Plz listen to this for your อรรถรสในการอ่าน

(Troye Sivan - Rager teenager!)

 

III

ระบบเลือกพาร์ตเนอร์เจ้าปัญหา

sds

(Photo by Diogo Brandao on Unsplash)

 


 

Where you been hanging out lately?

Sleeping and spending nights wasting time

Never thought I’d see you again in my life

Why you been acting like a stranger?

 


 

แมวน่ารักจัง น้องชื่ออะไรเหรอ

ไม่มี...

หือ?

เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย มองตาแป๋วไปที่แมวน้อยขนนุ่มฟูสีน้ำตาลอ่อนในอ้อมกอดของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งสองนั่งหลบอยู่ข้างมุมตึกอย่างเงียบเหงา

...ไม่ได้ตั้งชื่อ

งั้นก็ตั้งชื่อให้น้องเสียสิ

เรา...ตั้งได้ด้วยเหรอ

ทำไมจะไม่ได้กันล่ะ หนุ่มน้อยหน้าหวานถามเสียงใส ขยับไปนั่งยองๆ กอดเข่าข้างกัน

คนที่นั่งก้มหน้าก้มตากระชับอ้อมแขนที่มีลูกแมวตัวน้อยอยู่ในนั้น ยอมเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า มองคนที่มาจากไหนไม่รู้ย่อตัวนั่งข้างกาย แต่ฟังจากเสียงใสแจ๋วก็คาดเดาได้ไม่ยาก

เหลือบมองเพียงด้านข้าง ก็เห็นเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกัน ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มดูนุ่มนิ่ม ขนตายาวเป็นแพ ปากนิด จมูกหน่อย เวลายิ้มทีก็เหมือนว่าจะมีดอกไม้โผล่มาจากข้างหลังเป็นฉากประกอบ

และเป็นที่รักของเพื่อนๆ...

ผิดกับตนเอง ที่เพียงแค่มองก็เหมือนเห็นเงาทมิฬน่ากลัว ดูมืดหม่น ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนด้วย

เมื่อคิดกับตัวเองดังนั้น เด็กชายก็ขยับปลายเท้าห่างออกจากเพื่อนสองคืบ มองเพียงมือซึ่งกำลังป้อนขนมแมวเลียให้สัตว์เล็กในอ้อมอกตัวเอง

ในจังหวะนั้นเองที่ขนมแมวเลียในมือถูกแย่งชิงไป

เด็กหนุ่มหน้านิ่งถอนหายใจ

...จะโดนแกล้งอีกแล้วสินะ...

เด็กน้อยคอตก ก้มหน้าลงพร้อมกับกระชับอ้อมกอดเจ้าตัวเล็กขนนุ่มให้ได้รับความอบอุ่น เตรียมรับคำด่าทอหรือความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้น

หากแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากเสียงหวานๆ

ป้อนขนมสัตว์ ไม่เหมือนกับป้อนนมเด็กทารกหรอกนะ เจ้าของเสียงใสกล่าว ขยับไปนั่งตรงหน้าก่อนที่จะยื่นมือมาอุ้มเจ้าเหมียวน้อยไปวางที่พื้นด้วยความนุ่มนวล สรีระของแมวไม่เหมือนกับเบบี๋ ปล่อยให้นั่งกินจะดีกว่านอนกินนะ

หนุ่มน้อยหน้านิ่งมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เห็นมือของเด็กวัยเดียวกันที่กำลังป้อนขนมให้กับแมวตัวเล็กบนพื้น เจ้าแมวตัวผอมซูบเลียขนมนั้นอย่างหิวโหย พอขยับสายตาขึ้นอีกเล็กน้อยก็เห็นใบหน้าของเด็กผู้ชายที่กำลังยิ้มแย้มเมื่อได้ป้อนอาหารสัตว์ มืออีกข้างลูบขนแมวที่มีแต่ฝุ่นและโคลนอย่างไม่รังเกียจ

สรุปแล้วจะตั้งชื่อน้องว่าอะไรดีล่ะ อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำเงินเข้ม เหมือนท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ดูลุ่มลึก มีประกายน้อยๆ เมื่อคลี่ยิ้ม ยอมมองหน้าเราแล้วเหรอ

“…” เมื่อรู้ตัวว่าเผลอมองหน้าคนตรงข้ามนานเกินไป เขาก็รีบก้มหน้าลงมองเจ้าเหมียวตามเดิม

เป็นจังหวะนั้นเองที่ขนมแมวเลียถูกยื่นมาตรงหน้า

ลองป้อนดูสิ

เขายอมยื่นมือไปรับซองขนม ก่อนจะบีบให้แมวน้อยที่กำลังนั่งรอของเอร็ดอร่อย

น่ารักจัง ป้อนขนมเสร็จแล้ว พาน้องไปอาบน้ำดีไหม

เขาพยักหน้า ก่อนที่จะพูดในลำคอ ชื่อ...ฮันนี่ไหม

หือ?

เจ้าแมว...ให้ชื่อฮันนี่ดีไหม

ทำไมถึงเลือกชื่อนี้ล่ะ

สีมันเหมือน...น้ำผึ้ง

...และเหมือนนายด้วย...

 

[ขณะนี้เวลา 05:00 AM ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ]

[ขณะนี้เวลา 05:05 AM ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ]

[ขณะนี้เวลา 05:10 AM คุณต้องเตรียมตัวแล้วนะคะ]

[ขณะนี้เวลา 08:00 AM ใกล้ถึงเวลานัดแล้ว ได้โปรดตื่นเถอะค่ะ]

 

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก เผลอกระเด้งตัวขึ้นจนศีรษะโขกกับชั้นหนังสือด้านบนดังโป๊ก เขารีบปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังมาสักระยะแต่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นเมื่อสักครู่ ลูบหัวตัวเองก่อนจะลืมตามองเวลาและข้อความที่เด้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก

“ฉิบหาย”

αβΩ

 

“เลท!? อย่างไอ้คาร์ลอสนี่หรือขอเลท”

“ถ้าไม่เชื่อก็ดูข้อความที่พี่มันส่งมาก็ได้ บอกว่าขอเลทสักสองชั่วโมง”

“สองชั่วโมงพ่องอะเรียกเลท”

“คงเห่อไปเฝ้าโอเมกาอยู่แหละมั้ง เดี๋ยวมันก็มา” เมื่อชายหนุ่มผิวแทนรูปหล่อพูดประโยคนั้นจบ ชายหญิงอีกสองคนที่อยู่ข้างกันก็ตะโกนลั่นห้องแล็บ

โอเมกา!!”

“จีซัสไครสต์[1]!พวกมึงจะตะโกนทำไม หูจะแตก”

“เมื่อกี้มึงพูดว่าโอเมกาใช่ไหม พวกกูไม่ได้ยินผิดไปใช่ไหมวะ โจเซฟ” หญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องคิ้วขมวดแทบเป็นปม

“กูว่ากูพูดชัดมากนะ” โจเซฟ พาร์คเกอร์ พูดด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อน ผิดกับเพื่อนร่วมงานสองคนที่แทบจะกระโดดเข้ามาเขย่าคอ

“ไอ้คาร์ลอสเนี่ยนะ! มึงรีบเล่ามาเลย!!”

