Listen to this song for your อรรถรสในการอ่าน

Jimmy Brown - It's gotta be you

 

XIII

- How many condoms do you want?

- Yes.

sds

Photo by Olga Kozachenko on Unsplash

 


 

Can I send the sun to your bed

빛에 어서 돌아보게

Ain't got no shame in it, I'ma say it

알수록 it’s amazin’

Any day could be our last

맘은 야자수 아래

 

(ขอผมส่งดวงตะวันส่องแสงไปถึงเตียงคุณได้ไหม)

(พอมองแสงนั้นแล้วก็นึกย้อนกลับไป)

(มันไม่มีความเสียใจอยู่ในนั้น ผมพูดเลย)

(ยิ่งได้รู้จักคุณมากเท่าไร มันก็มีแต่เรื่องวิเศษ)

 


 

TW

ความรุนแรงในโรงเรียน

การบูลลี่ขั้นรุนแรง

มีการกล่าวถึง rape

slut shaming

blood

 

 

แม่!!

เฮือก!”

“ซีแอล/คาร์ลอส! เป็นอะไร!?” ฮัน ไคลี่ ชิน ต่างเข้ามามุงคนที่สะดุ้งสุดตัวด้วยอาการน่าเป็นห่วง หลังจากผู้ช่วยทำการทดลองตรวจสอบอัตราชีพจร พบว่าอัตราการเต้นหัวใจของคาร์ลอสมีความผิดปกติเป็นอย่างมาก

คาร์ลอสเริ่มหอบหายใจแรงหลังจากเริ่มทดลองไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที ตามฝ่ามือ กรอบหน้าและแผ่นหลังเหงื่อแตกโซก แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ

อุณหภูมิภายในห้องที่เย็นสบายกลับไม่ได้ช่วยให้อัลฟาหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด กลับกันชีพจรยังเหมือนคนเพิ่งผ่านการไปวิ่งหรือออกกำลังกายอย่างหนัก รูม่านตาหดเล็กลงเหมือนยืนท่ามกลางแดดจัด เสี้ยววิพลันขยายออก อะดรีนาลินในร่างกายหลั่งล้น กล้ามเนื้อหดเกร็งเครียดขึง

ผู้ช่วยหญิงแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยพยาบาลให้เข้ามาดูอาการ และได้รับคำสั่งให้หยุดระบบทันที

เมื่อแว่นสีทึบถูกดึงออกจากใบหน้า ชายหนุ่มอัลฟาก็แทบจะกระเด้งพรวดตกจากเก้าอี้ ถ้าไม่ติดว่ามีเข็มขัดล็อกไว้กับที่นั่ง ดวงตาสีฟ้าหม่นเทาเบิกโพลง ก่อนจะมองไปรอบตัวอย่างลนลาน

“ไม่ ไม่ ให้ผมดู ให้ผมเห็นอีก!” คาร์ลอสหันไปหาไกด์สลับกับผู้ช่วยที่ปิดระบบไปเป็นที่เรียบร้อย

“อัตราการเต้นของหัวใจคุณเร็วเกินไป เลยต้องปิดระบบก่อนเวลาค่ะ” พยาบาลแจ้งพลางปลดเข็มขัดที่รัดกับเก้าอี้กันตกออกให้

“ให้ผมกลับไป ให้ผมดูอีก! ให้!—” คาร์ลอสลุกขึ้นกะทันหัน เลยโดนอาการหน้ามืดเข้าเล่นงาน อัลฟาหนุ่มรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ๊งๆ อยู่ในหู ดวงตาพร่ามัว สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือใบหน้าของฮันอันเลือนราง ก่อนสติจะดับวูบ

“ซีแอล!”

 

αβΩ

 

“เราโอเค ไคลี่ ชิน โอเคจริงๆ ไม่เอาน่า...เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะ ซีแอลฟื้นแล้ว โอเค ไว้เราโทรกลับ”

หน้าห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นภายในตึกองค์กรวิจัยนิวเคลียร์ ฮันลุกจากเก้าอี้สำหรับนั่งรอผู้ป่วยทันทีเมื่อบุรุษพยาบาลเดินออกมาแจ้งว่าคาร์ลอสฟื้นแล้ว ทั้งเอมิลี่และลูคัสที่นั่งรอข้างกันก็กระเด้งตัวลุกขึ้นอัตโนมัติ เดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน

แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปเต็มตัว เสียงร้องของแพทย์และพยาบาลก็ดังขึ้น ฮันเห็นคาร์ลอสพยายามดึงสายน้ำเกลือออก และปัดป้องทุกแรงรั้งของคนในห้อง พูดอยู่อย่างเดียวว่าให้กลับไปดูอีกครั้ง

“ไอ้คาร์ลอส! มึงเป็นอะไร!?” เอมิลี่และลูคัสเข้าไปช่วยจับตัวคาร์ลอสให้นอนลงกับเตียงดังเดิม

“คุณต้องพักก่อนนะครับ ตอนนี้คุณเสียพลังงานมาก—”

“ปล่อย! ปล่อยกู!” คาร์ลอสดิ้นแรงกว่าเดิม ยิ่งเห็นว่าเพื่อนเข้ามาช่วยจับแขนจับขาให้อยู่นิ่ง เขาก็ยิ่งเดือดพล่าน “ให้กูทดลองเครื่องนั่นอีกรอบ!”

“มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอวะ สติเว้ย สติ! มึงฟังภาษาคนรู้เรื่องไหม!” เอมิลี่ทนไม่ไหว ตบหน้าเพื่อนหันไปทางหนึ่ง

เพี๊ยะ

ได้ผลชะงัด คาร์ลอสหยุดโวยวายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับมาด้วยดวงตารื้นน้ำ เอมิลี่มั่นใจว่าไม่ได้ตบแรงขนาดทำให้เพื่อนตัวยักษ์ที่ปกติไม่เคยแสดงความรู้สึกใดทางสีหน้ามีน้ำตา เสียงเอ่ยอ้อนวอนพาให้คนมองชอกช้ำอยู่ในอก

“เมื่อกี้กูเห็น...เขา”

“...”

“ให้กู…กลับไปเห็นเขาอีกครั้ง...ได้ไหม” เสียงทุ้มแหบพร่า สั่นเครือ

ส่วนฮัน ไนท์ที่ยืนอยู่ปลายเตียง ได้แต่มองภาพนั้นด้วยความเจ็บแปลบในทรวงอก แม้จะยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า ‘เขา’ ที่ซีแอลหมายถึงเป็นใคร แต่ต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของอีกฝ่ายเป็นสำคัญ

พวกเขาผ่านเรื่องราวมาต่างกัน หากทำให้เจ็บปวดไม่ต่างกัน

ฮันเคยคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไป เวลา? สังคม? แนวโน้มในอนาคต? ผู้คนมักสงสัยเวลาเห็นความเปลี่ยนแปลงของใครบางคนแล้วชอบถามว่าทำไมถึงเปลี่ยนไปแทนที่จะถามว่าไปเจออะไรมา?

