Listen to this song for your อรรถรสในการอ่าน

Joji - Like You Do

 

XII

Into The Blue

sds

Photo by Glenn Carstens-Peters on Unsplash

 


 

Lost in the blue

They don't love me like you do

Those chills that I knew

They were nothing without you

 

And everyone else

They don't matter now

You're the one I can't lose

No one loves me like you do

 


 

 
แสดงสปอยล์

 

“’ไง เมื่อคืน”

“อะไร”

“ทำให้หนูลูกกูเสร็จหรือเปล่า”

“มึงว่าไงนะ”

คาร์ลอส โฮล์มส์ขมวดคิ้วแน่น เหลือบมองเพื่อนหญิงด้วยหางตา เอมิลี่สับขาบนลู่วิ่งไม่พัก เลิกคิ้วมองกลับ ทำหน้าแปลกใจเหมือนเห็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ

“อย่าบอกนะว่า…เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”

เช้าตรู่ของวันใหม่ วันที่สองของการศึกษาดูงาน หลายคู่เริ่มไปพิพิธภัณฑ์ในเจนีวาตั้งแต่เมื่อวาน คาร์ลอสก็คงจะเริ่มไปห้องปฏิบัติการเซิร์นกับเอมิลี่และลูคัสตามแผนที่วางไว้ ทว่าทุกอย่างเป็นอันยกเลิกเมื่อฮัน ไนท์เป็นลมหมดสติไปกะทันหัน

คาร์ลอสขอเปลี่ยนแผนเล็กน้อย ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่ได้เคร่งเครียดกับการเรียนวิชานี้นัก ลูคัสเพิ่งเรียนเป็นเทอมแรก ยังมีเวลาอีกมากให้แก้ถ้าสอบไม่ผ่าน ส่วนเอมิลี่กับโจเซฟเคยลงเรียนไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ไม่ผ่านเหมือนกันเพราะเทอมที่แล้วขาดเรียนบ่อย งานก็ไม่ค่อยตามส่ง มัวแต่โฟกัสกับการร่างแผนโปรเจ็กต์วิชาอนุภาคจนลืมไปเลยว่าเคยลงเรียนวิชานี้

ส่วนคาร์ลอสที่เคยลงเรียนมาแล้วสามครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่สี่ รีบลงเรียนวิชานี้เพราะคิดว่าเป็นวิชาไร้สาระ ต้องรีบกำจัดไม่ให้มาขัดขวางเวลาการทำงานในอนาคต ผลลัพธ์ก็ตามการกระทำ เพราะไม่ตั้งใจแต่แรก ซ้ำยังอยากขับไล่วิชานี้ไปให้พ้นทาง มันจึงเหมือนวลีที่ว่า เกลียดอะไรจะได้อย่างนั้น จะสอบกี่ครั้ง คะแนนก็ไม่เฉียดใกล้กับคำว่าผ่านเลยสักครั้ง

ถึงแม้จะบอกว่าไม่จริงจัง แต่เทอมนี้เป็นโปรเจ็กต์คู่ คะแนนงานมีส่วนอย่างมากในการช่วยคะแนนสอบอันห่วยบรม ครั้งนี้คาร์ลอสจึงรู้สึกต่างออกไปกว่าทุกครั้ง

อยากผ่านวิชานี้มากกว่าครั้งไหนๆ ไม่ใช่เพราะเบื่อหรือเกลียดมันเข้าไส้ แต่เพราะไม่อยากเป็นตัวฉุดรั้งฮัน

เมื่อวาน ฮันสลบเหมือดหลังผ่านการร้องไห้อย่างหนักหน่วง หน้าซีดตัวสั่นเสียยิ่งกว่าคนเห็นผี คาร์ลอสอุ้มไปส่งที่ห้องของเจ้าตัว นั่งเฝ้าอยู่หลายนาทีใหญ่เผื่อว่าอีกคนจะแสดงอาการอะไรน่าเป็นห่วงขึ้นมาอีก ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนั่งกุมมืออยู่ข้างเตียง ลูบผมหยักศกอย่างปลอบประโลม คอยซับหยาดใสจากเปลือกตาบวมช้ำและแก้มที่ยังหลงเหลือคราบน้ำตาแห้งกรัง ได้ยินแต่เสียงลมหายใจฝืดๆ เพราะน้ำตาน้ำมูกทำพิษ

แต่ก่อน พวกเขาเล่นด้วยกันตามประสาเด็กน้อยวัยซน(ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ซนคือฮัน) คาร์ลอสเคยทำฮันตกชิงช้า อีกฝ่ายก็ยังลุกกลับมายืนปัดเศษฝุ่นหน้าตาเฉยแม้ว่าหัวเข่าจะมีเลือดซิบ นอกจากจะไม่ร้องไห้สักแอะ ยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเพราะได้รู้ความจริงที่ว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา ไม่มีพลังวิเศษ(ขี้เกียจไปทำภารกิจกู้โลก)

แม้แต่ในตอนที่คาร์ลอสร้องไห้จ้าน้ำตาคลอหน่วยเพราะมีจิ้งจกเกาะอยู่หลังเสื้อ ฮันยังเป็นฝ่ายจับมันไปปล่อยในสวนให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ยิ่งในตอนที่คาร์ลอสโดนกลั่นแกล้งโดยเพื่อนร่วมชั้นเรียน ไม่ว่าจะกลั่นแกล้งกันทางร่างกายหรือจิตใจ ก็มีแต่ฮันที่ยังยืนหยัดจะอยู่ข้างเขา ตอกหน้าพวกขี้แพ้ชวนตีกลับด้วยคำด่าแบบสุภาพชน ซึ่งมันทำให้หน้าชายิ่งกว่าคำที่พวกนั้นพล่ามออกมาไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียอีก (ไม่รู้ว่าชาเพราะด่าเจ็บ หรือเพราะแปลไม่ออก)

ถ้ามีเวลามากพอจะมาแกล้งคนอื่น กลับบ้านไปบอกให้ผู้ปกครองช่วยอธิบายคำว่าสามัญสำนึกให้ตัวเองใหม่ทีเถอะ เพราะคนที่จะถูกตัดสิน ไม่ใช่เด็กแบบนายในวันนี้ แต่คือผู้ที่เลี้ยงดูนายมาอย่างสะเพร่ามากกว่าที่จะถูกครหา

ดังนั้น ฮัน อัลเลน ไนท์ คือคนที่กล้าหาญที่สุดในสายตาคาร์ลอสมาโดยตลอด เป็นมนุษย์จริงใจ มีหัวใจที่บริสุทธิ์มากคนหนึ่งที่เขาเคยรู้จัก อยู่ด้วยแล้วเหมือนได้น้ำเย็นมาหล่อเลี้ยงกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง เป็นฮีทเตอร์ในวันที่หิมะตก และเป็นร่มคันใหญ่ในคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองในจิตใจ

คาร์ลอสนั่งคิดอยู่ทั้งคืน ว่าอะไรทำให้ฮันร้องไห้ปานจะขาดใจขนาดนี้ สิ่งนั้นมันทำให้ฮันคนที่เข้มแข็ง คนที่แข็งแกร่ง กลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้

กระทั่งก่อนจะละมือออก ปล่อยให้ฮันได้นอนพักผ่อน ฝ่ามือนิ่มก็กระชับจับมือเขาไว้แน่น ขนตายาวที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำตาขยับเล็กน้อย ก่อนจะปรือเปิด