ในห้องปฏิบัติการ A09 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาฟิสิกส์ควอนตัมเริ่มเกิดเสียงปั่นป่วน

ฟิสิกส์ควอนตัมคือสาขาหนึ่งในวิชาฟิสิกส์ ซึ่งสามารถแยกออกมาได้อีกสามเรื่องหลักๆ คือ ฟิสิกส์แบบดั้งเดิมตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 20 เป็นฟิสิกส์ที่จะอธิบายสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์

ฟิสิกส์สัมพัทธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือที่คนทั่วไปรู้จักกันในรูปของสมการ E=Mc^2 ต่อมากลายเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตระเบิดปรมาณู เกี่ยวข้องกับวัตถุที่มีมวลมากและเคลื่อนที่เร็วมาก หรือแม้แต่เวลาที่เดินไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว

ครั้งหนึ่ง ไอน์สไตน์เคยอธิบายถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพแบบง่ายๆ ว่า เมื่อท่านนั่งอยู่กับสาวสวยน่ารักคนหนึ่ง และคุยกันอย่างสนุกสนานในเวลาหนึ่งชั่วโมง ท่านจะคิดว่าเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวินาที แต่ถ้าท่านนั่งลงบนเตาไฟร้อนๆ เพียงหนึ่งนาที ท่านจะคิดว่าเป็นหนึ่งชั่วโมง

และฟิสิกส์ควอนตัม คือฟิสิกส์ที่ว่าด้วยสิ่งที่เล็กมาก ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เล็กกว่าอะตอม ก็คือประมาณพันล้านส่วนของหนึ่งเมตร หรือลองผ่าเส้นผมหนึ่งเส้นตามแนวยาวยี่สิบครั้ง จึงจะได้ขนาดอะตอมหนึ่งตัว นั่นคือขนาดที่ฟิสิกส์ควอนตัมจะทำงานได้

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าการทำงานของฟิสิกส์ควอนตัมผิดจากธรรมชาติบนโลกที่เราอยู่อาศัยในตอนนี้ คืออะตอมสามารถอยู่หลายตำแหน่งได้ในเวลาเดียวกัน หรือสามารถทะลุผ่านกำแพงหรือวัตถุได้โดยไม่มีการกระโดดข้าม

ดังนั้น สาขาฟิสิกส์ควอนตัมจึงจะศึกษาเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่มีคุณสมบัติของอะตอมอยู่ในนั้น ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะช่วยในเรื่องของการประมวลผลซึ่งคอมพิวเตอร์ดิจิทัลในยุคก่อนประมวลผลไม่ได้

สาขานี้เกิดขึ้นเพราะนักฟิสิกส์ในศตวรรษที่ 20 รู้สึกว่าตนเองนั้นค้นพบและรู้ทุกอย่างบนจักรวาลนี้แล้ว ทว่าฟิสิกส์ควอนตัมนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นประหลาดใจเพราะการทำงานที่ซับซ้อนของมัน นักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ชื่อดังในประวัติศาสตร์จึงร่วมกันหารือเพื่อจัดตั้งศาสตร์ใหม่ขึ้นมา

ซึ่งศาสตร์ที่ว่าก็คือ ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์

ปัจจุบันศาสตร์ฟิสิกส์ควอนตัมผ่านมาแล้วห้ายุคด้วยกัน นักนวัตกรรมนำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้และพัฒนาสิ่งต่างๆ รอบตัวมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายและเพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานของมนุษย์ไปอีกขั้น

ปัจจุบันนักศึกษาสาขาวิชาเอกฟิสิกส์ควอนตัมของมหาวิทยาลัยสหพันธ์สาธารณรัฐยังต้องเรียนรู้อีกมาก

เพราะมนุษย์คิดว่าตัวเองรู้หมดแล้ว เก่งแล้ว ดีแล้ว แต่มนุษย์นี่แหละคือผู้สร้างปัญหาให้กับโลกครั้งใหญ่ หลังจากเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงมนุษยชาติ X2 ฟิสิกส์ควอนตัมก็ดูจะเข้ามามีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อมมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลเพศรองของมนุษย์ ไอคิว ความสามารถ ศักยภาพ ความชอบ ความถนัดหรือสนใจ นิสัย แค่แสกนข้อมือ ไม่กี่วินาทีควอนตัมคอมพิวเตอร์ก็ระบุได้อย่างแม่นยำราวกับเป็นคนคนนั้น และนำข้อมูลมนุษย์มาวิเคราะห์เพื่อพัฒนางานวิจัยอีกมากมายนับไม่ถ้วน

ดังนั้น นักฟิสิกส์ควอนตัมจึงต้องคิดค้น ประยุกต์สิ่งใหม่และนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาพัฒนามวลมนุษยชาติ

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ในอดีตทำสำเร็จและมีประโยชน์ที่สุดในประวัติศาสตร์คือการฝังชิปลงในร่างกายมนุษย์

อาจฟังดูน่ากลัว แต่ประโยชน์ของมันมีมากมายจนมนุษย์ส่วนใหญ่ยอมรับและเลือกที่จะมองข้ามข้อเสียหลายประการ

ข้อดีของการฝังชิปในร่างกายที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคงจะเป็น การบกพร่องทางร่างกาย เช่น ผู้เป็นอัมพาตทั้งตัว ผู้พิการทางสายตา หรือผู้พิการทางการพูด สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้เพียงแค่คิด ชิปที่ฝังในร่างกายจะประมวลคำสั่งในสมองแล้วแปรผลลงคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว

แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ในปัจจุบันนักฟิสิกส์ต้องคิดค้นอะไรก็ตามที่จะมาแก้ไขข้อบกพร่องของมนุษย์

ถ้าต้นเหตุมันอยู่ที่ยีนส์หรืออะไรก็ตามที่ทำให้มนุษย์เกิดมามีข้อบกพร่องทางร่างกาย แล้วทำไมไม่แก้ที่ต้นเหตุไปเลย

สาขาวิชาฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ในสมัยนี้จึงมีการแตกแขนงไปอีกมากมาย และผู้ที่จะเรียนในด้านนี้ได้ ไม่เพียงแต่จะต้องฉลาด มีความรู้หรือความเข้าใจเท่านั้น แต่ต้องมีไหวพริบ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถอีกหลายอย่างประกอบกัน เพื่อที่จะพลิกแพลงและปฏิวัติวงการโลกให้ชนะตลาดคู่แข่งในทุกขีดจำกัด

กลุ่มคนเหล่านี้ จึงเป็นกลุ่มคนสำคัญที่รัฐบาลพร้อมให้ความสนับสนุนเต็มกำลัง เป็นกลุ่มหัวกะทิของโลกที่ไม่ว่ารัฐบาลประเทศไหนก็ต้องการตัว

เรียนแบบลากเลือด จบมาทำงานแบบถวายชีวิต เหมือนเกิดมาเพื่อมอบชีวิตให้รัฐบาล แต่เพื่อแลกกับอะไรหลายอย่างที่จะได้รับ ในโลกของทุนนิยมเช่นนี้ ใครจะสนกันล่ะ

“ช่างมันเถอะ ปกติมันก็แทบจะใช้ชีวิตในแล็บยี่สิบสี่ชั่วโมง เจ็ดวันต่อสัปดาห์อยู่แล้ว ให้มันเลทบ้าง คงไม่เป็นไรมั้ง” โจเซฟนั่งเซตโปรแกรม แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมโปรเจ็กต์ขยับมานั่งขนาบสองข้างอย่างรอฟัง ก็จำต้องขยายความ “จำวันนั้นไม่ได้หรือไง ที่มันกลับเข้ามาพร้อมฟีโรโมนโอเมกาฟุ้ง”

“อ๋อ...วันนั้นนึกว่ามันไปฟัดกับโอเมกาที่ไหนมา” หญิงสาวฟีโรโมนบ่งบอกว่ามีเพศรองเป็นอัลฟาเช่นกันนั่งหน้าเครียด “กูล่ะโคตรกลัวว่ามันจะไปฆ่าใครมา ถามอะไรก็ไม่ตอบ”

“นั่นแหละ กูเรียนปรัชญาสมัยใหม่เซคชั่นเดียวกับมัน เห็นมันนั่งจ้องใครตาแข็งทั้งคาบ กูเลยเข้าไปทักคนที่มันน่าจะ—”

