17 ตอน XV Switz’s cheese หรือจะสู้ Sweetheart
โดย FIT FOR FINE
Listen to this masterpiece for your อรรถรสในการอ่าน
The 1975 - fallingforyou
XV
Switz’s cheese หรือจะสู้ Sweetheart
(Photo by Ricardo Gomez Angel on Unsplash)
(Schilthorn, Lauterbrunnen)
When the smoke is in your eyes, you look so alive
Do you fancy sitting down with me maybe
'Cause you're all I need
According to your heart
My place is not deliberate
Feeling of your arms
I don't want to be your friend
I want to kiss your neck
นี่ต้องเป็นการเอาคืนแน่นอน
ไม่น่าเลย แพ้ แพ้ราบคาบ!
ฮัน ไนท์นั่งแคะปากอย่างครุ่นคิด หลังจากได้สุนัขตัวโตมาเลี้ยงแบบไม่ได้ตั้งใจ เขาก็คิดว่าใช่แล้วละ...มันคือการเอาคืนกันอย่างแน่นอน เอาคืนเรื่องที่ฮันเคยแกล้งพูดเรื่องถุงยางให้คาร์ลอสเขินอาย จนอีกฝ่ายแก้ตัวจนหน้าดำหน้าแดงตอนนั้น
ตอนนี้โดนเอาคืนบ้างแล้วละ...
ก่อนหน้านี้ที่เห็นคาร์ลอสไม่พูดคำหยาบก็คิดว่าน่ารักดี แต่พอเปลี่ยนใหม่ทันทีแบบนี้แล้วในใจได้แต่คิดว่า...ไม่นะ
ถ้ามีหนักกว่านี้เขาคิดว่าพวกเราจะตุยกันหมดน่ะสิ
“หิวหรือยัง ไปขึ้นกระเช้าเลยไหม”
“หิวจนกินช้างได้ทั้งตัว” ฮันพูดเล่น แต่เหมือนใครบางคนจะนิ่งไปนิด
“แย่จัง...งั้นกินฉันก่อนไหม อาจไม่อิ่มเท่าช้าง...แต่อร่อยนะ”
ไปสรรหาคำพูดแบบนี้มาจากไหนเนี่ย!
ฮันรีบยัดขวดน้ำลงกระเป๋า พับขาตั้งกล้อง แสร้งว่าเก็บของจนหัวหมุน จะได้ไม่ต้องหันไปเห็นรอยยิ้มของคนขี้แกล้งข้างหลัง ยกมือปัดป้องเมื่อคาร์ลอสบอกว่าจะช่วย คำที่ทำให้อัลฟาตัวสูงหยุดมือคือฮันอ้างว่าอุปกรณ์พวกนี้ถ้าเก็บไม่ถูกวิธีอาจพังได้ นั่นแหละ คาร์ลอสถึงทำเพียงยืนมองจากด้านหลัง
ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไป พวกเขาจะต้องไปสถานที่ที่สองของวัน นั่นก็คือการขึ้นยอดเขาชิลท์ฮอร์น (Schilthorn) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขาจุงเฟรานัก ถือว่าเป็นการพักรับประทานอาหารกลางวันที่นั่นไปด้วยเลย
เป้าหมายของฮันในตอนเช้าคือเก็บภาพวิวสวยๆ บนยอดเขาจุงเฟราให้หมด และขึ้นไปหอคอย Sphinx ซึ่งมีความสูงถึง 3,571 เมตร บนคอหอยจะสามารถชมวิวได้แบบ 360 องศา ทำให้มองเห็นยอดเขาอื่นเรียงรายสลับซับซ้อน จวบจนเที่ยงวัน ฮันก็ยังไม่หยุดคิดว่าจะทำเป็นชิ้นงานในรูปแบบไหนดี
แบบที่คาร์ลอสว่ามันก็น่าสนใจ แต่ฮันคิดว่ามันยังมีอะไรที่เจ๋งแจ๋วกว่านี้ได้
แต่เครียดเรื่องคิดงานไม่เท่ากับสมองมันว้าวุ่นเพราะมีคนมาเลื้อยหน้าเลื้อยหลังตลอดเวลา ถามนู่นถามนี่เหมือนเห็นเขาเป็นเด็กเล็ก ที่จะต้องมีคุณแม่คอยเอาผ้าอ้อมซับน้ำตา เช็ดคราบน้ำลาย หรือเอาจุกนมยัดปากเวลาทำเสียงจ๊อบแจ๊บ
จะบอกว่ารำคาญไหมก็ไม่ใช่ แค่อยากให้หยุดทำตัวแบบนี้ในสถานที่คนเดินกันขวักไขว่ก่อน ไม่ใช่อะไร...มันฟัดไม่ได้ง่ะ
คาร์ลอสเป็นคนน่ารักโดยนิสัยตามธรรมชาติตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าตัวไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิด ว่านัยน์ตาน้ำข้าวจะเป็นประกายสีฟ้าใสแจ๋วทุกครั้งที่ได้เล่นกับฮัน พฤติกรรมที่ไร้พิษสง และแววตาที่แสนจะซื่อตรงของคาร์ลอสในวัยนั้น ต่อให้จะผ่านอะไรมาจนนิสัยเปลี่ยน แต่ลึกๆ แล้วคาร์ลอสก็เป็นเพียงเด็กน้อยขี้อ้อน โหยหาความรักความอบอุ่นคนหนึ่ง
เด็กชายคาร์ลอสมักจะด้อยค่าในตัวเองทุกครั้งที่ฮันให้ทดลองทำสิ่งใหม่ บ้างก็บอกว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ดี เป็นคนน่าเบื่อก็เลยไม่มีใครอยากเป็นเพื่อน ความมั่นใจในตัวเองติดลบ จะรู้ไหมว่าตนเองเป็นเด็กที่มีอารมณ์ขันโดยธรรมชาติอย่างหาได้ยาก คนอื่นต่างหากที่ไม่มีความกล้ามากพอในการทำความรู้จักเพื่อนที่น่ารักคนนี้
ถ้าเด็กชายคาร์ลอสได้รับความรัก ความอบอุ่นมากพอ มีหรือที่จะไม่เติบโตมาเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่คำว่าคนดีของสังคมในอุดมคติ แต่เป็นคนดีต่อตัวเอง และรักตัวเองมากพอที่จะมอบความรักนั้นให้ผู้อื่นต่อไป
การเป็นเพื่อนกับคาร์ลอสในวัยเด็กทำให้ช่วงชีวิตหนึ่งของฮันมีชีวิตชีวา และสดใสอย่างที่หวนกลับไปนึกถึงครั้งใดก็มีความสุขเสมอ
ตอนนั้นตัวยังเท่ากัน ใบหน้าหรือก็มีน้ำมีนวล แก้มตุ่ยๆ ริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดในฤดูหนาวแบบฉบับคนผิวขาว ทุกครั้งที่ฮันบ่นว่าหนาวในวันหิมะตกหนัก คาร์ลอสก็จะมีน้ำใจแบ่งปันถุงมือคู่หนาให้ทั้งๆ ที่ตัวเองแก้มแดงเหมือนเบบี้โทเมโท จมูกจิ้มลิ้มขึ้นสีระเรื่อแถมยังมีเสียงหายใจฝืดๆ แต่ก็ยังใจกล้าถอดถุงมือยื่นมาให้
ทุกครั้งที่ฮันปฏิเสธน้ำใจเพราะเป็นห่วงเพื่อนเหมือนกัน คาร์ลอสก็จะใช้วิธีแบ่งกันคนละครึ่ง แถมไม้ตายสุดท้ายคือการบอกว่า ถ้าเขาไม่รับถุงมือไปหนึ่งข้าง เจ้าตัวก็จะไม่ใส่เลยสักข้างเหมือนกัน
“อมยิ้มอะไร”
“เปล๊า” ฮันกระแอมเบาๆ เพื่อปรับเสียงตัวเองไม่ให้หลงขึ้นสูงอีก
“อีกสิบนาทีกระเช้ารอบถัดไปจะมา” คาร์ลอสเตือนเวลา มือข้างหนึ่งยื่นมาคว้ากระเป๋าสะพายที่หนักจนไหล่เคล็ดไปถือเอง ฮันจะขอคืน อีกฝ่ายก็ไม่ยอม ทั้งยังพูดด้วยรอยยิ้มร้ายว่า “ถ้าไม่อยากให้คนหันมามองเยอะๆ หยุดแย่งจะดีกว่านะครับ”
“แต่นั่นมันหนักเกือบสามโลเลยนะ! เราเป็นคนหอบขึ้นมา ให้เราถือเองเถอะนะซีแอล”
“อึ๊อือ” หนุ่มอัลฟายกนิ้วชี้ขยับซ้ายขวา แล้วส่งเสียงในลำคอเลียนแบบที่ฮันทำไม่มีผิด ท่าทางนั้นทำให้ฮันยืนกอดอกก่อนจะหรี่ตาลง
จะเล่นงี้ใช่มะ
“ถ้าหนักอย่ามาบ่นทีหลังนะ ถือตลอดทางไปเลย!”
