22 ตอน XX ความจริงไม่อาจฝืน
โดย FIT FOR FINE
Listen to this for your อรรถรสในการอ่าน
Young the Giant - Mind Over Matter
XX
ความจริงไม่อาจฝืน
Photo by Morgan Thompson on Unsplash
Mind over matter,
You know you're on my mind
And if the world don't break
I'll be shakin' it
And when the seasons change
Will you stand by me
'Cause I'm a young man built to fall
[มันสำเร็จมานานแล้ว ทางเซิร์นก็ดูปกติดีไม่มีอะไร เขาเป็นแค่องค์กรวิจัยให้รัฐบาลต่างๆ แต่เหมือนจะถูกกดดันจากใครให้ปกปิดเรื่องนี้ไว้ ถ้าเอาจากข้อมูลที่ได้มา คนที่ดูจะมีส่วนมากสุด...รัฐบาลสหรัฐ]
“...”
[แต่กูไม่มั่นใจนะว่าเกี่ยวกับทางลุงมึงไหม]
“ก่อนจะทำอะไรให้คำนึงถึงผลประโยชน์”
[อะไรนะ กูไม่เข้าใจ]
ภายในห้องพักของโรงแรมสี่ดาวมืดสลัว ผ้าม่านปิดเกือบสนิทเพื่อให้คนบนเตียงนอนหลับสนิทไม่มีอะไรไปรบกวน สิ่งที่เคลื่อนไหวมีเพียงชายหนุ่มตัวสูงที่ยืนพิงขอบกระจกหันหน้าออกไปมองนอกระเบียง เห็นแสงสีของตัวเมืองอยู่ไกลๆ และมีเพียงแสงจากเอฟอร์สที่กำลังวิดีโอคอลกลุ่ม
คาร์ลอสหันกลับไปมองคนบนเตียงที่หลับปุ๋ยเป็นระยะ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะสะดุ้งตื่น กระหายน้ำ ไม่สบายตัว ปวดหัวเป็นไข้ หรือต้องการอะไรกลางดึก
เขาเห็นดวงตาอันบวมช้ำ ไม่ต่างจากริมฝีปากอิ่มที่มีบางจุดปริแตก เห็นร่องรอยขบเม้มเป็นจ้ำตามร่างกาย โดยเฉพาะรอยแดงตรงบั้นท้ายของอีกฝ่าย
อัลฟาหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่
รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้ตนเองผิดปกติ แต่ก็ไม่เตรียมพร้อมรับมือมาล่วงหน้า หรือหาวิธีป้องกันไม่ให้ตัวเองรัทที่รอบคอบกว่านี้ ช่วงรัทของเขาไว้ใจไม่ได้ตั้งแต่เจอฮันครั้งแรกที่มหาวิทยาลัย มันเป็นเพราะความชะล่าใจ เพียงเพราะฮันบอกว่าไม่เป็นไร เพียงเพราะคำว่า ‘เชื่อใจ’ ที่อีกฝ่ายมอบให้
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยมีช่วงรัทผิดปกติเลย แต่ปีหนึ่งก็มีเพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ซึ่งก็จะอยู่ในช่วงปลายปีในฤดูกาลรัทของตน
เขากินยาแก้รัทมาทุกปีตั้งแต่อายุ 15 เพราะไม่ได้รู้สึกสนุกสนานกับการออกไปหาคู่นอนเหมือนคนอื่น เพื่อนมันยังบอกว่าเขาบ้า ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยไม่ว่าจะกับใคร ไม่ว่าคนผู้นั้นจะสวยหล่อขนาดไหน หนำซ้ำถ้าคนผู้นั้นมีเพศรองเป็นโอเมกา แล้วเข้ามายั่วยวนเขา นอกจากจะไม่เผลอคล้อยตาม ยังแสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์
แต่นี่อะไร...แค่นึกถึงหน้าฮันร่างกายมันก็ร้อนขึ้น และร้อนขึ้นกว่าเดิมจนแทบควบคุมไม่ไหว หลายครั้งที่เผลอปล่อยฟีโรโมนตัวเองจนเกือบคุมไว้ไม่อยู่
เหมือนกับว่าฮันมากระตุ้นอะไรบางอย่างจากเขา และเราก็ต่างกระตุ้นอะไรบางอย่างของกันและกัน ทุกอย่างมันดึงดูดไม่ต่างจากแม่เหล็กขั้วตรงข้าม
อยากจะติดหนึบไปทุกที่...
อยากจะฝากฝังร่างกายให้อยู่ในช่องทางอุ่นตลอดเวลา...
ทุกครั้งที่สอดใส่...ความร้อนข้างในราวกับจะหลอมตัวตนของเขาให้ละลาย
อยากกดปลายหัวย้ำกับปุ่มกระสัน เอาให้ฮันตัวสั่นงันงก และ ‘เอา’ จนกว่าฮันจะอยากไม่ไหว กระวนกระวายในกามจนต้องเป็นฝ่ายขยับสะโพกกระทั่งควบคุมจังหวะด้วยตัวเอง
ซึ่งความอยากนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นการกระทำ
อัลฟาหนุ่มกดดันมานาน และเก็บความอัดอั้นเอาไว้นานมากเกินไป มากจนเมื่อได้สมใจ...มันก็หยุดไม่อยู่
คาร์ลอสหยุดมันไม่ได้จริงๆ ปกติก็เป็นคนเสร็จยากอยู่แล้ว คงเพราะการใช้ยากดอารมณ์มาตั้งแต่เด็กทำให้ร่างกายปรับฮอร์โมนไม่ทัน ไหนจะการถูกดึงความอยากภายในด้วยฟีโรโมนหอมหวนยั่วน้ำลาย
บวกกับความรู้สึกรัก หวงแหน โหยหายนี่ก็ด้วย ดังนั้น กว่าเขาจะเสร็จก็เป็นตอนที่ทั้งห้องตกอยู่ใต้ความมืดยามค่ำคืน หลังถึงจุดสุดยอดอย่างเต็มอัตรา เขาก็หลั่งมากกว่าปกติ
คาร์ลอสได้สติในตอนนั้น ตอนที่ลืมตาขึ้นมาเห็นฮัน ไนท์สลบเหมือดอยู่ในอ้อมอก ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแดง รอยขบเม้ม คราบน้ำอะไรต่อมิอะไรกระจัดกระจายตามร่างกาย และสิ่งที่ทำให้อัลฟาหนุ่มช็อกที่สุดคงจะเป็น...
น้ำที่เขาหลั่งรินด้วยความเสร็จสมอารมณ์หมาย...มันเปรอะเปื้อนไปตามริมฝีปากและใบหน้าของฮัน
เขาทำให้อีกฝ่าย ‘สกปรก’ ไปด้วยน้ำรักของตัวเอง อัลฟาที่ไม่เคยผ่านการร่วมรักกับใคร พอได้ระบายทีก็ปล่อยออกมามาก ทั้งคาว ทั้งขุ่น ทั้งเหนียวหนืด
คาร์ลอสกร่นด่าตัวเองซ้ำๆ ระหว่างอาบน้ำให้โอเมกาที่ตัวอ่อนปวกเปียก แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า...มันช่างเป็นภาพที่อีโรติกอย่างน่าประหลาด แต่แค่คิดว่ากำลังมีอารมณ์กับการได้เห็นคนรักสกปรกด้วยน้ำมือตน อัลฟาหนุ่มก็ทุบอกชกหัวตัวเองไปอีกรอบ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการร่วมรักอันเปี่ยมไปด้วยกามารมณ์ ตัณหาราคะ และการเปลี่ยนท่าทางไปร้อยแปดท่าโดยไม่ยอมให้อวัยวะสืบพันธุ์หลุดจากกัน มันแทบจะไม่ต่างจากสัตว์
จากเที่ยงวัน...ยันเที่ยงคืน
ไม่ต่างจากหมาติดสัด
อยากขอบคุณเทคโนโลยีการผลิตถุงยางสมัยนี้ที่มีความทนทานมาก เพราะมันช่วยให้คนที่เสร็จยากอย่างเขาไม่ต้องเสียจังหวะไปเปลี่ยนบ่อยๆ และต่อให้จะผ่านการกระแทก เสียดสีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็ยังไม่ขาดไปง่ายๆ
[มึงถอนหายใจรอบที่ล้านแล้วค่า สรุปลูกกูยังไม่ตายเนอะ] เอมิลี่สังเกตเห็นเพื่อนตัวเองที่ชะเง้อไปทางเตียงที ถอนหายใจที ก็อดถามย้ำไม่ได้เพื่อความมั่นใจ
“...” อัลฟาหนุ่มไม่ตอบ มีเพียงใบหน้าที่เคร่งเครียด
[ไอ้คาร์ลอส] เอมิลี่กดเสียงต่ำ
“ยัง...กูก็ไม่ได้บ้าขนาดนั้น”
[แต่มึงมันหมาบ้าเก็บกด ไอ้เวร มึงคงไม่ได้กัดฮันใช่ไหม] เอมิลี่หรี่ตา
พวกเขาต่างรู้ดีว่าอัลฟา เวลาได้เผลอกัดสักที ร่างกายจะถูกสั่งการโดยสมอง เพราะพวกเขายังมีเชื้อสายมาจากยีนส์มนุษย์เริ่มแรกคงเหลืออยู่ การกัดต่อมฟีโรโมนของโอเมกาในยุคก่อนคือการทำพันธะสัญญา
หรือการพันธนาการให้คนคนหนึ่งไร้อิสระในชีวิต
สมัยนี้ที่ยีนส์มนุษย์ถูกปรับปรุงแล้ว แต่สัญชาตญาณก็ไม่ได้หายไปทั้งหมด ดังนั้น ถ้าอัลฟาได้ลองกัดคอโอเมกาสักครั้ง...อาจคลั่งได้ไม่ต่างจากหมาบ้าของแท้
“...”