ซีแอล

หือ ปวดหัวหรือเปล่า เอาน้ำไหม เดี๋ยวกูเอามา"

ไม่ซีแอล

ครับ ว่าไง

ใช่ซีแอลของเราใช่ไหม

ใช่สิ เป็นซีแอลของฮันนี่ไง วันนี้นอนพักนะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันเรื่องเดินทาง แล้วก็ไม่ต้องกังวล ได้แต่เมืองบนเขา

คาร์ลอสกำลังจะลุกขึ้น แต่ถูกมือน้อยดึงไว้อีกครั้ง เสียงทุ้มนุ่มตอนนี้แหบแห้ง มันขึ้นจมูกนิดๆ เหมือนคนโดนหวัดกิน

นอนด้วยกันได้ไหมเราไม่อยากอยู่คนเดียว

แล้วคาร์ลอสจะทำอะไรได้นอกจากล้มตัวลงนอนข้างกัน ความหมายคำว่านอนของฮันคือนอนจริงๆ พวกเรานอนจับมือกันจนเกือบจะเลยเที่ยงคืน

เมื่อมั่นใจว่าฮันหลับสนิทดีแล้ว อัลฟาตัวโตที่นอนต่างหมอนข้างให้จนเหน็บกินแขนก็ค่อยๆ ขยับตัวออกอย่างเชื่องช้า เขาอยากลุกออกไปอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายตัวเอง จึงจะกลับมาเช็ดตัวให้คนที่นอนซมตัวรุมๆ

ทว่าผละออกมาขายังไม่ทันพ้นขอบเตียง เอฟอร์สของฮันบนโต๊ะข้างหัวเตียงก็สั่นครืดเรียกความสนใจ มันคือสายวิดีโอคอลจากใครบางคน เขาเกือบจะกดวางสาย ถ้าไม่ติดว่าเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

‘MY LOVE’

คาร์ลอสคิ้วกระตุกไปจังหวะหนึ่ง เขารู้ว่าไม่ควรยุ่งของส่วนตัว แต่เพราะอารมณ์มันอยู่เหนือเหตุผลทั้งหมดแล้วในตอนนั้น เขาจึงหยิบเอฟอร์สของฮันเดินไปโซนโต๊ะทำงานอีกฝั่ง แล้วกดรับสายทันที วิดีโอฮอโลแกรมปรากฏขึ้นในวินาทีนั้น

[เป็นยังไงบ้างจ้ะที่รัก ตอนนี้ถึงโรงแรมดีไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม เอ๊ะ]

...

[ขอโทษนะคะ แต่ว่าคุณเป็นใคร ทำไมถึงมารับสายลูกชายฉัน]

ฉิบหาย

คาร์ลอสนั่งจ้องจอตาเหลือก สิ่งที่เห็นคือหญิงวัยกลางคนที่ดูดีมากคนหนึ่ง ใบหน้าเรียวเล็กแทบจะไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือผู้ชายตัวใหญ่ ดวงตาทรงอาลมอนด์เหมือนคนเอเชีย เธอสวมผ้ากันเปื้อนสีครีม และกำลังทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว เมื่อหันมาเห็นว่าคนที่รับสายไม่ใช่ฮัน ไนท์ เธอก็ขมวดคิ้วมุ่น สีหน้างุนงงระคนตกใจ

อัลฟาหนุ่มรู้สึกคิดผิดอย่างแรงที่หึงหวงโดยไม่ใช้สมองไตร่ตรอง เพราะถ้าไม่ใช่คนรัก แล้วจะมีใครอื่นที่ถูกบันทึกไอดีเอฟอร์สด้วยชื่อว่า MY LOVE

ก็ต้องเป็นพ่อแม่เขาไง ไอ้เวร!

เอ่อ ผมคาร์ลอสครับ คาร์ลอส โฮล์มส์...คือว่าฮันหลับอยู่ อัลฟาหนุ่มพยายามปรับสีหน้าใหม่ ไม่ให้ตัวเองหลุดท่าทางเลิ่กลั่กออกมา ขอโทษที่มารับสายแทนด้วยครับ แต่ว่าผมเห็นชื่อคนโทรมา แล้วคิดว่าต้องเป็นคน...สำคัญ

[...ฮันไม่เคยบอกว่ามีเพื่อนมหาลัยชื่อนี้ ขอโทษนะคะ แต่ว่าคุณโฮล์มส์เป็นอะไร]

[ตอนนี้ลูกว่างคุยแล้วใช่ไหม ฉันขอ...เอ๊ะ นี่ใคร!?]

แล้วคาร์ลอสก็ต้องเกร็งตัวกว่าเดิมเมื่อมีใครอีกคนโผล่เข้ามาในจอ เป็นผู้หญิงวัยกลางคนเหมือนกัน แต่ตัวสูงกว่ามาก ผมสีแอชบราวน์ยาวสลวย หยักศกเหมือนฮันไม่มีผิด ดวงตาคู่นั้นที่มองมาทำให้แม้แต่อัลฟาอย่างเขายังแทบสะดุดลมหายใจ ไม่ต้องได้กลิ่นฟีโรโมนก็รู้ว่าเธอเป็นอัลฟาไม่ผิดแน่

ผม อ่า ผม...

คาร์ลอสโดนซักประวัติยับ ทั้งคู่เกือบจะไม่เชื่อแล้วว่าฮันนอนหลับไป แล้วเขาก็ไม่ใช่โจรลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ถ้าไม่ใช่เพราะเปิดกล้องให้เห็นกับตาว่าฮันนอนหลับปุ๋ยบนเตียงอยู่จริงๆ ไม่งั้นเขาคงโดนแจ้งความข้อหาลักพาตัว คนตัวเล็กที่ได้ยินเสียงรบกวนก็ตื่นมาช่วยอธิบายให้สามประโยค ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

หม่าม้า...ออมม่าไม่ต้องเป็นห่วง อยู่กับคาร์ลอสปลอดภัย เพื่อนสมัยอยู่เซนต์พอลครับ ฮ้าว...แล้วก็เรายังไม่เคยมีอะไรกัน ถ้ามีก็แบบปลอดภัยหายห่วง...

ถึงแม้ว่าจะเป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นของการได้รู้จักผู้ปกครองของฮันที่ค่อนข้างไม่น่าประทับใจเท่าไร แต่มันก็ทำให้คาร์ลอสได้รู้ว่าฮันถูกเลี้ยงดูมาด้วยอัลฟาหญิง ซึ่งเรียกแทนว่าหม่าม้า และโอเมกาหญิงที่ถูกเรียกว่าออมม่า บุคคลที่ฮันชอบเล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก และเขาเพิ่งจะได้ทำความรู้จัก

มันทำให้คาร์ลอสโล่งใจ ที่ได้รู้ว่าฮันถูกประคับประครองมาในครอบครัวที่รักและเป็นห่วงอีกฝ่ายมากขนาดนี้ ไม่แปลกใจที่เจ้าตัวจะเติบโตมาอย่างดี ถึงจะโตมาแบบน่ามันเขี้ยวไปหน่อยก็เถอะ

หกโมงเช้า ไม่รู้ว่าเพราะปกติกิน นอน ทำงานในห้องแล็บหรือเปล่า มันถึงทำให้เขาทำกิจวัตรอะไรโดยไม่สนใจเวลานัก เขาไม่ใช่คนที่จะมาตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าเพื่อมาออกกำลังกายที่ยิมของโรงแรมแน่

