว

“ถ้าเป็นเรื่องที่เซิร์นไม่ต้องเป็นห่วง พวกผมหยุดไปสืบเสาะแล้ว” คาร์ลอสเข้าเรื่องทันทีที่คนตรงหน้านั่งลง

เขายอมสละวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ปกติก็คงเอาเวลาไปปั่นโปรเจ็กต์มาหาคนที่เร่งให้มาเจอทุกวัน คาร์ลอสไม่เข้าใจว่าทำไมลุงถึงอยากเจอเขาขนาดนี้ ทั้งๆ ที่มันไม่มีเรื่องอะไรสำคัญและเร่งด่วนอีกแล้วระหว่างเขาและครอบครัว

ถ้าจะเรียกมาตำหนิและบอกให้หยุดเรื่องที่ไปล้วงเอาข้อมูลที่เซิร์น นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกแล้ว

“นั่นก็อีกเรื่อง ตั้งแต่ที่ทางนั้นส่งจดหมายมาเตือนเขาก็ไม่ได้ส่งอะไรมาอีก แต่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ซะที่ไหน”

“ผมบอกว่าผมเลิกไปเค้นข้อมูลจากทางนั้นแล้วไง” คาร์ลอสย้ำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตาเหลือบมองข้อมือข้างที่มีเอฟอร์ส

“แกเลิกไปจุ้นจ้านเขาแล้วก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเลิกทำอะไรลับหลัง”

“ทำอะไรลับหลัง?” คาร์ลอสมองหน้าลุงของตนนิ่งๆ

สีผม สีตา และโครงหน้าที่ละม้ายคล้ายตนเองยิ่งชวนให้หงุดหงิดใจ เพราะมันทำให้เขานึกถึงหน้าของใครบางคนขึ้นมา

เหมือนทุกครั้งที่ส่องกระจกแล้วเห็นตัวเอง

“เอาเวลาไปโฟกัสกับงานหลักแล้วเลิกทำอะไรที่มันเสี่ยงเถอะ ไหนจะโปรเจ็กต์วิชาบังคับ ฉันไม่เคยจุ้นจ้านเรื่องการเรียนหรือเรื่องส่วนตัวแกเลยนะ แต่ฉันเคยผ่านจุดที่คิดว่าตัวเองเก่งจนไม่สนใจอย่างอื่นมาแล้ว และ—”

“คนที่ส่งข้อความพวกนั้นมา คือลุงสินะ”

“ข้อความ?”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าลุงรู้มากแค่ไหน แต่ถึงขั้นเข้ามาแทรกแซงกันแบบนี้ ผมไม่ชอบ”

“เฮ้ เย็นก่อน ฉันไม่เคยส่งข้อความอะไรแปลกๆ ไปให้แกหรือเพื่อนของแกหรือใครทั้งนั้นแหละ หรือมันอาจจะเป็นสแปมหรือเปล่า เพราะข้อความเดียวที่ฉันส่งไปให้แกก็คือเร่งให้มาหาฉันจากในแชทเท่านั้นนั่นไง...หรือว่ามีใครเอาชื่อฉันไปแอบอ้าง? คงต้องให้กระทรวงความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตช่วยกันตรวจสอบอีกรอบแล้วมั้ง”

คาร์ลอสขมวดคิ้วมุ่น

“ไม่ใช่ลุง?”

“คงไม่ใช่เว็บแปลกๆ ที่กดเข้าไปแล้วไวรัสกินเครื่องหรอกใช่ไหม แต่อุปกรณ์ทุกอย่างในมหา’ลัยผ่านมาตรฐานความปลอดภัยทุกปีเลยนี่”

ยิ่งลุงมัวไปพะวงเรื่องอื่น คาร์ลอสยิ่งสับสน เขายิ่งกังวลกว่าเดิมเมื่อข้อความเตือนเหล่านั้นไม่ได้มาจากอาดัม

แล้วใครทำ

ใบหน้าที่แสดงอย่างเปิดเผยว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในใจ อาดัมจับสังเกตนั้นได้หมด

“ได้ข่าวว่าโปรเจ็กต์หลักผ่านแล้วนี่ ทีนี้ก็เอาเวลาไปเคลียร์วิชาบังคับอื่นให้มันเสร็จ แกจะไม่ผ่านวิชาปรัชญารอบที่สี่ก็คงจะเกินไปแล้วมั้ง เทอมนี้กระทรวงลงงบให้ไปศึกษานอกสถานที่ตั้งเท่าไร สถานที่แรกแกก็เล่นพาแฟนไปเที่ยวซะจริงจัง สถานที่ที่สองฉันคาดหวังนะว่าแกจะเลือกไปที่ไหน ขอเถอะว่าเทอมนี้อย่าปล่อยเบลอ อย่าลืมสิว่าฉันส่งเรื่องไปติดตามเกรดแกได้ทุกเทอม—”

ประเทศไทย

“อะไรนะ”

“สถานที่ที่สอง จะไปประเทศไทย”

“...” อาดัมนิ่งไปนิด ยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบระหว่างพลิกขาไขว่ห้างไปอีกทาง “เฮ้ ไอ้หนู รู้ใช่ไหมว่ามันต้องได้งาน ไม่ใช่ไปฮันนีมูน”

“ไม่ได้มาถามความเห็น แค่บอกให้รู้เฉยๆ” อัลฟาคนเด็กกว่าเสสายตาไปมองวิวด้านนอก “แล้วก็เรื่องแม่...ถ้าไม่ช่วยก็แค่อยู่เฉยๆ ดีกว่า”

“คาร์ลอส ฉันไม่รู้ว่าแกมองฉันยังไง อาจมองว่าฉันอยู่คนละฝั่งกับแก เป็นปฏิปักษ์กับแก แต่ฉันอยากจะบอกให้ชัดเจน...ว่าที่ทำทั้งหมดนี่ก็เพื่อช่วยแก”

“ช่วยยังไง ลุงไม่ฟังอะไรเลยใช่ไหมที่ผมพูดไป แถมยังจะขัดขวางทุกเรื่องที่ผมทำ ปกติลุงก็ไม่เห็นจะสนใจอยากรู้เรื่องของผมขนาดนี้เลยนี่ จะไปเรียนหรือนอนตายอยู่ที่ห้อง ลุงไม่เห็นจะสนใจด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้มาเป็นอะไร ทำไมผมทำอะไรก็ดูจะผิดไปซะหมด” คาร์ลอสลุกขึ้นยืน

“...”