[ไอ้เชี่ย...ลูกกูก็ตัวแค่นั้น นี่มึง— ไอ้เวร ไอ้ฉิบหาย ไหนขอกูคุยกับหนูลูก—]
“เอมิลี่” คาร์ลอสรีบเรียกเพื่อนให้ตั้งสติ “ฮันโอเค เขาหลับอยู่ กูไม่อยากกวน ทั้งวันแล้วเขายังไม่ได้พักเลย”
[ทั้งวัน!! นี่มึงทำลูกกูทั้งวันเลยเหรอ! กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าหัดช่วยตัวเองบ้าง ตอนนี้เป็นไง พอได้ระบายแล้วแม่งยั้งตัวไม่อยู่เนี่ย ถ้ามึงรัทขึ้นมาแล้วจะยิ่งไปกันใหญ่ กูพูดเลย— เดี๋ยวนะ...เดี๋ยว— เดี๋ยวนะ!!] เอมิลี่ด่ารัวๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนตัวเขื่อง
เป็นจังหวะเดียวกับที่โจเซฟและลูคัสเข้ามาร่วมสาย
[ไหนใครรัทอะไรนะ]
[อะไรกันพี่]
[มึงช่วยบอกกูทีว่ามึงไม่ได้รัท...ไอ้ผีห่าซาตาน คาร์ลอส เอลเลียต โฮล์มส์] เอมิลี่ถามเสียงต่ำ ลูคัสและโจเซฟเดาได้ทันทีว่าใครไปทำอะไรมา
เห็นหน้าแต่ละคนที่จ้องมาอย่างรอคอยคำตอบ คาร์ลอสก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิ้วหัวแม่มือนวดหว่างคิ้วที่ขดเข้าหากันแน่น
“แค่นี้กูก็รู้สึกแย่จะตายอยู่แล้ว ขอเถอะ อย่าเพิ่งซ้ำเติม แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องขอโทษเขายังไง ฮันตื่นมาแล้วจะอยากมองหน้ากูไหม...ยังไม่รู้เลย”
[...] ทุกคนในสายเงียบเพราะรู้สึกได้จริงๆ ว่าหนุ่มผมบลอนด์เครียดขนาดไหน โจเซฟปรับโหมดจากที่ปกติเป็นคนขี้เล่น ตอนนี้พูดเสียงจริงจังขึ้น
[ได้คุยกันก่อนหรือเปล่าว่าถ้ารัทขึ้นมาจะทำยังไง เขายอมไหม แล้วปฏิกิริยาเขาเป็นยังไง ตอนทำมึงยังมีสติไหม หรือจำอะไรได้บ้าง]
“คุยแล้ว เขาบอกว่าอยากจะรัทก็รัทเลย แต่พวกมึงก็รู้ใช่ไหมว่ากูไม่ได้อยากรัท...แม่งเอ๊ย” คาร์ลอสขยี้ผมอย่างคนหัวเสีย “ต่อให้ฮันบอกว่าโอเค แต่กูรู้ว่ามันไม่โอเค ขนาดกูยังไม่เชื่อใจตัวเองเลยว่ารอบหน้าจะพลั้งมือเผลอทำร้ายเขาไปอีกไหม มันจะหนักกว่านี้ไหม แล้วถ้ากูกลายเป็นคนละคนไปแล้ว เขาจะยังรับกูได้อยู่หรือเปล่า แม่ง...”
ทุกคนทำหน้าเครียด เพราะต่างรู้ว่าสัญชาตญาณอัลฟามันไม่ใช่เรื่องตลก พวกเขาถูกสร้างมาเพื่อให้สืบสายพันธุ์ ต่อให้จะบอกว่าเป็นมนุษย์ที่มีความคิด มีสติสัมปชัญญะ แต่พวกเขาก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
และฤดูการรัทของอัลฟาก็คือการดึงด้านมืดส่วนนั้นออกมา หลายต่อหลายคู่ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ หลายต่อหลายคู่เลิกรา และหลายต่อหลายคนที่ต้องสูญเสียคนรัก
สำหรับคาร์ลอส อย่างสุดท้ายน่ากลัวที่สุดสำหรับเขา แค่คิดก็สะเทือนไปทั้งจิตใจ ไม่ใช่เพราะต้องโดนโทษอาชญากรรม ไม่ใช่เพราะต้องติดคุกแม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่คิดว่าจะต้องเสียฮันไปด้วยน้ำมือของตัวเอง...ก้อนเนื้อในอกก็บีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก
ฆ่ากันเลยเสียดีกว่า
ยุคเริ่มต้นที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้มีการป้องกัน มีข่าวโอเมกาเสียชีวิตรายวัน...เพราะอัลฟา
สรุปแล้วมนุษย์กำลังสร้างสังคมที่ดีขึ้น หรือทำให้มันแย่ลงกันแน่
[มึงรู้ตัวอยู่ไหม ถ้ายังรู้ตัว จำได้ว่าทำอะไรไปบ้าง กูว่าไม่น่าเป็นห่วงเท่าจำอะไรไม่ได้เลย...อย่างน้อยๆ จบจากทริปนี้กลับไปปรึกษาหมอได้] เอมิลี่ว่า ลูคัสพยักหน้าก่อนเสริม
[เดี๋ยวนี้หมอเขาเก่งครับ ช่วยวางแผนอนาคตให้เสร็จสรรพเลยด้วย คนจะมีครอบครัว ความมั่นคงและความรอบคอบสำคัญมาก อัลฟาบางคนช่วงรัทบางปีมา บางปีไม่มา แต่มาทีคลุ้มคลั่งกลายเป็นคนละคน คุณหมอเขาก็มีโปรแกรมช่วยทำให้ฮอร์โมนกลับมาเป็นปกติ พี่คาร์ลอสอย่ากังวลไปเลย มันหายได้นะ]
“อือ...ขอบใจพวกมึงมาก” พอนึกถึงกระบวนการรักษา นึกถึงการวางแผนครอบครัวระยะยาว อัลฟาหนุ่มถึงดึงสติตัวเองกลับมาได้
อยากอยู่ด้วยกันแบบยั่งยืน ก็ต้องนิ่งกว่านี้ให้ได้ ต้องวางแผน ต้องรอบคอบ ทำให้มั่นใจว่าตัวเองจะดูแลฮันในอนาคตได้อย่างเต็มความสามารถ จะไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบาก หรือรู้สึกเสียใจแม้สักวันที่ได้อยู่กับเขา
[สรุปแล้วยังไง ทฤษฎีย้อนเวลาไม่ได้เป็นแค่ทฤษฎีแล้วถูกไหม] โจเซฟเข้าเรื่องที่ทำให้พวกเขาประชุมสายด้วยกัน
[สำเร็จแบบไม่ได้ผ่านแค่การทดลองเบื้องต้น แต่เอามาใช้ได้จริงทันที มึงว่ามันไม่แปลกเหรอที่ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้สำเร็จแต่ไม่ออกแถลงการณ์]
[ผมว่าไม่น่าแปลกใจนะ เพราะมันเป็นเรื่องเปลี่ยนโลกนี่แหละ มันถึงต้องเจรจากันก่อนว่าใครแย่งจะอภิสิทธิ์ไปเป็นเจ้าของ ใครให้ผลตอบแทนมากกว่าใคร แล้วสิ่งที่จะเอาไปต่อยอดหลังจากนี้เป็นประโยชน์มากแค่ไหน เจ้าไหนให้ผลประโยชน์ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมองความเสี่ยงด้วยว่าองค์กรที่นำองค์ความรู้นี้ไปใช้จะไม่ปกปิด ครอบครอง หรือผูกขาดผลประโยชน์ไว้เพียงผู้เดียว...ไหนจะผลกระทบมากมายที่อาจตามมาหลังจากนี้อีก อย่าลืมนะพี่ว่าต่อจะให้วิจัยกันมานับร้อยปี แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับโลกของเราอยู่ดี]
ลูคัสว่า ชวนให้คนอื่นคิดตาม ซึ่งสิ่งที่ว่ามาก็มีความเป็นไปได้สูง โลกของเราดำเนินไปด้วยเงิน อำนาจ มูลค่าที่ผู้คนจะมอบให้ คำว่า ‘จะมาเปลี่ยนโลก’ เป็นเพียงคำสวยหรูเพื่อให้คนจำนวน 1% ของโลกดูดีก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วคนพวกนี้ก็หาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวอยู่ดี
[คงไม่เกี่ยวกับรัฐบาลสหรัฐหรอกนะ] โจเซฟเดาเล่นๆ แต่เห็นหน้าเอมิลี่กับคาร์ลอสแล้วถึงได้ขมวดคิ้ว [กูถามจริง รัฐบาลเรามีอะไรที่ไม่เหี้ยบ้าง]
[ยังไม่ชัวร์] เอมิลี่พูด แสงจากหน้าจอแล็ปท็อปกระทบใบหน้า สาวผมฟ้าขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังตอบข้อความของใครบางคน
“ถ้าตามที่ลูคัสว่ามา เป็นไปได้สูงที่จะมีครอบครัวกูไปเกี่ยว”
[อะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น] โจเซฟเท้าคาง ส่วนลูคัสเลิกคิ้ว
[แป๊บนะพวกมึงเดี๋ยวกูโทรกลับ] ส่วนเอมิลี่ออกจากสายไปกะทันหัน
“จะทำอะไรต้องดูผลประโยชน์เป็นหลัก นั่นคือคำที่เขาสอนกูมา”
[แล้ว?]