แต่ที่ตอนนี้คาร์ลอสกำลังวิ่งอยู่บนลู่ออกกำลังกายเป็นเพราะโดนเพื่อนสาวอัลฟาลากมา ทั้งๆ ที่จริงเขาแค่จะลงมาเดินดูรอบโรงแรม และหาอะไรอร่อยๆ ขึ้นไปให้คนที่ยังนอนหลับอุตุอยู่บนห้อง

ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้บทสนทนาลากเข้าเรื่องแบบนั้นได้

“กูก็นึกว่ามึงไม่อยากให้ทำ” ทำที่หมายเซ็กซ์

“มันก็ใช่ แต่มาคิดดูดีๆ แล้ว ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยังไงกูก็รู้ ว่าปลายทางมันก็ต้องมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี แต่ที่กูกังวลกว่านั้นคือ…มึงทำเป็นหรือเปล่า”

“กูไม่ต้องการคำแนะนำ” คาร์ลอสพูดดัก

“ว้า...จริงเหรอ แย่จัง เพราะกูแอบได้ยินมาว่า…มึงน่ะยังซิง”

“…” คาร์ลอสไม่ตอบ หางตาแอบกระตุกเล็กๆ ได้แต่เร่งความเร็วเพิ่มขึ้น หยาดเหงื่อเริ่มไหลลงตามกรอบหน้า

“จริงสินะเนี่ย กูเหลือจะเชื่อ ถามจริงๆ เลยนะ…มึงเคยช่วยตัวเองไหม”

“หุบปากไป”

“ยังไม่เคยทำกับใคร ครั้งแรกมันต้องห่วยแตกอยู่แล้วแบบไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่ทำให้คู่นอนถึงจุดสุดยอดเลย ทำยังไงให้เขาไม่เจ็บกับครั้งแรกน่ะยากกว่าเยอะ” เอมิลี่พูดเสียงเบาพลางเหลือบมองเพื่อนที่วิ่งข้างกัน

สีหน้าของคาร์ลอสดูนิ่งขึ้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันน้อยๆ “เหรอ…วะ”

“ยิ่งช่องทางด้านหลังนะมึงเอ๊ย ยากกว่าของผู้หญิงเยอะ ถ้าทำไม่เป็น ครั้งแรกของบางคนคงเหมือนฝันร้ายไปเลยก็ได้ อ้อ ‘โทษทีว่ะพูดเยอะไปหน่อย ลืมไปว่ามึงไม่ต้องการคำแนะนำ” เอมิลี่พูดจบก็หัวเราะเบาๆ เริ่มชะลอลู่วิ่ง เปลี่ยนมาเป็นเดินเร็ว ก่อนที่เครื่องจะค่อยๆ หยุดนิ่งในที่สุด

“กู…”

“หือ? ว่าไง พ่อคนเกลียดโอเมกา” เอมิลี่ยืนกอดอกสะโพกพิงตัวเครื่อง เลิกคิ้วมอง สายตาพยายามเค้นให้เพื่อนตัวเขื่องพูด

“…” อัลฟาหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน สายตาชั่งใจว่าจะถามดีไหม

“?”

“เปล่า” คาร์ลอสว่าแค่นั้น นั่นทำให้เอมิลี่พยักหน้า มือตบบ่าเพื่อนสองทีก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มที่วิ่งจนเสื้อชุ่มเหงื่อขบคิดอยู่คนเดียวต่อไป

ครั้งแรก...ต้องทำให้ดี

 

αβΩ

 

“มึงไม่ต้องไปก็ได้นะ ถ้าไม่อยาก”

“ไม่เป็นไรเลย ซีแอลไปไหน เราก็อยากไปด้วย ยกเว้นว่า...ซีแอลจะไม่อยากให้เราไป”

คาร์ลอสอมยิ้ม(ในใจ)มองคนที่ทำหน้าเหมือนอีโมจิมองบนขี้อ้อนแล้วอยากจะฟัดหน้าลงกับแก้มนิ่มๆ ขยี้ผมนุ่มหนักๆ แล้วก็รวบมมากอดซะแน่นๆ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้อยู่กันกลางล็อบบี้ของโรงแรม

“หายดีแล้วใช่ไหมหนูลูก ยังปวดหัว ปวดตัวอะไรแบบนี้อยู่ไหม” เอมิลี่ถาม

ฮันส่ายหน้าจนผมสะบัด ยิ้มแฉ่ง แล้วก็ทำท่าเบ่งกล้าม(ซึ่งอยู่ไหน)

“ผมแข็งแรงมากครับตอนนี้ ไม่เป็นอะไรแล้ว เมื่อคืนเก็บชั่วโมงนอนพอทั้งสัปดาห์เลย!”

“ถ้าระหว่างทางรู้สึกไม่ดี รีบบอกกูนะรู้ไหม” คาร์ลอสโน้มใบหน้าลงมาเล็กน้อย เกลี่ยหางตาที่ยังหลงเหลือร่องรอยแดงช้ำ ฮันพยักหน้าก่อนพูด

“มันก็แค่ฝันร้าย”

“ใช่ แค่ฝันร้าย”

ช่วงสายของวันนี้ พวกเขานัดแนะกันว่าจะไปดูการทดลองยิงอนุภาคแอลเอชซีที่ห้องปฏิบัติการเซิร์นเพื่อเก็บข้อมูลมาทำงาน ทั้งโปรเจ็กต์วิชาปรัชญาสมัยใหม่ และเพื่อโปรเจ็กต์ของวิชาสาขาควอนตัม แล้ววันที่เหลือคาร์ลอสถึงจะยกให้ฮันได้ไปตามใจอยาก

ระหว่างที่รอเข้าไปในห้องปฏิบัติการ พวกเขาก็ทวนโจทย์งานที่ได้รับมอบหมายอีกครั้ง เพื่อการเก็บข้อมูลที่ตรงจุดประสงค์ของการทำงานที่สุด

ต้องเชื่อมโยงสถานที่ที่ได้รับมอบหมายว่ามีความเกี่ยวข้องกับวิชาสุนทรียศาสตร์และตรรกศาสตร์อย่างไร ซึ่งต้องสื่อสารมันออกมาโดยใช้ทักษะวิชาของคณะที่ผู้เรียนเลือก

จากการสำรวจนักศึกษาส่วนใหญ่ ถ้าใครที่ได้พาร์ตเนอร์เป็นนักศึกษาในสาขาศิลปกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม หรือสายการออกแบบ จะเลือกทำเป็นงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดสถานที่ที่น่าประทับใจ งานปั้น งานแกะสลัก

คาร์ลอสแอบได้ยินมาว่า ผลงานของใครที่โดดเด่นจะถูกคัดเลือกไปประกวดในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งเจ้าของผลงานมีสิทธิ์ได้เข้าพบประธานาธิบดี นั่นคือข่าวลือที่เขาไม่อยากให้เป็นจริงที่สุด มันฟังดูน่ากลัวกว่าการสอบไม่ผ่านเสียอีก

ถึงคิวรอบของพวกเขาได้เข้าไป แก๊งควอนตัมดูจะตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย เพราะนี่ไม่ใช่เพียงองค์กรวิจัยนิวเคลียร์ธรรมดา แต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งในปีค.ศ.1936 ผ่านการทดลองทางฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก อย่างการยิงลำแสงโปรตอนเพื่อจำลองการก่อกำเนิดจักรวาล หรือทดลองเลียนแบบทฤษฎีบิ๊กแบง ซึ่งเป็นทฤษฎีที่เชื่อกันว่าคือการระเบิดครั้งใหญ่จนก่อให้เกิดจักรวาลนี้