“นี่พวกพี่ยังเรียนปรัชญาสมัยใหม่ไม่จบอีกเหรอวะ”

“เฮ้ยมึงอย่าขัดดิ ลูคัส เขาเรียกว่าโฟกัสกับงานหลักมากกว่าโว้ย”

“’ โทษพี่เอมิลี่ ต่อเลยครับพี่โจเซฟ” พอชายหนุ่มในกางเกงยีนส์ขาขาดหลุดรุ่ยว่าดังนั้น คนที่เพิ่งโดนขัดจังหวะจึงว่าต่อ

“พอจบคาบนั้น กูเลยรีบพุ่งไปหาเป้าหมายเลย เขาเป็นผู้ชาย มีเพศรองเป็นโอเมกา”

“โอเมกา? กูถามจริง เป็นยังไง รูปร่างหน้าตา โอเคไหม น่ารักหรือหล่อ ตัวเล็กมากไหม” เอมิลี่ถามรัวเหมือนกำลังแร็ป

“หน้าตาเหรอ โห…น่ารักเลยแหละ ตางี้หวานเยิ้ม ผิวน้ำผึ้งเนียนกริ๊บ เสียงก็ไพเราะเสนาะหู ดูเป็นคนใจดีมาก กูเกือบจะชวนเขาออกมาคุยต่อด้วยได้แล้ว”

“เกือบ? ไอ่เชี่ย มึงแม่งอ่อนว่ะ เขาคงไม่ชายตาแลมึงจริงๆ แหละ ดูทรงละ สภาพ” เอมิลี่ตบเข่าฉาดให้เพื่อนที่ตั้งท่าจีบใครเป็นอันกินแห้ว

“เดี๋ยวๆ มึงออกนอกเรื่อง ประเด็นคือฟีโรโมนเขากลิ่นคล้ายที่ติดอยู่บนเสื้อไอ้คาร์ลอสเปี๊ยบ กูรับประกันได้ กูนั่งใกล้เขาแค่หนึ่งช่วงตัว”

“กลิ่นแบบดอกไม้ๆ หน่อยอะนะ”

“ใช่” โจเซฟตอบ แต่เอมิลี่กลับตบหน้าผากตัวเอง

“กลิ่นดอกอะไร โอเมกากลิ่นดอกไม้มีเยอะแยะ ไอ้โจเซฟ!”

พอเพื่อนผู้หญิงถามอย่างนั้น หนุ่มผิวแทนก็เริ่มขมวดคิ้ว

“เออว่ะ ดอกอะไรวะ”

“ดอกกุหลาบไหมพี่ วันนั้นผมก็ได้กลิ่นอยู่นะ แต่ไม่ชัดมาก” ลูคัสช่วยนึก “หรือดอกหน้าวัว”

“ไม่มึง ถ้าดอกกุหลาบ มึงหาในอินเทอร์เน็ตมึงเจอเป็นแสนคนอะ”

“ประเด็นคือมันไปทำอะไรเขา ปกติมันเกลียดการสุงสิงกับคนอื่นจะตายห่า อย่าว่าแต่โอเมกาเลย คนธรรมดามันยังไม่เข้าใกล้เลยมั้ง” เอมิลี่นั่งกอดอก ก่อนจะนึกอะไรที่น่าจะเข้าข่ายได้ “ไม่ใช่ว่าโอเมกาคนนั้นเผลอเหยียบตีนมัน แล้วมันจะไปดักฆ่าเขานะโว้ย”

“กูนึกออกแล้ว!” โจเซฟโพล่งขึ้นมา “เหมือนดอกเก๊กฮวย!”

พวกมึงจะคุยเล่นกันอีกนานไหม

เสียงทุ้มที่ดังขึ้นกลางอากาศทำวงสนทนาที่กำลังนินทาเจ้าของแตกรัง หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มอย่างเอมิลี่รีบวางฟอร์มทำเนียน นั่งไขว่ห้าง เอาผมทัดหู ก่อนจะค่อยๆ หมุนเก้าอี้หันกลับไป

“ก่อนที่คุณมึงจะพูดอะไรออกมา ดูเวลาก่อนไหม มึงเผลอปาเอฟอร์สทิ้งระหว่างทางเหรอคะ”

คาร์ลอสโยนกระเป๋าลงข้างโต๊ะอย่างไม่ใยดี หน้าตาไม่สนโลกเหมือนทุกวัน

เอมิลี่เบะปากอย่างหมั่นไส้ ส่วนลูคัสทำจมูกฟุดฟิดว่าวันนี้ชายหนุ่มมีกลิ่นอะไรผิดปกติติดมาด้วยไหมแบบโคตรมีพิรุธ เลยโดนรองเท้าส้นตึกของเอมิลี่เตะที่หน้าแข้งเข้าให้

“โอเค งั้นกูรีบเข้าเรื่องเลยแล้วกัน” โจเซฟกระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะส่งข้อมูลจากเอฟอร์สขึ้นจอ

ฮอโลแกรมฉายลำแสงสีฟ้าหลายเส้นเชื่อมโยงกันจนก่อเป็นรูปร่างบางอย่าง เหมือนโครงร่างของเครื่องที่จำลองขึ้นก่อนจะสร้างตัวจริง

“ตัวเครื่องออกแบบเสร็จแล้วไป 80% ระบบกูเช็กแล้วคิดว่าผ่าน 98% เดี๋ยวจะถึงขั้นตอนทดสอบครั้งที่สองเสาร์นี้ พวกมึงว่างนะ”

“กูว่าง” เอมิลี่ตอบ นั่งยกขาพาดโต๊ะแบบชิวๆ

“ผมก็ว่าง” ลูคัสบันทึกวันที่ลงเอฟอร์สตัวเอง

แล้วทั้งสามคนก็หันไปมองอัลฟาตัวซีดเป็นตาเดียวอย่างรอคำตอบ คนถูกมองขมวดคิ้วเมื่อสังเกตได้ว่าบรรยากาศมันแปลกๆ “กูก็ว่างทุกวัน”

“แต่เมื่อสามวันก่อนตอนเย็นมึงไม่มาช่วยพวกกูทดสอบเครื่องนะ เผื่อลืม เหมือนจะหายไปไหนน้า...” เอมิลี่กระดิกเท้าบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงยียวน เลยโดนสายตาเย็นชาตวัดมอง

“มันก็แค่วันเดียว ทีพวกมึงหายหัวไป ปล่อยให้กูนั่งทำงานคนเดียวกูยังไม่พูด” พอทั้งสามคนโดนย้อนด้วยข้อเท็จจริงก็พากันยักไหล่

“ไม่เหมือนกัน พวกกูลาก็จะบอกก่อนล่วงหน้า แต่วันนั้นมึงนี่หายหน้าหายตาไปเลยนะ”

“ไม่ใช่ว่าไปหมกอยู่กับ....โอ-เอ็ม-จี ที่ไหนหรอกเหร๊อออ” เอมิลี่ตอนนี้เหมือนกำลังแหย่รังแตนที่พร้อมจะตกจากกิ่งไม้ ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนนั่งตัวเกร็ง พยายามส่งซิกนอลให้เพื่อนว่า...อย่าเพิ่งเลยมึง

“เชี่ยกูทนไม่ไหวแล้ว ไอ้คาร์ลอส มึงรีบเล่ามาเลยเรื่องวันนั้นอะ!” อัลฟาสาวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอย่างหมดความอดทน เท้าสะเอวพร้อมเชิดหน้าขึ้น

ทนอะไรก็ทนได้ แต่ทนความอยากรู้อยากเห็น (a.k.a.เสือก) ไม่ไหวจริง!