“หลักการคิดของครอบครัวฝั่งพ่อกู ก่อนจะตัดสินใจทำอะไรต้องนึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้คืนมาเป็นหลัก หมายความว่าถ้าพวกเขากำลังจะทำอะไรกับงานวิจัยนี้...เขาต้องเล็งเห็นอะไรที่จะสร้างผลตอบแทนให้เขาได้อย่างคุ้มค่า”
[อยากเพิ่มอำนาจหรือชื่อเสียงให้บริษัทเมตาหรือเปล่าพี่] ลูคัสเอ่ยถาม
“ไม่น่าใช่แค่นั้น”
[ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าโปรเจ็กต์เราขาดอะไรไป ทำไมมันถึงไม่สำเร็จ เราคำนวณพลาดจากองค์กรนั้นไปตรงไหน สรุปแล้วเส้นของเวลามันเดินยังไง เดินไปข้างหน้าไม่อาจย้อนคืน หรือถ้าเราพยายามย้อนกลับไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ทำยังไงไม่ให้ตัวเราหลุดไปในห้วงเวลานั้นตลอดกาล]
“อนันต์”
[???]
“มิติคู่ขนานเป็นอนันต์”
αβΩ
...ปวด...
...เมื่อย...
…ไม่มีแรงขยับ...
เสียงครางแผ่วเบาเรียกให้ชายหนุ่มที่นั่งผงกหัวสะดุ้งตื่น
“ฮัน ตื่นแล้วเหรอ” คาร์ลอสรีบหันไปมองคนที่เปลือกตาขยับ แต่ยังไม่ยอมลืมตาสักที มือเรียวยกขึ้นแตะหัวตัวเอง
“อือ...”
“เป็นยังไงครับ ปวดตรงไหนบ้าง เจ็บคอหรือเปล่า เอาน้ำไหม ตัวเธอไม่ได้ร้อนอะไร หิวไหมครับ กินอะไรไหม” คาร์ลอสแนบหลังมือลงหน้าผากมน และตามลำคอ ตัวอุ่นๆ บอกไม่ได้แน่ชัดว่าป่วยหรือไม่
“ซีแอล...” เสียงแหบแห้งราวกับคนขาดน้ำหลายชั่วโมงเอ่ยเรียก ซึ่งฮันก็ไม่แปลกใจกับเสียงตัวเอง ก็มันผ่านการทำกิจกรรมไปกี่ชั่วโมงไม่อาจทราบ
มีแต่น้ำออกจากร่าง ไม่มีน้ำเข้า ไหนจะร้องครางเสียงหลงไปตั้งเท่าไร...ถ้ายังเสียงใสได้นี่ถือว่าแปลก
“ครับที่รัก ว่า’ไง” คาร์ลอสลูบผมนิ่ม เห็นโอเมกาน้อยครางเครือเหมือนแมวตัวเล็กแล้วอดจะกดจูบข้างกระหม่อมไม่ได้
“เราลุกไม่ขึ้น...ขอน้ำหน่อยได้ไหม”
คาร์ลอสประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงให้ซบอกตัวเอง ยกแก้วน้ำที่รินรออยู่ก่อนแล้วมาให้
ฮันรู้สึกดีขึ้นหลังจากดื่มน้ำหมดแก้ว เปลือกตาเนียนราวกับไข่มุกสามารถลืมได้เต็มหน่วย ก่อนจะโฟกัสกับภาพตรงหน้า เห็นตัวเองนอนซบไหล่กว้างบนเตียงของอัลฟาฟีโรโมนชวนผ่อนคลาย
“เราหลับไปนานมากไหม”
“ประมาณเก้าชั่วโมง...ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าเลย นี่ขนาดไม่ใกล้ช่วงเดือนรัท ฉันยังควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ครั้งต่อไปถ้ามันหนักขึ้น ถ้าฉันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถ้าฉันหน้ามืดจนไม่ได้ยินเสียงเธอพูด...ถ้าฉันทำร้าย—”
“ซีแอล” มือนิ่มยกขึ้นแนบกรอบหน้าคม ดึงสติของคนที่กำลังจะโทษตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง ฮันพรูลมหายใจออกน้อยๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เอา อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“ฉันขอโทษ” คาร์ลอสจับฝ่ามือข้างนั้นมาพรมจูบอย่างอ่อนโยน
“เราโอเค” ฮันพูดด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเสียงที่ออกมาจะแหบแห้งจนคนฟังใจเจ็บก็ตามแต่
“เธอไม่โอเค ดูสภาพเธอสิ”
“มันแค่ครั้งแรก อย่าลืมสิว่าเราเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกาย ทำอะไรก็เหนื่อยง่าย...แต่ถ้าทำบ่อยๆ เดี๋ยวเราก็ชินเองแหละ”
“ยังจะพูดดีอีก...ดูคอเธอสิ เจ็บมากหรือเปล่า ฉันทายาให้แล้ว เดี๋ยวหาแผ่นแปะแผลมาให้นะ” คาร์ลอสทำท่าจะผละออก แต่โอเมกาน้อยจับแขนเอาไว้
“อย่าเพิ่งไป...กอดเราสักพักได้ไหม” ฮันไถแก้มลงกับอกแกร่ง
“ครับ ตามใจเธอ” เจ้าของอกให้เธอซบก็ได้แต่ตามใจ เห็นต้นคอและท้ายทอยคนตัวเล็กกว่าขึ้นรอยเป็นจ้ำๆ แล้วก็ปวดใจ
นิ้วหัวแม่มือไม่กล้าแม้แต่จะเกลี่ยกับรอยแดงนั้นเพราะกลัวอีกฝ่ายเจ็บ ซึ่งฮันก็สังเกตได้ โอบแขนรัดเอวสอบแน่น
“เราโอเคจริงๆ นะ...ก็เราเป็นคนบอกให้ซีแอลกัดเองนี่นา”
“ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนะฮัน ยังดีที่ฉันไม่ได้คลั่งจนจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรลงไปบ้าง ให้ตายสิ...ขนาดรู้ตัวว่าทำอะไรไปบ้าง ฉันยังยั้งแรงตีก้น— ตีเธอ...ไม่ได้อยู่เลย” อัลฟาหนุ่มพูดเองก็อายเอง กกหูและลำคอขึ้นเลือดฝาด “คงเจ็บมากเลยใช่ไหม ขอโทษนะที่ทำให้ต้องมาเห็นด้านนี้ของฉัน”
“เราชอบ” ฮันพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“ครับ?”
“เราชอบซีแอลเวอร์ชันเมื่อคืนนะ” ฮันช้อนหน้ามองตาแป๋วแหวว ทำมือปูไต่บนหน้าท้องแกร่ง ก่อนจะกระซิบเสียงพร่า “เสียวดีง่ะ”
“!! เธอครับ พอเลย! นอนพักไปเลย ฉันจะไปเอาอาหารมาให้”
“อะโด่วเอ๊ย แค่นี้ทำเปงเขิน ทีเมื่อคืนซอยเอาๆ”
“ไม่ฟังแล้ว” อัลฟาตัวสูงหน้าแดงไม่ต่างจากตำลึงสุก ผละออกจากเตียงอย่างเร่งรีบ นั่นทำให้ฮันไร้ที่พึ่งพิงไปชั่วขณะ ร่างปวกเปียกล้มตัวลงบนหมอนนุ่ม แต่ก็ขอได้แกล้งอีกสักหน่อยเถอะ
ฮันทำท่าโอดโอย “โอ๊ย...เวียนหัว”
“ฮัน! เป็นอะไรมากไหม ฉันขอโทษ เธอเจ็บตรงไหน—”
จุ๊บ
คนที่ปรี่เข้ามาหาถึงกับชะงัก เมื่อโอเมกาตัวแสบกดจูบข้างแก้มแบบไม่ทันให้ตั้งตัว คนที่กำลังเป็นห่วงจนหน้าเครียดไปไม่เป็น ได้แต่ค้างอยู่ในท่าเดิมจนมีเสียงหัวเราะขี้เล่นลอยมา
“น่ารักอะ แข็งเป็นหินเลย” ฮันหัวเราะเสียงขึ้นจมูก นิ้วชี้จิ้มกับปลายจมูกโด่งเพราะมันขึ้นสีแดงอย่างน่ารักน่าชังเสียจริง
“...” คาร์ลอสมองพฤติกรรมของเจ้าตัวดีแล้วก็ได้แต่ขบฟันกรอด
มัน ‘น่าตีก้น’ น้อยเสียเมื่อไรกันล่ะ
ฮันนอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ชันแขนข้างหนึ่ง ผงกหัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะพูดคำที่ทำให้อัลฟาหนุ่มรู้สึกว่าเตียงกำลังลุกเป็นไฟ ไหนจะท่าทางกัดนิ้วตัวเองระหว่างที่พูดคำพวกนั้นอีก...