ในยุคนั้นมีข่าวลือหนาหูจากนักวิทยาศาสตร์หลายท่านว่าการทดลองครั้งนั้นจะก่อให้เกิดหลุมดำขนาดเล็กขึ้นมา ซึ่งอาจดูดกลืนโลกเข้าไปทั้งใบ แต่การทดลองทั้งหมดก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร

ไม่แปลกที่คนเรียนด้านนี้จะตื่นเต้น ขนาดฮันที่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้นัก ยังตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ชมคลิปจำลองการกำเนิดโลกเลย จากตอนแรกที่คาร์ลอสกังวลว่าอีกฝ่ายจะเบื่อ กลับกลายเป็นว่าคนที่ดูจะให้ความสนใจกว่าใครเพื่อนคือฮัน

เดือนนี้กำลังอยู่ในช่วงงานนิทรรศการเพื่อการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยพวกเขามาดูงาน ยังมีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนอื่นมาจัดแสดงผลงานทางวิทยาศาสตร์ มีคนมาเดินชม ชั้นล่างมีซุ้มมากมายรอต้อนรับ เป็นซุ้มที่อธิบายหลักการฟิสิกส์อย่างเข้าใจง่าย เหมาะกับนักเรียนนักศึกษาทั่วไป แต่ยิ่งเดินเข้าไปลึกขึ้นก็ยิ่งเจอเรื่องที่มีแต่คนเรียนด้านนี้โดยตรงจะเข้าใจ

“พวกคุณเป็นนักศึกษาสาขาฟิสิกส์ควอนตัมสินะครับ งั้นผมขอเชิญทางนี้เลย นี่เป็นสิ่งที่พวกเรากำลังศึกษาและทดลองกันอยู่ในตอนนี้ มันอาจฟังดูนิยาย แต่คุณจะเรียกมันว่าไทม์แมชชีนก็ได้นะ มันก็ผลลัพธ์คล้ายๆ กัน แค่หลักการทำงานไม่เหมือนในหนังยุคก่อนครับ” ไกด์พูดอย่างอารมณ์ดี นำทางไปห้องปฏิบัติการหนึ่ง

“เวลามีใครถามว่ามนุษย์เราจะย้อนเวลาได้จริงไหม ก็จะมีคนที่ไม่เชื่อและคนที่เชื่อ ที่น่าสนใจคืออะไรรู้ไหมครับ นี่มันไม่ใช่ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เพราะในโลกของฟิสิกส์ควอนตัม การย้อนเวลาของวัตถุเล็กๆ อย่างอะตอมมันเป็นไปได้”

“ผมอยากทราบว่ามันทำได้จริงหรือยัง ที่ไม่ใช่กับวัตถุขนาดเล็กอย่างอะตอม” คาร์ลอสยกมือถาม

“ในทางทฤษฎี แน่นอนครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ หลักๆ มีสองวิธี แบบรู้สถานะตั้งต้น และแบบไม่รู้สถานะตั้งต้น แต่การย้อนเวลากลับไปได้นั้น นักวิทยาศาสตร์คาดว่าไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้ เพียงแต่ได้ทราบถึงความอลวนของเหตุการณ์ ต้นตอของปัญหา เพราะไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็น grandfather paradox[1]” ไกด์วัยกลางคนเปิดระบบบางอย่างภายในห้อง เก้าอี้บุนวมตัวหนึ่งขยับออกมาตรงกลาง “เคยได้ยินคำว่า ปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก หรือ เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว กันหรือเปล่าครับ”

“การเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย อาจสร้างผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิมมากครับ” ลูคัสตอบ คุณไกด์ดีดนิ้วดังเป๊าะ

“วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เจ๋งมาก ว่าไหมครับ แต่เกรงว่ามันจะไม่ปรานีใคร[2]” ไกด์ผู้ชายเดินไปยืนอยู่หลังเก้าอี้ตัวนั้น ก่อนจะรับแว่นตาสีดำจากผู้ช่วยหญิงอีกคนในห้อง “มีใครอยากเริ่มเป็นคนแรกไหม”

 

αβΩ

 

“คุณเห็นอะไรบ้างครับ”

“ผมเห็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง มันเลือนรางมาก แล้วก็ไม่เห็นอะไรอีกเลยครับ”

“ของเล่นชิ้นนั้นมันเกี่ยวข้องกับคุณยังไงบ้าง คุณลูคัส”

“มันเป็นของเล่นชิ้นโปรดของผมตอนเด็กๆ”

“ผมคาดว่าที่คุณเห็นมันไม่ชัดเจนนัก เพราะคุณไม่ทราบสถานะตั้งต้นของมันอย่างชัดเจน หรือก็คือ คุณลืมไปแล้วว่าหน้าตาของมันจริงๆ เป็นยังไง”

“ครับ มันนานมากแล้ว ผมจำอะไรตอนนั้นแทบไม่ได้แล้ว”

ลูคัสบรรยายสิ่งที่ได้เห็น จากการทดลองสวมแว่นเมตาทรงเหลี่ยม นั่งเก้าอี้บุนวมตัวหนาดูนุ่มสบาย ด้านบนเพดานกลางหัวผู้นั่ง จะมีเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์แขวนอยู่ ลักษณะเหมือนแก้วน้ำเปล่ากลับหัว ถ้าไกด์ไม่บอกว่ามันคือเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ ฮันคงจะคิดว่ามันคือเครื่องอบไอน้ำผม เกรงว่านั่งไปมันจะตกลงมาทับหัวชอบกล

ไฟของห้องปฏิบัติการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล มันหรี่แสงลงเล็กน้อย ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ไม่เหมือนการทดลองเพื่อฝ่ามิติย้อนเวลาอย่างที่ฮันคิดเลยสักนิด

ไกด์อธิบายหลักการทำงานของมันอย่างคร่าวๆ ซึ่งฮันก็ฟังไม่ค่อยจะทันเท่าไร รู้เพียงว่าไอ้เจ้าเครื่องนี้สามารถย้อนเวลาถอยหลัง และเร่งเวลาไปข้างหน้าได้ ฟังดูคล้ายเครื่องเล่นวิดีโอ ต่างตรงที่วิดีโอจะต้องบันทึกเหตุการณ์นั้นไว้เพื่อกลับมาเปิดดู แต่เจ้าเครื่องนี้จะสามารถย้อนดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่มีลมหายใจ แน่นอนว่านี่เพิ่งเป็นเครื่องทดลอง ยังทำแบบนั้นไม่ได้ ยังต้องใช้การระบุสถานะตั้งต้นเพื่อย้อนกลับไปเห็นภาพในอดีตอย่างชัดเจนอีกครั้ง และการเร่งเวลาไปข้างหน้าเพื่อดูอนาคตก็เป็นเพียงการประมวลผลจากเรื่องราวปัจจุบันเท่านั้น

คุณไกด์บอกว่าบรรยากาศของห้องจำเป็นต้องทำให้รู้สึกสบายที่สุด เพื่อให้ผู้ทำการทดลองรู้สึกผ่อนคลาย สมองไม่ตึงเครียด การทำงานของระบบจึงจะเสถียร

“มีใครอยากลองอีกไหมครับ”