“ให้อุ้มเธอเดินไปด้วยยังได้เลย”
ว้อย ยังชงมาแนวนี้ได้ไงฟระ!
ฮันเม้มปากแน่น แล้วรีบเดินนำ(หนี)ไปก่อน ปล่อยให้คนทำตัวเป็นพระเอกซีรีส์เดินตามหลัง
“รอด้วยสิครับ!” อัลฟาตัวสูงเรียกคนเป็นพาร์ตเนอร์ด้วยน้ำเสียงที่ใครต่อใครได้ยินก็ต่างระทวยด้วยความอิจฉา นั่นทำให้คนตัวเล็กกว่ายกมือปิดหูแล้วสับขาฉับๆ คนได้แกล้งเห็นใบหูอีกฝ่ายจากด้านหลังเป็นสีแดงก่ำก็หลุดหัวเราะ
น่ารักจริงๆ
การขึ้นยอดเขาชิลท์ฮอร์นมีสองวิธี คือ เส้นทางปีนเขาและการขึ้นด้วยกระเช้าลอยฟ้า ใครสายลุย สายเก็บประสบการณ์ด้วยกำลังกายก็คงจะเลือกเส้นทางปีนเขา ตอนแรกคาร์ลอสก็คิดว่าอยากลอง แต่ได้ยินเสียงท้องร้องของฮันสามครั้งติด ความคิดในหัวก็เป็นอันยกเลิก
พวกเขาจะขึ้นยอดเขาชิลท์ฮอร์นด้วยกระเช้าลอยฟ้าจากหมู่บ้านมือเริน (Mürren) โดยกระเช้าจะออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เหลืออีกสิบนาทีก่อนที่กระเช้ารอบถัดไปจะมา คนที่จะขึ้นไปทานอาหารบนภัตตาคารชื่อดังพากันยืนรอขึ้นตามคิว
บนเขาชิลท์ฮอร์นมีภัตตาคารหมุนได้พิซ กลอเรีย[1]นอกเหนือจากอาหารขึ้นชื่อที่ถ้าใครมาต้องสั่งอย่างมันฝรั่งทอดสไตล์สวิสหรือฟองดูว์ชีส ก็ยังโดดเด่นมาตั้งแต่ยุคแห่งความบันเทิง เพราะได้รับขนานนามว่าเป็น Bond World เนื่องจากมีการจัดแสดงและของที่ระลึกเกี่ยวกับหนังเจมส์ บอนด์มากมาย
ฮันและคาร์ลอสไม่ใช่แฟนคลับตัวยงของหนัง เจมส์ บอนด์ ดังนั้นเป้าหมายของการขึ้นเขาชิลท์ฮอร์นก็เพื่อไปกินล้วนๆ
“ฟองดูว์ชีส! น่ากินโคตร!”
“เมื่อวานก็กินไปสามชุด ไม่เบื่อเหรอ”
คาร์ลอสถามด้วยความนึกทึ่ง สายตามองอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะ ก็จะไม่ให้เต็มได้ยังไง ฮันเล่นชี้ทุกอย่างในหน้ารายการอาหาร พอคาร์ลอสทักว่าอาจจะกินไม่หมด ฮันดันเข้าใจผิดว่าเขาไม่อยากช่วยจ่ายเงินค่าอาหารที่เยอะแยะขนาดนี้ คนตัวเล็กกว่าเลยเอาใบเมนูบังหน้า ก่อนจะกระซิบมาฝั่งเขาว่า
“มื้อนี้เดี๋ยวเราจ่ายเงินส่วนที่เกินงบเอง ที่จริงแอบจิ๊กเงินเก็บตัวเองมาเที่ยวด้วยแหละ…เราเพิ่งได้ค่าจ้างออกแบบมา คาร์ลอสอยากกินไรจิ้มเลยนะ ห้ามเกรงใจล่ะ!”