“ผมผิดเองที่เกิดมาในครอบครัวนี้ แต่ไม่ได้เดินตามพรมที่ทุกคนปูไว้ให้ ไม่ได้เรียนบริหารธุรกิจเพื่อรับช่วงต่อครอบครัว ไม่ได้เรียนกฎหมายแล้วมาเล่นการเมืองเหมือนลุง”

“แกไม่เข้าใจ คาร์ลอส”

“ใช่! ก็เพราะว่าไม่เข้าใจนี่ไง ก็พูดออกมาให้มันเข้าใจสิวะ!”

คาร์ลอสเกลียดความไม่เข้าใจ เกลียดที่ตัวเองเหมือนคนโง่ ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรที่ลุงห้ามนักหนา เขาเกลียดที่ไม่สามารถมีใครบอกเขาได้ว่าสรุปแล้วเรื่องทั้งหมดมันคืออะไร

พอบอกให้อธิบาย ก็ไม่มีใครอธิบายได้

“...” อาดัมกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก

“เห็นไหม พอให้พูดก็พูดไม่ได้ ให้อธิบายก็ไม่อธิบาย แล้วลุงอยากให้ผมเข้าใจอะไร”

“ฉันรู้ว่าแกรู้สึกยังไง”

“รู้? บอกหน่อยสิ บอกมาว่าผมรู้สึกยังไง บอกมาสิว่าผมคิดอะไร ผมต้องทำยังไงลุงถึงจะพอใจ ต้องทำยังไงลุงถึงจะเลิกยุ่งกับผม”

“ฉันรู้ว่าแกกำลังสับสน รู้ว่าแกหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจอะไรเลย แต่ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้แหละที่จะไปกดดันให้แกทำอะไรที่ตัวเองอาจจะเสียใจในอนาคต”

คาร์ลอสพ่นลมหายใจ...เหอะ

“แล้วอะไรล่ะที่ผมต้องเสียใจ ผมยังมีอะไรให้เสียอยู่อีกเหรอ คำว่า ‘เสียใจ’ มันเอาไว้ใช้กับสิ่งที่มีคุณค่าไม่ใช่เหรอ แล้วผมเหลืออะไรในชีวิตที่มีคุณค่าอยู่อีก ตอบมาดิวะ!”

ผู้ดูแลความปลอดภัยที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงตะคอกจึงเปิดประตูเข้ามา อาดัมยกมือเป็นเชิงว่าตนเองเอาอยู่ ชายหญิงอัลฟาจึงปิดประตูเดินออกไปรอข้างนอกดังเดิม

“...แกยังมี—”

แค่อ้าปาก คาร์ลอสก็รู้ว่าลุงตัวเองจะพูดอะไร เขาส่ายหน้า ฝ่ามือกำแน่น

“อย่าพูดคำว่า ‘ครอบครัว’ เพราะผมเคยบอกไปชัดเจน…ผมตัดขาดไปแล้ว ไม่ขอกลับไปอีกแล้ว อ้อ...การที่ผมยังคุยกับลุง ยังกลับมาหาลุง ไม่ได้หมายความว่าผมอยากจะกลับมาหาครอบครัว อย่าพยายามที่จะสานสัมพันธ์ห่าเหวอะไรนั่นระหว่างผมกับทางนั้น และลุงก็ไม่ได้พิเศษไปกว่าคนอื่นๆ ในบ้านนั้น อย่าทำเหมือนตัวเองเป็นสะพาน เป็นตัวแทนของฝั่งนั้นเพื่อมาโน้มน้าวให้ผมกลับไป เพราะนอกจากลุงจะไม่ได้อะไรจากผมแล้ว...ลุงอาจจะไม่ได้เห็นแม้แต่เสี้ยวของผมอีก”

“อันดับแรกแกต้องเข้าใจก่อนนะว่าฉันกับ— ...ไม่ใช่คนเดียวกัน แกจะโกรธ เกลียด สายเลือดเอลเลียต โฮล์มส์ยังไงฉันไม่ว่า แต่อย่าทำเหมือนว่าตัวเองไม่มีใคร อย่าคิดว่าบนโลกนี้ไม่มีที่ยืนให้กับแก อย่าคิดว่าโลกนี้ใจร้ายกับแกและอย่าทำอย่างกับว่าปัญหาของแกคือจุดศูนย์กลางของทุกคน”

อาดัมมองหลานชายที่หันออกไปมองวิวด้านนอกอย่างพยายามสงบอารมณ์ครุกกรุ่น เมื่อเขากล่าวประโยคนั้นจบ คาร์ลอสก็หันกลับมามองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“มีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ คำคำนั้นน่ะ”

“?” อาดัมหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจในเร็ววันนี้แน่

“คนที่เกิดมาบนกองเงิน เพศรองเหนือกว่าใคร ตระกูลที่มีมรดกให้ แค่เกิดมาแล้วทำตัวดีๆ หน่อย...แค่พูดคำเท่ๆ พวกนั้นคนก็พร้อมจะก้มหัวให้”

“นี่ มันชักจะ—”

“มีสิทธิ์พูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ...ทำอย่างกับว่าเข้าใจ แม่ตัวเองไม่ได้โดนตีโดยพ่อตัวเองแม่งก็พูดได้นี่ว่าปัญหาครอบครัวคนอื่นแม่งไร้สาระ!”

“แกว่า’ไงนะ” อาดัมลุกขึ้นยืน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันมุ่น “นี่มันเรื่องอะไร”

“ใครแม่งจะอยากอยู่กับพ่อเฮงซวยที่ทำร้ายแม่ตัวเองทุกวันวะ! ครอบครัวเฮงซวย แม่งดีแค่เปลือกนอก รู้ไหมทุกครั้งที่ได้ยินข่าว ทุกครั้งที่เห็นชื่อบริษัท ผมแม่งอยากจะอ้วกออกมา แค่รู้ว่าตัวเองมีสายเลือดของมันก็อยากจะกรีดคอฆ่าตัวเองให้ตายๆ ไปซะ! ลุงแม่ง…ไม่รู้เหี้ยอะไรเลย ดังนั้นอย่ามาพูดเหมือนเข้าใจ!!” คาร์ลอสขบกรามแน่น นิ้วชี้หน้าคนที่เหมือนเพิ่งจะได้ยินเรื่องแบบนี้ครั้งแรก หยาดน้ำตาคลอหน่วยแต่ไม่ยอมไหลออกมา

ดวงตาของหลานชายที่วาวโรจน์ มันทำให้อาดัมจุกอยู่ที่ลำคอ

เพราะเขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

“คาร์ลอส!!” อาดัมตะโกนไล่หลังคนที่เดินไปเปิดประตูห้อง อยากจะรั้งหลานชายให้กลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง

แต่ก็เหลือเพียงประโยคสุดท้ายที่คาร์ลอสทิ้งไว้

“Just fucking leave me alone.”