เขายังสรุปไม่ได้ว่าอะไรทำให้คนเปลี่ยนไป อาจจะเป็นเรื่องราวในอดีตทั้งดี หรือร้าย เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่มีอะไรอยู่ยงคงกระพัน มนุษย์ที่ว่าเก่งกาจ ก็ต้องดับสูญในสักวัน โลกที่ว่าสงบสุข ก็มีเรื่องราวเปลี่ยนผ่านมานับล้านปี นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

คาร์ลอสยอมนอนลงกับเตียงแต่โดยดี หลังจากที่เอมิลี่ตอบตกลง แต่มีเงื่อนไขว่าเมื่ออีกฝ่ายหายดี ทั้งกายและจิตใจแล้วเท่านั้น แล้วหลังจากนี้จะทำอะไรก็ทำ ไม่มีใครห้าม

พวกเขาพากันกลับโรงแรมหลังจากนั้นไม่นาน เพราะคาร์ลอสไม่อยากจะนอนในห้องที่มีแต่กลิ่นยาฆ่าเชื้อ และไม่อยากถูกจับจ้องโดยใครที่ไม่รู้จัก

คาร์ลอสและฮันมาถึงชั้นของตัวเองก็ต้องแยกกับเอมิลี่และลูคัส เพื่อนๆ ยังแสดงสีหน้าเป็นห่วงอย่างชัดเจน กังวลทั้งเพื่อนอัลฟาตัวเขื่องที่หน้ายังซีดไร้เลือดฝาด(ปกติหน้าก็ขาวซีดอยู่แล้ว) ไหนจะเป็นห่วงทั้งฮันที่เพิ่งผ่านอาการหมดสติกะทันหันไปได้ไม่นาน

เอมิลี่และลูคัสขมวดคิ้วและถอนหายใจเป็นพักๆ จนฮันต้องเผยรอยยิ้มให้

“ไม่เป็นไรลูคัส พี่เอมิลี่ ผมโอเคแล้ว ส่วนคาร์ลอส...ผมจะดูแลให้เอง” ฮันแตะไหล่คนสูงกว่าข้างกาย โบกมือให้ทั้งคู่ให้รีบขึ้นลิฟต์ไปได้แล้ว

“กูไม่ได้เป็นอะไร” คาร์ลอสบอกเพื่อน แล้วพูดบางอย่างก่อนที่เพื่อนๆ จะกดปิดประตูลิฟต์ “อย่าลืมเรื่องที่กูฝาก”

“อือ กูไม่ลืมหรอก” เอมิลี่ตอบแค่นั้น ส่วนลูคัสกดปิดลิฟต์ให้

พวกเขาเดินตรงไปตามทางเดิน ไม่มีใครพูดจา แต่ความเงียบไม่ได้ทำให้ทั้งคู่อึดอัด คาร์ลอสนิ่งเหมือนปกติ ดวงตาออกจะเหม่อลอยน้อยๆ คล้ายคนที่กำลังคิดวุ่นอยู่ในใจ ส่วนฮันเอาแต่ลอบมองคนข้างกายไม่วาง

กระทั่งมาหยุดยังหน้าห้องของตัวเอง ฮันรอให้คาร์ลอสเปิดประตูเข้าไปก่อน เขาถึงจะเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปทีหลัง แต่คนตัวโตยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ฮันเอียงหน้าถาม

“ซีแอล? โอเคไหม”

“ขอไปนอนกับมึงได้ไหม”

“...?”

“กูไม่อยากอยู่คนเดียว”

นอนด้วยกันได้ไหมเราไม่อยากอยู่คนเดียว

ฮันระบายรอยยิ้มนุ่มนวล นึกถึงประโยคที่ตัวเองเคยพูดแล้วก็ถอนหายใจน้อยๆ ก้าวเข้าไปหาเจ้าของใบหน้าคมที่ยังไม่สู้ดีนัก สองมือของฮันยกขึ้นประคองแก้มสอบของคนตัวสูงกว่า

“ให้เราไปนอนห้องซีแอลก็ได้”

“ไม่เอา ไปห้องมึงดีกว่า...เตียงที่มีฟีโรโมนมึง ทำให้กู...ผ่อนคลาย” พูดดังนั้นก็ยกมือทาบทับมือน้อยที่วางข้างแก้มตัวเอง ดึงมากอบกุมเอาไว้ จับจ้องรอยยิ้มชวนให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์

แต่มันยังไม่ถึงเวลานอน ต่อให้จะพยายามข่มตาลงแค่ไหนก็ไม่มีทางหลับ พวกเขาจึงตัดสินใจหาอะไรง่ายๆ ทำ อย่างเช่นนอนดูอะไรตลกๆ ระหว่างกินฟองดูว์ชีสต้นตำหรับของสวิตเซอร์แลนด์ที่สั่งจากบริการรูมเซอร์วิส

คลิปสั้นไม่เกินสามสิบวิถูกเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว คลิปเกี่ยวกับอะไรก็ได้ที่จะสามารถทำให้เรายิ้มออก คลิปหมาแมว คลิปเด็กน้อย คลิปแกล้งเพื่อน จนเริ่มรู้สึกเบื่อ และพวกเขาก็ไม่ได้อยากดูหนังหรือซีรีส์ยาวเพราะกว่าจะเลือกเรื่องได้คงถึงพรุ่งนี้เช้าพอดี และต่อให้เลือกเรื่องที่จะดูได้ตอนนี้ มันก็ใช้เวลาในการดูนานเกินไป กว่าหนังจะจบ พวกเขาก็คงหลับไม่รู้เรื่อง

สมัยนี้คนไม่นิยมดูอะไรนานๆ ก็เลยไม่ค่อยมีบริษัทไหนแข่งกันทำภาพยนตร์เหมือนสมัยก่อน ภาพยนตร์ที่มีให้บริการในสตรีมมิ่งเดี๋ยวนี้ก็เลยมีแต่เรื่องเก่าๆ ซึ่งก็นะ ตรรกะอะไรหลายๆ อย่างมันก็เลยยังไม่ทันปรับให้เข้าแก่ยุคสมัยนัก

ในจังหวะที่กำลังเลื่อนหาอะไรดูต่อไป ฮันก็เห็นแจ้งเตือนเข้ามาจากยูเอสเมล ของคาร์ลอสก็เช่นกัน ทั้งคู่เปิดดู ก่อนจะพากันตาเหลือก

[วิดีโอแนะนำตัวสำหรับโปรเจ็กต์วิชาปรัชญาสมัยใหม่

จากฝ่ายโสตทัศนวัสดุ - มาช้าแต่มานะ]

“...”

“...”

บอกตามตรง ฮันและคาร์ลอสจำมันไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเคยอัดอะไรไปบ้าง ที่น่ากลัวคือมันถูกอัดไว้นานมาก ตั้งแต่ก่อนที่พวกเขา...จะจำกันและกันได้

ดังนั้น อย่าพูดถึงเนื้อหาในคลิปเลย

“ฮันทำอะไร”

“เราอยากดูอะ”

“...จะดีเหรอ” คาร์ลอสนั่งหน้าซีด (ไม่รู้ว่าซีดเพราะพลังงานยังไม่กลับมาดี หรือเพราะฮันกำลังจะเปิดคลิป)

“เราก็คงด่าซีแอลไปเยอะเลยตอนนั้น เอาเป็นว่ามาแลกกันดูที่เราด่ากันและกันเถอะ” พอฮันว่าเสียงแจ่มใสแบบนั้น แล้วคาร์ลอสจะไปขัดขืนอะไรได้ นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม “เดี๋ยวเริ่มของเราก่อนเลยนะ”

ซึ่งมันกำลังจะเริ่ม ณ บัดนี้

คลิปแนะนำตัวของฮันแสดงเวลาอยู่สองนาทีเป๊ะ ตอนอัดเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันนานขนาดนั้น เพราะทั้งนั่งนึกคำพูด ทั้งพูดติดขัด กว่าจะพูดหมดก็จบเวลาที่จำกัดพอดี

"สวัสดีครับ ผมฮัน ไนท์ เรียกว่าฮันเฉยๆ ก็ได้ครับ เป็นคนนิสัยธรรมดา ชีวิตไม่มีอะไรหวือหวา แม้ว่าเพื่อนจะชอบชมบ่อยๆ ว่าเป็นคนน่ารักแต่ผมรู้ครับว่าเพื่อนแค่ชมเอาใจเฉยๆ

เรื่องนิสัยพอแล้วค่ะ บอกเกี่ยวกับการเรียนหน่อยสิ

อ๋อครับ...คือผมก็เรียนปกติครับ

คะ?