อือ...ป๋ามาก ก่อนสั่งยังทำท่าตบกระเป๋าเงิน(ที่ไม่มีเงินสด)ให้ดูอีกว่าตัวเองพร้อมเลี้ยงค่าอาหารมื้อนี้
สวิตเซอร์แลนด์ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ประชากรมีความสุขมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็จริงอยู่ แต่ทุกอย่างก็แลกมาด้วยค่าครองชีพที่สูง ตามคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประเทศอื่น งบค่าอาหารสามมื้อที่ทางมหาวิทยาลัยให้มาถือว่าเหมาะสมกับค่าครองชีพในประเทศนั้นๆ แต่นอกเหนือจากกินอยู่ปกติก็ต้องออกเอง ซึ่งการจิ้มรายการอาหารแทบทุกอย่าง...แน่นอนละว่างบหนึ่งมื้อที่ได้มาต้องไม่พอแน่
แต่ที่ทักว่าเดี๋ยวกินไม่หมด คาร์ลอสหมายความตามนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะกลัวได้หารค่าอาหารที่ไม่เป็นธรรมไหมเล่า
เหมือนฮันยังคงติดภาพลักษณ์ของคาร์ลอสว่าเป็นเด็กหอไม่มีเงิน(จากที่เคยเล่าให้ฟังว่าออกมาอยู่เองคนเดียว) ซึ่งจำไม่ได้หรือไงว่าบ้านก็เคยพาไป รถคันหรูเขาก็เคยพานั่ง
อีกทั้งได้ทุนเรียนสาขาที่ติดยากอันดับหนึ่ง เงินเดือนให้เปล่าจากรัฐบาลนี่ถือว่าเหลือเฟือเป็นไหนๆ
“ก็มันอร่อยนี่...” ฮันหน้าหงอยเหมือนเด็กโดนแม่ดุ
“อร่อยเท่าฉั—”
“หยุด!” ฮันยกนิ้วชี้ขึ้นกลางอากาศ สั่งเสียงเด็ดขาด ก่อนจะหยิบขนมปังจิ้มฟองดูว์ชีสแล้วเอายัดปากคนที่กำลังจะเล่นมุก ซึ่งตอนบริกรยกมาเสิร์ฟเหมือนจะลืมบอกว่าระวังเพราะอาหารยังร้อน
ตอนนี้ เลยได้เห็นภาพอัลฟาหนุ่มร้องจ๊าก หุบอ้า หุบอ้าปากอยู่หลายทีให้ควันระบาย และฮันที่ร้อนรนส่งทิชชูให้กำใหญ่ ปากเอ่ยขอโทษซ้ำๆ หันหน้าหันหลังไม่รู้จะทำยังไงเพราะเป็นต้นเหตุทำชีสลวกปากพาร์ตเนอร์ตัวเอง
ท้ายที่สุด ลิ้นอันน่าสงสารของคาร์ลอสก็กลับมาเป็นปกติได้ด้วยอิตาเลียนโซดาเย็นชื่นใจ ซึ่งมีใบหน้าแสนรู้สึกผิดของโอเมกาผิวน้ำผึ้งให้เห็นแทนวิวกระจกรอบนอก
“ลิ้นนาย...หายชาหรือยัง”
“อีกสองวันน่าจะกลับมารู้รส” คาร์ลอสพูดทีเล่นทีจริง แต่มุมปากของฮันยิ่งงุ้มลง
“ขอโทษนะ เจ็บมากไหม” ฮันเอาทิชชูซับริมฝีปากที่ยังแดงก่ำให้ ดวงตาฉายแววกังวลอย่างไม่ปิดบัง
อา...ขอตอแหลอีกสักหน่อยดีไหมนะ
“เจ็บสิ คงกินอะไรไม่ได้แล้ว”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ทำยังไงดีล่ะ ไปหาหมอไหม—”
“คงกินอะไรไม่ได้ถ้าไม่มีคนป้อน”
“...?” หน้าผากของฮันเหมือนมีเครื่องหมายปรัศนีแปะ
“ป้อนหน่อยสิครับ”
“ไหนว่ากินอะไรไม่ได้” ฮันหรี่ตามอง
“ก็กินไม่ได้ถ้าไม่ได้ฮันนี่ป้อนไงครับ นะ นะครับ ป้อนหน่อยนะ”
“มึงๆ คู่นั้นเอาอีกแล้วว่ะ”
“ยอมไม่ได้ มึงรีบเอาอะไรมายัดปากกูบัดเดี๋ยวนี้!”
“ขอฟองดูว์ชีสแบบร้อนมาก ร้อนมากๆ ร้อนแบบเพิ่งตักออกจากหม้อตอนนี้เลยค่ะ!”
วินาทีนั้นฮันถึงได้รู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางขนาดย่อมที่อีกฝ่ายสร้างเข้าอีกจนได้ แต่ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงเขาก็ทำชีสลวกปากคาร์ลอสจริง ทำให้อีกฝ่ายเจ็บจริง
จะป้อนสักคำคงไม่ทำให้อายสักเท่าไรหรอก...มั้ง
αβΩ
บ่ายแก่ ตะวันเริ่มคล้อย แสงนวลตาอาบทั่วทุ่งหญ้าเขียวชะอุ่ม ราวกับมีภาพธรรมชาติช่วยบำบัดจิตใจ ชวนให้หายเหนื่อยล้าจากการเดินทางตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะนั่งรถไฟและขึ้นกระเช้าลอยฟ้ามากกว่าเดินขึ้นเขาก็เถอะ
ฮันได้คุยกับนักศึกษาร่วมการเดินทางหลายคน ได้รับข้อมูลมาหลายอย่าง ว่าส่วนใหญ่คนที่มีพาร์ตเนอร์ทำงานเกี่ยวกับศิลปะได้ ถ้าไม่ทำเพเปอร์อาร์ต(ฮิตมาก)ก็จะทำดิจิทัลอาร์ต ซึ่งสิ่งที่ฮันสงสัยตามมาก็คือแต่ละคนจะทำยังไงให้ผลงานเราแตกต่างและมีความน่าสนใจ
“ถึงจะบอกว่าห้องได้แรงบันดาลใจจากแหล่งท่องเที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ แต่เราจะใส่ตัวตนเข้าไปในงานด้วย งานเราส่วนใหญ่จะขี้เล่น สีสันจัดๆ ให้ความรู้สึกตื่นตัว ในส่วนของพาร์ตเนอร์ เขาจะเอาเอกลักษณ์งานเราไปเบลนด์กับห้องต่ออีกที”
เบตาหญิงที่ฮันคุ้นหน้าเพราะเธอเรียนสาขาวาดกล่าวขณะที่นิ้วก็เลื่อนผลงานให้ดู เธอมีพาร์ตเนอร์เรียนออกแบบภายใน ทั้งคู่จึงช่วยกันทำผลงานวิชาปรัชญาสมัยใหม่ด้วยการออกแบบห้องผสมผสานกับงานศิลปะ ซึ่งฮันคิดว่ามันน่าสนใจมากทีเดียว
“มูดแอนด์โทนห้องจะคงความเป็นธรรมชาติไว้เป็นอันดับแรกเลยครับ แต่สไตล์ของมิเกลจะต้องเอาตัวเองไปอยู่ในงานด้วย ผมก็จะเอามาปรับให้ไม่อาร์ตเกิน ดูเข้ากับตัวห้อง อย่างอันนี้ในวอลล์เพเปอร์ของห้องนอกจากจะมีวิวต้นไม้ใบหญ้า แลนด์มาร์กที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว คุณฮันจะเห็นมิเกลนั่งอยู่บนต้นไม้ด้วย ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่เห็น ถือว่าเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่ผมอยากใส่ไว้ครับ”