 

αβΩ

 

“...”

“ซี...”

“...”

“ซีแอล”

“ครับ เธอว่าอะไรนะ”

“นายเหม่ออีกแล้ว ไปพักก่อนดีไหม”

เรียกสามรอบถึงจะได้ยิน น่าจะไม่ไหวแล้วนะ

ฮันเริ่มเผยใบหน้าของความกังวลใจ มองคนที่หลังจากกลับไปทำธุระมาก็ดูจะเงียบผิดสังเกตไป เมื่อเช้าก่อนออกไปอีกฝ่ายยังร่าเริงแจ่มใส หอมเหม่งเขาไปสามรอบ แถมยังรั้งไม่ให้จัดกระเป๋าเดินทางคนเดียวเพราะอีกฝ่ายจะมาช่วยกันจัดนี่อีก

แต่เมื่อคาร์ลอสกลับมา สิ่งแรกที่อีกคนทำคือการกอดฮัน กระชับร่างของคนที่งุนงงเหมือนต้องการความอบอุ่น ซึ่งตอนแรกฮันก็นึกว่าอีกฝ่ายแค่อยากอ้อน

“ไปนอนเตียงเราเถอะ โปรเจ็กต์ปรัชญาเราค่อยมาเก็บรายละเอียดหลังกลับสถานที่ที่สองก็ได้”

ในหอพักของฮัน ปกติจะรกไปด้วยอุปกรณ์ทำงานศิลปะเพราะเป็นแหล่งที่เพื่อนจะมาทำงานทุกสัปดาห์ แต่สัปดาห์นี้ขอพักไว้ก่อนเพราะต้องทำเรื่องไปสถานที่ที่สอง ซึ่งก็คือประเทศไทย

หลังจากที่ฮันวิเคราะห์ได้ว่าสิ่งที่คาร์ลอสได้ยินมาน่าจะเป็นภาษาไทย ทั้งคู่ก็ตัดสินใจว่าสถานที่ที่สองที่จะไปคือประเทศอะไรอย่างไม่ลังเล

คาร์ลอสถามฮันเพื่อความมั่นใจว่าจะไปที่นี่จริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่เพราะกลัวไปผิดที่ แต่เพราะกลัวว่าฮันไม่ได้อยากไป

อย่าทำอย่างกับว่าปัญหาของแกคือจุดศูนย์กลางของทุกคน

ประโยคนั้นยังก้องอยู่ในหัว เขากลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันจะเป็นอย่างที่ลุงว่า เขาคิดซ้ำไปซ้ำมา กลัวว่าจะสนใจแต่เรื่องของตัวเองจนเผลอละเลยความรู้สึกของคนอื่นไปจริงๆ

แต่เมื่อฮันให้คำยืนยัน ทั้งยังบอกว่าจะช่วยเขาตามหาแม่ คาร์ลอสก็ยิ่งรู้สึกแย่ลึกๆ ในใจ

ไม่เป็นไรเลย เราพูดจริงนะ เราอยากไปประเทศไทยมานานแล้ว เห็นเขาบอกว่ามีที่สวยๆ เยอะเลยนี่ ระหว่างที่คาร์ลอสตามหาแม่ เราก็ช่วยกันเก็บข้อมูลสถานที่ ก็เหมือนได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่ไปในตัวด้วย ไปที่เดียวได้ทำตั้งหลายอย่างเลยนะ

คาร์ลอสย้ำกับตัวเองในใจ ไม่ว่าสิ่งที่ฮันพูดจะมาจากใจจริง หรือแค่พูดให้เขารู้สึกดี ในท้ายที่สุดเขาจะพาฮันไปอีกครั้ง ไปเที่ยวที่หมายถึงไปพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวมารบกวน เขาอยากทำให้ฮันมีความสุข และรู้สึกได้รับการเติมเต็มจากเขาบ้าง ไม่ใช่เขาฝ่ายเดียวที่ได้รับการช่วยเหลือหรือการซัพพอร์ตทางจิตใจจากคนรัก

รอบนี้ไม่มีเอมิลี่และลูคัสไปด้วย แต่เป็นไคลี่ ชิน ส่วนโจเซฟเหมือนจะไปคนละที่ดังเดิม และโจเอล มาร์ค สองรายนั้นขอลงเรียนวิชาปรัชญาสมัยใหม่เทอมต่อไปแทนเพราะเทอมนี้เห็นทีตารางงานจะไม่ว่างพอให้บินไปต่างประเทศหลายวัน

“งั้นมานอนด้วยกันเถอะ ที่รัก เอาไว้ค่อยจัดของทีหลัง” คาร์ลอสละจากโต๊ะอเนกประสงค์ของฮัน ปล่อยมือจากงานร่างแบบที่ฮันไกด์ไลน์เอาไว้ก่อนหน้า แล้วเดินไปหย่อนตัวลงปลายเตียงนอนของฮัน

รอให้เจ้าของเตียงมานั่งข้างกัน ถึงได้ยอมหงายหลังนอนลงผ้านวมนุ่มฟูที่ปูคลุมเตียงอย่างเป็นระเบียบ ฮันทิ้งศีรษะหนุนต้นแขนของคนข้างกาย ซุกเข้าอ้อมกอดที่เปิดรับเขาอยู่เสมอ ก่อนจะช้อนหน้าขึ้นมอง

“มีอะไรอยากบอกเราไหม”

คาร์ลอสหลุบตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฮันรู้ เพราะอาการของเขามันออกจะชัดขนาดนี้ว่ามีอะไรผิดปกติไป ยิ่งเป็นโซลเมทกัน แค่ฟีโรโมนเปลี่ยนไปนิดเดียวก็สัมผัสถึงกันได้อย่างชัดเจน

แต่ต่อให้สัมผัสถึงกลิ่นฟีโรโมนไม่ได้ ฮันก็สัมผัสถึงความผิดปกตินั่นได้อยู่ดี ก็สีหน้าท่าทางมันออกขนาดนี้ว่าใจของอัลฟาหนุ่มมันลอยไปถึงไหนต่อไหน

คาร์ลอสจับจ้องไปยังข้อมือข้างที่ไม่ใช่เอฟอร์สของฮัน

สร้อยข้อมือหินที่เขาทำให้ ฮันหยิบมันมาใส่ตอนที่นั่งจัดกระเป๋าเดินทาง จากปกติจะเก็บใส่กล่องไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานเพราะกลัวทำเป็นรอย บ้างก็ว่ากลัวทำหาย แต่เมื่ออัลฟาหนุ่มบอกว่าอยากเห็นฮันใส่มันให้ดูบ่อยๆ ฮันก็สวมเข้าข้อมือขวาอย่างไม่อิดออด