“แต่อะไรก็ไม่สู้ ‘ของแข็ง’ เมื่อคืนหรอกเนอะ ก็มันทั้งใหญ่...ยาว...ร้อนเป็นบ้า— อุบ” แล้วคนขี้แกล้งที่หลุบตามองสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ในกางเกงขายาวก็ไม่มีโอกาสได้พูดอีก
“ฮึ่ม...” ลิ้นหนาเข้าตวัดรัดรึงลิ้นที่พ่นคำซนๆ ออกมาได้แม้ว่าจะอ่อนเปลี้ยในยามเช้า เสียงแหบพร่ายามที่พูดเรื่องอย่างว่าได้แบบหน้าซื่อตาใส มันทำให้คนตัวใหญ่กว่าอยากจะดูดดึงลิ้นเล็กซ้ำๆ กลิ่นปากไม่พึงประสงค์ในยามเช้าของเจ้าตัวไม่ได้กวนใจเขาเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำอัลฟาหนุ่มยังแอบคิดในใจ
จะทำความสะอาดให้เกลี้ยง
คาร์ลอสเป็นคนเจ้าระเบียบ เรื่องเรียนและการทำงานก็ส่วนหนึ่ง เรื่องความสะอาดก็เช่นเดียวกัน
ถึงตารางชีวิตในแต่ละวันจะยุ่งเหยิง แต่ภายในหอพักเขาจะสะอาดอยู่เสมอ แม้แต่ในห้องแล็บที่บางช่วงใช้ชีวิตอยู่ในนั้นแทบจะ 24 ชั่วโมง กิน นอน ทำงาน ก็มีแต่อัลฟาผมบลอนด์ที่เป็นคนเก็บกวาด ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ทดลองไม่เคยมีฝุ่นจับ
กระทั่งความสะอาดของตัวเอง ถึงแม้จะไม่ใช่คนที่แต่งหน้าแต่งตัวเก่งอะไร และบางทีถ้าอยู่ในช่วงจำศีลในแล็บหลายวันก็อาจจะมีลืมโกนหนวดบ้าง นอกเหนือจากนั้นคาร์ลอสก็สะอาดหมดจด มักสวมเสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตสีเข้มคู่กับกางเกงสแล็กส์หรือยีนส์ขายาวในสีเดียวกัน เพราะอย่างที่บอกว่าเป็นคนแต่งตัวไม่เป็น การใส่อะไรที่มันคลาสสิกจึงง่ายกว่าสำหรับเขา
แม้แต่ในเช้านี้คาร์ลอสก็สวมเสื้อยืดสีดำคู่กับกางเกงสแล็กส์ขายาวสีใกล้เคียงกัน แน่นอนว่าเขาลุกไปอาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะไม่อยากให้ฮันตื่นมาเห็นสภาพยุ่งเหยิงของตัวเองในยามเช้า
ถึงจะบอกว่าเป็นคนรักสะอาดมากเพียงนั้น แต่ทำไมไม่ยักรังเกียจริมฝีปากของคนที่เพิ่งตื่นใหม่ก็ไม่ทราบ
“อือ...แฮก— อา” สองเรียวลิ้นผละออกจากกันในที่สุด ฮันยังเผยอปากเพื่อหอบอากาศเข้าปอด ก่อนจะรีบตะครุบมันเอาไว้ “เรายังไม่ได้แปรงฟัน! นายเหม็นแย่เลยใช่ไหม”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันรับได้” อัลฟากลิ่นฝนเท้าแขนนอนลงข้างกัน “ฉันเคยบอกแล้วไง ว่าเธอไม่สกปรก”
“ถ้ารู้ว่าจะต้องจูบกันทุกวันตอนตื่นนอนแบบนี้ รู้งี้ซื้อสเปรย์ดับกลิ่นปากมาเผื่อดีกว่า ซีแอลอยากได้รสอะไร รีเควสท์ได้นะ ช็อกโกแลต สตรอว์เบอร์รี ไม่สิ อย่างนายคงชอบกลิ่นชามากกว่าใช่ไหม อย่าง ‘ชาคาโมมายล์’ อะไรอย่างนี้”
“ตัวแสบ...จูบจนไม่ให้มีแรงพูดเลยดีไหม?” คาร์ลอสเดาะลิ้นกับกระพุ้งแก้ม เห็นก้นกลมที่โด่งนูนใต้ผ้านวมแสนล่อตาล่อใจ ก็อดจะยื่นมือไปลูบไม่ได้ แถมเจ้าตัวดีก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะหลบ ซ้ำยังดึงผ้านวมลง แล้วยกสะโพกขึ้นให้เขาจับขยำได้ถนัดกว่าเดิมอีก
“อื้อ ดี!” ฮันยิ้มแฉ่ง เอี้ยวตัวมองมือใหญ่ที่บีบนวดบั้นท้ายตัวเอง เผลอครางแผ่วเบาอย่างลืมตัวเมื่อนิ้วแข็งๆ ปัดผ่าน ‘ช่องทางนั้น’ โดยไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
“ที่รัก...” คาร์ลอสลูบหน้าตัวเอง ถอนหายใจ
“หือ คับตัวเอง”
“ช่วยน่ารักให้มันน้อยลงกว่านี้หน่อยได้ไหม”
“ไม่ง่ายเลยน่ะสิ”
“หัวใจฉันมันรับไม่ไหวหรอกนะ” อัลฟาหนุ่มเปลี่ยนการละลาบละล้วงก้นนิ่ม ลูบไล่ขึ้นมาถึงเอวคอด กระชับร่างปวกเปียกในชุดนอนที่เขาใส่ให้หลังอาบน้ำเมื่อคืนเข้ามาในอ้อมอก
“อึ๊อือ คนที่จะรับไม่ไหวน่ะ คือเรามากกว่า”
“ครับ?”
“ก็นายน่ะ ‘รุก’ หนักขนาดนี้ ถ้าทำทุกวัน ร่างกายเราพังแน่ๆ”
“ที่รัก…”
“อื้อๆ รู้แล้วค้าบๆ ไม่แก้งน้อนแน้ว” ฮันหัวเราะคิกคักในขณะดึงแก้มคนรักไปพลาง “ไปอาบน้ำเตรียมตัวกันเถอะ ตอนนี้ต้องเดินทางไปเมืองต่อไปไม่ใช่เหรอ”
“แค่เดินจะไหวไหมยังไม่รู้เลย เธอยังคิดเรื่องจะไปเที่ยวอีกเหรอ”
“ก็ถ้าวันนี้เราไม่ไปแซร์มัทต่อ พรุ่งนี้ก็ต้องตีตั๋วกลับเจนีวากันท่าเดียว ใช้เวลาเกือบทั้งวันเลยนี่ อย่างน้อยเราไปเที่ยวทิ้งท้ายก่อนกลับกันเถอะ”
“เธอลุกให้ขึ้นก่อนได้ไหมครับ แล้วอยากจะไปไหนฉันก็พาไปได้ทั้งนั้น”
“อื้อ...แล้วนี่พวกพี่เอมิลี่เป็นยังไงบ้าง ไปกันครบตามแผนการแล้วหรือยัง” จะว่าไป เป็นเวลากี่ชั่วโมงแล้วก็ไม่รู้ที่ฮันไม่ได้เช็กเอฟอร์สเลย ป่านนี้กลุ่มเพื่อนของเขาคงเป็นห่วงแย่ ไหนจะต้องบอกหม่าม้าและออมม่าด้วย...ว่าตัวเองไม่เวอร์จิ้นแล้ว
“ครับ...เหมือนจะมีเรื่องใหม่มาด้วย” คาร์ลอสหน้าเครียดขึ้น
“หือ?”
“มีองค์กรลับที่แยกตัวออกมาจากเซิร์น ทดลองการย้อนเวลาสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่ออกมาเผยแพร่เพราะคงมีเรื่องผลประโยชน์กับทางรัฐบาล”
“เรื่องใหญ่เลยนี่ หวังว่าจะไม่เกี่ยวกับทางรัฐบาลสหรัฐหรอกนะ” ฮันแค่เดา แต่พอเห็นหนุ่มผมบลอนด์ชะงักไป เขาก็ตาโตขึ้น “ใช่จริงๆ เหรอ”
“ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็น แต่ฮัน...ฉันอยากบอกเธอไว้ก่อน เผื่อว่าอะไรมันจริงขึ้นมาแล้วทุกอย่างอาจบานปลาย”
“?”