“จริงด้วย” ฮันมองนิ้วของอัลฟาหนุ่มผู้เรียนออกแบบภายในพาร์ตเนอร์ของมิเกลชี้ให้ดูรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวห้องที่ทั้งคู่ช่วยกันสร้างสรรค์มา
“ส่วนฮันดูตรงนี้ เห็นลิงบาบูในป่าไหม” มิเกลชี้จอฮอโลแกรมอีกมุมให้ดู
“โอ๊ะ นั่นมัน…”
“นั่นผมเองครับ มิเกลบอกว่าถ้าใส่แค่ตัวเขาคนเดียวลงไป มันจะดูเหมือนว่าผมไม่มีส่วนช่วย หรือเขารู้สึกว่าเหมือนผมไม่ได้อยู่ในชิ้นงานนี้ แต่ว่านะ...เธอช่วยวาดให้เราทำท่าเหมือนมนุษย์เดินออกจากป่าแบบปกติทีเถอะ”
ฮันหลุดหัวเราะลั่นไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่น ก่อนจะรู้ตัวว่าอาจทำให้พาร์ตเนอร์ของมิเกลไม่พอใจ เขาถึงได้กลั้นหัวเราะจนกลายเป็นใบหน้าอมยิ้มไว้แทน แต่พาร์ตเนอร์หนุ่มของมิเกลนอกจากจะไม่ถือสาแล้วยังเล่นตัวเองพาให้ทั้งวงสนทนาหัวเราะขบขัน
ถึงจะกลั้นยังไง ฮันก็ยังเผลอหลุดหัวเราะออกมาอยู่ดี เพราะมันพาลให้นึกถึงคำที่พี่เอมิลี่พูดเมื่อตอนเช้าตรู่
“ลิงเพิ่งออกจากถ้ำ”
ฮันยกมือปิดมุมปาก เขาไม่ได้ขำรูปวาดพาร์ตเนอร์ของมิเกลที่ทำท่าเกาหัว เกาตัวเหมือนวานรอาศัยในพงไพร แต่ขำเพราะนึกถึงใครบางคนที่นั่งรออยู่ข้างหลังต่างหาก
ว่าแล้วฮันก็เหลือบตามองคนที่ทำทีเป็นนั่งอ่านอะไรบางอย่าง แต่หูซ้ายนี่ผึ่งมาทางนี้เชียว
พออัลฟาหนุ่มที่แสร้งว่านั่งอ่านอีบุ๊กสบสายตาเข้ากับคนที่หันมา ก็ถึงกับล่อกแล่กเปลี่ยนไปมองอย่างอื่นแทบไม่ทัน ท้ายที่สุดก็ได้แต่ยอมเงยหน้าส่งยิ้มบางๆ ให้ฮัน เพราะโอเมกาหนุ่มยังส่งยิ้มมาให้ จะให้เขาปฏิเสธความน่ารักนั้นลงได้อย่างไร และความแตกไปแล้วว่าตลอดการนั่งรอ ตัวเองไม่ได้โฟกัสกับสิ่งที่กำลังอ่านอยู่เลยแม้แต่น้อย
เพราะสายตาเจ้ากรรมมันดันจับอยู่แต่ใครบางคน
ใครบางคนที่สำคัญกว่านั้น
ฮันถอนหายใจน้อยๆ ส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มในตอนที่ละสายตาออกจากกันกลับมายังวงสนทนา แล้วก็ได้เห็นดวงตาหลายคู่ที่หรี่มองมาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ฮันแน่~”
“อะไรกัน?” ฮันขมวดคิ้วถามยิ้มๆ
“อะยางงาย...”
“จุ๊กกรู้ว~”
“หนุ่มเย็นชานี่เขาว่าบนเตียงแซ่บ จริงปะ” มิเกลและเหล่าเพื่อนๆ ของเธอต่างพากันทำเสียงกระซิบ
“เขาว่าหนุ่มเนิร์ดเวลาอยู่บนเตียงเนี่ยถึงกับมีร้องอู้ววว” สาวคนหนึ่งทำเสียงซี้ดปาก หรี่ตามองฮัน “แบบเป็นฮอตเนิร์ด จริงมะๆ”
ที่ถ้าจะกระซิบดังจนได้ยินกันทั้งวงอย่างนี้อะนะ
“หือ!?” ฮันทำตาโต ย่นคอหนีเหล่าสาวๆ หนุ่มๆ เบตาโอเมกาทั้งหลายที่ยื่นหน้ามารอฟังคำตอบ “หนุ่มเนิร์ด? อย่างคาร์ลอสนี่เรียกหนุ่มเนิร์ดด้วยเหรอ”
“คนเนิร์ดเป็นคนที่ชื่นชอบอะไรก็จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นไง จนเป็นคนที่รู้เฉพาะเรื่องหนักมาก ชอบในเรื่องที่ชาวบ้านเขาไม่สนใจกัน แต่ดันเข้าสังคมไม่เก่ง คนเนิร์ดๆ เขาไม่ได้ดูกันที่ภาพลักษณ์ว่าต้องใส่แว่นหนานั่งอ่านหนังสือทั้งวัน อย่างพ่อหนุ่มเย็นชาที่วันๆ ขลุกอยู่แต่ในแล็บ เชี่ยวแต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์นี่ก็เข้าข่าย”
“ไม่เย็นชาแล้วสิ เมื่อเช้าฉันเห็นยืนกอดกันกลม เรียกที่รักจ๊ะ ที่รักจ๋า ตานี่หวานเยิ้ม หมดคราบพ่อหนุ่มฆ่าได้ฆ่า มาเป็นค่าได้ค่าที่ร้ากแล้วง่ะ”
ไปเรียกกันแบบนั้นตอนไหนฟระ!
ฮันกำลังจะส่ายหัว โบกมือปัดๆ ว่ายังไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งนั้น แต่บรรดาแม่ๆ(แต่งตั้งตัวเอง)ก็รั้งไว้ ทั้งยังทำเสียงกระซิบกว่าเก่า
“มีทีเด็ดหรือเทคนิคอะไรบอกพวกเรามั่งสิฮัน พวกเราน่ะเฉาจะตายกันอยู่แล้ว อยากมีคู่ๆๆ!”
“เทคนิคอะไร ไม่มีของแบบนั้นหรอก” ฮันย่นหัวคิ้ว หลุดหัวเราะ
“ก็นี่พวกเรารู้มาว่าพาร์ตเนอร์ของฮัน แต่ก่อนนี่ถึงขั้นเหยียดโอเมกาเลยไม่ใช่เหรอ อย่าว่าแต่โอเมกาเลยนะ อัลฟา เบตาหน้าไหนก็ไม่มีทางได้เข้าใกล้เกินสามเมตร พ่อเขาทำหน้าเหมือนเหม็นขยะเปียกทุกครั้งที่มีคนเข้าไปจีบ”
พ่อเขา = คาร์ลอส
“ก็...อ่า” ไม่รู้แฮะ จะให้เล่าความหลังของซีแอลเห็นทีไม่น่าจะได้
“เอ...หรือว่าเป็นโซลเมทกันงั้นเหรอ!” มิเกลโพล่งขึ้นมา
เพื่อนคนอื่นขมวดคิ้วกำลังจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องแบบนี้มีให้เห็นแค่ในอินเทอร์เน็ตและนิยาย แต่เมื่อทั้งกลุ่มเห็นฮันนั่งกัดปากนิ่งเงียบ แก้มและใบหูขึ้นสีระเรื่อกว่าเดิม จากที่ก่อนหน้านี้ทุกคนมีเรื่องอยากจะถามกันให้ควั่กอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งเหมือนฮันตกลงไปในบ่อปลาสวายที่หิวโหย
“ตกหลุมรักแรกเจอ หรือทำเป็นเกลียดไปงั้นแหละแต่คนเราปากบอกเกลียดอะไรก็จะยิ่งเอาตัวเองเข้าไปใกล้!”
ไม่นะ...นี่กลัวทะเลยังไม่อยากไปทะเลเลย
“ถ้าเป็นรักแรกพบนี่คงจะโรแมนติกสุดๆ ไปเลยเนอะ พ่อหนุ่มเย็นชาที่ไม่เอาคนทั้งโลก แต่ยอมลงให้เธอแค่คนเดียวนี่มัน...”