คาร์ลอสไม่กลัวถ้าหากว่ามันจะเป็นรอย เขาออกจะชอบด้วยซ้ำ เพราะร่องรอยเหล่านั้นมันบ่งบอกว่าสร้อยข้อมือเส้นนี้ต้องผ่านอะไรมากับฮัน อยู่ในชีวิตประจำวันของฮัน เป็นของต่างหน้าที่อยู่ในสายตาของฮันในระหว่างที่เขาไม่ได้ชิดใกล้

นิ้วหัวแม่มือยื่นไปลูบมันเล่น ฮันอมยิ้ม ยื่นข้อมือเข้าไปใกล้อีกคนเพื่อให้สัมผัสได้ง่าย

ดวงตาของฮันเหลือบมองสร้อยข้อมือขวาที่แขนคาร์ลอสไม่ต่างกัน

เอาไว้วันหลังเราจะทำของอะไรคู่ๆ แบบนี้มาให้บ้างนะ

“ฉันไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไงดี ฮัน ฉันเองก็สับสนไปหมดว่าตัวเองรู้สึกยังไง”

“ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องพยายามหาคำมาอธิบายความรู้สึกให้ได้ตอนนี้หรอก” ฮันว่าประโยคนั้นจบก็กดจูบปลายคางอีกฝ่ายเบาๆ “คำพูดมีแค่ไม่กี่คำ แต่ความรู้สึกคนเรามีนับไม่ถ้วนแถมยังซับซ้อนอีก”

ดวงตาของคาร์ลอสดูอ่อนล้า แต่สาเหตุไม่น่าจะมาจากการไม่ได้นอนเหมือนที่ผ่านมา

“ฉันกลัว...ฮัน”

“กลัวอะไร”

“กลัวชีวิตที่ไม่มีความหมาย”

“รู้อะไรไหม...ชีวิตคนเราเกิดมาแบบไม่มีความหมายตั้งแต่แรกแล้ว” ฮันลูบข้างแก้มตอบ

คาร์ลอสหลับตา ประทับจูบที่หน้าผากมน ก่อนจะกระชับร่างคนตัวเล็กกว่าเข้าวงแขนแน่นขึ้นอีกระดับ

กลิ่นฟูกนอน หมอน ผ้าห่มที่อบอวลไปด้วยฟีโรโมนชาคาโมมายล์ชวนให้เขาผ่อนคลาย จิตใจที่มีรอยร้าวค่อยๆ สมานรอยแยกเข้าหากันอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผิวกาย น้ำเสียง ดวงตา ประหนึ่งน้ำผึ้งในป่าเบญจพรรณ เพียงไม่กี่หยดลงชาหอมๆ ความอุ่นซ่านวาบไปทั้งอก

“แล้วฮันรู้อะไรไหม...ว่าเธอคือความหมายในชีวิตฉัน”

“...” ฮันยิ้ม คงมีแค่เวลาแบบนี้ที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรชวนเลี่ยนออกมา แต่ฮันก็ยอมปล่อยผ่าน

อัลฟาตาฟ้าอุ้มคนในอ้อมแขนขยับขึ้นมามานอนหนุนหมอนดีๆ แล้วเอาผ้านวมผืนหนาคลุมพวกเขาทั้งคู่ และแม้ว่าจะได้รับความอบอุ่นจากผ้าห่ม เตียงนุ่ม ฮีทเตอร์ แต่กลับไม่มีอะไรอบอุ่นไปกว่าสัมผัสของผิวเนื้อของเราสอง

“อย่าทิ้งกันไปได้ไหม” น้ำเสียงช่างอ้อนวอน ดวงตาช่างโหยหาอาทร

“ไม่อยู่แล้ว ทำไมเราต้องทิ้งนาย หล่อ ฉลาด แถมยัง ‘เอา’ ใจเก่ง” ฮันเปลี่ยนเรื่องไปเน้นคำสองแง่สองง่าม

ฮันรู้ดี ฮันรู้ว่าควรทำอย่างไร ควรพูดอะไรตอนไหนให้เขาหายเศร้า ให้พลังลบรอบตัวเขามันพัดหายไป ฮันเก่งเรื่องนี้ คาร์ลอสรู้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเก่งถึงขั้นเปลี่ยนจากสถานการณ์อึมครึม กลายเป็นชวนให้เขาหลุดขำกับคำของเจ้าตัวได้แบบนี้

ไม่ว่าเปล่า พอเห็นว่ามุมปากเขากระตุกพร้อมเสียงหัวเราะในลำคอ อีกฝ่ายก็ปีนขึ้นมาคร่อมเขาอยู่ด้านบน

“ที่รักจะคึกคักเกินไปหรือเปล่าครับช่วงนี้” คาร์ลอสยิ้มเอ็นดู “แต่พูดแล้วห้ามคืนคำนะ ต่อให้ตอนที่ฉันแก่กว่านี้แล้วเอวไม่ดีเท่านี้แล้ว จะมาบอกว่าเปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วนะ”

“อะโด่วเอ้ย เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย ถ้าเอวนายเคล็ดขัดยอกก็อยู่เฉยๆ สิ เราก็มีเอวเหมือนกันนะเฟร้ย—”

“...”

พูดเองแล้วก็เขินเอง ฮันตาโตเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปทะลึ่งตึงตังแบบไม่ทันคิด(หรือคิดแล้วแต่มันเป็นความเห็นส่วนลึกในใจ) แล้วก็ต้องหูแดงแปร๊ด

“ก็— ก็นั่นแหละน่า เขินอะไรเล่า ทำกันออกจะบ่อย” ฮันทุบหน้าท้องแกร่งไปที

คาร์ลอสหลุดหัวเราะ ก็คนที่เขินน่ะ เป็นฮันคนเดียวเลยไม่ใช่หรือไง ยิ่งเห็นอาการที่ทำบ่อยๆ เวลากลบเกลื่อนความเขินคือการทุบเขาแล้วก็ยิ่งอยากแกล้งให้อายม้วนไปสามตลบ

เล่นเอง เขินเอง นักเลงพอจริงๆ แฟนใครเนี่ย

อัลฟากลิ่นฝนปนดินหญ้าแฝกถอดเสื้อออกทางหัว โยนมันไปอยู่ข้างเตียง ก่อนจะเสยผมลวกๆ อวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง ต้นแขน และเผยดวงตาร้อนแรงปานจะกลืนกินไปให้