“ไม่ว่าเรื่องเลวร้ายอะไรที่ครอบครัวของฉันทำ ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยสักนิด ฉันตัดขาดจากพวกเขามานานมากแล้ว...ถ้ามันมีเรื่องไม่ดีออกข่าวไป พ่วงด้วยนามสกุลของฉัน อยากให้เธอรู้ไว้ว่าฉันกับพวกเขาไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว”
“ไม่ต้องบอก เราก็รู้...ว่าซีแอลไม่มีทางทำเรื่องไม่ดี เราเชื่อใจนายเสมอนะ”
“...ขอบคุณครับ”
αβΩ
การเดินทางเป็นวงกลมในยุคก่อนคืออะไร อาจจะมีนัยสำคัญหมายถึงการวนลูปของความสัมพันธ์ ตัวอย่างประโยคที่ถูกบันทึกจากคนในยุค 21 ก็จะประมาณ
‘เขาบอกมูฟออนแล้ว แต่เหมือนจะมูฟออนเป็นวงกลม’
‘ตกหลุมรักวนไปจ้ะ ก็วนเป็นวงกลมไปเลยสิค้าาา’
‘สุดท้ายก็ข้ามไม่พ้นเธอสักที ยังหมุนวนเป็นวงกลม’
‘ชูมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา—’
แต่อันสุดท้ายนี่ไม่ใช่
สรุปแล้วความหมายในยุคก่อนก็คือการบอกใจตัวเองว่าให้หยุดรู้สึก หยุดคิดถึงเขา เลิกรักเขา ไม่อยากเจ็บซ้ำๆ ทว่าสุดท้ายก็วนกลับไปอยู่ในสถานะเดิมอยู่ดี บอกให้เลิกรัก ใครๆ ก็พูดได้ แต่จัดการกับหัวใจตัวเองนี่สิของจริง
คนสมัยก่อนเปรียบเปรยกันเก่งนัก คงเพราะลักษณะนิสัยของคนในยุคนั้น อ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักถนอมน้ำใจผู้อื่นถือเป็นเรื่องอันดับหนึ่ง หรือบ้างก็พยายามปกปิดความรู้สึกแท้จริงภายใน การพูดอ้อมโลกหรือพูดอะไรที่ตนเองอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงจึงเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ
บ้างก็ว่าเพราะเป็นยุคที่คนพูดความจริงไม่ได้ หรือพูดตรงเกินไปอาจนำภัยมาสู่ตนเอง
การเปรียบเปรยจึงเป็นวาทศิลป์อย่างหนึ่งที่นิยมในสมัยนั้น
แต่สมัยนี้ถ้าบอกว่า ‘เดินทางเป็นวงกลม’ มันจะมีความหมายตามนั้นจริงๆ
“ไม่กลมนะครับ เหมือนรูปหัวใจมากกว่า”
“ทำไมมองเป็นหัวใจไปได้เนี่ย” ฮันทำหน้าประหลาด
“เพราะทริปนี้มันถูกสร้างมาเพื่อเรายังไงล่ะครับ ที่รัก”
“สโทผิดดด ผลีสส” (Stop it, please. But British accent)
หลังจากขึ้นรถไฟกลาเซียร์ เอ็กซ์เพรส (Glacier Express) รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก มุ่งหน้าสู่เมืองแซร์มัท (Zermatt) นิยมอ่านผิดว่าเซอร์แมท เมืองชนบทในเทือกเขาแอลป์ อยู่ในรัฐวาเล ประเด็นวงกลมกับรูปหัวใจมันเริ่มขึ้นที่ตรงนี้
ฮันเปิดดูแผนที่การเดินทางตั้งแต่วันแรก ไปจนวันสุดท้าย มันเริ่มที่เมืองเจนีวา วนกลับไปจบที่เมืองเจนีวา ซึ่งลักษณะแผนที่การเดินทางในครั้งนี้มันวนรอบสวิตเซอร์แลนด์เป็นวงกลม ฮันจึงพูดขำๆ ว่านี่มันคือการเดินทางเป็นวงกลมของแท้ แต่อัลฟาหนุ่มผู้คลั่งรักดันมองว่ามันเหมือนรูปหัวใจมากกว่า
“ช่วยไม่ได้ครับ คนมีความรักมักจะมองเห็นทุกอย่างเหมือนใส่ฟิลเตอร์หัวใจ สีชมพู หรือแม้แต่อาหารที่กินยังคิดว่าทำน้ำตาลหกใส่”
“หมั่นไส้คนมีฟามรักว่ะ คลั่งรักนักหรือไงเรา” ฮันหยุมแก้มคนที่นั่งตรงข้าม
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีมีแฟนแล้ว แฟนน่ารักมาก แก้มนี้ให้แฟนจับได้คนเดียว”
“โธ่ น่าเสียดายจัง” ฮันกำลังจะปล่อยมือ แต่มือใหญ่กว่าประกบลงมาก่อน
“อยากจับก็จับสิครับ...คุณแฟน”
ช่วงเที่ยงของวันที่หก ทั้งคู่มาถึงถนนเส้นหลักของเมือง สองข้างทางเป็นแหล่งรวมร้านค้าของที่ระลึก ร้านนาฬิกาแบรนด์ดังของสวิตเซอร์แลนด์ ร้านช็อกโกแลตขึ้นชื่อ ซึ่งฮันก็แทบจะกวาดทุกบาร์ที่มีในร้านมา ถ้าไม่ใช่เพราะอัลฟาตัวสูงบอกว่า ‘จะจ่ายให้’ หรือ ‘เธออยากได้อะไรให้หยิบ’ มีหรือฮันจะยอมให้ทำเช่นนั้น
แน่นอนว่าโอเมกาชาคาโมมายล์ไม่ยอม ยืนกรานจะจ่ายเอง ทว่าคาร์ลอสดันยกเหตุผลในหลายมื้อที่ฮันเป็นคนออกตัวจ่ายมาก่อนหน้า แล้วบอกว่าผลัดกันจ่ายสิดีกว่า แถมยังตบท้ายด้วยคำว่า
“เอาไว้คราวหน้าถ้าฉันอยากได้อะไร เธอค่อยซื้อให้ดีไหมครับ...เธอคงไม่อยากทำให้ฉันรู้สึกว่ากำลังเอาเปรียบเธออยู่ใช่ไหม ที่รัก”
บวกกับการทำหน้าหงอย หูลู่หางตกเป็นพร็อป
รอบนี้อัลฟาตาฟ้าชนะขาด เพราะฮันก็เห็นด้วย ความสัมพันธ์ที่ดีต้องไม่มีใครเอาเปรียบใคร ฮันพยักหน้าหงึกหงักตอนที่หยิบช็อกโกแลตบาร์รสชาติสเปเชียลช่วงฤดูใบไม้ผลิลงตะกร้า โดยไม่ได้ทราบเลยว่าคนตัวโตกำลังยกยิ้มอยู่ในใจ
คิดว่าจะยอมให้ที่รักต้องเสียเงินสักแดงหรือไง...ได้ดูแลแล้ว ก็จะเลี้ยงดูอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ไม่ให้มีอดอยากปากแห้ง ขุนให้อ้วนจ้ำม่ำแล้วค่อยเขมือบทีเดียว
เปย์คนรัก...ความฝันของอัลฟาผมบลอนด์เขาเชียว
แซร์มัท เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัยสูงมาก มีชื่อเสียงด้านการปีนเขาและสกีรีสอร์ตใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์มาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19
ฮันยังบอกว่าเสียดาย ถ้ามาเร็วกว่านี้ก็อยากลองปีนเขาหรือเล่นสกี อัลฟาตัวโตได้แต่หอมแก้มซ้ำๆ เพราะมันเขี้ยว แค่เดินต่อเนื่องสองบล็อกก็บ่นปวดขาอุบ แล้วยังจะนึกถึงเรื่องปีนเขา แต่คาร์ลอสก็ไม่ปริปากโทษฮันสักคำ เพราะคนที่ทำให้อีกฝ่ายเมื่อยขบไปทั้งร่างก็คือตนเอง
ความโดดเด่นของที่นี่คืออาคารทำมาจากไม้แบบสวิสชาเล่ต์ที่ยังคงรักษาการตกแต่งไว้แบบยุค 21 แม้แต่ผับ บาร์ และโรงแรมก็มีการก่อสร้างภายนอกที่สอดคล้องไปกับความเป็นสวิตส์แบบดั้งเดิม
อีกทั้งยังเป็นเมืองปลอดมลพิษอันดับต้นของโลกด้วยนโยบายห้ามรถวิ่งเข้าเมือง ยกเว้นรถไฟฟ้าของโรงแรม เป็นนโยบายที่มีมาตั้งแต่ยุค 21 และยังสานต่อมาจนถึงปัจจุบันเพราะต้องการให้เมืองเป็นแหล่งท่องเที่ยวไร้มลพิษ จึงไม่แปลกที่จะเห็นผู้คนใช้จักรยาน สกูตเตอร์หรือรถไฟฟ้าคันเล็กๆ เป็นพาหนะหลัก
นอกจากนี้เมืองแซร์มัทยังเป็นจุดเริ่ม ก่อนนักท่องเที่ยวจะไปต่อที่ยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) ยอดเขาที่ดังที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ติดกับพรมแดนประเทศอิตาลี สามารถใช้บริการกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปสู่เขามัทเทอร์ฮอร์น หรือจะข้ามไปยังหมู่บ้านเบรย-แชร์วีเนีย ฝั่งประเทศอิตาลีก็ยังได้
พูดถึงยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออก หรืออาจจะไม่คุ้นเลย แต่ยอดเขานี้คือต้นแบบของโลโก้ช็อกโกแลต Toblerone ลูกอม Ricola และบริษัทผลิตภาพยนตร์ Paramount Pictures ด้วยยอดเขาเป็นทรงพีระมิด มีความสูงถึง 4,478 เมตร มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงนับว่าเป็นยอดเขาที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งตั้งอยู่บนแนวของเทือกเขาแอลป์บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศอิตาลี โดยจุดที่สามารถชมมัทเทอร์ฮอร์นได้สวยที่สุดก็คือที่เมืองแซร์มัท เมืองที่ทั้งคู่เพิ่งเดินทางมาถึง
จากแซร์มัทไปยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น คาร์ลอสให้ฮันเลือกว่าจะขึ้นไปไหม อัลปากาน้อยถึงกับร้องเสียงหลงทั้งๆ ที่มีล็อบสเตอร์โรลเต็มแก้มว่า
“เรามากันถึงนี่แต่จะไม่ขึ้นไปได้ยังไง! นั่นมันคือสุดยอดของยอดเขาเลยไม่ใช่เหรอ~”
“ครับๆ ถ้าเธอไหว ฉันก็พาไปได้หมดอยู่แล้ว...กินต่อเถอะ ที่รัก”
ลำพังฮันอยากไปไหน เขาพาไปได้หมดอยู่แล้ว แต่ที่ถามก็เพราะกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่ไหว ขนาดร่องรอยตามเนื้อตัวยังไม่จางลงไป จนคนตัวเล็กต้องใส่เสื้อคอเต่าแขนยาวเพื่อปิดบังรอยรัก ขนาดร่างกายภายนอกยังมีรอยช้ำ แล้วมีหรือกล้ามเนื้อภายในจะยังไม่ระบมอยู่
อัลฟาที่อยู่ในชุดออลแบล็ก(ไม่ได้คีพอะไรทั้งนั้นแค่แมทช์สีเสื้อผ้าไม่เป็น)ให้ฮันเลือกว่าจะขึ้นเขาวิธีไหน สุดท้ายก็มาจบที่การนั่งเคเบิลคาร์ มัทเทอร์ฮอร์น เอ็กซ์เพรส กอนโดลา จากสถานีทางใต้สุดของแซร์มัทจนถึงสถานีปลายทาง ไคลน์ มัทเทอร์ฮอร์น สถานีเคเบิลคาร์ที่สูงที่สุดในยุโรปที่ระดับความสูง 3,820 เมตร เพราะเป็นวิธีแบบดั้งเดิม ไม่เน้นความเร็ว แต่เน้นให้เห็นทิวทัศน์รอบด้าน ภูเขาสามสิบแปดลูกตั้งตระหง่านและธารนํ้าแข็งอีกสิบสี่สาย
วันนี้อากาศดีกว่าทุกวัน ท้องฟ้าเปิด แสงแดดยามบ่ายอาบนวดผิว ทว่าความอบอุ่นและความสวยงามกลับไม่ได้ดึงดูดความสนใจไปมากกว่าคนข้างกาย
กระเช้าลอยไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ผ่านวิวที่ผู้คนต่างบอกว่าสวยนักหนา แต่ร่างสองร่างกลับไม่สามารถผละออกจากการแสดงความรักผ่านภาษากายจากกันได้
เสียงโรบอตบรรยายสถานที่ที่กระเช้าเพิ่งลอยผ่านไปว่าจุดไหนคืออะไร มีทั้งภาษาเยอรมันซึ่งเป็นภาษาราชการ เพราะมีผู้ใช้ภาษานี้มากที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ และภาษาของคนที่ขึ้นกระเช้า ซึ่งคาร์ลอสระบุข้อมูลว่าพวกเขาทั้งคู่คือคนอเมริกัน ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร
แต่ไม่ว่าโรบอตจะบรรยายด้วยภาษาใด มันก็ไม่เข้าหูของโอเมกาฟีโรโมนชาคาโมมายล์ และอัลฟาฟีโรโมนเวติเวอร์หลังฝนตกที่กำลังดึงดูดกันด้วยทุกมวลของความรู้สึกนี้หรอก
เพราะทั้งคู่สนใจแต่สัมผัสของคนรักที่อิงแอบ สองมือกุมประสาน สองริมฝีปากเคล้าคลึงนึงแนบ วิวสวรรค์ประทานคืออะไรพวกเขาไม่สน
แน่นอนว่าคนที่อยู่ในกระเช้าถัดไปไม่มีทางเห็น เพราะกระจกเป็นแบบมองจากข้างในทะลุมาข้างนอกได้ชัดเจน แต่มองจากข้างนอกเข้าไปข้างในไม่เห็น
ดังนั้นการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่นี้จึงไม่มีผู้ใดเห็น เว้นเสียแต่ว่ามีคนติดตาม…และแฮ็กระบบกล้องที่ติดอยู่ในกระเช้า
ในอีกฟากของโลก ชายวัยกลางคนในเสื้อเชิ้ตปลดสูทพาดพนักกำลังนั่งหน้าเครียด บนโต๊ะทำงานฉายฮอโลแกรมความละเอียดเทียบเท่าตาเห็น ชายในชุดสูทสีดำอีกคนยืนเยื้องอยู่ด้านหลังกล่าว
“นี่คือวิดีโอที่บันทึกเมื่อสองนาทีที่แล้วครับท่าน” สรรพนามอันให้ความเคารพบวกกับกริยาสุภาพนอบน้อมของผู้พูด บ่งบอกถึงอำนาจการทำงานของชายที่นั่งกอดอก หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ ยามมองภาพคนสองคนแสดงความรักต่อกัน(จู๋จี๋) นอกจากนั้นก็ไม่มีความรู้สึกใดเผยออกมาให้เห็นอีก
เป็นชายผู้เดาความรู้สึกยากคนหนึ่ง ไม่ต่างจากหนุ่มอีกคนในจอ
จะว่าไปเค้าโครงรูปหน้าก็คลับคล้ายคลับคลา
“หึ...” เสียงลมหายใจพ่นออกมาหนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้มมุมปาก ชายอีกคนไม่สามารถประมวลผลการแสดงออกนั้นได้
“...” ความเงียบเข้าครอบงำ ชายผู้ยืนกุมมือนิ่งไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรต่อเมื่อคนเป็นเจ้านายไม่มีความไหวติง ทว่า
ตึง!
ทันใดนั้นเอง เสียงตบโต๊ะขึ้นมากะทันหันก็ทำให้ชายชุดดำสะดุ้งสุดตัว
“ฮ่าๆ! ฮ่าๆๆ! ให้มันได้อย่างนี้สิ!”
เปล่า อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ‘ท่าน’ หัวเราะชอบใจที่ทำให้ลูกน้องตกใจจนแทบหงาย เพราะสายตาของเจ้าตัวยังจับจ้องไปยังภาพของสองหนุ่มอัลฟาโอเมกาที่มองกันตาหวานเยิ้มในกระเช้าลอยฟ้าอยู่เลย
ชายในสูทดำกระแอม ดึงชายเสื้อ ยืนกุมมือในท่าเดิมก่อนจะว่า
“ให้จัดการอย่างไรดีครับ”
คำว่า ‘จัดการ’ กระตุ้นให้หัวคิ้วได้รูปของคนฟังกระตุก
“จัดการ? หมายความว่ายังไง”
“ก็ท่านให้สืบเรื่องเพราะจะทำอะไรบางอย่าง...”
“ไม่ต้องจัดการอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากเห็นความเป็นไปของชีวิตหลานในตอนนี้ก็เท่านั้น”
“ที่ท่านให้ติดตามการเคลื่อนไหวของคุณคาร์ลอส ก็เพราะอยากเห็นหน้าหลาน?”
“ใช่ ทำไม” คนพูดเลิกคิ้วน้อยๆ พาดขาไขว่ห้างก่อนจะหมุนเก้าอี้ไปมองหน้าคนที่ยืนฉงน
“ถ้าแค่อยากเห็นหน้าหลาน ท่านไม่โทรไปล่ะครับ”
“ก่อนจะว่ากันเรื่องนั้น ฉันเคยบอกว่ายังไง คุณนอร์ธ”
“โธ่ ท่าน— คุณอาดัม มันไม่ชินนี่ครับ ทำงานกับใครมาก็ไม่เคยมีใครให้เรียกชื่อเลยแม้แต่นอกเวลางาน แล้วนี่มันยังอยู่ในเวลางานด้วย ทุกอย่างต้องเป็นทางการไว้ด้วยความเป็นมืออาชีพของหน้าที่เลขาประจำตัวท่านประธานา—”
“ครับ ผมทราบ คุณร่ายระเบียบให้ฟังหมดตั้งแต่ได้เป็นเลขาผมวันแรกแล้ว ผมเข้าใจดีว่าคุณมีความเป็นมืออาชีพในหน้าที่ เพียงแต่ผมไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนั้นเมื่อเราอยู่กันสองคน ทำตัวตามสบายเถอะ คุณเป็นเลขา ไม่ใช่บอดีการ์ด มีหน้าที่เพื่อช่วยงานของผมให้ลุล่วง คุณเปรียบเสมือนผมร่างสอง ไม่ใช่คนรับใช้หรือทาสของผม ขาดคุณไปผมคงทำงานให้ประเทศยากขึ้น”
ชายชื่อนอร์ธ เหลือบมองป้ายชื่อที่โชว์ขึ้นด้วยเทคโนโลยี MR ว่า ‘President Adam Elliot Holmes’ แล้วก็แอบถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับมามองคนที่นั่งกอดอกในท่าไขว่ห้างอย่างสบายๆ
ที่จริงก็ได้รับคำเชิญให้พูดคุยแบบเป็นกันเองเมื่อไม่มีคนนอก แต่นอร์ธก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมอยู่ดี
“โอเคครับ ท่า— คุณอาดัม”
“ที่จริงผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าเรียกอาดัมเฉยๆ ก็ได้—”
“ไม่ได้ครับ!”