“กูจะไม่เล่าอะไรทั้งนั้น...จนกว่าพวกมึงจะแก้ระบบจับคู่พาร์ตเนอร์ให้กูได้”

เอมิลี่กับลูคัสทำหน้างง ส่วนโจเซฟก็เพิ่งนึกได้

“อ้อ กูลืมบอกว่าโอเมกาคนนั้นได้เป็นพาร์ตเนอร์กับไอ้คาร์ลอสอะ”

ได้เป็นพาร์ตเนอร์กัน!!”

 

αβΩ

 

ลายดอก...

ในร้านมันเหลือแค่นี้

ฮัน ไนท์นั่งอมยิ้มยามมองข้อมือของตัวเองที่ตอนนี้ว่างเปล่า ไม่มีปลาสเตอร์ลายดอกไม้อีกต่อไป และรอยช้ำเจือจางนั้นก็หายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกราวกับสัมผัสนั้นไม่ได้จางลงไปเลยแม้แต่น้อย

ผ่านมาครบสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่วันที่เจอหน้าคาร์ลอส อีกฝ่ายรัทฉุกเฉินในห้องพยาบาล ถูกจับคู่ให้เป็นพาร์ตเนอร์เทอมโปรเจ็กต์วิชาปรัชญาสมัยใหม่ด้วยกัน และถูกจูบในลิฟต์...

ใบหน้าคม ดวงตาสีน้ำข้าวประกายฟ้าอ่อนยามที่มองมาในระยะนั้นพาให้ขนอ่อนในร่างลุกชัน ลมหายใจร้อนผ่าวที่รดริน สัมผัสที่โอบร่างกายเขาไว้ ริมฝีปากนุ่มหยุ่น ทุกอย่างมันผ่านไปเร็วมาก แต่ฮันยังจำสัมผัสเหล่านั้นได้ดี

เมื่อนึกไปถึงสัมผัสของริมฝีปากและเรียวลิ้นร้อนผ่าว ฮันก็รู้สึกว่าอุณหภูมิในห้องบรรยายมันสูงขึ้นทุกที

“ฮันนี่ไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงขนาดนั้น” เป็นชินที่เอ่ยถามทางด้านขวา ไคลี่ที่นั่งทางซ้ายจึงละจากเอฟอร์สตัวเองมามอง

“หือ!?เราหน้าแดงเหรอ” ฮันยกเอฟอร์สเปิดโหมดกระจกมาส่องหน้าตัวเอง ก่อนที่จะพบว่าไม่ใช่เพียงแค่ใบหน้าที่แดง แต่ไม่ว่าจะเป็นใบหู ลามไปถึงลำคอเองก็เห่อร้อนจนผิวสีน้ำผึ้งยังเห็นชัดได้ขนาดนี้ “ฮือ...”

คนที่เอาแต่นั่งนึกถึงฉากนั้นซ้ำๆ ไม่เป็นอันเรียน แล้วเพื่อนก็อาจจะจับได้อีกเพราะหลักฐานมันคือหน้าแดงๆฮันจึงมุดหน้าลงกับกระเป๋าเป้ของตัวเองเพราะทนความเขินอายไม่ไหว ปล่อยให้ทั้งไคลี่และชินนั่งมองหน้ากันอย่างงุนงง

ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาเรียนวิชาปรัชญาสมัยใหม่ แต่ทั้งฮัน ไคลี่ และชินก็เข้ามานั่งรอในห้องบรรยายตั้งแต่พักเที่ยงเสร็จได้ไม่ทันไร เพราะฮันบอกว่าจะได้รีบมาจองที่นั่ง เพื่อนอีกสองคนจะหารู้ไม่ว่าเพื่อนตัวเล็กอ้างไปอย่างนั้นเพราะแท้ที่จริงแล้วอยากมารอเจอใครบางคน

ผู้คนทยอยเข้ามาในห้องกันเรื่อยๆ คนแล้วคนเล่า แต่ฮันก็ยังไม่เจอคนที่ตัวเองกำลังตามหา

ยุคนี้สามารถเรียนแบบห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual class) จากที่ไหนตามใจผู้เรียนได้ก็จริงอยู่ แต่มนุษย์ก็ยังชอบที่จะใช้ชีวิตแบบสัมผัสและเข้าใกล้เข้าจริงมากกว่าอยู่ดี เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ชอบอยู่รวมกัน ชอบพบปะพูดคุยกันแบบต่อหน้าอยู่แล้ว เทคโนโลยีเพียงเข้ามามีบทบาทในด้านอำนวยความสะดวก แต่ไม่ได้เข้ามาแทนที่การใช้ชีวิตของมนุษย์ไปเสียทุกอย่าง

ต่อให้ในโลกเสมือนจริงอย่าง Metaverse จะเป็นเหมือนอีกเซฟโซนหนึ่งที่ผู้คนขอเข้าไปใช้ชีวิตเพื่อหลบหนีจากความจริง จะทำตัวอย่างไรก็ได้ จะเป็นใครก็ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้ว มนุษย์โหยหาที่จะจับต้องความจริง

ต่อให้ในโลกที่สร้างขึ้นเอง คุณจะสร้างอวตารที่หล่อเหลา หรืองดงามตามแบบพิมพ์นิยมขนาดไหน แต่เมื่อเกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งได้ในโลกนั้น ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแทบทุกคู่จะต้องนัดกันออกมาเจอในชีวิตจริง

ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่าทำไมมนุษย์ในยุคนี้ยังอยากที่จะมาเรียนแบบ ออนไซต์มากกว่าออนไลน์เพราะการได้เห็นผ่านดวงตา การได้ฟังผ่านสองใบหู ที่รู้อยู่แก่ใจว่านี่คือของจริงตรงหน้า มันรู้สึกดีกว่าการมองผ่านหน้าจอเป็นไหนๆ

เวลาผ่านไปจนกระทั่งศาสตราจารย์เดินเข้ามา เริ่มพูดเกริ่น กระทั่งเข้าเนื้อหาที่จะสอน ฮันก็ยังไม่เห็นใครคนนั้นที่เฝ้าคอย

หรือว่าจะเรียนออนไลน์นะ ไม่สิ อาจจะเข้าสายก็ได้

ฮันคุยกับตัวเอง และยังไม่เลิกตั้งความหวังในการรอ กระทั่งเวลาล่วงเลยจนใกล้จบคาบ

“แก ฉันสงสัย” เสียงของไคลี่ดึงความสนใจของฮันและชิน “ทำไมพาร์ตเนอร์ส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นอัลฟาคู่กับโอเมกา ก็คู่ชายหญิง หรือไม่ก็เป็นคู่เกย์ มันดูแบบว่า...พอดีกันเกินไปไหม”

“...” ฮันและชินนั่งคิดตาม พลางนึกไปถึงพาร์ตเนอร์ของตัวเอง ฮันที่มีเพศรองเป็นโอเมกาได้คู่กับคนที่มีเพศรองเป็นอัลฟา ส่วนไคลี่ที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นเลสเบียนได้คู่กับรุ่นพี่ปีสองที่เป็นโอเมกาหญิง และชินที่เป็นเพศชายแต่ก็ไม่เคยเผยอัตลักษณ์ทางเพศที่แท้จริงให้เพื่อนรับรู้ ได้คู่กับรุ่นพี่ปีสามที่เป็นอัลฟาชายเช่นกัน

ชินนิ่งเงียบไปตามเดิม พลางคิดว่าระบบสุ่มที่เพื่อนพูดถึงน่าจะเป็นเฉพาะกับคนส่วนใหญ่ คนที่แสดงอัตลักษณ์หรือความชอบอย่างชัดเจน

“มันเหมือน...จับคู่เดตให้นักศึกษามากกว่า” เมื่อไคลี่พูดจบ เพื่อนทั้งสองก็นิ่งไป

“แล้วระบบจับคู่พาร์ตเนอร์นี่จะรู้ได้ยังไงว่าใครมีรสนิยมทางเพศแบบไหน” ชินถามขึ้นมา