ฮันเหลือบมองเอมิลี่และคาร์ลอสที่ยังยืนนิ่ง ถ้ามีเวลามากพอก็คงจะได้ลองเครื่องย้อนเวลาจำลองกันทุกคน แต่คุณไกด์ก็ต้องไปแนะนำและให้ความรู้คนอื่นต่อเหมือนกัน ยิ่งเวลาเลยช่วงบ่ายแก่มาแล้ว ผู้คนทั่วไปนอกเหนือจากนักเรียน นักศึกษาก็ถึงเวลาเลิกงาน ตามซุ้มต่างๆ ภายในนิทรรศการข้างล่างยิ่งมีคนเยอะขึ้น

“ใครที่พอจะจำเหตุการณ์สักเหตุการณ์ในอดีตได้ ผลลัพธ์ที่ได้เห็นจะชัดเจนขึ้นเพราะรู้สถานะตั้งต้นครับ”

สถานะตั้งต้นที่ว่า คือสถานะตั้งต้นของระบบ อธิบายให้ง่ายกว่านั้น คือเราสามารถจำหรือรับรู้ช่วงเวลาที่จะย้อนกลับไปได้หรือไม่ ถ้าระบุได้อย่างชัดเจน ระบบก็จะรู้สถานะตั้งต้นที่จะย้อนกลับไป ถ้าจำไม่ได้มากนัก ผลลัพธ์ก็จะเหมือนกับลูคัสที่เห็นของเล่นในวัยเด็กของตัวเอง แต่เห็นเป็นภาพเลือนรางไม่ปะติดปะต่อ บอกไม่ได้ว่าของเล่นชิ้นนั้นอยู่ในสถานที่ไหน และช่วงเวลาที่ได้เห็นของชิ้นนั้นคือตอนไหน

วิธีแบบรู้สถานะตั้งต้นไม่ใช่วิธีใหม่ในวงการควอนตัม มันเปรียบได้กับการขับรถไปข้างหน้า แล้วเปลี่ยนเกียร์ขับรถถอยหลังย้อนกลับไปเส้นทางเดิม เพื่อให้รถกลับไปจอดที่เดิม จะบอกว่าเราย้อนเวลาเอาตัวเองกลับไปในอดีตก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก มันเหมือนมีสมการบางอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไขไม่ได้เช่นกัน

เอมิลี่ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณเพื่อนข้างกายลองเลย

“ให้ผมลอง” คาร์ลอสพูด ลูคัสจึงลุกจากเก้าอี้ ส่งแว่นเมตาไร้สายที่ถูกเชื่อมระบบกับเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ด้านบนให้ มันจะประมวลผลและส่งข้อมูลมายังแว่นตาของผู้สวมใส่

คาร์ลอสนั่งลงกับเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ มีที่วางแขนและเอนหลังได้สบาย รับหูฟังแบบครอบเพื่อตัดสัญญาณรบกวน เขายกมันขึ้นสวม ก่อนจะสวมแว่น คาร์ลอสสบตากับฮันอยู่วินาทีหนึ่ง เห็นคนตัวเล็กกว่าคลี่ยิ้มให้บางๆ เขาจึงหยิบมันขึ้นสวม

มือข้างหนึ่งถูกจับให้วางแนบกับหน้าจอบางอย่างข้างที่วางแขน มันแสกนลายนิ้วมือและชีพจร เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ คาร์ลอสได้ยินเสียงไกด์เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดสนิท

“นึกถึงช่วงเวลาที่คุณอยากย้อนกลับไป หรือช่วงเวลาในอนาคตที่คุณอยากรู้เอาไว้ให้ดี”

“...”

“จะเริ่มในสาม...สอง...หนึ่ง”

 

...

 

พลันทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ มืดสนิท คาร์ลอสมั่นใจว่าตัวเองลืมตาอยู่ทว่ามองไม่เห็นอะไรเลย เขาลองขยับแขนขึ้นดู พบว่ามันขยับได้ปกติ เขารับรู้ได้ถึงทุกสัมผัสที่แตะต้องใบหน้าของตัวเอง แต่กลับมองไม่เห็นสิ่งใด กระทั่งในวินาทีต่อมา

เขาเริ่มเห็นฝ่ามือตัวเองที่ยกขึ้นมาตรงหน้า ได้ยินเสียงฝนตกหนัก ท้องฟ้าคำรามพาให้สะดุ้ง เมื่อดวงตาเริ่มชินกับความมืด นั่นจึงทำให้คาร์ลอสได้รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ในตู้เสื้อผ้าที่ไหนสักแห่ง

ชายหนุ่มเห็นแสงที่ส่องผ่านบานประตูตู้เสื้อผ้าลอดเข้ามา เขาจึงค่อยๆ มองผ่านแสงนั้นออกไป เห็นเตียงนอนหลังใหญ่ เห็นกระเป๋าเดินทางที่กางอยู่บนนั้น เขางุนงงสุดขีดในตอนแรก พลางนึกให้ดีว่าตัวเองอยากจะเห็นอะไรมากที่สุด มันต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ นี่มันไม่เหมือนกับที่คิดไว้

ก่อนจะนึกได้ว่า วันที่เขาอยากเห็นมันเลือนรางในความทรงจำนัก แต่กลับมีคืนหนึ่งที่เขาจดจำมันได้อย่างชัดเจน วันที่เขาไม่คิดจะย้อนกลับมา

มันคือคืนนั้น วันที่ไม่เคยลืม แม้จะพยายามลืมมากแค่ไหน

มันก็คงเหมือนกับทุกคืนในช่วงฤดูฝน ผิดแปลกไปเล็กน้อยตรงที่ตกหนักกว่าทุกวัน พายุฝนฟ้าคะนองพาให้ลมกรรโชกแรง อากาศเย็นลงฉับพลัน

ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนอน เธอดึงเสื้อผ้าจากไม้แขวนลงมาอย่างลวกๆ โยนของมีค่าลงกระเป๋าเดินทางบนเตียงด้วยความรีบร้อน ไม่นานก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามากอดเธอจากข้างหลัง

มันเป็นคืนที่ฝนตกหนัก

“ไม่ไปนะ อย่าไป ไม่จริงใช่ไหม...ฮึก ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”

แต่คงไม่หนักเท่าน้ำตาที่ล้นเอ่อของเด็กชายคนนี้ แม้ว่าเสียงฟ้าฝนจะดังกลบทุกสรรพสิ่ง แต่ไม่ดังไปกว่าเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยและคำอ้อนวอน

“...” หญิงสาวไม่ตอบอะไร เธอทำเพียงหยุดยัดข้าวของลงกระเป๋า ยืนเม้มปากนิ่งอย่างพยายามอดกลั้น ปล่อยให้เด็กตัวเท่าเอวกอดรัดร้องไห้จ้าอยู่ด้านหลัง

“ผมขอร้อง อย่าทิ้งผม ผมทำอะไรผิดไป ฮึก...บอกผมสิครับ” เด็กชายที่มีเอกลักษณ์เป็นผมสีบลอนด์สว่างและดวงตาสีฟ้าสดใส ตอนนี้ร้องไห้สะอึกสะอื้นน่าเวทนา เกาะแข้งเกาะขาเพื่อขัดขวางไม่ให้เธอจัดกระเป๋าเสร็จ

หญิงสาวที่สวยราวกับนางฟ้าสูดหายใจลึก หันหลังกลับไปหา “ชู่ว...ไม่ร้องนะ ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่มีเลยจ้ะ”