“ก็เห็นคุณดูปรับยาก เรียกชื่อกันไปเลยก็ได้ครับ นอร์ธ” อาดัมพูดเพื่อคลายความเคร่งเครียดในที่ทำงาน การแสดงออกทางใบหน้าที่ใครต่อใครต่างเข้าใจว่าคือ ‘รอยยิ้มการเมือง’ หรือ ‘มิตรภาพทางสังคม’ ทำให้คุณเลขานอร์ธหายใจสะดุดไปหนึ่งจังหวะ
“ผมจะพยายามครับ...คุณอาดัม กลับมาที่เรื่องคุณคาร์ลอสกันเถอะครับ สรุปแล้วจะให้ผมทำยังไง ถ้าคิดถึงหลานแล้วไม่ทำไมโทรไปครับ”
จะให้สืบให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไม
นอร์ธคิดในใจ แต่ไม่พูดออกไปเพราะการเก็บอารมณ์และความเห็นส่วนตัวแสดงถึงความเป็นมืออาชีพ แต่ก็เผลอหลุดเสนอแนะไปเพราะชินกับหน้าที่
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นน่ะสิ...เจ้าเด็กนี่แทบจะตัดขาดกับครอบครัวไปแล้ว ผมรู้นิสัยเขาดี แต่ก่อนเป็นเด็กหัวแข็งมาก ยิ่งได้เรื่องมาว่าตอนนี้กำลังทำอะไรสักอย่างที่ควรเฝ้าระวัง ผมก็ยิ่งกังวล แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันนี้”
“มีวันนี้?”
“จากเด็กดื้อเงียบ หัวแข็ง เพื่อนฝูงหรือก็ไม่เคยเห็นพามาบ้าน ไม่รู้จักเข้าสังคมจนน่าเป็นห่วง เขาไม่ถูกกับพ่อ...ซึ่งก็คือน้องชายผมเอง ผมเคยห่วงว่าเขาจะเก็บกดจนอาจไประเบิดใส่ใครด้วยซ้ำ”
“...”
“แต่ดูอย่างตอนนี้สิ นี่เป็นภาพที่ผมไม่คิดจะได้เห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ ถึงเขาจะหน้าตาดีเหมือนผม แต่เจ้านี่เป็นเด็กประเภทผลักไสคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นวันที่มีคนรัก หรือจะมองใครด้วยสายตาแบบนี้ได้จริงๆ...ผมคิดว่าชีวิตนี้มันจะไม่มีใครซะแล้ว”
แม้ว่าจะมีบางจังหวะที่ชวนหลุดหัวเราะอย่าง ‘ถึงเขาจะหน้าตาดีเหมือนผม’ แต่นอร์ธก็ทำเพียงยืนกุมมือนิ่งฟัง
“ผมเซ็นเอกสารและอ่านรายงานฉบับด่วนหมดแล้วละ หลังเวลานี้ถ้าคุณไม่มีไปไหนต่อ อยากนั่งฟังเรื่องของผมก่อนไหม”
ในห้องทำงานแสนกว้างขวาง เช้าวันอาทิตย์ช่างดูเปล่าเปลี่ยว
สมัยนี้หน่วยงานรัฐบาลชั้นสูงไม่มีวันหยุด ดังนั้น แม้แต่ในเช้าวันเสาร์หรืออาทิตย์ อาดัม โฮล์มส์ ก็ต้องทำงานเมื่อมีงานให้ทำ
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนั่งทำงานลำบากตรากตรำไร้วันหยุด คุณจะไปที่ไหนเมื่อไรก็ได้ตามใจต้องการหากไม่มีเรื่องด่วน ในเมื่อตั้งใจเอาตัวเองลงสมัครมาเป็นผู้นำของประเทศ คุณย่อมต้องเสียสละสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อคนที่เลือกคุณมาทำหน้าที่นี้
เรื่องด่วนของประเทศรอไม่ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนประชาชนจึงไม่มีวันหยุด คุณต้องบริหารประเทศ จนกว่าจะไม่มีผู้ใดเดือดร้อนจากการบริหารที่ล้มเหลวของคนรุ่นก่อน คุณต้องบริหารประเทศ จนกว่าประชาชนจะอยู่ดีกินดี จนกว่าระยะห่างของความเหลื่อมล้ำจะแคบที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าคนที่อยู่ในระดับนี้ยังไงก็สบาย วันๆ ทำแค่นั่งเซ็นเอกสาร ตัดสินใจเรื่องบางเรื่อง สานสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่นเพื่อผลประโยชน์ หรือกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ยืนอยู่บนหอคอยงาช้างและมองลงมายังประชาชนคนธรรมดา ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงใช่
แต่เดี๋ยวนี้ ‘ผู้นำ’ ไม่ใช่คนที่สูงส่งกว่าหรือคนที่ผู้อื่นต้องก้มหัวให้ ไม่ใช่ผู้ที่ชี้นิ้วสั่งให้ใครต่อใครทำตามใจตน หรือไม่ใช่ผู้ที่จะพูดอะไรพล่อยๆ ยกตนข่มท่าน
แต่ ‘ผู้นำ’ คือคนที่จะต้องแบกรับความเสี่ยงแทนคนทั้งประเทศ คือคนที่ต้องแบกหน้าไปอยู่หัวแถว ฝ่ามรสุม อุปสรรคที่อาจเป็นภัยต่อตัวลูกทีม
‘ผู้นำ’ เปรียบดั่ง ‘หมาป่าจ่าฝูง’ ต้องฉลาดเป็นกรด มีสายตาที่แหลมคม แข็งแกร่งที่สุด เพื่อที่จะได้ปกป้องผู้อื่นได้ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายหรือเพื่อเลื่อนลำดับชนชั้น เหมือนกับแนวคิดที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับหมาป่าในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ฝูงหมาป่าไม่มีลำดับชนชั้นอย่างที่เราเข้าใจกัน เพียงเพราะเห็นไม่กี่ครั้งก็ติดเป็นภาพจำว่าหมาป่าชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง ดังนั้นตัวที่อยู่นำแถวก็ต้องเป็นจ่าฝูง ห้าวหาญที่สุด แข็งแกร่งที่สุด และหมาป่าตัวอื่นจะไม่กล้าย่างกรายเหยียดใกล้เพราะเกรงกลัว
แท้จริงแล้วพวกมันก็อยู่กันแบบครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เหมือนสัตว์อื่นที่เลี้ยงดูลูกและครอบครัวของตน
ระบบจ่าฝูงที่บิดพลิ้วความหมายกันมาอย่างยาวนาน แท้จริงแล้วไม่ได้อยู่กันด้วยคำสั่ง แต่คือความเข้าใจกันด้วยสัมพันธ์ดั่งครอบครัว
หากว่าเช่นนั้น มันก็ไม่ต่างจากมนุษย์นัก
ดังนั้น ถ้าจะเปรียบ ‘ผู้นำ’ เป็น ‘หมาป่าจ่าฝูง’ ในความหมายปัจจุบัน ก็คือคนที่สามารถเป็นได้ทั้งพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ที่เมื่อลูก(ประชาชน)มีปัญหา เขาผู้นี้พร้อมยื่นมือเข้าไปแก้เสมอ คอยให้คำแนะนำและแนวทางที่จะดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้นไป
ต่างกันเพียงเล็กน้อย ‘ครอบครัว’ ลูกๆ เลือกผู้ปกครองของตัวเองไม่ได้
แต่ ‘ประเทศ’ ลูกๆ เลือกผู้ปกครองเองได้
อาดัม เอลเลียต โฮล์มส์ เป็นชายวัย 47 ปีที่ไม่มีภาระด้านครอบครัว เคยแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ทางการเมืองหนึ่งครั้ง สุดท้ายแล้วก็หย่าร้างเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ได้รักกันจริง ไม่มีลูก มีแต่หลาน
ซึ่งเจ้าหลานคนโตที่เรียกว่าเคยสนิท เพราะเคยสอนการบ้านให้เจ้าตัวตอนตัวเท่าแง่งขิง ก็เป็นคนเดียวที่ขอตัดการติดต่อจากครอบครัวตั้งแต่จบไฮสคูล ปัญหาครอบครัวฝั่งน้องชายของเขาเป็นเหมือนระเบิดเวลา
ไม่ใช่เพียงความสามารถที่ทำให้ประชาชนเลือก จนเขาได้มานั่งอยู่ตรงนี้ แต่อาดัมต่อสู้ทั้งจากสังคมยุคใหม่ ที่เชื่อว่าเพศชายจะได้งานหรือตำแหน่งที่สูงง่ายกว่าเพศหญิง นั่นทำให้ความสามารถของเขาถูกข้อกังขาสารพัด
ซึ่งถูกต้องที่มันไม่เกี่ยวกันเลย คนมองกันผ่านเพศสภาพ รูปลักษณ์ภายนอกโดยมองข้ามถึงความสามารถและผลงานที่เขาเคยทำมา
แต่จะว่าไปยุคก่อนก็เป็นเช่นนี้ เพศชายยกตนข่มเพศอื่น อดีตคงเรียกว่าเวรกรรมตามทัน แต่ในยุคที่คนเชื่อเรื่องการกระทำมากกว่าความเชื่อทางศาสนา เรียกว่าอดีตหวนกลับมาเอาคืน คงจะตรงบริบทมากกว่า
ทว่าความจริงคือ ไม่มีใครสมควรโดนตัดสินจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่การกระทำ