ครับ?

คืออธิบายหน่อยว่าชีวิตประจำวันที่เกี่ยวกับการเรียนเป็นยังไงก็ได้ แบบนี้พี่ว่าสั้นไป

อ๋อครับๆ ชีวิตวันๆ ของผมมีแต่นั่งออกแบบ วาดภาพ ถ่ายรูป และอ่านการ์ตูนครับ

พี่ขอขยายอีกนิด

อีกเหรอครับ...คือ...อ้อ ผมชอบวาดรูปด้วยมือครับ

...เอ่อ ค่ะ ทำไมล่ะคะ?

เพราะมันได้อารมณ์ทางจิตใจมากกว่าครับ ผมรู้ว่าสมัยนี้การวาดภาพเป็นอะไรที่ง่ายมากเพียงแค่มีโปรแกรม แต่ผมยังชอบวิธีวาดด้วยมืออยู่นี่นา เพราะเสน่ห์ของภาพวาดก็คืออารมณ์ของผู้วาดในตอนที่จรดปลายดินสอไม่ใช่เหรอครับ

เครจ้า แอร์ไทม์ใกล้จะหมดแล้ว มีอะไรอยากจะฝากถึงคนที่จะมาติดตามโปรเจ็กต์ในอนาคตไหมคะ

ครับแอร์ไทม์จะหมดแล้วเหรอครับ!? จะหมดคือเหลืออีกกี่นาทีครับ?

สิบค่ะ

สิบนาที?

สิบ...เก้า...แปด

! งั้นผมขอบอกสิ่งที่ไม่ชอบบ้างก็แล้วกัน ผมไม่ชอบคนปสด.ที่สุดเลย โดยเฉพาะไอ้อัลฟาบ้าหน้าเลือดนั่น ฝากไปบอกเขาด้วยนะครับว่าจบงานนี้เมื่อไร ขออย่าให้—"

...

“แหะ” โอเมกาตัวน้อยนั่งยิ้มแห้ง

ก็คุณโปรดิวเซอร์เขาบอกให้เรียลอะ

“...” ส่วนคาร์ลอส โฮล์มส์ได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ

“แต่ แต่ว่าเราไม่ได้พูดชื่อน้าว่าคนไหน เราบอกว่าไม่ชอบคนปสด.เฉยๆ” ฮันยิ้มแหย แต่ถามว่าคาร์ลอสโกรธไหม แน่นอนว่าไม่แล้ว เพราะตอนนั้นเขาก็คงตอบอะไรไม่ต่างกันมาก

ในขณะที่วิดีโอแนะนำตัวของฮันใช้เวลาไปอย่างคุ้มค่าสองนาทีเต็ม วิดีโอของคาร์ลอสนั้น เรียกว่าใช้เวลาไปกับความเงียบ 98% และบทแนะนำตัวอีก 2%

เริ่มแนะนำตัวได้จ้า

"ชื่อคาร์ลอส"

"...จ้า...นามสกุลจ้า"

โฮล์มส์

...

?

มีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบทำไหมเอ่ย

อยู่ในแล็บ

อันนี้คือชอบหรือไม่ชอบ ระบุหน่อยก็ดีน้าพี่ว่า

ชอบทำงานในแล็บ

แล้วเรื่องที่ไม่ชอบล่ะคะ?

"เกลียดโอเมกา"

“…”

?

เอ่อพี่ว่าเมื่อกี้มันเหยียดเพศไหมน้า

ถ้าเรียกว่าเหยียด ก็คงใช่

อะพอเลยจ้า ตากล้องตัดจบเลย—”

“...กู ขอโทษ” คาร์ลอสจะแก้ตัวว่าไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะมันคือเรื่องโกหกเห็นๆ ตอนนั้นเขาพูดไปแบบเต็มปากและตั้งใจ เพราะสมองมันคิดอย่างนั้นจริงๆ

“ไม่เป็นไร ไว้จบทริปแล้ว...เราค่อยไปอัดใหม่เนอะ”

“อือ” คาร์ลอสและฮันนั่งหลังพิงหัวเตียง วงแขนยาวกอดเบาๆ อยู่ที่เอวคนตัวเล็กกว่า ดวงตาประสานกันไปมา นิ้วชี้เล็กๆ ของฮันจิ้มมุมปากของคาร์ลอสเบาๆ คล้ายจะจูบกันอยู่รอมร่อ แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรนอกจากมองกันไปมา

“แลกกันเล่าเรื่องไหม”

“เรื่องอะไร”

“ทุกเรื่องที่ต่างคนต่างผ่านมา”

 

αβΩ

 

สองเราอิงแอบแนบชิดกันอยู่นานสองนาน ฮันเห็นความเจ็บปวดในดวงตาคู่สวย มันอ่อนล้า ฉายแววทุกข์ระทม เขาบอกว่าไม่เป็นไรหากแผลนั้นยังสดใหม่ ไม่จำเป็นต้องเล่าหากยังไม่พร้อมกลับไป

แต่แผลของฮันนั้นเริ่มประสานจนเกือบหายดี หลงเหลือเพียงร่องรอยของสะเก็ดแผลที่ต่อให้ไปสะกิด ก็ไม่ก่อให้เกิดความเจ็บแสบอีกแล้ว

มันเริ่มตั้งแต่ต้นฤดูหนาวของการขึ้นเกรด 4 มันเป็นฤดูการที่ฮันเกลียดมากที่สุด เซนต์พอลเป็นเมืองหนาว ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนมันก็หนาวเกินไปสำหรับฮันอยู่ดี แต่สิ่งที่ย้อนแย้งคือเขากลับชอบหิมะ และชอบทะเลเป็นชีวิตจิตใจ

ป่าไม้ สวนสาธารณะ แม่น้ำลำธารในมินนิโซตามีอยู่ทุกหย่อมหญ้า ต่อให้รัฐบาลจะสั่งให้ทุกรัฐควบคุมปริมาณพื้นที่สีเขียวไว้ขั้นต่ำที่เท่าไร นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาของที่นี่

ทุกวันหยุดหม่าม้าและออมม่าจะพาไปเดินเล่นในสวนสาธารณะสักที่ อย่างเซนต์ คลาวด์ เคลมเมนส์ หรือนั่งปิกนิกกันข้างแม่น้ำมิสซิสซิปปี พาไปสถาบันศิลปะมินนีอาโพลิสในวันพิเศษเพราะรู้ว่าลูกชอบเกี่ยวกับศิลปะมาตั้งแต่เล็ก และสถานที่ที่พาไปบ่อยไม่แพ้กันก็คือสวนสัตว์เรือนกระจกโคโมพาร์ค เพราะว่าฮันก็ชอบสัตว์มากพอๆ กับศิลปะ

ฮันไม่เคยไม่ชอบมินนิโซตา แม้ว่ามันจะหนาวเหน็บสักแค่ไหน กระทั่งรู้ว่าเพื่อนสนิทตั้งแต่เกรด 1 ไม่ได้มาเข้าเรียนในวันแรกของการเปิดภาคการศึกษาใหม่ของการขึ้นเกรด 4 และหายตัวไปตลอดทั้งเทอม นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮันไม่ชอบมินนิโซตามากที่สุด