“นิยายมาก” พาร์ตเนอร์ของมิเกลเติมคำให้ เลยโดนมิเกลกระทุ้งศอกใส่
“เกิดมาไม่เคยอยากรู้อยากเห็นเรื่องอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ ได้โปรดเล่าเพื่อสนองความอยากรู้—”
“จะบอกว่าอยากเสือกมากๆ เลยก็ได้”
“อ่า...” ฮันเกาหัว
“ฉันกำลังเกลี้ยกล่อมย่ะ อย่าเพิ่งขัดสิ!”
“หยุดก่อนนะครับทุกคน ตอนนี้ผมชักจะปวดหัวจนไม่อยากพูดอะไรแล้วสิ” ฮันปวดหัวจริง ปวดเพราะต่างคนต่างแย่งกันถามจนเขาตอบไม่ทันเนี่ย!
“อีแย้ม ไปเอาสมุนไพรที่ข้าได้จากสยามมา!” มิเกลทำท่าชี้นิ้วสั่ง
“มาแล้วเจ้าข้า” อีกฝ่ายก็รีบควักหลอดจากในกระเป๋ามาประเคน
แต่ละคนต่างสวมบทบาทเป็นตัวละครย้อนยุคแห่งเมืองสยาม เพราะซอฟต์พาวเวอร์จากประเทศไทยกำลังคืบคลานเข้ามาในวัฒนธรรมเงียบๆ ตั้งแต่ยุคที่สื่อสร้างสรรค์นั้นเฟื่องฟู จนตอนนี้หลายๆ อย่างจากเอเชียก็กลายเป็นสิ่งที่คนยุโรปยอมรับและนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
อย่างเช่นยาดมสมุนไพรแบบหลอดที่หอมเย็นชื่นใจ ใช้คลายอาการวิงเวียนศีรษะ แต่เพราะโซนยุโรปส่วนใหญ่เป็นเมืองหนาว จึงมีการปรับเปลี่ยนส่วนผสมหลายอย่างให้เข้ากับภูมิภาคเพิ่มเพื่อยอดขาย
และคำศัพท์มากมายไม่แม้แต่ศัพท์แสลงอย่างการพิมพ์เลข 5 หลายๆ ตัวเพื่อบ่งบอกความขำมาก แต่ยังบัญญัติคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป เช่น ซอสบางตัวที่ใช้ทานคู่กับอาหารไทย เรียกทับศัพท์ว่า ‘น้ำจิ้ม’
แต่คนไทยก็ขอมาอย่างหนึ่งอะนะ ว่าช่วยออกเสียงคำหลังให้สูงขึ้นหน่อยเถอะ เพราะไม่อย่างนั้นจากซอสแสนอร่อย ความหมายมันจะกลายเป็นอย่างอื่น...
สุดท้าย เรื่องราวระหว่างฮันและคาร์ลอสก็ถูกเล่าออกไปฉบับย่อๆ กระชับ เข้าใจง่ายว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตอนเกรด 1 เพิ่งจะกลับมาเจอกันก็เมื่อต้นเทอมนี่เอง
หลายคนถึงกับงงว่านี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ต่อให้แยกกันเรียนคนละที่ตอนมิดเดิลสคูลหรือไฮสคูลยังไงก็ต้องติดต่อกันได้ไม่ใช่เหรอ
และสิ่งที่แต่ละคนดูจะรอลุ้นมากที่สุดคือเรื่องสถานะของพวกเขา
“ที่จริง...ยังไม่ได้คบกันหรอก” ฮันเกาแก้ม มานั่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังก็กระไรอยู่ แต่ทุกคนไม่ได้บังคับ เซ้าซี้ หรือถามซอกแซกให้เล่าเรื่องที่ไม่สะดวกใจ แค่นี้ก็คงจะไม่เป็นไร “คือซีแอล— หมายถึง คาร์ลอสก็ขอมาแล้ว แต่เรายังไม่ได้ให้คำตอบชัดเจน”
“ทำไมล่ะ มีตรงไหนของอีกฝ่ายที่ทำให้ยังตัดสินใจไม่ได้งั้นเหรอ” โอเมกาหนุ่มคนหนึ่งในวงเอ่ยถาม
ฮันเม้มปากน้อยๆ ก่อนจะว่าเสียงเบา
“ไม่ใช่เพราะเขาหรอก...” เขาที่ว่าคือคาร์ลอส ไม่รู้ว่าเจ้าตัวรู้ไหมว่าตนเองเป็นประเด็นในหัวข้อสนทนานี้ แต่จากที่ทั้งกลุ่มคุยกันเสียงเบาลง(ที่หมายถึงเบาจากก่อนหน้านี้จริง) ฮันก็ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน “เป็นเพราะผมไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า”
พอฮันว่าแบบนั้น ทุกคนในวงถึงกับขมวดคิ้ว
“ฮัน อัลเลน ไนท์ มนุษย์ติดท็อปสาขา สอบเข้ามาด้วยคะแนน 90% เนี่ยนะ! ไม่มั่นใจในตัวเอง! หนูมีตรงไหนที่ยังขาดตกบกพร่องคะ ไหนบอกแม่ซิ”
ฮันยู่ปาก มิเกลทำเสียงจุ๊ๆ บอกอย่ามาพูดว่าเรื่องรูปร่างหน้าตา!ก็เธอน่ะน่ารักโดยธรรมชาติขนาดนี้! ซึ่งฮันก็ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไร
“ไม่รู้สิมิเกล ก่อนหน้านี้เราไม่เคยห่วงอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย จนกระทั่งเจอคาร์ลอส เรารู้สึก...อยากเป็นคนที่ดีขึ้น อยากดูดีในสายตาเขากว่าเดิม ก็บนโลกใบนี้มีคนที่สวย หล่อ น่ารักกว่าเราตั้งเยอะแยะ ไอ้เหตุผลที่ว่าเราทำคะแนนติดท็อปสาขา มันจะทำให้คาร์ลอส...รั— ชอบเรามากขึ้นได้ยังไง”
พอฮันว่าประโยคนั้นจบ ทั้งกลุ่มก็แทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกันเลย! คนอื่นเกี่ยวอะไรด้วย โฟกัสที่ความรู้สึกก็พอค่ะลูก! เอาอะไรมาไม่มั่นใจก๊อน เธอน่ารักทั้งภายนอกทั้งภายในขนาดนี้นะฮัน!”
“ถึงจะยังไม่ชัวร์ว่าใช่โซลเมทกันจริงหรือเปล่าเพราะยังไม่ได้ตรวจความเข้ากันได้ของฟีโรโมนหรืออื่นๆ แต่เราก็แอบไม่มั่นใจ...ว่าที่คาร์ลอสชอบเรา เป็นเพราะผลของฟีโรโมนหรือเปล่า”
“...”