ว่ากันตามตรง เขาไม่เคยสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง ไม่ว่าจะมีใครมาบอกว่าเขาหน้าตาดี หน้าตาน่ากลัว หน้าดูดุ รูปร่างผอมแห้งหรือสูงใหญ่ เรียกได้ว่าเขาไม่แคร์สายตาใครทั้งนั้น

ยกเว้นสายตาฮัน ยิ่งอีกฝ่ายบอกว่าเขาหล่อ ก็ยิ่งอยากจะทำให้ตัวเองน่าดึงดูดมากขึ้น ขอให้ได้อวดรูปร่างที่ขยันหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ หรือส่งสายตาที่ใครต่อใครบอกว่าหล่อเหลือร้ายของตัวเองไปให้ แค่นั้นก็ทำให้คนที่นั่งทับบนตัวร้อนไปทั้งใบหน้าและกกหู

ฮันยู่หน้าสลับอมยิ้ม ในใจคงด่าเขาว่าไอ้คนขี้อวด ปลายนิ้วเรียวเขี่ยลอนลูกหน้าท้องของเขาเบาๆ เท่านั้นมันก็ทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ก่อนที่ฮันจะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ จังหวะนั้นเองที่เสียงออดหน้าประตูดัง...นิ๊งหน่อง เรียกสายตาของทั้งคู่ให้หันไปมอง เจ้าของห้องทำหน้าฉงน

“เราไม่ได้สั่งของอะไรนะ ไคลี่กับชินไม่ได้บอกว่าจะมาหาด้วยนี่” ถึงจะพยายามนึกระหว่างที่เดินไปเปิดประตู แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ฮันเผลอเปิดประตูโดยไม่ส่องตาแมวดูก่อนเพราะเคยชินกับระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่

ถ้าไม่ใช่ญาติมิตรที่เคยพามาแสกนหน้าไว้อยู่แล้ว จะไม่มีทางขึ้นมาถึงชั้นที่เขาอยู่ได้เลย หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนที่กดออดผิดห้อง หรืออาจจะเป็นญาติสนิทมิตรสหายของคนห้องข้างๆ

อาจจะเป็นของบางอย่างที่ตัวเองสั่งไปแต่จำไม่ได้ หรือหม่าม้ากับออมม่าส่งของกินมาให้แต่ลืมบอก

Shit

เฮ่นโหล๊ววว ที่รัก

เซอร์พร๊ายยส์

“หม่าม้า...ออมม่า” ฮันตาเหลือกเท่าไข่ห่านเมื่อคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหอพักตัวเองคือแม่ทั้งสองของตน และไม่ต้องหันหลังไปมองก็รู้ว่าอัลฟาหนุ่มบนเตียงก็น่าจะสะดุ้งสุดตัวเหมือนกัน “มา...มาทำอะไรกันครับ”

ฮันลดรอยแง้มประตูพร้อมเอาตัวบังด้านในไว้ รอยยิ้มแห้งๆ และเหงื่อที่เริ่มซึมข้างขมับนั้นมันช่างน่าสงสัย

หญิงอัลฟาและโอเมกาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มีหรือที่พวกเธอจะไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองน่ะเดาง่ายขนาดไหน แค่โกหกเรื่องขโมยของกินในตู้เย็นยังไม่ทำ กับเรื่องลับลมคมในหรือมีอะไรปิดบังในห้อง มีหรือที่จะสังเกตไม่ได้

“หนูทำอะไรคะ ให้แม่แม่เข้าไปหน่อยซี่ เห็นไหมหม่าม้าเขาถือของพะรุงพะรังเต็มสองแขนเลย ของกินที่หนูชอบทั้งนั้นเลยน้า” ออมม่ายิ้มหวาน พอพูดแบบนั้น หม่าม้าที่หิ้วของอยู่ข้างกันก็ชูถุงขึ้นเต็มสองมือ

เหล่าแม่แม่ดันตัวมาข้างหน้า เพราะปกติจังหวะนี้ลูกชายจะต้องรีบเปิดประตูให้พวกเธอเข้าไปแล้ว ทว่า

“คือ! เอ่อ คือ...ตอนนี้ห้องฮันรกมากเลยครับ”

ถ้าตอนนี้ ฮัน ไนท์ ได้ส่องกระจกเห็นหน้าตัวเองสักหน่อย ก็จะรู้ว่าตัวเองน่ะทำตาแข็งขนาดไหน เหงื่อเม็ดโตไหลซึมที่หน้าผากอย่างกับคนทำอะไรผิดใหญ่โตแล้วพยายามปกปิดไว้

“ก็รกเป็นปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอลูก” หม่าม้าว่า พยายามยื่นหน้าเข้าไปในห้อง

“โอ๊ะ ไม่ได้นะครับ คือว่า—”

“เอ๊ะ นั่นกลิ่นอัลฟาที่ไหนน่ะ” หม่าม้าเป็นอัลฟา จึงไวต่อกลิ่นฟีโรโมนอัลฟาอื่นเป็นพิเศษ

ซึ่งอัลฟาตัวเป็นๆ ที่ยืนทื่ออยู่ในห้องนอนของฮันก็เหงื่อตกไม่ต่างกัน เพราะตอนนี้เสื้อก็ไม่ได้ใส่(โยนไปทางไหนวะ!) ลองเปิดตู้เสื้อผ้าฮันแล้วก็พบว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีนักถ้าจะยัดตัวเองเข้าไปหลบในนั้น ตัวเข้าไปได้ แต่แขนขายาวๆ ของตัวเองไม่น่าจะเก็บเข้าไปให้หมด ไหนจะใต้เตียงนี่มันก็แสนคับแคบ—

“ที่รัก ไหนมีใครแอบอยู่ในห้องหนู!”

เฮือก

เมื่อฮันไม่สามารถรั้งแม่ทั้งสองในการดันประตูเข้ามาได้ ทั้งคู่จึงต้องยืนอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้เห็น

“กรี๊ด...” ออมม่ากรี๊ดเบาๆ พลางยกมือปิดปากปิดตา ที่ถ้าจะกางนิ้วกว้างขนาดนั้นน่ะนะ...