เขาติดต่อเพื่อนสนิททางไอดีฟอร์สทุกวัน แต่กลับไร้การตอบรับ ขอที่อยู่กับคุณครูเพื่อจะไปตามหาถึงบ้าน แต่ก็พบเพียงบ้านที่ไร้ผู้อยู่อาศัย วินาทีนั้นฮันถึงได้รู้ ว่าเพื่อนรักย้ายออกจากรัฐมินนิโซตาไปแล้ว

หายไปแบบไร้ร่องรอย จากไปแบบไร้คำลา ในตอนแรกฮันโกรธที่ไม่แม้แต่จะได้ข่าวคราวหรือแม้แต่คำร่ำลาจากเพื่อนที่สัญญากันไว้...ว่าจะไม่ทิ้งกัน แต่นอกเหนือจากความโกรธ เขากลับรู้สึกสับสนระคนใจหาย

หลังจากผ่านพ้นเทอมนั้นไป ทุกอย่างก็เหมือนจะกลับมาเข้าที่เข้าทาง ฮันได้สังคมเพื่อนใหม่ๆ กระทั่งเพื่อนหลายคนเริ่มรู้สถานะเพศรองของตัวเอง

ฮันรู้เพศรองตัวเองแทบจะเป็นคนท้ายๆ ของสายชั้น เขาถูกคาดหวังจากเพื่อนในกลุ่มโดยไม่รู้ตัว เพื่อนบอกว่าเขาเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ขยัน ดังนั้นเขาจะต้องเป็นอัลฟาอย่างแน่นอน

เพื่อนคนอื่นที่รู้แล้วว่าตัวเองมีเพศรองเป็นอัลฟา เริ่มเกาะกลุ่มกันเพื่อแกล้งเพื่อนที่เป็นโอเมกา ยิ่งในห้องที่มีโอเมกาเป็นส่วนน้อย โอกาสการโดนกีดกันและถูกรังแกยิ่งมีสูง

กว่าเพศรองของฮันจะปรากฏออกมา ก็ย่างเข้าเกรด 6

กว่าที่ฮันจะกล้าไปโรงเรียนหลังจากรู้เพศรองของตัวเอง มันใช้เวลามากกว่าสามวันในการปรับตัว

กว่าที่ฮันจะมั่นใจในตัวเอง และเข้าใจว่าการเป็นโอเมกานั้นไม่ได้ผิดอะไร เป็นเพราะประโยคหนึ่งของออมม่าที่บอกว่า

เพราะหนูมีเพศรองแบบเดียวกับแม่ หนูเลยเสียใจเหรอลูก

ฮันไม่ได้เสียใจ

เด็กชายฮันว่าเสียงสะอื้น เขารักออมม่าสุดหัวใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ปนกันในหัวนี้มันคืออะไรกันแน่ จะบอกว่าดีใจที่ได้เป็นโอเมกา ก็พูดไม่ออก แต่จะบอกว่าเกลียด มันก็คงเป็นไปไม่ได้

งั้นบอกแม่ทีลูกรัก...การเป็นโอเมกามันลดคุณค่าในตัวหนูลงหรือเปล่า

ฮันรู้ว่าเขายังเป็นคนคนเดิม ยังคงเรียนแบบเดิม ชอบสิ่งเดิม แต่พวกเราแค่ต้องเติบโตขึ้น

แน่นอนว่าต่อให้เขาจะยังเป็นคนเดิม แต่เพื่อนในกลุ่มเดียวกันกลับกลายเป็นมองเขาผิดแปลกไป เดิมที่เคยมองเขาเป็นไอดอล ยกย่องเยินยอกันได้แทบทุกเรื่อง กลายเป็นหาเรื่องติกันได้ทุกอย่างแทน

ยังดีที่เขาต้องทนเพียงปีเดียว ขึ้นเกรด 7 พวกนั้นก็แยกย้ายกันไปเรียนที่อื่นบ้าง พวกจ่าฝูงที่นำลูกหาบแกล้งเพื่อนบ้างก็ออกจากโรงเรียนเพราะเรื่องชกต่อย ย้ายรัฐ ย้ายโรงเรียน หรือไม่เรียนต่อแล้วก็มี

ฮันโดนกลั่นแกล้งเรียกว่าน้อยกว่าคนอื่นมาก อาจเพราะมีอภิสิทธิ์เป็นเด็กเรียนดีของคุณครู มีแม่เป็นอัลฟา(ที่มารับส่งลูกทุกวัน) แต่นั่นกลับเป็นเหมือนสป็อตไลต์ฉายแสงส่องลงมายังเขา เหมือนมีสายตาหลายคู่ที่คอยจับจ้องและซุบซิบนินทาอยู่ตลอดเวลา

เป็นแค่โอเมกา...มีสิทธิ์อะไรได้หน้าไปมากกว่าเรา

มันคงเอาตัวเข้าแลกครูใหญ่

ฮันไม่เคยสนใจคำติฉินนินทาใด เพราะมันไม่ใช่เรื่องจริง เขาพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ตัวเองเดือดพล่านเหมือนหมาบ้า แบบที่พวกนั้นเป็น เขาทนมาได้ตลอดเพื่อลดแรงปะทะ กระทั่ง

แม่มันอีกคนก็โอเมกาว่ะ น่าเอาเหมือนมันไม่มีผิด

นั่นเป็นครั้งแรกที่ฮันมีเรื่องชกต่อยในโรงเรียน เป็นครั้งแรกที่ถูกเรียกผู้ปกครองมาด้วยพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่อาจทราบได้

ที่เขาคิดว่าโลกนี้มันไม่มีความยุติธรรม

เขาบอกครูใหญ่ว่าเพื่อนคนนั้นพูดอะไรออกมาบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่เริ่มลงมือทำร้ายคนอื่นก่อน เป็นฝ่ายที่ดูจะผิดมากกว่า

ฮันไม่เคยเข้าใจ ยิ่งคุณครูทำเหมือนกับว่าการลดโทษให้เพราะเขามีประวัติเป็นนักเรียนดีเด่นมาโดยตลอดจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น เหมือนเขาต้องรู้สึกขอบคุณที่คุณครูและผู้ปกครองฝ่ายนั้นไม่เอาเรื่อง นั่นทำให้ฮันรู้สึกแย่กว่าเดิม หม่าม้าเหมือนจะเข้าใจเขาดีที่สุด ไม่ได้ทำเพียงปลอบใจและบอกว่าห้ามทำอีกเหมือนออมม่า

คุณครูให้เหตุผลว่าเขาทำให้เพื่อนเจ็บ คิ้วแตก ตาบวม โดยเฉพาะริมฝีปากที่มีฟันหักจนเลือดกบ ฮันยอมรับความผิดที่เขาทำ หม่าม้าและออมม่าจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ทุกอย่างก็จะถือว่าจบ แต่เพื่อนคนนั้นกลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยในคำพูดของตัวเอง

ทุกคนคิดว่าคำพูดไม่ได้ทำให้เจ็บเท่ากับการทำร้ายร่างกาย แน่นอนว่าไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายคนอื่น

แน่นอนว่าการทำร้ายทางคำพูดก็เช่นกัน

ทุกคนคิดว่าเขาไม่เจ็บหรือ? เขาโดนพูดแย่ๆ ใส่มาเป็นปี ไอ้นั่นโดนต่อยวันเดียวกลับบอกว่าเป็นการกระทำที่รับไม่ได้ หรือเพราะความเจ็บทางจิตใจบ่งบอกไม่ได้ทางสายตา ถ้ามีอะไรที่วัดได้ล่ะว่าเขาเจ็บใจมากกว่าที่เพื่อนคนนั้นเจ็บกาย ใครจะเป็นคนรับผิดชอบจิตใจที่ย่ำแย่ของเขา

สหรัฐมีเหตุกราดยิงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ทุกคนเหมือนจะรับรู้แค่ปลายเหตุว่าใครทำไปทำไม ผู้ก่อเหตุมักทำเพราะความเจ็บสะสมจากการโดนรังแกทางจิตใจ ผู้ก่อเหตุเป็นเหยื่อมาโดยตลอด กระทั่งวันที่เริ่มลงมือ คนทั้งโลกก็ชี้หน้าด่าคนผู้นั้นแบบไม่ต้องไตร่ตรองสิ่งใด

ทุกคนมักจะแก้อะไรที่ปลายเหตุ ทุกคนรู้ว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปยิงใคร ทุกคนรู้ว่าเราไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายใคร แต่พอมันเป็นเรื่องที่มองไม่เห็นอย่างจิตใจ ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครให้ค่านัก

ตอนแรกฮันคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันคงจะจบในวันนั้น จนขึ้นเกรด 8 นรกของเขาได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

มันเป็นวันแรกที่เขามีอาการคล้ายการฮีทมากที่สุด ก่อนหน้านี้ในวัย 12 ปี ฮันเพิ่งรู้เพศรองของตัวเองด้วยฟีโรโมนที่ส่งออกมาจากต่อม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอาการฮีทและฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายจะเกิดขึ้นในทันที

แต่วันนี้ในวัย 14 ปีมันได้เริ่มขึ้นแล้ว มันเป็นวันเดียวกับที่ฮันสะเพร่าลืมพกยาแก้ฮีทแบบฉีดมาด้วย ในวินาทีแรกฮันไม่รู้ว่ามันคืออะไร เริ่มจากการที่เขามึนหัวน้อยๆ เลยขอออกจากห้องเรียนไปเข้าห้องน้ำ ขาเริ่มสั่นไร้เรี่ยวแรง และเพื่อนๆ ตามทางเดินก็จ้องมาด้วยสายตาแปลกประหลาด

ในวินาทีนั้นฮันตัดสินใจออกแรงวิ่งไปห้องพยาบาล แต่กลับเจอคนกลุ่มหนึ่งยืนดักหน้า มันคือเพื่อนที่มีเรื่องชกต่อยกันไปตั้งแต่ปีที่แล้ว อีกฝ่ายย้ายโรงเรียนไปตั้งแต่มีเรื่องคราวนั้น ไม่รู้ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ พร้อมกับใครอีกสามคนที่ไม่รู้จัก

ว้าว ทายซิว่าเราเจอใคร

ถอยไป!’

วัยนี้ก็เริ่มฮีทแล้วนี่นา ไม่อยากให้พวกเราช่วยสนองสักหน่อยเหรอ

อึก...บอกว่าให้ออกไปนะ!!’

เกิดมาเป็นโอเมกา ก็ทำได้แค่อย่างเดียวหรือเปล่า

ฮันถูกคนกลุ่มนั้นลากตัวไปทางหลังโรงเรียน เขาถูกอุดปาก ล็อกแขนขา เด็กวัยนี้พอเพศรองเริ่มเผย ลักษณะทางกายภาพก็เริ่มแตกต่างกันขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางที่ฮันจะสู้แรงอัลฟาสี่คนได้เลย

เขาถูกลากออกมาไกลเท่าไรไม่อาจทราบได้ ระหว่างทางที่ดิ้นสุดแรง พวกมันก็ทั้งตบหน้า ต่อยท้อง กระชากผมจนแสบหนังหัวไปหมด ยิ่งถูกลากไกลเข้าไปในป่า มีลำธารสายหนึ่ง ปกติมักจะมีเรือจอดเทียบซึ่งเป็นของคนที่อาศัยแถวนี้ แต่วันนี้กลับไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน

ฮันโดนลากไปที่ท่า ถูกจับกดหัวลงน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกนั้นบังคับให้เขาพูดขอโทษที่ไปต่อยเพื่อนในกลุ่มตัวเอง อากาศในปอดน้อยลงเข้า ฮันก็ไม่รู้ว่าจะเก็บศักดิ์ศรีไว้เพื่ออะไร เพื่อร่างที่ไร้วิญญาณของตนเองงั้นหรือ

หลังถูกกระชากขึ้นจากน้ำ ฮันร้องไห้ เอ่ยขอโทษขอโพยในขณะที่สำลักน้ำ น้ำตาน้ำมูกผสมปนเป อาการฮีทในตอนแรกชะงักฉับพลันเพราะอาการขวัญผวา เมื่อสมองเริ่มไม่ทำงานคล้ายคนใกล้ตาย ร่างกายก็ปรับฮอร์โมนไม่ทัน

ฮันก้มลงหมอบแทบเท้าคนกลุ่มนั้นแล้วร้องขอให้หยุดซ้ำๆ ราวกับคนเสียสติ หัวของฮันสัมผัสได้ถึงแรงเหยียบจากรองเท้าผ้าใบของใครสักคน เขาได้ยินเสียงหัวเราะอันน่าสมเพช ได้ยินประโยคที่พวกมันคุยกันไปมาว่าจะเอายังไงต่อ จะข่มขืนก่อนค่อยฆ่า หรือจับเขากดน้ำซ้ำๆ ให้ทรมานขาดอากาศตายไปเอง เสียงหนึ่งก็ว่าอย่าฆ่าเพราะเดี๋ยวจะติดคุก เสียงหนึ่งก็แย้งว่าเป็นเยาวชนไม่มีทางติดคุกหรอก และอีกเสียงหนึ่งซึ่งมาจากเขา

หึ...พวกโง่

มันว่าไงนะ

มึงด่าว่าพวกกูโง่เหรอ

ฮันถูกกระชากหัวขึ้นมา เขาเห็นหน้าพวกมันที่ฉุนเพียงเพราะโดนด่าว่าโง่ ใช่...ช่างโง่เง่าเสียจริง เขาระบายยิ้ม เผยให้เห็นเลือดที่ไหลตามซอกฟัน ก่อนจะว่าด้วยเสียงหัวเราะเย้ยหยัน

ต่อให้เป็นเยาวชน...แต่ถ้าตั้งใจฆ่าคนตายยังไงก็ติดคุกไม่ต่างจากผู้ใหญ่ กฎหมายปรับปรุงตั้งแต่ปี 93...หึ กลับไปเรียนหนังสือใหม่ซะนะ

ฮันรู้ว่าหลังจากพูดท้าทายออกไป ไม่มีทางที่เขาจะรอดจากการโดนทำร้าย แต่ต่อให้ไม่ได้พูดออกไป เขาก็คงจะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน พวกมันเลือดขึ้นหน้า จับเขามัดแขนขา แล้วตัดสินใจโยนเขาลงแม่น้ำสายนั้น

“นั่นเป็นวันที่ได้เจอมาร์คกับโจเอล สองคนนั้นมาช่วยเราไว้ หลังจากเหตุการณ์นั้นเราก็กลัวน้ำลึก ทะเล หรือพวกแอ่งน้ำที่มองไม่เห็นพื้นอีกเลย”

“สองคนนั้นกระโดดลงไปช่วยมึงตอนเห็นพวกนั้นโยนมึงพอดี หรือช่วย...ตอนไหน”

คาร์ลอสถามหลังจากได้ฟังเรื่องราวจากปากฮัน เขาลอบสังเกตสีหน้าคนเล่าอยู่ตลอดเพราะกลัวมันทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดอีกครั้ง แต่ฮันเล่าอย่างเป็นปกติดี