“ถ้าเราทั้งคู่ไม่ได้เป็นโซลเมทกัน หรือถ้าเราไม่ได้เป็นโอเมกาที่มีกลิ่นฟีโรโมนที่เจ้าตัวชอบ...คาร์ลอสจะยังชอบเราอยู่หรือเปล่า”
“ถ้างั้นคืนนี้ก็ลองพิสูจน์ดูสิเจ้าคะ” เบตาหญิงข้างกายมิเกลกระซิบ ทั้งกลุ่มหรี่ตาเมื่อเธอหยิบบางอย่างยื่นให้
“อะไรน่ะครับ” มันคือกระปุกเล็กๆ ขนาดและทรงคล้ายกับที่พาร์ตเนอร์ของลูคัสให้มา ซึ่งถ้ามันคือสิ่งเดียวกันฮันคงได้แต่ส่ายหัวหวือ
“ไม่ใช่ยาเพิ่มกำหนัดฮีทหรอกเจ้าค่ะ แต่คือยาซ่อนกลิ่นต่างหาก”
ยาเพิ่มกำหนัดฮีท(ชื่อไทยๆ ที่เธอตั้งเอง) คือยาสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มอารมณ์ความใคร่ทางเพศ เหมาะสำหรับใช้ในช่วงฮีทเพราะจะทำให้เสร็จง่ายขึ้น เหนื่อยน้อยลง แต่ในทางกลับกัน มันก็จะช่วยทวีความอยากในช่วงนั้นเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว
ซึ่งฮันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพาร์ตเนอร์ของลูคัสให้เขามาทำไม แต่ขอแค่ไม่เผลอหยิบผิดไปเปิดดมเพราะคิดว่าเป็นสมุนไพรคลายอาการวิงเวียนก็คงจะไม่เป็นไร เพราะถ้าได้ดมสักปึ๊ดแล้วล่ะก็...
...ต่อให้ไม่ใช่ช่วงฮีท ก็คงจะได้ฮีทของจริง
ส่วนยาซ่อนกลิ่นที่เพื่อนของมิเกลให้มา คือยาช่วยลดการกระจายของกลิ่นฟีโรโมน อัลฟานั้นฝึกควบคุมฟีโรโมนของตัวเองได้ แต่โอเมกาทำไม่ได้ ดังนั้น สำหรับโอเมกาคนไหนที่ไม่ต้องการแสดงตัว ไม่สะดวกใจ หรือไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีเพศรองเป็นอะไร ก็จะใช้ยานี้ในการระงับฟีโรโมนของตน
ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ฮันเลิกคิ้ว
“ยาซ่อนกลิ่น...ให้ผมทำไมเหรอครับ”
“ก็คุณหนูฮันบอกเองว่าไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเขาชอบเพราะฟีโรโมนน้ำอ้อย หรือชอบเพราะคุณหนูเป็นตัวของคุณหนูเอง งั้นก็ต้องลองเจ้านี่แล้วละเจ้าค่ะ”
คุณหนูฮัน? ฟีโรโมนน้ำอ้อย? อะไรนะ...
ฮันยังทำหน้างง มิเกลเลยสรุป “เจ้าพวกนี้นี่มันยังไงกัน เรื่องเรียนเก่งเป็นบ้า แต่เรื่องแบบนี้สมองกลับทำงานช้ากันจังเลยนะ! คืนนี้ฮันแค่ใช้ยานี้ อาบน้ำขัดตัวหอมๆ แล้วไปนอนตบเตียงรอพ่ออัลฟาเข้าไปขย้ำไงเล่า!”
“...” สมองของฮันดูจะทำงานช้าลงจริง หัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“ถ้าเขาชอบฮันจริง ไม่มีเรื่องฟีโรโมนมาเกี่ยว มีเหรอ เห็นคนที่เราชอบนอนยั่วสวาทรอบนเตียงแล้วไฟในใจมันจะไม่ลุกโชน”
ตั้งแต่ฟีโรโมนน้ำอ้อยแล้วนะ หมายถึงคนที่มีฟีโรนโมนกลิ่นน้ำอ้อยเหรอ แล้วก็ยั่วสวาท... นี่ยังมาลุกโชน...ใครทำอะไรไหม้
ฮันเกาหัว ก่อนจะสรุป “เราต้องยั่วคาร์ลอส...โดยใช้ยาซ่อนกลิ่นฟีโรโมน?”
เป็นแผนที่เล่นใหญ่มาก ขอให้กลุ่มเพื่อนของมิเกลพูดเล่นทีเถอะ ฮันคิด
“ถูกต้อง! อ้อ ฮันมีชุดนอนที่ไม่ได้นอนหรือเปล่า ถ้าไม่มีมายืมพวกเราได้ เอ...แต่เราว่าแค่ใส่เสื้อบางๆ สักตัว ส่วนช่วงล่างช่างหัวมันก็ได้นี่เนอะ”
“ฮะ!?” ฮันถึงกับร้องโพล่งขึ้นมา เรียกสายตาของคนที่อยู่ในละแวกนั้นให้มองเป็นตาเดียว รวมถึงคาร์ลอสด้วย แน่นอนว่าฮันยังไม่กล้าหันหน้าไปสบตาอีกฝ่ายแน่นอนเพราะเกรงว่าจะได้เห็นเบบี้โทเมโทแทนแก้มของเขา
เพิ่งบอกไปว่าไม่มั่นใจในตัวเองไงโว้ย ควรจะให้คำแนะนำเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ไม่ใช่วิธีไปยั่วเซ็กซ์ไหม!
แค่นึกภาพตัวเองใส่เสื้อตัวเดียวแล้วนอนกัดปาก กวักมือรอให้ซีแอลมากระโจนใส่ก็โคตรจะไม่ใช่แล้ว แค่คิดเขาก็ขนอ่อนลุก ดังนั้น ไม่ใช่แค่ทำไม่ได้ แต่มันจะไม่มีทาง และไม่มีวันทำโว้ย!
αβΩ
“เมื่อกี้...คุยอะไรกับเพื่อนน่ะ”
“เปล่าเลยน๊ะ~!”
อุ่ย หลุดเสียงหลงด้วยอะ
“...เปล่าก็เปล่า” อัลฟาหนุ่มถึงกับนิ่งไปนิด แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามให้ได้ความอะไร ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ซึ่งสายตาดูออกหมดว่าคาร์ลอสไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร แต่ถ้าฮันบอกว่าเปล่า เขาก็จะว่าเปล่า
ซึ่งปากของโอเมกาหนุ่มที่หลุดลั่นเสียงหลงก็ได้แต่อ้าหุบ ก่อนจะเม้มมันเข้าหากันแน่นอย่างละอายใจ
ก็เมื่อบ่ายเล่นนั่งนินทาอีกฝ่ายไปเป็นชั่วโมง!