ตุบ

หม่าม้าทำถุงของกินหลุดมือ ดีที่ถุงมันถูกมัดไว้ของข้างในก็เลยไม่ไหลออกมา

“ที่รัก...ที่รักพาผู้ชายขึ้นห้องเหรอคะ” หญิงโอเมกาเอ่ยถาม หน้าตาดูเป็นกังวลปนผิดหวัง

ฮันละล่ำละลักบอก “คือที่จริง คือว่านี่—”

“ใช่คนเดียวกับครั้งนั้นไหมคะลูก” หม่าม้ากอดอก

“คนเดียวกับที่รับโทรศัพท์แทนหนู ในห้องของหนู ในทริปที่หนูไปต่างประเทศ ซึ่งหม่าม้าและออมม่าเป็นห่วงมาก ถูกต้องไหมคะ” ออมม่ากดสายตามองชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ หน้าตาดูเอาเรื่อง

“ครับ ใช่ครับ” ฮันกุมมือไว้ด้านหน้า หลุบตาลงพื้น เหนือสิ่งอื่นใด ฮันใจไม่ดีเพราะกลัวทำให้ทั้งคู่เสียใจหรือผิดหวังในตัวเอง ซึ่งปกติแล้วหม่าม้าและออมม่าไม่เคยเป็นแบบนี้ ต่อให้เขาทำอะไรผิดก็จะคอยตักเตือนหลังกลับบ้าน แต่ไม่เคยประเมินกันด้วยสายตาอ่านไม่ออกแล้วเงียบไปแบบนี้

ส่วนอัลฟาผมบลอนด์ที่ยืนโป๊อยู่กลางห้อง(มีสติแล้วถึงเห็นว่าเสื้อตกอยู่ใต้เตียง ผ้านวมมันทับไว้) ก็ยกแขนสองข้างมาปิดร่างกายส่วนบนของตัวเองเป็นรูปตัวเอ็กซ์ ซึ่งมันดูน่าขำไม่หยอก

คาร์ลอสเห็นสายตาตกตะลึงของหญิงทั้งสองก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร เลยก้มหัวให้หนึ่งครั้งพร้อมคำสารภาพ

“สวัสดีครับ แม่— เอ่อ...แม่ของฮัน ผมคาร์ลอส เป็นแฟนอัลฟาของฮันเองครับ”

ทั้งหม่าม้าและออมม่าเงียบไปอึดใจ ก่อนจะหันหลังเดินไปกระซิบกระซาบอะไรกันสองคนหน้าห้อง คาร์ลอสถึงได้ใช้จังหวะนั้นก้มตัวลงไปคว้าเสื้อมาสวมแบบรวดเร็ว มองหน้าฮันที่ยืนปาดเหงื่อ

ตอนนี้คาร์ลอสรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหนุ่มเพลย์บอยที่ขึ้นมาล่อลูกเขาถึงห้องแล้วพร้อมจะเผ่นอย่างไรก็ไม่รู้ ดังนั้นถ้าเขามีโอกาสได้พูด เขาจะพูดออกไปให้หมดว่าเขารักฮันขนาดไหน ถึงตอนนี้จะยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่เขาจะให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ ถ้ามีงาน มีเงินที่มั่นคงเมื่อไร เขาจะขอฮันแต่งงาน สร้างครอบครัว ถ้าฮันอยากมีลูก เขาก็จะขยันทำงานเก็บเงินมากขึ้นไป—

“ซีแอล” เสียงฮันกระซิบเรียกเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มตัวสูงหลุดจากภวังค์ “คิ้วจะผูกกันเป็นโบแล้ว”

ความประทับใจแรกของคาร์ลอสและแม่ของฮันไม่ดีเท่าไรนัก อัลฟาหนุ่มจึงบอกตัวเองว่าครั้งหน้าถ้าได้ไปหาครอบครัวของฮัน เขาจะต้องดูดีกว่านี้ ดูน่าเชื่อถือกว่านี้ แต่นี่อะไร นี่เป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน ดังนั้น เขาจะต้องกู้ภาพลักษณ์แฟนของลูกชาย(?)ที่ดีกลับมาให้จงได้

“ลูกเราใช่เล่นนะคะคุณ เราจะเอายังไงกันดี” หญิงโอเมกาที่มีใบหน้านุ่มนวลกระซิบ

“จับแต่งเลยดีไหม” ส่วนอัลฟาหญิงที่รูปร่างสูงเพรียวก็ครุ่นคิดไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าลูกเราแค่คุยเล่นยังไม่ได้คิดจริงจังล่ะ”

“นั่นแหละที่ฉันกลัว หล่อเอาเรื่องแบบนั้น ถ้าลูกเราทิ้งเขาไปน่าเสียดายแย่”

“คุณอย่าเข้าข้างคนหน้าตาดีสิ บางทีอาจจะเป็นเพลย์บอย มาเล่นกับใจลูกเราแล้วเขี่ยทิ้งก็ได้นะคะ”

เด็กหนุ่มสองคนที่ยืนเหงื่อตกอยู่ด้านหลังไม่ได้รู้เลยแม้แต่น้อยว่าเหล่าแม่ๆ กำลังคุยอะไรกันอยู่

“แต่คนนั้นเขาพูดเต็มปากเลยนะ คำว่า ‘แฟน’ น่ะ”

“หม่าม้า...ออมม่า” ฮันเรียก เพราะบรรยากาศตอนนี้มันชักจะอึดอัดเกินทน

“ขา...ลูก” อัลฟาหญิงตอบรับ ก่อนจะหมุนให้คนรักข้างกายหันกลับมายังเด็กทั้งสอง

ตอนนี้อัลฟาหนุ่มมีเสื้อใส่แล้ว ก็เลยค่อยยังชั่วหน่อย

แม่แม่กวาดตามองสภาพห้อง ไม่ใช่เพราะมันรก(เพราะมันรกเป็นปกติอยู่แล้ว) แต่เพราะกลิ่นฟีโรโมนของอัลฟาหนุ่มมันอบอวลไปทั้งห้อง ไหนจะสภาพเตียงที่ยับยู่นั่นอีก

แล้วหนูจะให้แม่คิดดีได้ยังไงล่ะลูก

ปกติพวกเธอก็ไม่เคยห่วงลูกหรอกว่าจะคบใคร ไม่เคยจุ้นจ้านเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว เพราะรู้ว่าลูกตัวเองเป็นคนอย่างไร ฮันเป็นเด็กที่เล่าทุกเรื่องให้พวกเธอฟังอย่างไม่มีความลับต่อกัน ดังนั้นพวกเธอจึงเคารพการตัดสินใจในทุกเรื่องของลูกว่าถ้าลูกพร้อมที่จะบอก เดี๋ยวก็คงบอกเองแบบที่ไม่ต้องไปเค้นให้กดดัน