“ไม่รู้สิ อาจจะเอาข้อมูลเราไปประมวลผลหรือเปล่า”

“แค่เพศหลักกับเพศรองอะนะ” ชินถอนหายใจ นั่งกอดอก “มาเรียน ไม่ได้มาหาแฟน ถ้าจับคู่เดตกันจริงนี่โคตรแย่”

“ไม่ดีหรือไง” ไคลี่สังเกตอาการของชินที่ดูไม่ค่อยชอบใจนัก “หรือว่านายเป็น A-sexual? พาร์ตเนอร์ของนายเป็นผู้ชายสินะ หรือว่านายชอบผู้หญิงล่ะ เลยไม่พอใจ? ดีซะอีกไม่ต้องเข้าแอปหาคู่ กว่าจะปัดเจอคนที่ถูกใจที”

“ไม่เห็นเกี่ยว แค่ไม่ชอบระบบอะไรแบบนี้ มันเหมือนพวกนัดบอด หรือมัดมือชก” ชินอธิบาย ก่อนจะว่าต่อ “มันอาจจะแค่ความบังเอิญ ถ้าคุยกันแค่เรื่องงานไม่สานต่อ ก็ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก”

“แต่ฉันน่ะสานต่อแน่” เป็นไคลี่ที่นั่งกอดอกพร้อมวาดรอยยิ้มกว้าง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคิดอะไร “ก็พาร์ตเนอร์ของฉันน่ารักจนใจเจ็บไปเลยน่ะสิ”

ฮัน ไนท์นั่งตรงกลางระหว่างเพื่อนสองขั้วนิสัยได้แต่กะพริบตาปริบๆ พยายามหายใจให้เบาที่สุด เพราะกลัวเพื่อนจะถามเกี่ยวกับพาร์ตเนอร์ของตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ยังแอบสอดส่องสายตาไปทั่วทั้งห้องบรรยาย

จะจบคาบอยู่แล้ว หายไปไหนนะ

“ดูอย่างผู้หญิงคนนั้นสิ เป็นเลสเบียนมีพาร์ตเนอร์ที่เปิดเผยตัวตนว่าเป็นเลสเบียนเหมือนกัน ส่วนตานั่นก็เป็นเกย์ ได้พาร์ตเนอร์เป็นเกย์เหมือนกัน ถ้าให้ฉันนับจากคนรู้จักแล้วก็รู้ว่ามีรสนิยมแบบไหน มันก็ดูจะลงล็อกไปหมดเลยไม่ใช่เหรอ”

“จริงด้วยแฮะ...” ฮันพึมพำ “แต่ว่าก็มีหลายคนที่ไม่ได้เปิดเผยรสนิยมทางเพศของตัวเองนะ”

“นี่แหละที่ฉันงงว่าระบบมันเลือกพาร์ตเนอร์ให้จากอะไร สุ่มจริงหรือหลอก”

แล้วฮัน ไนท์ก็ชะงักไปเมื่อนึกถึงตอนที่สมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ มันมีช่องหนึ่งให้กรอก

Sexual orientation: Non-Binary

แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

ในเมื่อกรอกไปว่าเป็น Non-Binary แล้วทำไมถึง...

...หรือว่าก็เลยจับคนที่เป็น Non-Binary เหมือนกันมาให้อย่างนี้เหรอ

นอนไบนารี ไม่ใช่สำนึกทางเพศที่ติดอยู่ในขั้วใดขั้วหนึ่งของระบบชายหญิง ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นหญิงหรือชาย หรือเป็นเพียงเพศใดเพศหนึ่งที่สังคมกำหนด สามารถแต่งตัวด้วยสไตล์ใดก็ได้เพราะเชื่อว่าเสื้อผ้าไม่มีเพศ มีแต่ผู้คนนี่แหละที่ไปกำหนดสิ่งต่างๆ ให้มัน

ดังนั้น การระบุไปว่าตัวเองเป็นนอนไบนารี ไม่ได้แน่ชัดเพียงพอว่าตัวเขาจะมีรสนิยมชมชอบในเพศใดโดยเฉพาะเจาะจง ขนาดเขาเองยังไม่แน่ใจเลยว่ามีรสนิยมแบบไหน ก็เลยกรอกอะไรที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกในใจมากที่สุดไปก่อนไงล่ะ

ถ้าระบบสุ่มความเข้ากันได้ตามที่เพื่อนว่าจริง ฮันก็จะต้องได้คนที่น่าจะเป็นนอนไบนารีเช่นกัน...ซึ่งเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคาร์ลอสกรอกไปแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่ถ้าให้เดาเอาเอง ฝ่ายนั้นดูจะไม่อยากดึงดูดใครเลยทั้งนั้น

“โจทย์เทอมโปรเจ็กต์อย่างละเอียดส่งเข้ายูเอสเมลให้ทุกคนเรียบร้อยแล้วนะครับ อย่าลืมไปอ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขดีๆ ปีนี้พิเศษมากเพราะระบบสุ่มพาร์ตเนอร์ของมหา’ ลัยเสร็จสมบูรณ์แล้ว หวังว่าจะโชคดีกันนะครับ” ศาสตราจารย์กล่าว “ใครอยากซักถามหรือมีข้อเสนอแนะ ติดต่ออาจารย์ได้โดยตรงเลยนะครับ”

กระทั่งผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากห้องบรรยาย ชินและไคลี่เก็บกระเป๋าจนเรียบร้อยก็ยังเห็นเพื่อนตัวเล็กชะเง้อคอมองหาอะไรอยู่

“ฮันนี่มองหาใครเหรอ?” ไคลี่ช่วยมองตามบ้าง “หรือกำลังมองหาพาร์ตเนอร์”

“ไม่ใช่ เปล่า แต่ก็...ใช่” คนตัวเล็กทำคอตก เมื่อชะม้อยชะม้ายชายตาจนคอแทบหลุด แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะเห็นคนที่กำลังตามหา พาให้เพื่อนๆ เริ่มแปลกใจ

“แต่ว่าผู้ชายที่เป็นอัลฟาวันนั้น คนที่เข้ามาทักฮันนี่ ไม่ใช่คนเดียวกับที่เป็นพาร์ตเนอร์ฮันนี่หรอกเหรอ”

“ไม่ใช่”

“อ้าว/อ้าว” ไคลี่/ชิน

แต่ก่อนที่ฮัน ไนท์จะได้อธิบายอะไร เอฟอร์สของไคลี่ก็ส่งเสียงแจ้งเตือน นั่นทำให้เจ้าตัวรีบบอกลาเพื่อน “ตายแล้ว ฉันต้องไปปั่นงานต่ออีก ลืมไปเลยว่ามีนัดคุยงานวันนี้ ขอตัวก่อนนะฮันนี่ ชิน แล้วเจอกัน”

ไคลี่พูดจบก็หอบกระเป๋าพร้อมกระบอกเก็บงานวิ่งออกไป

แม้ว่าฮัน ไคลี่ และชินจะเรียนอยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์เหมือนกัน แต่ว่าเลือกเรียนคนละสาขาวิชาเอก คณะศิลปกรรมศาสตร์มีวิชาเอกอีกหลากหลายแขนง และสามารถเลือกเรียนได้หลายวิชาเแล้วแต่ความถนัด หรือใครขยันมาก จะเลือกเรียนทุกอย่างยาวๆ ไปเลยก็ทำได้

แต่แค่เรียนเอกเดียวก็หัวหมุนจะตายแล้ว ใครว่าเรียนด้านศิลปะจะมีแต่วาดรูปง่ายๆ กันล่ะ

ไคลี่เรียนเอกสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน ชินเรียนเอกถ่ายและกำกับภาพ มันไม่ใช่แค่การถ่ายรูปให้ออกมาสวยงาม หากแต่ต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ภาพที่ออกมาสื่อสารความหมายตรงประเด็นให้กับคนมองได้ ส่วนใหญ่จะได้ทำงานไปพร้อมกับทีมภาพยนตร์และสื่อสารสนเทศ