ตกเย็นช่วงขาลง พวกเขาตัดสินใจเลือกเส้นทางเข้าที่พักโดยการเดิน เพราะอยากดูวิวทิวทัศน์อีกที่หนึ่งที่สวยงามไม่แพ้กัน นั่นก็คือทางเดินระหว่างหมู่บ้านมือเรินไปหมู่บ้านกิมเมิลวัลด์ (Gimmelwald) เป็นเส้นทางเดินที่สวยงามและเดินง่าย ไม่เหนื่อย เพราะมันเป็นเพียงทางลงไปเรื่อยๆ ระยะทางสองกิโลกว่าเท่านั้น
แม้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศตอนนี้ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป แสงตะวันลับขอบฟ้าชวนให้อบอุ่น ฮันเช็กอุณหภูมิ มันแตกต่างจากบนยอดเขาเมื่อเช้าประมาณหนึ่ง ตอนนี้อุณหภูมิอยู่ที่ 53° ฟาเรนไฮต์[2]เรียกได้ว่าวิวสวย อากาศดี เป็นที่น่าประทับใจสุดๆ
เดินลงมาไม่นานก็เข้าสู่ตัวหมู่บ้าน ทุกอย่างยังคงอนุรักษ์การก่อสร้างแบบดั้งเดิมเอาไว้ บ้านทุกหลังเคยสร้างด้วยไม้ แต่เวลาผ่านไปก็ผุกร่อน ต้องใช้วัสดุที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตสำหรับภูมิภาคนี้มาใช้ทดแทน แต่การตกแต่ง รูปลักษณ์ กลิ่นอายทุกอย่างยังคงไว้แบบดั้งเดิมเท่าที่จะคงไว้ได้
ซึ่งภาพเบื้องหน้าทำให้คณะนักศึกษาถึงกับหยุดยืนมองไปขณะหนึ่ง
เพราะมันสวยงามจนแทบลืมหายใจ
“คืนนี้เราจะพักกันที่นี่นะครับ กระเป๋า สัมภาระต่างๆ ถูกเก็บไว้ตาม Poshtel แต่ละหลังแล้ว นอนคละกันหลังละสามคู่ จะมีหลังสุดท้ายที่เป็นเศษสองคู่ครับ แยกย้ายพักผ่อนตามอัธยาศัย”
“Poshtel เลยเหรอ หรูเลยแฮะ ตอนแรกคิดว่าจะได้นอนแค่ Hostel”
“มันก็ไม่ได้ต่างกันมากหรอก แค่สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า จะบอกว่าเป็นระดับหรูหราก็ได้ แต่ยังได้กลิ่นอายของท้องถิ่นนั้นๆ”
พาร์ตเนอร์คู่อื่นคุยกันเรื่องที่พัก ฮันมองหมายเลขบ้านพักที่ตนเองได้ และมองไปยังบ้านไม้ขนาดสองชั้นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
แต่ละคู่ทะยอยเดินเข้าบ้านพักของตัวเอง แต่ฮันและคาร์ลอสยังไม่ถึง ทั้งคู่เป็นลำดับสุดท้ายเพราะตอนที่คนอื่นได้เลือกสถานที่พร้อมกัน พวกเขาไม่ได้เลือก ดังนั้น บ้านพักที่ได้ก็คงอยู่หลังสุดท้าย
ฮันไม่ค่อยรู้เรื่องประเภทที่พักสักเท่าไร เท่าที่รู้ก็จะเป็น ที่พักแบบ Hostel ตามความหมายในสมัยก่อนคือที่พักราคาประหยัด ไม่มีคนคอยให้บริการ ต้องแชร์ห้องน้ำ หรือห้องนอนร่วมกับคนอื่น มันจึงเหมาะกับกลุ่มครอบครัว เพื่อน สรุปแล้ว Poshtel ก็คล้ายๆHostel ในเวอร์ชันที่พรีเมียมขึ้น
“หลังนี้ใช่ไหม ซีแอล” ฮันหันไปถามคนที่เดินตามหลัง
“ใช่ครับ” คาร์ลอสตอบพลางยกมือปาดเหงื่อ
“บอกแล้วไงว่าอย่าแย่งกระเป๋าเราไปถือ ดูสิเหงื่อซ่กเลย” ฮันบ่นมุบมิบ ดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดข้างขมับให้
จังหวะนั้นเอง เสียงเป่าปากของใครบางคนก็ดังมาจากทางด้านหลัง
“นี่มันน้องฮัน ไนท์นี่นา~”
“งู้ยยย น่ารักกว่าจากที่มองไกลๆ จริงๆ ด้วยแฮะ”
เป็นพาร์ตเนอร์ชายหญิงอัลฟาเดินเข้ามา ฮันเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง ส่วนคนข้างกันนั้นนิ่งไปแล้ว ไม่มีใครทันสังเกตว่านัยน์ตาสีฟ้าวาววับขึ้นมาฉับพลัน
“โอ๊ะ...พี่ๆ พักหลังเดียวกันเหรอครับ”
คาร์ลอสได้ยินคำว่า ‘พี่ๆ’ ออกมาจากปากของฮันแล้วคิ้วก็เริ่มขมวด
รู้จักกัน? ใคร? หน้าตาโคตรเจ้าเล่ห์ ไม่น่าไว้ใจ ไม่ชอบ เป็นอะไรกับฮัน?
แล้วหัวคิ้วของอัลฟาหนุ่มก็แทบจะผูกกันเป็นปม เมื่อสองอัลฟาชายหญิงแปลกหน้ายื่นมือออกมาลูบผมนิ่มของฮัน
“โชคดีมากเลยที่ได้พักหลังเดียวกับน้องฮัน อุ๊ย...ผมนิ่มกว่าแต่ก่อนเยอะเลยอะ นั๊ลร้ากกก” อัลฟาหญิงพูด มือก็ขยี้หัวทุยๆ จนเริ่มฟู
ฮันหัวเราะแหะๆ พยายามเบี่ยงหัวหลบ
“ตอนจะสอบเข้าปีหนึ่งยังเป็นน้องน้อยให้พวกพี่คอยเลี้ยงอยู่เลย ดูสิ ตอนนี้โตเป็นหนุ่ม แก้มก็ไม่มีให้พี่จับเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แย่จัง”
“พี่ซูซี่ พี่ไทเกอร์ ไม่เอาแล้วครับ ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ—”
หมับ
ฮันกำลังจะดึงมือพี่ๆ ออกแล้วบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก(ในวิธีประนีประนอม)แต่คงช้าไปกว่าคนข้างกาย
เพราะตอนนี้คาร์ลอสคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของคนชื่อไทเกอร์ อัลฟาชายหน้าตาเจ้าเล่ห์ ไม่น่าไว้ใจและดูท่าจะเป็นอันตรายต่อฮันที่สุด(ในความคิดตัวเอง)ด้วยการล็อกข้อมือที่กำลังจะเอื้อมไปจับแก้มนิ่มที่ตนแสนหวงแหนไว้แน่น
และแผ่รังสีอัลฟาหวงอาณาเขตราวกับตัวเองเป็นหมาป่าเดียวดาย แต่ยอมตายเพื่อปกป้องเธออย่างไรอย่างนั้นนั่นแหละ