อาดัมเข้าใจในจุดนี้ แต่ก็เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงเกิดข้อกังขาในตัวเขา ประวัติศาสตร์หล่อหลอมผู้คน หากไม่ได้กล่อมเกลาเสมอไป
“ผมเข้าใจถ้าคุณอยากจะใช้เวลาวันอาทิตย์ในแบบของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องนั่งฟังก็ได้ ผมแค่ถามน่ะ”
อาดัมพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย มือคลายจากการกอดอกมาเป็นประสานไว้ข้างหน้าหลวมๆ ใบหน้าที่ยกยิ้มน้อยๆ แสดงถึงความเข้าถึงง่ายของเจ้าตัว คนระดับนี้เมื่ออยู่กับผู้ใต้อำนาจกันเพียงสองคนไม่จำเป็นต้องรักษาท่าที แต่อัลฟาแสนสุขุมผู้นี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น
“ไม่เป็นไรครับท่— คุณอาดัม ใครจะไม่อยากนั่งฟังชีวิตที่น่าสนใจของคุณกันล่ะ” คนที่ได้ยินประโยคนั้นส่งยิ้มไมตรีกลับไป ก่อนจะเดินไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะทำงานตัวใหญ่
ชายผู้ที่อาดัมเรียกว่า ‘คุณนอร์ธ’ เป็นเลขานุการประจำตัวผู้บริหารระดับสูงมานับไม่ถ้วน กว่าจะมายืนจุดนี้ได้ก็ผ่านร้อนหนาวมาไม่น้อย แม้ว่าตนเองจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ก็ไม่ขอเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะคิดว่าตำแหน่งนั้นไม่เหมาะกับตน
อาดัมยกยิ้มกว้างขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อคุณเลขาไม่เกี่ยงที่จะพูดคุยกับตนแม้ไม่ใช่เรื่องงาน เพราะเวลาพักของอีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะมีมากนัก
คนภายนอกมักคิดว่าผู้บริหารต้องเก่งกว่าลูกน้องอย่างเช่นเลขาอยู่แล้ว หากแต่นั่นไม่ถูกทั้งหมด
อาดัมไม่เคยคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด เขาแค่มองคนขาดและใช้งานคนเป็น ซึ่งผู้บริหารสูงสุดหรือคนเป็นผู้นำจำเป็นต้องมีทักษะนี้ การบริหารจัดการความสามารถของบุคลากร ดังประโยคที่ว่า
‘Put the right man on the right job’
อาจฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วยากกว่าที่หลายคนคิด อาดัมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะก่อนหน้านี้เขาต้องปรับตัวเพื่อให้ทำงานได้กับคนหลายรูปแบบ เขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างแยบยล หรือแม้กระทั่งแก้ปัญหาที่ผู้อื่นในทีมก่อได้อย่างเฉลียวฉลาด
ก่อนขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดี อาดัมก็คิดว่าระดับเขา ไม่ว่าเลขานุการประจำตัวจะเป็นใคร เขาก็ทำงานร่วมได้ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นคนเงอะงะหรือพวกทำงานไม่เป็นต้องให้สอนใหม่ เขาก็คิดว่าไม่ใช่ปัญหา
กระทั่งได้เจอกับนอร์ธ มันก็ทำให้อาดัมได้รู้ว่าการได้ทำงานกับคนที่เก่งในหน้าที่นั้นจริงๆ เป็นอย่างไร
อาดัมเผลอยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนคนที่อยู่ตรงข้ามไม่น่าจะสังเกตทัน ยามที่คิดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้เก่งแค่ในหน้าที่เลขานุการ
“ผมว่าเราไปนั่งที่โซฟากันดีกว่านะ แบบนี้มันเหมือนเรากำลังจะคุยเรื่องงานกันต่อเลย”
นอร์ธพับตารางการทำงานที่ฉายจากเอฟอร์ส ก่อนจะตั้งเป็นช่วงพักการทำงาน สถานะของพวกเขาขึ้นแถบสีเขียว
Adam Elliot Holmes
North Hara Hughes
- On Break -
เวลาผ่านไป พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นมาอีกฟากของโลก เริ่มเช้ามืดวันสุดท้ายของทริปรับประสบการณ์ในต่างแดน
จะเรียกว่าฮันและคาร์ลอสตื่นพร้อมกันเพื่อเตรียมตัวกลับเจนีวาก็ไม่ผิดนัก ฮันตั้งนาฬิกาปลุกแบบสั่นไว้ในเอฟอร์สเพราะไม่อยากให้เสียงมันรบกวนการนอนของอัลฟาตัวใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นคนที่ดูเหมือนจะลืมตาขึ้นมาและหยุดแรงสั่นที่ข้อมือน้อย กลับกลายเป็นหนุ่มผมบลอนด์ไปเสียนี่
กว่าโอเมกาที่นอนซุกอกอุ่นจะตื่น ก็เป็นตอนที่รู้สึกได้ถึงสัมผัสชวนจั๊กจี๋ตรงผิวแก้ม และทันทีที่ดวงตาคู่สวยปรือเปิดขึ้น สัมผัสหนักๆ ก็พรมจูบไปรอบวงหน้า
แล้วคาร์ลอสก็โดนดุที่ตื่นก่อนแต่ไม่ยอมปลุกเจ้าตัว
อัลฟากลิ่นดั่งดินหลังฝนทำเพียงหัวเราะทุ้ม กดจูบข้างกระหม่อมไปอีกทีก่อนจะว่าด้วยน้ำเสียงติดแหบในยามเช้ามืด
“ชอบดูลูกแมวตอนหลับ น่ารักดี”
สมองของฮันยังไม่ทันตื่นดี “ลูกแมวที่ไหน...หมายถึงเราเหรอ ม่ายยยย อย่าเอาน้องมาเปรียบเลย น้องน่ารักกว่าเราเยอะ ฮ้าวววว อุ๊บ ‘โทษที กลิ่นปาก”
“เฮ้อ...” คาร์ลอสถอนหายใจเบาๆ นั่นทำให้ฮันหน้าเสีย
“ขอโทษษษ เหม็นมากเลยเหรอ” โอเมกาน้อยผละออกจากอกแกร่ง ริมฝีปากกระจับเบะลงอัตโนมัติ จนคนที่ยกมือปิดหน้าต้องรีบปฏิเสธ
“เปล่าครับ แค่ใจรับความน่ารักไม่ไหว”
รูทีนในเช้านี้จึงไม่มีอะไรมาก ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากนอนหยอกล้อกันร่วมชั่วโมง กว่าคนตัวโตจะยอมปล่อยให้ฮันไปอาบน้ำก็เป็นตอนที่ฟ้าสว่างโร่ แสงแดดแยงลอดผ้าม่านเข้ามาบ่งบอกว่าถ้ายังมัวลีลา อาจกลับไปไม่ทันเวลานัด
คาร์ลอสเสนอให้อาบน้ำพร้อมกันถ้ากลัวไม่ทันไปขึ้นรถไฟ ฮันส่ายหัวสะบัดพร้อมให้เหตุผลว่า ‘ถ้าอาบพร้อมกันนั่นแหละถึงจะไปไม่ทัน’ อัลฟาจอมเจ้าเล่ห์หัวเราะลั่นเมื่อกระต่ายน้อยรู้แผนการของเขา แต่มันออกจะเดายากเสียที่ไหน
ตอนนี้บนเตียงจึงเหลือเพียงอัลฟาหนุ่มที่นั่งเปลือยท่อนบน นิ้วกดพิมพ์ข้อความด้วยสายตาเรียบนิ่ง
: ผมรู้ว่าลุงกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ ผมไม่รู้ว่าลุงทำไปทำไม แต่ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไร ทั้งหมดมันเป็นเพราะผม มีอะไรให้คุยกับผม ห้ามลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าผมไม่เตือน 06:05 AM
Adam: นานๆ ทักลุงมาไม่คิดจะถามสารทุกข์สุกดิบกันหน่อยเหรอ อยู่นี่ฉันกำลังจะนอนเลย มันดึกแล้วนะ ทักมาไม่ดูเวลาหน่อยเรอะ 06:05 AM
Adam: แล้ว ‘คนอื่น’ ของเอ็งนี่หมายถึงใครล่ะ 06:06 AM
คาร์ลอสกำหมัดแน่นขึ้น เขาใจเต้นแรงเพราะความกดดันก่อตัว
Adam: พ่อหนุ่มโอเมกาหน้าหวานคนนั้นน่ะเหรอ 06:06 AM
TBC
ขอเปิดภาพเส้นทาง "Heart Map" ของคุณคาร์ลอสเขา
ไหนใครว่าเหมือนรูปหัวใจบ้าง ส่วนทางนี้มองเหมือนไก่5555555555555555
และนี่คือยอดเขามัทเทอร์ฮอร์น หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่ถ้าเอารูปให้ดูคงจะพอนึกออกกันใข่ไหมคะ
เครดิตรูปจาก https://www.paramount.com
สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!
Comments (0)