ส่วนฮันเรียนเอกศิลปะและกลยุทธ์การออกแบบ หลักๆ ก็ต้องวาดรูป สร้างสรรค์ชิ้นงานและพัฒนาต่อยอดจากมัน และกลยุทธ์การออกแบบที่ต้องนำมาประยุกต์ใช้กับงานทุกแขนง ถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็คือเรียนเกี่ยวกับทักษะการออกแบบเชิงภาพรวม

ถ้าทำงานเกี่ยวกับภาพวาด ก็ต้องออกแบบภาพนั้นว่าจะต้องวาดแบบไหน อย่างไร และไม่ใช่แค่วาดให้มันออกมาสวย แต่ต้องทำให้ภาพวาดเสมือนมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานในลักษณะใดก็ตาม

ต่อให้เป็นงานแนวการ์ตูน ก็ต้องทำให้เป็นการ์ตูนที่ราวกับมีชีวิต ผู้คนเชื่อมต่อกับการ์ตูนเรื่องนั้นได้ ถ้าทำงานเกี่ยวกับภาพถ่าย ก็ต้องออกแบบว่าจะทำอย่างไรให้ภาพที่ถ่ายออกมา ผู้มองรู้สึกราวกับเห็นด้วยตาตัวเอง

ถ้าทำงานเกี่ยวกับภาพเคลื่อนไหวหรือภาพยนตร์ ก็ต้องออกแบบให้ทุกองค์ประกอบออกมาราวกับผู้ชม ได้ไปโลดแล่นใช้ชีวิตผ่านภาพยนตร์เรื่องนั้น

กลยุทธ์การออกแบบองค์รวมจึงเป็นสาขาที่ใครๆ ก็ต่างบอกว่าเรียนยากที่สุด ใช้จินตนาการที่สุด ต้องมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด

หากแต่ฮัน ไนท์กลับคิดว่านี่คือความท้าทาย และสนุกที่จะได้ทำให้สมองปั่นป่วนเล่นๆ เมื่อต้องจับเอาทุกความสามารถมาใช้ร่วมกัน

ชินและฮันเดินออกมาจากห้องพร้อมกัน และก่อนที่จะได้พากันไปหาที่นั่งทำงานที่ไหน ฮันก็เจอคนที่ตามหามาทั้งบ่ายยืนอยู่หน้าห้องบรรยาย

ราวกับกำลังยืนรอใครอยู่ ฟีโรโมนที่แสนคุ้นเคยลอยมาตามลม

“คุณ...”

ชินมองชายหนุ่มตัวสูงในเสื้อยืดสีดำแขนสั้น กางเกงสแล็กส์ก็สีดำสนิทไม่ต่างกัน มีเพียงรองเท้าผ้าใบที่เป็นสีขาวสะอาด สีเสื้อกับกางเกงตัดกับผิวขาวซีดและผมสีบลอนด์สว่างอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ทำให้คนตรงหน้าฮันดูดีกว่าคนทั่วไปเห็นจะเป็นส่วนสูงชะลูด รูปร่างสมส่วน และหน้าตาที่หล่อเหลือร้าย

“ใคร/ใคร” ทั้งชินและคาร์ลอสถามขึ้นพร้อมกัน

“เอ่อ” สถานการณ์แบบนี้มันแปลกๆ แฮะ เหมือนละครหลังข่าวสมัย 80s เลยวุ้ย “ชินนี่คุณคาร์ลอส คุณคาร์ลอสนี่ชินครับ”

เมื่อเพื่อนตัวเล็กแนะนำชื่อจบ แม้ว่าจะยังไม่คลายความสงสัยว่าผู้ชายที่ดูน่าอันตรายคนนี้คือใคร แต่ชินก็ยื่นฝ่ามือออกไปข้างหน้าตามวัฒนธรรมตะวันตก

ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเพียงยืนกอดอกนิ่ง ไม่แม้แต่จะละสายตาไปจากเพื่อนโอเมกาตัวเล็กของเขา

อัลฟาสินะ

ฮัน ไนท์ที่เห็นว่าคาร์ลอสทำตัวเสียมารยาท ก็รีบกระแอมไอเพื่อกลบบรรยากาศอันแสนน่าอึดอัดนี้ ส่งสายตาอย่างเกรงอกเกรงใจไปให้เพื่อนหนุ่มข้างกัน ชินชักมือกลับ

“อย่าบอกนะว่า...พาร์ตเนอร์?” ชินกระซิบเสียงเบาข้างหูฮัน เมื่อเพื่อนหน้าหวานส่งยิ้มแห้งและพยักหน้ามาให้ เบตาหนุ่มก็ถอนหายใจ

ทว่าสิ่งที่อัลฟาตัวใหญ่เห็นมีเพียง โอเมกากลิ่นชาคาโมมายล์กำลังยิ้มขณะคุยอย่างหยอกเย้าอยู่กับผู้ชายแปลกหน้า

คาร์ลอสเดาะลิ้น พ่นลมหายใจอย่างนึกรำคาญ เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อนที่สองคนตรงหน้าจะได้กระซิบกระซาบอะไรกันไปมากกว่านี้

“มีธุระ”

“ครับ? คุณคาร์ลอสมีธุระเรื่องอะไรเหรอครับ” ฮันสะดุ้งเล็กน้อย ผละออกจากเพื่อนข้างกาย

คาร์ลอสมองหน้าคนที่น่าจะเป็นเบตา เพราะขนาดยืนห่างอยู่ในระยะไม่ไกลนัก ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงฟีโรโมนใดออกมา พยายามส่งสายตากดดันให้ออกไปไกลๆ แต่อีกฝ่ายยังยืนทื่ออยู่ที่เดิม

“คุณคาร์ลอสมีอะไร ว่ามาได้เลยนะครับ”

“ธุระส่วนตัว”

“อ้อ นี่เพื่อนสนิทผม มีอะไรพูดได้เลยครับ คนกันเอง”

คาร์ลอสขมวดคิ้วแน่น

อะไรวะ กูย้ำไม่ชัดพอหรือไง

ชินที่รับรู้อยู่ตั้งนานแล้วว่าอัลฟาตรงหน้าอยากคุยกับฮันเพียงลำพัง แต่ที่ยังยืนทนโท่อยู่ตรงนั้นก็เพราะอยากเห็นคนทำตัวเก็บทรงไม่อยู่ไปอย่างนั้นแหละ สุดท้ายชินก็ขอตัวลากลับก่อน เหตุเพราะมีธุระอะไรบางอย่าง ฮันโบกมือลาเพื่อนจนลับสายตา

เมื่อหันกลับมาก็เห็นอัลฟาที่ทำหน้าไม่รับแขกสุดๆ

แก คนนั้นใครอะ หล่อจัง

มึง...งานดีมาก

ฮันเกาหลังคอตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไร เมื่อได้ยินเสียงผู้คนแผ่วเบาแว่วมาจากด้านหลัง สังเกตรอบตัวถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตา

ถึงจะไม่ใช่คนที่ถูกมองตรง ก็เถอะ

“ชอบหรือไงให้คนมอง”

“ครับ?” ฮันเกือบหลุดไปว่า อีหยังวะหนิ แต่ดีที่เก็บลิ้นทัน

กำลังจะเกาหัวแล้วหนึ่งว่าคนตัวสูงตรงหน้านี่เก็บสูตรความเบียวมาจากที่ไหนแล้วนำมันมาทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจเขาหรือเปล่า แต่ละคำที่พูดออกมาถึงได้ชวนหลุดหัวเราะขนาดนี้

“ตามมา”

ฮันได้แต่เดินตามคาร์ลอสต้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายเดินไปไม่พูดไม่จา จากที่เดินเร็วก็ต้องเปลี่ยนเป็นสับขาแทบวิ่ง

ก็ถ้าขาคนมันจะยาวขนาดนั้น แค่หนึ่งก้าวของคุณก็เกือบจะเท่ากับสองก้าวของผมแล้วโว้ย! ช้าหน่อยไหมล่ะหนุ่ม!