แม้ว่าฮันจะนิสัยยังเป็นเด็ก(ต่อให้จะสูงกว่าแม่แล้ว แม่ก็ยังมองว่าเป็นเด็กอยู่ดี) แต่พวกเธอรู้อยู่แก่ใจว่าฮันโตเต็มวัยแล้ว เป็นหนุ่มโอเมกาที่หล่อเหลาเอาการ วิชวลหรือก็ใช่เล่นๆ(?) ถ้าหัดตกแต่งทรงผมสักหน่อย หรือนอนให้ตรงเวลาจะดูดีสมวัยมากก็เถอะ รู้ว่าอีกไม่นานลูกรักจากอ้อมอกจะต้องมีคนรัก แต่ก็ไม่ได้เตรียมใจว่ามันจะไวขนาดนี้

ต้องเข้าใจก่อนว่าตลอดมา ฮันเป็นเด็กที่ไม่สนใจเรื่องรักใคร่เชิงหนุ่มสาวกับใคร กลับจากโรงเรียนเรื่องที่จะเล่าให้แม่ฟังก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่เรื่องการบ้านที่เยอะจนปวดหัวก็เรื่องกิน ดังนั้นท็อปปิกเรื่องแฟนนั้นถูกปัดตกไปหรือแทบจะไม่เคยยกขึ้นมาพูดกันเลย

เพราะพวกเธอจำได้ที่ลูกเคยบอก...ไม่คิดว่าตัวเองเป็นทั้งชายหรือหญิง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะระบุตัวเองเป็นคนเพศไหน เพราะไม่รู้สึกว่ามีคำนิยามใดมาอธิบายตัวเองได้ แม้แต่มีไทป์เฉพาะหรือลักษณะของคนประเภทที่ดึงดูด ฮันยังบอกว่าไม่รู้

ครั้งเดียวที่ฮันเคยหวีด กรี๊ดกร๊าดใครสักคน ก็คือผู้ชาย 2D ในการ์ตูนที่ชอบอ่าน

ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่คนจริงๆ อีกนั่นแหละลูกเอ๊ย

พวกเธอเลยคิดว่าลูกชายของตัวเองเป็นคนจำพวกที่ไม่ได้สนใจเรื่องรักใคร่เชิงโรแมนติกกับใคร ทั้งคู่ยังเคยคุยกันอยู่เลยว่าถ้าวันหนึ่งฮันมาบอกว่าจะขออยู่เป็นโสดตลอดไป ไม่ขอแต่งงานกับใคร พวกเธอก็จะเปิดแขนรับลูกมากอดและบอกว่าไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่ลูกเลือก ซึ่งนั่นแปลว่าดีที่สุดแล้ว

ดังนั้น ถ้าจะขอตกใจหน่อยจะเป็นอะไรไปล่ะ

โอเมกาหญิงหายใจเข้าลึกหลังจากมองสภาพเตียง ก่อนจะเป็นฝ่ายเปิดประโยค

“ฉันเป็นแม่ของฮันค่ะ อารี อัลเลน คุณอาจจะได้ยินฮันเรียกฉันว่าออมม่าบ่อยๆ”

“ฉันเป็นแม่ของฮันเหมือนกัน เฮเทอร์ ไนท์” หญิงอัลฟายื่นมือออกมาเช่นกัน

“ผมคาร์ลอส โฮล์มส์”

เมื่อนึกดูอีกที คาร์ลอสถึงได้เข้าใจลำดับนามสกุลของฮัน

ฮัน อัลเลน ไนท์ นามสกุลกลางของฮันมาจากอารี และนามสกุลตัวท้ายของฮันมาจากเฮเทอร์ ในขณะที่นามสกุลของชื่อเขานั้นมาจากเชื้อสายฝั่งของพ่อทั้งหมด

และเมื่อได้พินิจพิจารณา เขาก็ได้รู้ว่าฮันได้ดวงตาและผิวพรรณมาจากอารี ส่วนโครงหน้า สีผมมาจากเฮเทอร์...ดูดีกันทั้งบ้านของแท้

“รู้สึกแปลกตาใช่ไหมคะ เจอคนที่มีแม่สองคน” คำถามของเฮเทอร์ทำให้คาร์ลอสนิ่งไปนิด เพราะเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย

“ไม่นะครับ ปกติออก”

ศตวรรษนี้ ถึงจะบอกว่าความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ใช่ว่าจะได้เห็นครอบครัวที่มีผู้ปกครองเป็นเพศเดียวกันได้ทั่วไปขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คาร์ลอสกลับไม่รู้ติดขัด อึดอัด หรือรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกแตกต่างจากคู่ชายหญิงทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

เพราะอนาคตของเขาและฮัน ก็คงจะเป็นครอบครัวที่มีพ่อสองคนเหมือนกัน

เมื่อแนะนำตัวกันคร่าวๆ ก็ถึงเวลาที่จะรู้ลึกตื้นหนาบางบวกกระชับความสัมพันธ์กันและกัน เด็กหนุ่มสองคนนั่งบนเตียง ส่วนเหล่าแม่นั่งบนเก้าอี้ทำงาน(ซึ่งดีหน่อยที่ห้องฮันมีเก้าอี้พับเก็บได้หลายตัว จากการที่เพื่อนชอบมานั่งทำงานด้วย)

“ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปแนะนำตัวตั้งแต่กลับจากสวิตเซอร์แลนด์”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขนาดที่รักฉันกลับมาแล้วยังไม่ไปหาพวกเราเลยสักครั้ง”

คาร์ลอสสังเกตได้อีกเรื่อง อารีจะชอบเรียกฮันว่า ‘my love’

“คบกันมานานหรือยังล่ะลูกรัก”

“ก็...อ่า ตั้งแต่ตอนไหนนะ” ฮันจะบอกว่าตั้งแต่ขึ้นปีหนึ่งมาใหม่ๆ เลยก็ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรกก็จริง แต่ไม่ใช่วันที่เริ่มนับว่าคบกันสักหน่อย

“เพิ่งจะตกลงคบกันจริงจังได้สามสัปดาห์ครับ แต่คุยกันตั้งแต่ที่ฮันเข้ามาปีหนึ่งใหม่ๆ แล้ว”

“...” ฮันทำหน้าแปลกใจที่อีกฝ่ายจำได้

“ที่จริงเราทั้งคู่เป็นเพื่อนเก่ากันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มินนิโซตา ไม่ทราบว่าจำได้ไหมครับ เด็กหัวขาวๆ ที่ชอบนั่งเล่นกับฮันที่สวนท้ายโรงเรียน”

“หือ...เธอคือเด็กคนนั้นนี่เอง เพื่อนที่ฮันกลับบ้านมาทีไรชอบเล่าให้ฟัง”

“หม่าม้า...” ฮันกัดฟันพูดก่อนจะเม้มปากแน่น พยายามส่งกระแสจิตไปว่าอย่าเพิ่งพูดอะไรนะ อย่าเพิ่งนะ

“โตมาขนาดนี้เลยหรือนี่” อารีพึมพำ ก่อนจะมองลูกชายตัวเองที่นั่งตัวงอตัวบิดอย่างกับกุ้งโดนย่าง “โตมาหล่อเอาเรื่องเลยนี่นา ดูหนูฮันสิ มีที่ไหนยิ่งโตยิ่งเหมือนเด็กเข้าไปทุกวัน”

“ออมม่า...”