ฮันส่ายหัวน้อยๆ “มาร์คกับโจเอลบอกว่าเห็นเรานอนนิ่งอยู่ท่าน้ำ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกระโดดลงไปช่วย แต่เท่าที่เราจำได้...เขาน่าจะเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็น...อัลฟา เรารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในโรง’บาลแล้ว”

คนฟังเกิดคำถามมากมาย แต่เขาไม่อยากให้ฮันเล่าแล้วเพราะสงสารจับใจ คาร์ลอสกระชับกอดแน่นขึ้น โน้มใบหน้าลงมาสบตา เกลี่ยนิ้วหัวแม่มือกับแก้มใส ฮันส่งยิ้มให้แทนการบอกว่าโอเค คนตัวโตกว่าเลยตัดสินใจแนบจูบลงกับริมฝีปากนุ่ม แนบชิดค้างไว้หลายวินาทีโดยไม่มีการล่วงล้ำ ก่อนจะผละมาบอก

“Healing kiss.” จูบสมานแผลใจราวกับหยาดฝนโปรยปราย ให้กระถางดอกคาโมมายล์อย่างฮันได้ดีนัก โอเมกาหนุ่มยิ้มแก้มปริ ก่อนจะกดจูบลงหน้าผากกว้างบ้าง

“ส่วนอันนี้จูบเพิ่มพลังจากเรา ซีแอลจะได้กล้าเปิดใจกับเรา”

“เรื่องของกูมีไม่มากหรอก ก็คงจะเป็นปัญหาครอบครัวทั่วไป ช่วงเกรด 4 ที่ไม่ได้อยู่กับมึงเพราะกูย้ายไปอังกฤษตามพ่อกะทันหัน เรียนที่นั่นอยู่หลายปี เลยได้สำเนียงอังกฤษมาอย่างที่ได้ยิน ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังจากวันที่...แม่ทิ้งกูไป”

ฮันว่าตัวเองเริ่มปะติดปะต่อได้แล้ว เขา คนนั้นคือแม่ของคาร์ลอสนี่เอง “ที่ว่าเจอเขาตอนทดลองเครื่องนั้นนี่...”

“ใช่ กูเห็นหน้าแม่...หลังจากที่ไม่ได้เห็นเขาเลยตั้งแต่เกรด 3 กูพยายามตามหาเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ไปเรียนต่อที่ลอนดอนกูก็คอยให้คนที่นี่ส่งข่าวมาให้ จนกูกลับมาเรียนต่อที่นิวยอร์ก กูตามหาเขาอยู่ตลอด แต่ไม่เคย...ไม่เคยได้แม้แต่ข่าวคราวอะไรเลย” คาร์ลอสพูดแบบสบายๆ เหมือนเป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กทั่วไป

“กูไม่ถูกกับฝั่งพ่อ แทบจะเรียกว่าตัดขาดกันไปเลยก็ได้ มาเรียนต่อที่นี่กูสอบชิงทุนเอง ค่าอาหารกลางวัน ค่าหอในมหา’ลัยกูไม่ต้องจ่ายอะไรเลย ถึงบ้านกูจะรวยแต่กูไม่อยากใช้เงินในบัญชีที่เขาให้ รถที่มีก็ไม่อยากเอาออกมาใช้ กูอยากอยู่ด้วยตัวเอง แต่ที่เห็นว่าไม่ได้ลำบากอะไรมากเพราะกูพอมีทุน มีเงินเก็บ มีพื้นฐานครอบครัวรวยมาก่อนอยู่แล้ว เลยไม่ได้ดิ้นรนเท่าคนอื่น”

ในฐานะของคนฟัง ฮันกลับคิดว่าการยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ยากมาก ไม่ใช่แค่การสอบเพื่อให้ได้ทุนเรียน แต่การที่ไม่มีครอบครัวคอยยืนเคียงข้างให้กับความสำเร็จในชีวิตประจำวันของเรา นี่สิยากกว่า

“ขอโทษนะที่ตอนแรกเรางี่เง่า เราไม่รู้อะไรเลย”

“มันไม่ใช่ความผิดมึงสักหน่อย กูต่างหากที่ต้องขอโทษมึง ถ้ากูไม่ทิ้งมึงไปตอนนั้น มึงคงไม่ต้องเจอพวกเหี้ยนั่น มึงคงไม่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายแบบนั้น มึงคง—”

“ชู่ว...อย่าโทษตัวเองสิ มันก็ไม่ใช่ความผิดซีแอลเหมือนกัน แค่มีซีแอลอยู่ด้วยตอนนี้เราก็โอเคแล้ว เราจะช่วยซีแอลตามหาแม่เองถ้าซีแอลไม่ว่าอะไร อะไรที่ช่วยได้ เราก็อยากช่วย เราไม่อยากให้ซีแอลทุกข์กับเรื่องที่ผ่านมาอีกแล้ว”

ฮัน ไนท์พูดด้วยเสียงนุ่มนวล มันปลอบประโลมคนฟังได้อย่างวิเศษ เพียงแค่สายตาคู่นี้ เพียงแค่ฝ่ามือน้อยๆ ที่คอยประคองข้างแก้ม เพียงแค่ริมฝีปากกระจับที่เอ่ยเจื้อยแจ้วว่าจะอยู่ข้างกัน จะช่วยเหลือกัน ไม่อยากให้มีทุกข์ คาร์ลอสก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังปลดล็อกอะไรบางอย่าง

“ฮัน” คาร์ลอสเรียกคนที่นั่งชันเข่าพร้อมโอบแก้มเขาข้างกาย วงแขนอัลฟาหนุ่มโอบคล้องรอบเอวให้คนตัวเล็กกว่าทิ้งตัวนั่งบนตัก “ฮัน อัลเลน ไนท์”

“เรียกเต็มยศทำไม” ฮันหัวเราะ รู้สึกร้อนขึ้นมาหน่อยๆ ที่นั่งในท่าทางแบบนี้ แต่ก็ไม่ขัดอะไร

“ฮัน ฮันนี่ มายฮันนี่”

“อะไร๊”

“เลิกเป็น FWB กันเถอะ”

เมื่อคาร์ลอสพูดแบบนั้น ฮันทำหน้าหงอลงทันที คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน ถามเสียงอ่อย “ทำไมล่ะ”

คาร์ลอสเม้มปากแน่นเมื่อเห็นสีหน้าแบบนั้น อัลฟาตัวโตมุดหน้าลงกับหน้าอกหอมนิ่ม เพื่อปิดบังริมฝีปากที่ยกยิ้มอย่างไม่อาจกลั้น

น่ารัก น่ารัก น่ารักฉิบหาย!