เด็กน้อยผู้เป็นลูกส่ายหน้า น้ำหูน้ำตาไหลราวกับสายน้ำ “ฮือ...ไม่เอา...ผมจะเป็นเด็กดีนะ ฮึก แม่ฮะ...อย่าทิ้งผมให้อยู่กับ—”

ท้องฟ้าคืนนี้มืดหม่นกว่าทุกคืนเล็กน้อย

แต่เด็กชายรู้ ว่ามันคงไม่มืดไปกว่าหนทางที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้

“ลูกรัก แม่อยากให้รู้ว่าแม่รักลูกขนาดไหน แต่...แม่ต้องไปจริงๆ” เธอดึงหัวเด็กน้อยเข้ามาซบบ่า กอดกันแน่นอยู่อึดใจก็จำต้องผละออก

“ไม่มีใครรักผม...ฮือ...ไม่มีใครรักผมเหมือนแม่”

“อยู่กับพ่อ ลูกจะปลอดภัย”

“ไม่! ไม่อยู่! ผมจะไปกับแม่ ฮึก ฮือ...แม่!!”

เสียงร้องไห้โวยวายดังขึ้นกว่าเก่า เมื่อมีไฟหน้ารถส่องเข้ามาจากบานหน้าต่าง รถยนต์คันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบหน้าบ้าน นั่นเป็นสิ่งที่ตอกย้ำเด็กชายว่าคนเป็นแม่จะต้องจากไปจริงๆ

“แม่ขอโทษ” เธอพูดเพียงเท่านั้นแล้วหันไปรูดซิปกระเป๋าเดินทางอย่างเร่งรีบ ใบหน้าของเธอไม่มีน้ำตาเลยสักหยด แต่มันทำให้คนมองสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดเหลือคณา

“มันเป็นเพราะ...พ่อทำร้ายแม่ใช่ไหมฮะ อึก...ผมรู้ ผมรู้ว่าเขาตีแม่ ฮึก”

“ลูก...ไม่ควรมาเห็นอะไรแบบนี้เลย” หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาที่คลอหน่วย เธอดึงกระเป๋าลงจากเตียง วินาทีนั้นก็มีมือน้อยๆ มารั้งแขนเธอไว้แน่น

“ไม่! แม่ครับ...แม่ ฮึก ผมจะช่วย— ถ้า...ถ้าพ่อทำร้ายแม่อีก...ฮึก ผมจะห้ามเขา— ผมจะสู้กลับ...อึก จะไม่ให้เขามาทำร้ายแม่...ฮือ” เด็กน้อยพูดไป ปาดน้ำตาไปทาง พยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้น เพื่อพูดแต่ละประโยคให้ฟังรู้เรื่อง

“ไม่ ไม่ลูกรัก...นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กดีควรจะทำ” เธอนั่งลงให้ใบหน้าอยู่ในแนวเดียวกับลูกชาย เธอส่ายหน้าน้อยๆ เม้มปากแน่นยามที่ได้ยินลูกพูดแบบนั้น นิ้วมือเกลี่ยซับน้ำตาที่ข้างแก้มให้อย่างปลอบโยน “มันเป็นความผิดแม่เอง...ที่อ่อนแอ”

เสียงบีบแตรเป็นตัวเร่งให้หญิงสาวต้องผละออกมา เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตาลูกที่บีบมือเธอเอาไว้แน่น เด็กน้อยเบะปาก น้ำตาไหลพราก พยายามมองหน้าแม่แล้วส่ายหัวจนผมเส้นเล็กสะบัดไปมา

“ไม่...ไม่ ขอร้อง...ไม่”

“ลูกต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอแบบแม่...เข้าใจไหม”

“ผมจะเข้มแข็ง...จะไม่ให้แม่...ฮึก...อึก ถูกทำร้าย...อย่า อย่าไป อย่าไป!”

“แม่รักลูกนะ...คาร์ลอส

เธอออกไปแล้ว ปล่อยให้ลูกชายตัวน้อยที่พยายามวิ่งตามหลังรถล้มลงกับพื้น ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมอง เด็กน้อยตัวเปียกโชก ลุกขึ้นยืนใหม่แล้ววิ่งต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เมื่อรู้ว่ารถขับไกลออกไปจนลับสายตา ความหวังของเขาก็ดับสลาย โดนกลบด้วยสายฝนเจือน้ำตา

คาร์ลอสที่นั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดจากในตู้เสื้อผ้า เขารู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนี้จะทำต่อไปคืออะไร และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมตอนนี้ตัวเขาถึงมาอยู่ในนี้

สถานที่หลบภัยที่เงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว แต่ยังคงเจือกลิ่นของความหลัง

สถานที่ที่ยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่แม่ชอบใช้ กลิ่นเสื้อผ้าของเราเหมือนกัน แม่ให้เขาเลือก แต่เขาเลือกที่จะใช้กลิ่นแบบเดียวกับแม่ เพราะมันเป็นกลิ่นที่ผ่อนคลาย และมันเป็นกลิ่นที่แม่ชอบ

สถานที่ที่ยังหลงเหลือความทรงจำกับแม่ ยามที่เขาเลือกชุดไม่ได้เสียที แม่ก็จะคอยช่วยเลือกให้ เธอเก่งเรื่องพวกนี้ เราจะยืนอยู่หน้ากระจก แม่จะคอยทาบเสื้อบนตัวเขาเพื่อเปรียบเทียบว่าควรใส่ตัวไหน

เวลาเล่นซ่อนแอบ ที่หลบประจำของเขาอยู่ในนี้ แม่รู้อยู่แก่ใจว่าเขามักจะซ่อนตรงไหน แต่ก็ยังทำเป็นยื้อเวลาหาตรงอื่นก่อน

เด็กชายคาร์ลอสเดินกลับเข้าบ้านอันว่างเปล่า ผมสีบลอนด์ลู่ลงแนบกรอบหน้า น้ำฝนจากตัวหยดลงเต็มพื้นห้อง เขามองสมุดวาดภาพที่ยังระบายสีไม่เสร็จอยู่บนโต๊ะ นั่งลงบนเตียงอย่างไม่กลัวว่ามันจะเปียกชื้นจนถูกแม่ตำหนิ

เพราะไม่มีอีกแล้ว

คาร์ลอสเห็นตัวเองในวัยเก้าขวบมองมายังตู้เสื้อผ้า ดวงตาแดงก่ำ เสียงสะอึกสะอื้นในอกยังไม่หาย และเขารู้ได้ในทันทีว่าตัวเองในวัยเด็กมองมาตรงนี้ทำไม

อย่าเข้ามาหลบในนี้นะเด็กน้อย อย่าซ่อนตัวเองอีกเลย

คาร์ลอสหลับตาลง นั่นทำให้หยาดน้ำที่คลอหน่วยรินไหล ช่วงเวลานี้ช่างยาวนานเหลือเกิน ต่อให้ไม่ใช้เครื่องควอนตัม เขาก็จำมันได้เป็นฉากๆ ความมืดใต้เปลือกตามีการเคลื่อนไหว เสียงทุ้มที่ปลุกประสาทสัมผัสในกายทุกด้าน ทำให้เขาเบิกตาโพลง

คาร์ลอสไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดมิด ว่างเปล่า แต่เสียงที่ดังวนอยู่รอบตัวเหมือนมีใครเดินมาพูดใกล้ๆ หู ทำให้เขาสั่นอย่างห้ามไม่ได้