“ครับ น่ารัก” อัลฟาหนุ่มพูดยิ้มๆ ระหว่างมองคนรัก

“...” ฮัน

“...” อารี

“...” เฮเทอร์

คาร์ลอสกระแอมเบาๆ เป็นการฆ่าความเงียบ เผลอยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอย

“ขอโทษอีกครั้งนะครับ ที่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจน ไม่ยอมไปเปิดตัวตั้งแต่แรก แต่หลังจากนี้ผมสัญญาว่าจะดูแลฮันอย่างดี ทริปที่จะไปหลังจากนี้ก็ด้วย คุณอารี คุณเฮเทอร์ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมไม่รู้ว่าจะต้องเอาอะไรมาเป็นประกันถึงจะเชื่อว่าผมจะไม่ทิ้งให้ฮันต้องอยู่คนเดียว...เหมือนครั้งที่เรียนอยู่มินนิโซตา นอกจากการกระทำที่จะดูแลฮันไปเรื่อยๆ หลังจากนี้”

“ลูกรัก” อารีเรียก

“ครับ?” ฮันขานรับ ทว่า

“หมายได้หมายถึงฮัน หมายถึงคาร์ลอสน่ะ ไม่ต้องพูดแบบเป็นทางการแล้วก็ได้นะจ๊ะ”

“...ครับ?” คาร์ลอสกำลังงุนงงว่าทำไมทางนั้นถึงเรียกเขาว่าลูก

เฮเทอร์ยิ้ม ช่วยขยายความ

“หลังจากนี้เรียกพวกเราว่าแม่เหมือนฮันก็ได้นะ แฟนของลูกชาย ก็เหมือนลูกของพวกเราอีกคน”

“We’re family now.”

ในวินาทีแรก คาร์ลอสพูดไม่ออก สมองเขาไม่ยอมประมวลผลกับประโยคนั้น เพราะใจไม่อยากจะเชื่อ ใจมันกลัวคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เสี้ยววิต่อมา กว่าจะรู้สึกตัว กว่าจะรู้ว่านั่นคือคำที่ออกมาจากใจจริง เขาก็พบว่าน้ำตาที่คลอเบ้าด้วยความตื้นตันนั้นล้นเอ่อ และเมื่อระบายยิ้ม...ทุกหยาดหยดที่พยายามหักห้ามไว้ก็ไหลทะลักออกมาในที่สุด

เหล่าแม่ๆ อึ้งไปเล็กน้อยเมื่อทำให้ชายตัวเขื่องร้องไห้ แต่เมื่อเห็นฮันกอดอัลฟาหนุ่มเข้าอก พวกเธอก็ลุกไปกอดเด็กหนุ่มกันกลม

“ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณ”

ขอบคุณที่มาเติมเต็มคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่มันขาดหายไป ขอบคุณที่ไม่ใช่แค่ยอมรับเขาให้อยู่เคียงข้างฮัน แต่ยังยอมรับเขาให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในคำว่าครอบครัว

เขาเลือกครอบครัวทางสายเลือดไม่ได้ แต่เลือกครอบครัวที่อยากจะใช้ชีวิตไปด้วยกันต่อจากนี้ได้

เขาเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกคนที่จะรัก...และพร้อมมอบความรักให้ได้

วันนั้น เป็นอีกหนึ่งวันที่คาร์ลอสเสียน้ำตาให้กับความรู้สึกที่ต่างกันสุดขั้ว

เสียน้ำตาให้กับความรังเกียจเดียดฉันท์

เสียน้ำตาให้กับความผูกพันอันบริสุทธิ์

เทียบกันไม่ได้เลย...เทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ เขาย้ำเตือนกับตัวเอง เขาจะเป็นคนที่ดีขึ้น ถ้ามีครอบครัว เขาจะไม่ส่งต่อสิ่งอัปยศที่ตนเคยประสบพบเจอให้กับเด็กที่ไม่รู้เดียงสา ไม่ว่าจะก่อหรือปลูกฝังให้เด็กน้อยต้องมีอดีตอันปวดร้าว และจะไม่เป็นผู้ใหญ่อย่างที่ตนในวัยเด็กเกลียด

“ถ้าเด็กชายคาร์ลอสเลิกร้องไห้แล้วเดี๋ยวคุณครูจะให้กิงขนมน้า” ฮันแกะซองขนมที่แม่ซื้อจากในถุง ก่อนจะยื่นมาล่อคนตรงหน้าเหมือนเอาขนมล่อเด็กไม่มีผิด

“เด็กชายฮัน แฟนหนูไม่ใช่เด็กอย่างหนูแล้วนะคะ”

“อะโด่ว ‘ไรอะออมม่า” ฮันจกขนมกรุบกรอบเข้าปาก “ถ้าไม่กินตอนนี้ คุณครูจะกินเองหมดแล้วนะเด็กชายคาร์ลอส”

“โธ่...ที่รัก” ฮันทำให้คาร์ลอสหลุดหัวเราะทั้งๆ ที่น้ำตาอาบแก้มอีกแล้ว

จบกัน มู้ดซึ้ง

 

TBC

มีมแด่ซีแอลตอนนี้

sds

ไม่ต้องงงแล้วเนอะว่าฮันได้ความแก่นเซี้ยวมาจากใคร55555555 ไม่ต้องห่วงว่าเหล่าแม่ๆ เขาจะมากีดขวางความรักทั้งคู่ไหมเพราะ

แม่เป็นห่วงกลัวลูกเราไม่ทันคนโดนปู้ยี่ปู้ยำ❌

แม่ชงให้แต่งวันนี้ฟรีแพ็กเก็จพิเศษ✅

 

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!

ถ้าคุณชอบนิยายเรื่องนี้ โปรดแชร์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพราะนั่นคือการซัพพอร์ตนักเขียนที่ดีมากอีกวิธีหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท

ด้วยรัก

แล้วพบกันตอนหน้า?