“ซีแอล...ทำไมล่ะ ไม่อยากอยู่กับเราแล้วเหรอ”

“ไม่ ไม่ใช่” คาร์ลอสพูดกับอกฮัน อยากฟัด อยากจูบ อยากหอมจะแย่ แต่ก็ยังอยากขอดูท่าทางและน้ำเสียงอ้อนๆ แบบนั้นอีกสักหน่อย

“งั้นบอกเราหน่อยสิว่าทำไม หรือว่าซีแอลมีคนที่ชอบอยู่แล้ว หรือว่า— ซีแอลเป็น...อะไร” ฮันชะงักเมื่อเห็นไหล่หนาสั่นไหว “ซีแอลร้องไห้เหรอ!? ไหนเป็นอะไร เงยหน้าให้ดูหน่อย...สิ”

สัมผัสนุ่มนวลและร้อนผ่าวแนบลงท้องน้อยทำให้ฮันหยุดทั้งคำพูดและการเคลื่อนไหว ริมฝีปากร้อนแนบไล่ขึ้นจากหน้าท้องมาถึงแผ่นอกผ่านเนื้อผ้า ฮันเป็นคนไม่ออกกำลังกาย หน้าอกของเขาเลยมีเนื้อนิ่มน้อยๆ ไม่ได้ตึงแน่นเหมือนผู้ชายทั่วไป ในตอนที่ฝ่ามือใหญ่ไล้ขึ้นมาจากเอว เคล้นคลึงเนื้อหนังของเขา มันทำให้ฮันขนอ่อนลุกอย่างประหลาด

แล้วฮันก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคาร์ลอสรวบเนื้อหน้าอกเขาข้างหนึ่ง จนมันนูนเด้งขึ้นมาเหมือนผู้หญิง ก่อนจะแลบลิ้นเลียตุ่มไตที่แข็งชันตามปฏิกิริยาร่างกายผ่านเนื้อผ้า

“ซีแอล!” ฮันตัวเกร็ง ผวาจับผมสีบลอนด์ไว้แน่น

“ไม่ดีเหรอ หรือมันต้องแบบนี้…” อัลฟาตัวใหญ่ถาม แต่ยังไม่รอฟังคำตอบ ก็เลิกเสื้อยืดสีขาวของฮันขึ้น ก่อนจะดูดดุนเนื้อหน้าอกโดยตรงจนฮันสั่นระทวย

“แกล้งเราเหรอ ไหนบอกเลิกแล้ว ทำแบบนี้ไม่ได้สิ” ฮันจับแก้มให้คาร์ลอสหยุดดูดนมตัวเอง เงยหน้าขึ้นมาคุยกันดีๆ

“อ้อใช่ แล้วก็ไม่เป็นเพื่อนแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”

“เรามาคบกันเถอะ

“!?”

“เป็นแฟนกันนะครับ ฮัน อัลเลน ไนท์”

เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลา หลังจากสับสนกับตัวเองมานานว่าความรู้สึกที่อยากใกล้ชิด อยากสัมผัส และที่มากไปกว่านั้นอย่างการอยากมีอีกฝ่ายข้างกายในทุกๆ วันนี้มันคืออะไร

คาร์ลอสโกหกใจตัวเองมานาน เขามักจะทำตรงข้ามกับที่ใจมันสั่งการ เพราะตรรกะในสมองมันคอยย้ำเตือนว่านี่ไม่ใช่ เขาเกลียดโอเมกา เกลียดความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถเอาหลักการมาอธิบาย แต่ยิ่งสมองว่าไม่ ใจกลับยิ่งผลักไปคนละทาง

คาร์ลอสเลือกที่จะโกหกใจตัวเองในวันที่ขอฮันเป็น FWB สมองบอกว่าไม่ได้ นี่มันไม่ใช่ความรัก ตนเองรักใครไม่ได้หรอก แต่ใจกลับร้องตะโกนอยู่ในอกว่าอยากอยู่กับเขา อยากอยู่ใกล้เขา อยากสัมผัสคลอเคลีย ตอนแรกคาร์ลอสคิดว่าตัวเองแค่อยากมีเซ็กซ์ เพราะฟีโรโมนของฮันมันดึงดูดมากเกินไป เพราะฮันชอบยั่วตาใสให้ใจมันตุ้มๆ ต่อมๆ

แต่ตอนนี้คาร์ลอสรู้แล้ว ความรู้สึกของเขามันไม่ใช่เพียงเท่านั้น ไอ้อาการคันใจยุบยิบมันจะเกิดเมื่อฮันแสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจ มันทำให้เขารู้สึกมีคุณค่า มีคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง เป็นคนที่เขาอยากจะเติบโตเพื่อเห็นอีกฝ่ายมีความสุขไปพร้อมกัน

“เรางี่เง่านะ” ฮันพูด มุมปากยกยิ้มน้อยๆ

“ถ้ามึงงี่เง่า…กูก็คงโง่เง่า”

“เราขี้หึงด้วย เรายังไม่เคยมีแฟนจริงจังหรอก แต่บอกไว้ก่อนเลย เผื่อนายเจ้าชู้” ฮันจิ้มจมูกโด่งเป็นสัน เหมือนขู่ไว้ก่อน

“งั้นเหรอ แต่กูขี้หึงกว่า ต่อให้มึงไม่เจ้าชู้ กูก็จะทั้งหึง ทั้งหวงอยู่ดี” คาร์ลอสก็ว่าไม่แพ้กัน “ให้คำตอบกูได้หรือยัง ฮัน”

“อือ…ยังไม่ให้คำตอบดีกว่า” พอฮันพูดแบบนั้น คาร์ลอสก็ร้องอ้าว “ขอดูพฤติกรรมก่อนแล้วกัน ถ้าเป็นเด็กดี ถึงจะบอกอีกทีน้า”

คาร์ลอสที่ได้ยินดังนั้นก็กลายร่างเป็นไซบีเรียนหูตก เรียกเสียงหัวเราะน้อยๆ จากปากอิ่ม คนตัวใหญ่กว่าเอื้อมหยิบของข้างเตียง โดยที่ยังไม่ปล่อยให้ฮันลงจากตัก ก่อนจะยื่นมันให้ฮัน

“อันนี้…ซื้อมาให้เราเหรอ” โอเมกาที่นั่งจ๋องบนตักแกร่งหยิบกระปุกบางอย่างพลิกไปมา

“พาร์ตเนอร์เอมิลี่กับพาร์ตเนอร์ลูคัสให้มา กูไม่รู้…ว่าโอเมกาต้องใช้ของพวกนี้”

“ก็ไม่ได้จำเป็นกับชีวิตขนาดนั้น แต่ถ้ามีก็ดี เหมือนยาดมประจำกายเลยละ โอ๊ะ ยี่ห้อนี้ใช้ดีมากเลย แต่เราลืมพกมา ส่วนอันนี้…เอ๊ะ”

“อะไร” คาร์ลอสถามเมื่อเห็นว่าฮันชะงักไป มองของอีกอย่างข้างกระปุกยาหอม มันคล้ายๆ หลอดยาดม อัลฟาไม่เคยใช้ของพวกนี้ เลยไม่รู้ว่ามันคืออะไรบ้าง

“มัน…เปล่าหรอก เดี๋ยวเราขอจัดกระเป๋าสำหรับเดินทางพรุ่งนี้ดีกว่า หม่าม้ากับออมม่ามาช่วยจัด ไม่รู้ว่ายัดอะไรมาบ้าง กระเป๋าหนักขนาดนี้” ฮันกระโดดลงจากเตียง เดินไปยังกระเป๋าลากสองใบใหญ่ นี่ยังไม่รวมกระเป๋าสะพายที่วางไว้บนโต๊ะอีกนะ

“ว่าจะถาม มึงแบกอะไรมาเยอะแยะ” คาร์ลอสขยับลงมาดูข้างกัน

“กระเป๋านี้ใส่เสื้อผ้า ส่วนกระเป๋านี้ใส่พวกอุปกรณ์วาดภาพ กล้อง ขาตั้งกล้อง ขาตั้งวาดรูปอะไรพวกนี้ นี่ขนาดเลือกแล้วเลือกอีกว่าจะพกอะไรมา ยังเยอะขนาดนี้” ฮันหัวเราะแห้งๆ กางกระเป๋าแรกออกมาดูมีแต่พวกอุปกรณ์ศิลปะ

ตั้งแต่พรุ่งนี้ก็เป็นวันเริ่มออกเดินทางไปเมืองอื่น สามารถฝากของที่ไม่น่าจะพกไปตลอดทางไว้กับโรงแรมได้ เพราะยังไงวันสุดท้ายก็ต้องกลับมารวมกันที่นี่ หรือแม้แต่ฝากซักอบเสื้อผ้าที่ใส่แล้วก็ได้เช่นกัน เป็นบริการพิเศษสำหรับทัวร์นักศึกษาที่ทางมหาวิทยาลัยไปตกลงไว้

คาร์ลอสช่วยฮันรูดซิปเปิดกระเป๋าอีกใบที่แน่นจนซิปแทบปริ ก่อนจะชะงักกับสิ่งที่ร่วงหล่นใส่ฝ่ามือ กระทั่งกระเป๋าใบหน้าเปิดออกจนสุด ซองหลากสีก็ทะลักออกมาเต็มแขน

“ทำไมในกระเป๋ามึง...มีถุงยางเยอะขนาดนี้” อัลฟาหนุ่มตาค้างไปแล้ว ช็อกที่หนึ่งคือจำนวนถุงยางหลากกลิ่น บางแบบเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ

“อ๋อ คงเป็นหม่าม้ายัดใส่มาให้ด้วย”

“...?”