ไม่มีใครต้องการ...คนที่อ่อนแอ เขาเกลียดแกไปแล้ว เพราะแกมันอ่อนแอ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ

พวกโอเมกา...ทำตัวเป็นเห็บหมัดไล่เกาะคนที่แข็งแกร่งกว่า

เสียงที่เขาเกลียดและกลัว เสียงที่คอยบอกว่าต้องทำอะไร ห้ามทำอะไร เสียงที่เหมือนคำบัญชาการ เสียงที่ทำให้ยอมจำนน แม้ว่าอยากจะขัดขืนสักแค่ไหน

เขาเกลียดทุกอย่างที่ได้มาจากมัน ไม่ว่าจะเป็นเพศ รูปร่างหน้าตา ความคิดที่ถูกปั่นประสาทอยู่ทุกวันนี่ก็ด้วย

แม่จากไปนานนับวันเข้า ความหวังที่เธอจะกลับมายิ่งริบหรี่ลงทุกวัน จากที่ไม่เคยเชื่อว่าแม่ทิ้งครอบครัวไปมีคนใหม่ กลับกลายเป็นเริ่มเชื่อทีละนิด จนสนิทใจ

พวกเราหมดประโยชน์แล้ว มันถึงได้ทิ้งเราไป

โอเมกามันไม่ใช่พวกเดียวกับเรา...ไม่มีทางรู้ว่ามันจะใช้ฟีโรโมนมาเพื่อกล่อมให้เราตายใจเมื่อไร ระวังให้ดี

พ่อรู้ว่าแกเจ็บปวด แต่นี่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว

คาร์ลอสเกลียดทุกการกระทำของพ่อ เกลียดที่พ่อทำร้ายแม่ เกลียดทุกคำพูดที่ว่าร้ายป้ายสีแม่ แต่เขาก็เกลียดแม่ที่ไม่ยอมสู้ เกลียดที่แม่ยอมโดนตบตี เกลียดที่แม่ไม่เถียงเลยสักคำแม้ว่าเรื่องที่ทำจะไม่ได้ผิดอะไร

แต่เกลียดเหนือสิ่งอื่นใด คือเขาเกลียดตัวเอง

คาร์ลอสเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้น ได้แต่ยืนดูแม่ที่ถูกทุบตีอย่างเจ็บช้ำ เกลียดที่ตัวเองเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ อยากจะเข้าไปห้าม แต่เพียงได้กลิ่นฟีโรโมนกดข่มจากคนเป็นพ่อ เขาก็ยอมจำนนไม่ต่างอะไรจากคนอ่อนแอ

เขาก็คงไม่ต่างอะไรจากคนอ่อนแออย่างที่พ่อว่า เขาเกลียดคำว่าอ่อนแอ เกลียดที่โอเมกาอ่อนแอ เกลียดที่โลกนี้มีเพศรองเป็นสิ่งคอยกดคนให้ต่ำกว่าคนด้วยกัน เกลียดคนอ่อนแอที่ไม่ยอมสู้เพื่อตัวเอง เขาพาลเกลียดทุกอย่าง

แม้ปากจะบอกว่าเกลียดสักแค่ไหน แต่ความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจเขายังบอกว่าต้องตามหา คาร์ลอสฟังความข้างเดียวมาทั้งชีวิต เขาอยากรู้เหตุผลที่แท้จริง ที่ทำให้แม่ทิ้งไป

ในโลกที่กว้างใหญ่ใบนี้

คุณจะกำลังทำอะไรอยู่

คุณจะกำลังตามหาผมเหมือนกันไหม

คุณยังจะคิดถึงผม

เหมือนที่ผมคิดถึงคุณอยู่หรือเปล่า

ตอนนี้คุณจะอยู่ที่แห่งใด...

เขาตามหาแม่อยู่ทุกคืนในความฝัน แอบกลับบ้านที่มินนิโซตาทุกฤดูร้อน เพราะยังมีความหวังว่าสักวันหนึ่งกลับไปแล้วจะเห็นแม่ยืนอยู่ในครัว ทำอาหาร ร้องเพลงขณะทำความสะอาดบ้าน หรืออ่านหนังสือระหว่างรอเขากลับบ้านในสักวัน

แรงบีบรัดจากก้อนเนื้อในอกทำให้คาร์ลอสตัวงอ ความมืดมิดว่างเปล่าพลันเปลี่ยนเป็นสว่างจ้า แสงแดดส่องกระทบจนไม่อาจลืมตาในทันที รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งในสถานที่ไม่คุ้นตา

กลับมาแล้วครับคุณ

ซื้อของมาครบตามที่สั่งไหมคะ

คาร์ลอสได้ยินเสียงคนในบ้านคุยกัน ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เขาฟังไม่ออกเลยสักคำ แต่ประโยคที่พูดโดยผู้หญิงทำให้เขาขมวดคิ้วแน่นเมื่อคิดว่าตัวเองหูฝาดไป เสียงหวานนุ่มเหมือนใครบางคนทำให้เขาค่อยๆ ขยับตัวไปขวามือเล็กน้อย เพื่อมองลอดผ่านหน้าต่างเข้าไป

มองจากด้านนอก เขาเห็นเครื่องครัววางเรียงบนชั้น เห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งยืนบังใครอีกคน ก้อนเนื้อในอกของอัลฟาหนุ่มเต้นไม่เป็นส่ำ

“ถ้าเป็นอาหารฝรั่งนี่ยังไงก็ต้องยกให้คุณจริงๆ”

“แต่ลูกๆ ชอบกินอาหารแซ่บๆ แบบคุณมากกว่า ฉันรู้ คุณพอร์ช” ประโยคนั้นทำให้ชายวัยกลางคนหัวเราะ ยอมขยับตัวออกจากตรงนั้น และนั่นทำให้คาร์ลอสเห็นหน้าตาของผู้หญิงที่ยืนอยู่เสียที

“ครับๆ คุณแคโรไลน่าาา”

“Just Caroline not Carolinaaa”

แม่...

ผู้หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ในบ้านคือแม่ของเขาไม่ผิดแน่ คาร์ลอสมือสั่น ดวงตาเบิกโตสั่นระริก เขายืนขาแข็งทำอะไรไม่ถูกในวินาทีแรก ต่อให้จะผ่านไปเป็นสิบปี ต่อให้จะเริ่มมีรอยเหี่ยวย่นที่หางตา ต่อให้จะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขาก็จำใบหน้าผู้เป็นแม่ได้

สิ่งเดียวที่เขาได้มาจากแม่ คือชื่อที่ขึ้นต้นเหมือนกัน

คาร์ลอสดึงสติของตัวเอง เขาตัดสินใจวิ่งไปเคาะประตูบ้าน

ทว่า ก่อนจะได้ทำเช่นนั้น ทั้งตัวของเขาก็เหมือนถูกดึงกลับสู่สภาวะปกติ ปล่อยให้เสียงเคาะที่ลั่นไปแล้วหนึ่งครั้งฉงนคนในบ้าน

“เมื่อกี้คุณได้ยินเสียงอะไรไหม” ชายหนุ่มชะงัก มองหาต้นตอเสียง

“เดี๋ยวฉันออกไปดู ฝากคุณล้างหัวหอมที” แคโรไลน์เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน เดินออกจากครัวมาเปิดประตูบ้าน แล้วก็พบเพียงความว่างเปล่า

 