ฮันเหงื่อตก นึกสภาพคนออกกำลังปีละสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งคือวันสุดท้ายของปีเพราะจำได้ว่าเคยสัญญากับตัวเองตอนต้นปีว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใหม่ แล้วยังไม่ได้ทำ และครั้งที่สองคือวันขึ้นปีใหม่แล้วไฟมันยังแรงอยู่ เพิ่งตั้งปณิธานว่าจะออกกำลังกายจริงจัง แล้วก็ได้ออกจริงจัง จริงจังแค่วันที่ตั้งเป้าหมายนั่นแหละ

มนุษย์ที่เต้นตามเทรนเนอร์หุ่นฟิตในอินเทอร์เน็ตไม่ถึงยี่สิบนาที ก็ต้องลงไปนอนเดี้ยงเหมือนอัลปากาขนฟูที่เผลอสะดุดโคลนหน้าทิ่ม เรื่องวิ่งนี่ไม่ต้องพูดถึง

ทว่าฮันคงไม่สังเกต ว่าจากที่ขายาวนั้นเดินแบบไม่รอใคร มันค่อยๆ ก้าวออกไปช้าลง และช้าลงเพื่อรอใครบางคนให้ตามทันอยู่ดี

 

αβΩ

 

ปรื๊ดดดด

“...”

ฮันที่กำลังดูดโกโก้ปั่นใกล้หมดแก้วจนเกิดเสียงลมขึ้นหลอด เรียกให้สายตาคมเฉี่ยวตะวัดมองแก้วน้ำเขม็ง คนที่รู้ตัวว่าเผลอดูดน้ำเสียงดังรีบกลืนโกโก้อึกสุดท้ายลงคอ

ก่อนที่จะนั่งทำตาปริบๆ เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี มองบนโต๊ะที่มีจานเค้ก สองจานที่เหลือเพียงแค่เศษเค้กบนนั้น แก้วโกโก้ที่เพิ่งดูดหมดไป และแก้วน้ำเปล่าที่ยังเหลือน้ำอยู่เกือบเต็มของอัลฟาตัวสูงที่นั่งตรงข้ามกัน

“จะกินอะไรอีกไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถาม

“ไม่แล้วครับ” คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้า เสร็จแล้วก็เม้มปากเบาๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ที่จริงก็อยากสั่งเค้กเพิ่มอีกสองชิ้นเพราะเห็นในตู้กระจกแล้วมันน่ากินไปหมดเลย แต่เกรงใจคนที่เรียกมาคุยธุระ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับเรื่องงานวิชาปรัชญาสมัยใหม่

ทว่าผ่านมานานหลายนาทีตั้งแต่ที่น้ำและเค้กยังไม่มาเสิร์ฟ จนเค้กมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ จนเขาเริ่มกินทุกอย่างจนหมด อัลฟาตัวโตก็ไม่เริ่มพูดอะไรสักที

“คุณ...ไม่กินอะไรหน่อยเหรอครับ”

“ไม่กินของพวกนี้”

หนุ่มหน้าหวานเลิกคิ้วขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ของพวกนี้คืออะไร ฟังดูแปลกๆ อีกฝ่ายหมายถึงไม่กินของหวานเหรอ

แล้วชวนมานั่งคาเฟ่ทำไม

“ว่าแต่ธุระของคุณคือ...จะคุยเรื่องเทอมโปรเจ็กต์ใช่ไหมครับ รายละเอียดโจทย์เพิ่งมาเมื่อตอนเลิกคาบ คุณได้อ่านหรือยังครับ ผมยังไม่ได้อ่านเลย แล้วก็ก่อนหน้านี้...ทำไมคุณถึงไม่เข้าเรียนล่ะครับ”

“สัปดาห์ที่แล้ว...เป็นอะไร”

“ครับ?” ฮันงุนงงกับคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาพูดไปเลยแม้แต่น้อย นี่สินะ คำตอบที่ไม่ตรงคำถาม คำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หรือตอบไม่ตรงคำถาม ย้อนแย้งเหมือนชื่อเพลงดังยุคก่อน

“ก่อนที่มึงจะเป็นลม” เมื่อได้ยินดังนั้น ราวกับมีแฟลชแบ็กเหตุการณ์วาบขึ้นมาในหัวของฮัน ฮันก้มหน้าลงเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคออยากยากลำบาก แต่ก็สูดหายใจลึกก่อนจะเริ่มพูด

“ตอนนั้น...ผมกลัวมากเลย ผมไม่โอเคเลยที่คุณทำท่าทางแบบนั้น มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวที่ไม่ดี...ตอนยังเด็ก” ระหว่างเล่า ฮันไม่ได้เงยหน้ามองคนตรงข้ามว่ามีสีหน้าอย่างไร “แล้วทำไมคุณ...ถึงเกลียดโอเมกานักล่ะครับ”

โอเมกาหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเมื่อคิดว่าอาจจะเป็นคำถามที่ไม่ควรถาม เพราะอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปนาน ทว่าริมฝีปากคนตรงข้ามกันก็เริ่มขยับ เอื้อนเอ่ยเหตุผลที่ฮันอยากรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันออกมา

“ไร้ความสามารถ”

หัวคิ้วสวยเริ่มขมวด

“ทำเป็นแค่ขายรูปร่างหน้าตา”

ปากกระจับเริ่มบิดเบี้ยว

“แล้วก็จ้องจะเกาะคนอื่นกิน”

ฮัน ไนท์ก็ถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคนี้

เดี๋ยวๆ นี่มัน 2221 แล้วนะโว้ย นี่คุณยังไม่หลุดพ้นจากละครจำเลยโอเมกาปี 2180 อีกหรอ!?

คนตัวเล็กกว่าถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้จะพูดอะไรเลยกับคนที่ยังมีความคิดแบบนี้อยู่ เขาขมวดคิ้วแน่น สุดจะไม่เข้าใจคนตรงหน้า

กว่าจะเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ก็กินเวลาไปร่วมนาที

“นี่มัน 2221 แล้วนะครับ ภาพจำเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นโดยสื่อที่มีแต่อัลฟาเป็นใหญ่ทั้งนั้น ประวัติศาสตร์ของโอเมกาที่ถูกบันทึกไว้มีแต่เรื่องเกี่ยวกับความล้มเหลว พวกเราเป็นคนชนชั้นสองมาโดยตลอด ทั้งหมดก็เพราะคนที่มีความคิดแบบพวกคุณ ซึ่งไม่เคยพยายามจะทำความเข้าใจอะไรคนกลุ่มเราเลย เพียงเพราะคุณมีเพศรองเป็นอัลฟา ก็เลยคิดว่าตัวเองถูกต้องทั้งหมดงั้นเหรอ!”

“...”

“ถ้าพวกเราไร้ความสามารถจริง ทำไมในมหา’ ลัยชั้นนำของโลกถึงมีคนเพศรองโอเมกาเดินกันให้ขวัก ถ้าทำเป็นแค่ขายรูปร่างหน้าตา ป่านนี้ผมก็คงเป็นดาราไปแล้ว! ไม่มาเรียนให้เหนื่อยเปล่าหรอก แล้วก็นะ ไอ้ประโยค จ้องจะเกาะคนอื่นกินมันเต็มไปด้วยความอัลฟานิยมที่ออกมาจากสามัญสำนึกของคุณเลย! อดีตก็อัลฟาเองไม่ใช่เหรอที่กดขี่โอเมกาให้อยู่แต่ในบ้าน ทำงานบ้านเลี้ยงลูกเป็นคนใช้งกๆ ก็เพราะอัลฟาไม่ใช่เหรอที่สร้างค่านิยมตัวเองเป็นใหญ่ หาเงินเข้าบ้าน ตัวเองเป็นผู้นำ โอเมกาเป็นผู้ตาม ต้องมีอัลฟาไว้คุ้มกะลาหัว!พวกคุณตั้งกฎเหล่านั้นขึ้นมาเอง แล้วก็มาท็อกซิกใส่คนอื่นเนี่ยนะ!”