“ก็หม่าม้าทำออมม่าท้องตั้งแต่ก่อนเรียนจบ เลยกังวลว่าเราจะ...ท้อง”

“...” ช็อกที่สองคือฮันพูดตาใสเหมือนสิ่งที่แม่ตัวเองยัดมาให้เป็นลูกกวาด ไม่ใช่ถุงยางแฟนตาซี

“แต่เดินทางทริปไหนถ้าหม่าม้ามาช่วยจัดกระเป๋าก็จะใส่มาเผื่อไว้อย่างนั้นแหละ ไม่เคยได้ใช้หรอก รอบนี้เราก็คง...จะไม่ได้ใช้...ใช่ไหม”

หยุด อย่ามาช้อนตามองอย่างนั้น

“ก็— อือ”

“แต่ถ้าไม่ใช้ เราอาจจะท้องนะ” ฮันกะพริบตาปริบๆ ว่าต่อ “ถึงแม้ว่าเราจะเป็นโอเมกาชาย โอกาสท้องติดน้อยกว่าโอเมกาหญิงก็จริง แต่เราก็เสี่ยงท้องได้นะ”

“…!”

“อือ...เรารู้ว่าอัลฟาไม่ชอบใส่ถุงยาง แต่มีงานวิจัยออกมาแล้วนะว่าถุงยางสมัยนี้มีความบางมาก บางแบบช่วยเสริมสร้างอารมณ์เพิ่มมากกว่าเดิมด้วย ดังนั้น ที่ชอบบอกกันว่าใส่แล้วไม่ดีเท่าแบบสดคืออ้างไม่ได้แล้วละ”

“...” คาร์ลอสตาโตเท่าไข่ห่าน อ้าปากค้าง เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็หุบปากไป แล้วอ้าใหม่ แล้วก็หุบไป มีเพียงใบหูที่ขึ้นสีแดงจัด ฮันเลยว่าต่อ

“นอกจากกันท้อง ยังกันโรคจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วย—"

“ม— ไม่ๆ กูไม่ได้หมายความแบบนั้น คือ— คือถ้า…ก็ถ้าเราจะไม่ได้ทำอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว…ไง”

“อ๋อ…”

“ไม่ได้จะบอกว่าตอนทำจะไม่ใช้”

“ก็คือเราจะทำกันเหรอ”

“ไม่— ไม่ๆ คือกู— คือถ้าจะทำ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะทำ แต่ถ้ามึงอยากทำ— มึง…หัวเราะอะไร”

“ฮ่ะๆ ฮ่าๆ…ก็ซีแอลตลกอะ ถามแค่นี้ยังหน้าแดงเลย” โอเมกาน้อยอดไม่ไหว หลุดหัวเราะคิกอย่างน่ามันเขี้ยว คนมองไม่ทนให้ใจเจ็บอีกต่อไป ด่านต่อไปคือตะครุบเหยื่อมาจับกินซะ!

“ตัวแสบ”

แต่ต่อจะให้รู้ว่าถูกแกล้ง คาร์ลอสก็คงยอมให้แกล้งต่อไป

เพราะยังไงก็ต้องเป็นคนนี้

คนนี้เท่านั้น

 

TBC

เฉลยแล้วว่าทำไมฮันถึงกลัวน้ำกลัวทะเล เพราะอดีตที่มันฝังใจทำให้พาลกลัวน้ำลึกไปทุกรูปแบบเลยหรือเปล่านะ ตอนที่โดนถ่วงน้ำก็ไม่ใช่ทะเลนี่นา แต่ทำไมถึงได้กลัวทะเล ฝันถึงแต่ทะเลกันนะ?

ฉันรู้ ฉันรู้ ว่าทุกคนคาดหวังมากว่าให้มีอะไรเกิดขึ้นในครึ่งหลัง อย่าเพิ่งทุบหลังฉัน

หนูลูกฮันที่พูดประโยคราม้กด้วยสายตาใสซื่อ

sds

พ่กคุนว่าถุงยางจะถูกใช้หรือไม่ (10 คะแนน)

หึหึหุหุหุหึหึึหึหึหห้าหา้าหา้ห้าา

sds

และขอเชิญทุกท่านที่ยังไม่เข้าใจเรื่องระบบการนับเกรดของอเมริกา มามุงกันที่นี่ ณ เวลานี้ กับช่วง!

เราก็มีสาระกับเขาเว้ยเฮ้ย (ช่วงใหม่ไม่ซ้ำ จำชื่อไม่ได้)

ระดับชั้นการเรียนของระบบอเมริกาจะนับเป็น

อนุบาล = kindergarten (KG)

ประถม = elementary school (ES)

ม.ต้น = middle school (MS)

ม.ปลาย = high school (HS)

ตัวอย่าง

อ.1 = kindergarten.1

อ.2 = kindergarten.2

อ.3 = kindergarten.3

ป.1 = grade 1

ป.2 = grade 2

ม.1 = grade 7

ไล่ไปจน

ม.6 = grade 12

 

"Grade" เป็นของโรงเรียนระบบอเมริกัน ส่วนของระบบอังกฤษใช้ "Year" ซึ่งจะนับเร็วกว่า 1 ปี เช่น

Year 7 = Grade 6

Year 8 = Grade 7

Year 9 = Grade 8

ดังนั้นอังกฤษจะมีถึง Year 13 แต่ก็เทียบเท่า Grade 12 หรือม.6 ของไทยนั่นแหละ

 

ส่วนนักศึกษามหา'ลัย จะสามารถใช้คำเรียกได้เหมือนกับ high school ดังนี้ค่ะ

ปี 1 (Grade 9) จะเรียกว่า Freshmen ใช้เรียกเด็กม.3 ก็ได้ (เขาจะเริ่มนับ high school ตั้งแต่ม.3 เลย)

ปี 2 (Grade 10) เรียกว่า Sophomore ใช้เรียกเด็กม.4 ได้

ปี 3 (Grade 11) เรียกว่า Junior ใช้เรียกเด็กม.5 ได้

ปี 4 (Grade 12) เรียกว่า Senior ใช้เรียกเด็กม.6 ได้เหมือนกัน

ส่วนคนที่เรียนมากกว่า 5 ปีขึ้นไป จะเรียกว่า Super Senior คนไทยมักเรียกว่าเป้อ ที่มาจาก super

และเด็กที่ย้ายคณะมาแล้วมาเริ่มเรียนปี 1 ใหม่ จะเรียกว่า fossil หรือที่คนไทยชอบเอามาเรียกติดปากว่าเด็กซิ่วนั่นเองจ้า

 

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU

หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!