TBC

- ข้อมูลห้องปฏิบัติการเซิร์น อาจมีการปรับเปลี่ยน นำมาประยุกต์ใหม่ ไม่ใช่ fact ทั้งหมด หลักการและทฤษฎีต่างๆ ก็เช่นกันค่ะ ผิดถูกอย่างไรบอกกล่าวกันได้

ควอนตัมคอมพิวเตอร์ของ IBM | engadget.com

เอาละะะ ครึ่งหลังไม่รู้ว่าจะช่วยทำให้ใครหลายคนกระจ่างขึ้น หรือทำให้งงกว่าเดิม เหมือนจะเฉลย แต่ก็เหมือนจะมีปมใหม่อะไรมาอีก 55555555 รอติดตามเลยจ้า

- เคยมีคอมเมนต์ว่ารำคาญ character ฮัน เพราะดูไม่ฉลาดและคูล เหมือนสาวน้อยตกอยู่ในภวังค์รัก เราเลยอยากมาถามทุกคนว่าคิดเห็นอย่างไรบ้าง มีใครที่รำคาญบุคลิกฮันอีกไหม ส่วนเรามีคำถามเกิดขึ้นมากมายหลังเก็บไปนอนขบคิดมาทั้งคืนดังนี้ค่ะ

- เราตั้ง character ฮัน เป็น Non-binary (ไม่ระบุว่าเป็นชายหรือหญิง แต่งตัวยังไงก็ได้ไม่แบ่งแยกเพศ สามารถแต่งหน้า ใส่กระโปรงได้ แต่น้องคิดว่าไม่ใช่สไตล์น้องก็เลยไม่ใส่ แล้วอย่าว่าแต่แต่งหน้าเลย แค่เวลาตบครีมกันแดดให้เข้าหน้ายังมั่ยมีเรย) เป็นคนที่เก่งด้านสายศิลป์ พูดได้ 5 ภาษา อังกฤษ เกาหลี ไทย จีน ฝรั่งเศส ชอบวาดรูปแต่เด็ก เป็นคนนุ่มนิ่ม (แต่น้องไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักจริง) รักษ์โลก รักสัตว์ ใจดี แต่เวลาเจอคนชั่วก็ไม่ยอมจำนนเหมือนกัน ซึ่งในเรื่องน้องแทบไม่เจอคนไม่ดีเลย ยกเว้นตอนเด็กๆ (แน่นอนว่าตอนนั้นยังเป็นเด็ก ต่อให้จะห้าวด่องๆ แค่ไหน ก็สู้แรงบูลลี่ด้วยตัวคนเดียวไม่ไหว) แล้วก็พระเอกที่ปากหมาชอบว่าร้ายน้องในตอนแรกๆ ที่น้องไม่เชิดใส่ ไม่ตอกกลับ ไม่รู้ว่าทุกคนตีความได้ไหมว่าทำไมน้องไม่ร้ายกลับ ในมุมเรา ใจน้องฮันมันเหมือนลอยไปหาเขาตั้งแต่ครั้งไหนแล้วก็ไม่รู้ ขนาดเจอครั้งแรก โดนด่าขนาดนั้น น้องยังอยากช่วยเต็มที่เลย หรือเพราะตรงจุดนี้ ที่ทำให้ตัวละครฮันถึงดูไม่คูลไปเลย

- คำถามแรกคือ ทุกคนมองว่าคาแรคเตอร์ของฮัน ในจินตนาการของทุกคน เหมือนแบบที่เราอธิบายไปข้างบนไหม หรือมองว่าฮันดูไม่ฉลาดจริงๆ เพราะอะไร ทั้งๆ ที่พูดได้ 5 ภาษา สอบเข้าในมหา'ลัยชั้นนำระดับโลกได้ เพราะน้องดูงงๆ กับระบบเลือกพาร์ตเนอร์ แล้วก็ไม่เข้าใจที่คาร์ลอสอธิบายหลักการทำงานของมันหรือ?

- ฮันดูไม่คูลเพราะอะไร เพราะเป็นคนซื่อตรงกับความรู้สึกตัวเองเกินไป รู้สึกว่าใจมันร้องเรียกหาแต่คาร์ลอส ก็อยากไปหาแต่เขา นึกถึงแต่เขา ไม่ได้วางฟอร์ม มาดเยอะ ก็เลยดูไม่คูล เท่าคาร์ลอสคนที่ไม่รู้ใจตัวเองแต่แรก หรือ?

- และความรู้สึกเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์รัก เราอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร ทุกคนมีความรู้สึกนี้ได้นะ อาการนี้สามารถใช้คำว่าอาการคลั่งรักได้ ทุกคนลองนึกตาม ถ้าเป็นพระเอกมีอาการนี้ ผู้คนจะเรียกว่า พระเอกคลั่งรัก (ฟังดูเชิงบวก) ในขณะถ้าคนที่มีอาการนี้เป็นฮัน ทุกคนทราบกันดีว่าน้องเป็นฝ่ายรับ ถ้าคนที่มีอาการนี้เป็นผู้หญิง หรือฝ่ายรับ (ซึ่งคนมักมองฝ่ายรับในเชิงอ่อนด้อยกว่าฝ่ายรุก) ก็เลยไม่โอเคที่คนกลุ่มนี้จะมีอาการคลั่งรักบ้างหรือ?

- หรือนี่เป็นเพียง misogyny (ความเกลียดชังต่อผู้หญิง ความเป็น feminine ทั้งหมด) ที่คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัว ตัวอย่าง ถ้าพระเอกมีความ feminine สูง (แต่งหน้า แต่งตัว พูดคะขา) ทุกคนจะเรียกพระเอกไทป์นี้ว่าผัวออกสาว ในขณะเดียวกัน ถ้าเป็นฝ่ายนางเอก นายเอก มีความ feminine สูง หลายคนจะรู้สึกไม่พอใจเอาซะง่ายๆ โดยบอกไม่ได้ว่าทำไมถึงรำคาญ ทำไมถึงไม่ชอบ เพราะอ่อนแอ? งอแง? เสียน้ำตาง่าย? ใจง่าย? ในกรณีของผู้ชายที่มีความ masculine สูง กลับไม่มีใครมองว่าน่ารำคาญเพราะดูเป็นผู้ชายเกินไป แข็งแรงเกิน ห้าวเกิน (ใครเคยเจอคนบ่นรำคาญพระเอกที่ดูแข็งแรงและมีความแมนเกินไป บอกได้)

- ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่เราอยากจะสื่อจากที่พูดมาทั้งหมดคือ ในขณะที่เราบอกว่ายอมรับความแตกต่างหลากหลาย เรากำลังทำอะไรที่ทำลายและจำกัดขอบเขตให้กับสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า

ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ มาช่วยกันถก และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสุภาพ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาอ่านต่อไปค่ะ

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU

หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!

เชิงอรรถ

  1. ^ ปฏิทรรศน์คุณปู่ หรือ การย้อนเวลาฆ่าคุณปู่ (grandfather paradox) คือทฤษฎีที่ถ้าเราย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ก่อนจะมีลูก จะทำให้พ่อและตัวเราไม่สามารถเกิดมาได้ เมื่อเราไม่ได้เกิดมา ก็จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปฆ่าปู่ได้ เป็นข้อความที่มีตรรกะถูกต้องแต่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง
  2. ^ ประโยคหนึ่งจากซีรีส์ “Stranger Things” Season one, Chapter five—The Flea And The Acrobat