ฮันรัวทุกประโยคในใจออกมาจบก็หอบอากาศเข้าปอด เพิ่งรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยืนค้ำโต๊ะชี้หน้าคนที่นั่งตัวแข็งไปแล้ว

“...”

แถมคนทั้งร้านก็มองมาที่ฮันเป็นตาเดียว

ฮันแอบเห็นคนยกนิ้วโป้ง พร้อมขยับปากมาจากไกลๆสุดยอดไปเลย วู้ว

“ให้ตายสิ...” ฮันยกมือเสยผม หันไปขอโทษขอโพยคนในร้าน ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง เมื่อคนในร้านเห็นว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าจะรุนแรง ก็ไม่ได้มีใครสนใจอะไรอีก “ขอโทษด้วยนะครับ ที่เอาอารมณ์มาลงที่คุณ”

“ขอโทษ...เหมือนกัน” คาร์ลอสว่าเสียงฟังดูไม่มั่นใจนัก แต่ก็ทำให้หัวคิ้วของหนุ่มโอเมกาคลายลงจากการขมวดไปบ้าง

คาร์ลอสดันแก้วน้ำเปล่าที่ยังไม่ได้จิบให้คนตรงข้าม ฮันผงกหัวเป็นการขอบคุณ ยกมันมาดื่มอึกๆ ให้ใจเย็นลง

“เกิดอะไรขึ้นตอนเด็ก”

“ที่จริง...จะถือว่ารุนแรงไหม ตอนนั้นก็ถือว่าระดับหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ก็รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะตอนนั้นยังเด็กกันอยู่ด้วย...พอถึงวัยที่รู้เพศรองของตัวเอง มันก็คงไม่แปลกที่คนที่มีเพศรองเป็นโอเมกาอย่างผม...จะถูกรังแกจากเพื่อนที่มีความคิดแบบ...นั้น”

คาร์ลอสนิ่งเงียบไปตามเดิม แต่นัยน์ตาฉายแววสลด

“ครั้งที่โดนหนักสุดคงจะเป็น...จับถ่วงลงน้ำ” ใบหน้าหวานหยดมีรอยยิ้มบางประดับ ฮันก้มหน้าลงมองมือตัวเอง “ไม่รู้ทำไม...น้ำก็ไม่ได้ลึกมาก แต่ผมกลัวตัวเองจะจมมากเลย”

“...”

“น้ำอยู่เลยเข่าไปแค่นิดเดียวเองด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือน...กำลังจะดิ่งลงก้นทะเลยังไงยังงั้น” เขาอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นไม่ออก “ผมนึกว่าตัวเองจะตายซะแล้ว”

“...”

ฮันเงยหน้าจากฝ่ามือตัวเอง เห็นคาร์ลอสเงียบไปนานก็รู้สึกผิด ไม่อยากเล่าให้คนที่ฟังรู้สึกดิ่งตาม เขาคลี่ยิ้มกว้าง

“เรามาคุยเรื่องงานกันเถอะครับ สรุปคือ...คุณแก้ระบบสุ่มพาร์ตเนอร์ได้หรือเปล่า แล้วก็คุณจะเปลี่ยนคู่กับผมไหม”

ดวงตาของคาร์ลอสหลุกหลิกเล็กน้อยจนจับสังเกตไม่ได้ ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ย "...ระบบจับคู่ครบแล้ว แก้ให้เปลี่ยนไม่ได้"

"ถ้าคุณไม่อยากเป็นพาร์ตเนอร์ผมจริงๆ ผมจะไปขอเปลี่ยนกับคนอื่น—"

"อย่าทำให้มันยุ่งยาก" คาร์ลอสพูดเสียงห้วนขึ้น คนตรงข้ามเดาใจไม่ออก “แต่โจทย์งานปีนี้...ค่อนข้างยาก”

"โจทย์งานคืออะไรเหรอครับ"

คาร์ลอสมีสีหน้าเคร่งเครียด

"หลักๆ แล้วก็...เราต้องไปสวิตเซอร์แลนด์ กับอีกที่ที่ต้องเลือกเอง"

“ผมไม่เข้าใจ”

“เราต้องไปดูงานที่ต่างประเทศ ปีนี้งบของกระทรวงจะออกให้ไปดูงานได้คู่ละสองที่ ระยะเวลาสถานที่ละหนึ่งสัปดาห์ คงเพราะปีนี้มหา’ ลัยจะคัดเลือกผลงานที่โดดเด่นไม่ว่าจะสาขาวิชาไหนก็ตามไปประกวดในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ เลยถือโอกาสนี้ใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือผลิตผลงาน”

“...?” สมองของฮันยังไม่ประมวลผลกับสิ่งนี้

“โจทย์...ให้เชื่อมโยงสถานที่ที่ได้รับมอบหมายว่ามีความเกี่ยวข้องกับวิชาสุนทรียศาสตร์และตรรกศาสตร์อย่างไร สื่อสารมันออกมาโดยใช้ทักษะวิชาของคณะที่ผู้เรียนเลือก”

 

TBC

บอกเลย ตัวละครเรื่องนี้ เย๊อะ เยอะแบบตะโกน เย๊อะ! 

ไม่ใช่แค่ตัวละครเยอะ แต่เอาเป็นว่า ค่อยๆ อ่านไปเนอะ คงหมดแล้วมั้งหนิ(หรา)

- มันอาจจะมีย่อหน้าเบี้ยว ตัวหน้าสือบางคำมันเอียงไปเองแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเอียง อยากให้รู้ว่าระบบมันเอียงให้เองนะ แง ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าเห็นแล้วจะรีบแก้!

- คำทับศัพท์บางคำขออนุญาตใช้ตามระบบฐานข้อมูลคำทับศัพท์ของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เช่น คำว่าพาร์ตเนอร์ ปลาสเตอร์ ส่วนคำว่าคาโมมายล์ ขอใช้เป็นแบบนี้ไปเลย แต่หลายคำที่ถูกหลักหลายคนเห็นแล้วอาจไม่ชิน อ่านแล้วอาจแปลไปเป็นอย่างอื่นได้ ก็ขออนุญาตปรับใช้ตามที่เห็นเหมาะสมแทนนะคะ อาจผิดหลักและใครไม่พอใจต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

 

Comment ส่งผลต่อการอัพนิยายมาก

ถ้าคุณชอบนิยายเรื่องนี้ ได้โปรดบอกให้เราได้รับรู้

เพราะเมื่อไม่มีฟีดแบ็คใดๆ ตอบกลับมา

นักเขียนคงไม่มีกำลังใจที่แข็งแกร่งเพียงพอ เพื่อพิมพ์นิยายต่อไปจนถึงฝั่งฝันอย่างที่ตั้งใจไว้

 

ติดต่อ ติดตามได้ทาง

Twitter: @FIT_FOR_FINE

Facebook: @FITFORFINE1

Instagram: @fitforfine1

Tik Tok: @fit_for_fine

Email: fine4fit@gmail.com

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU

หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!

 

เชิงอรรถ

  1. ^ Jesus Christ เป็นคำสแลงแปลว่า ‘พระเจ้าช่วย’ ถ้าแปลตรงตามความหมาย จะแปลว่า ‘พระเยซูคริสต์’