“ฮันบอกว่าไม่เอา...ก็ปล่อย” เสียงทุ้มกดต่ำจากคาร์ลอสเล่นเอาคนที่อยู่ตรงนั้นขนอ่อนลุก
“ค้าบๆ ขอโทษค้าบ” สองอัลฟารีบถอยกรูดทันทีที่ถูกสลัดมือทิ้ง ก่อนจะแอบกระซิบกระซาบมาทางฮัน “มีแฟนดุก็ไม่บอก”
จังหวะแรกฮันยิ้มเจื่อน แต่เมื่อนึกได้ก็แก้มแดงแจ๋ รีบพูด
“นี่คาร์ลอส...พะ เพื่อนสนิทผมเองครับ ส่วนนี่พี่ซูซี่ กับพี่ไทเกอร์ รุ่นพี่ในสาขาเราเอง”
แน่นอนว่าทั้งสามคนที่เหลือถึงกับขมวดคิ้ว รุ่นพี่น่ะย่นคิ้วเพราะแปลกใจว่าท่าทางหึงดุเมื่อกี้คือแค่เพื่อนสนิท? ส่วนคาร์ลอสก็แอบสะอึกเพราะตนก็เพิ่งจะนึกได้ ว่าตัวเองยังมีสถานะเป็นแค่เพื่อนของอีกฝ่าย
“คาร์ลอส โฮล์มส์” อัลฟาหนุ่มแนะนำตัวเอง แต่ยังไม่ทันรอฟังคำแนะนำตัวกลับเจ้าตัวก็โอบเอวเพื่อนสนิท แบกกระเป๋ากล้องด้วยมือข้างเดียวแล้วเดินเข้าบ้านพัก
“ยังไงวันนี้เดินทางมาทั้งวัน ขอตัวพักผ่อนนะครับพี่ๆ” ฮันรีบตะโกนกลับมาให้ ก่อนที่ประตูบ้านจะปิด
ปล่อยให้อัลฟาทั้งสองต่างมองหน้ากัน
“เหมือนเผลอไปแหย่รังแตน”
“ไม่เหมือน แต่ใช่”
αβΩ
“รู้แล้วว่าขี้หึง นี่ขนาดยังไม่ตกลงคบนะเนี่ย”
“เปล่าหึง...โอ๊ย! เจ็บนะครับ”
“ยังไม่ทันหยิกเลยเหอะ ทีนายแทบจะไปหักแขนพี่เขา นั่นไม่เรียกหึง!? อะโด่ววว” ฮันยู่ปากหลังหย่อนก้นนั่งบนเตียงขนาด 4 ฟุตในห้องตัวเอง ส่วนคาร์ลอสยังทำหน้าเป็นตูด พอวางกระเป๋าเก็บให้ฮันแล้วก็ไปยืนกอดอกพิงวงกบประตู ทำอย่างกับตัวเองเป็นพระเอก MV
“ก็เธอดูไม่โอเคที่พวกนั้นมาจับต้องเนื้อตัว ฉันก็เลยจะปัดออกแค่นั้น แล้วสนิทกันมากเหรอจับหัวลูบแก้ม หรือปล่อยให้ใครมาทำแบบนี้ก็ได้ แล้วทำไมไม่ชอบแต่ก็ยังยอมให้คนอื่นทำ”
นี่ขนาดไม่หึงนะหูยยย
ฮันหรี่ตา ทำหน้าเหมือนร้องหูยในใจ(ซึ่งก็ใช่) พอโอเมกาหนุ่มนึกอะไรได้ เขาก็กวักมือเรียกอีกฝ่าย “ไหนมานี่”
แน่นอนว่าคาร์ลอสก็ยอมเดินเข้าไปหาแต่โดยดี แม้ว่าจะยังหน้าบูดเป็นตูดอยู่ตามที
“ทำอะไรครับ” เมื่ออัลฟาตัวสูงเดินเข้าไปใกล้ ก็ถูกดึงแขนให้ไปยืนตรงหน้า
“จับสิ” ฮันว่า แต่นั่นกลับทำให้คนที่ยืนหัวโด่ขมวดคิ้ว
“?”
“จะจับ จะบีบแค่ไหนก็ได้ตามที่ซีแอลต้องการ....” ฮันทาบฝ่ามือทับกับมือใหญ่กว่า เอาไปแปะข้างแก้มทั้งสองข้างของตัวเอง ก่อนจะช้อนตามอง “...เพราะแก้มนี้เป็นของนาย”
DAMAGE +9999 UNDEFEATED!
“ให้ตายสิ...ฮัน” คาร์ลอสว่าเสียงอ่อย ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไร กระทั่งบรรยากาศมันเริ่มเปลี่ยน อยู่ในห้องที่มีฮีทเตอร์อุ่นๆ เจ้าของดวงตาเป็นประกายนั่งช้อนมองอยู่ปลายเตียง และฝ่ามือของตัวเองที่ดูใหญ่อย่างน่าประหลาดเมื่อทาบอยู่บนพวงแก้มนุ่ม
ทุกอย่างตอนนี้ดูอันตรายต่อใจเขามาก
“ต่อไปนี้เราจะไม่ให้ใครมาบีบแจ้มเราอีกแล้ว ยกเว้นซีแอลเลยเป็นไง?”
ยังอีก ยังจะมายิ้มแฉ่ง ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่าอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดไหน!?
“ไม่ได้ ไม่ปลอดภัย ปล่อยก่อนฮัน มือฉันเปื้อน...ใช่ เพิ่งปีนเขากลับมาต้องไปอาบน้ำ ล้างเนื้อตัว แล้วก็พักผ่อนนะ เธอคงเหนื่อยแย่เลยใช่ไหมวันนี้”
“เห? เราเห็นซีแอลล้างมือแทบทุกห้านาที ไม่เห็นมีอะไรเปื้อนเลย แล้วก็วันนี้เราไม่เหนื่อยเลย หรือว่าซีแอลเหนื่อยมากเลยเหรอ? บอกแล้วไงว่าอย่าแย่งกระเป๋าเราไปถือน่ะ”
“ปล่อยก่อนคนดี หน้าเธอจะเปื้อนเอานะ” คาร์ลอสยังพยายามจะชักมือออก แต่นั่นกลับทำให้ฮันมุ่ยหน้า ยิ่งเอียงคอซบฝ่ามืออุ่น
“ซีแอลไม่ชอบการสกินชิพเหรอ...เราก็นึกว่าซีแอลโมโหหึง ที่พี่ๆ เขาจับแก้มเรา เราก็เลยยกแก้มให้ซีแอลจับได้คนเดียว...ไม่ถามเลยว่าซีแอลต้องการไหม”
“ไม่ใช่แบบนั้น! อยากจับสิ อยากมากด้วย แต่มันอันตราย ฉันต้องไปเตรียมพร้อมก่อน” คาร์ลอสรีบปฏิเสธ แล้วก็พูดทุกอย่างรัวเร็วจนจับใจความแทบไม่ได้ ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมนแล้วผละตัววิ่งออกจากห้องของฮัน
“อะไร...อันตรายนะ” ปล่อยคนที่จะเรียกว่ายั่วตาใสได้ไหมไม่เต็มปากไว้กับสัมผัสอุ่นๆ บนหน้าผาก
ซึ่งพออยู่คนเดียวในห้องแล้ว ฮันก็ล้มตัวลงหมอนนุ่มบนเตียง ตีอกชกหัวตัวเอง นึกถึงสิ่งที่เหล่านักให้คำแนะนำจำเป็นบอกเมื่อบ่าย
ขนาดแค่สกินชิพซีแอลยังแทบวิ่งหนี ถ้าให้ทำตามแผน ‘ยั่วสวาทเอาใจนายอัลฟา’ ของเพื่อนๆ นี่ อีกฝ่ายไม่ขอมุดดินกลับประเทศไปเลยเหรอ!?
อีกฟากหนึ่งของห้อง คนที่แทบจะกระโจนออกจากห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นราวกับ ‘ถ้ำราคะ’ ถึงกับต้องยืนตั้งสติกับตัวเองอยู่พักใหญ่
โดยที่จังหวะแรกไม่รู้สึกเลยว่ามีใครอีกสองยืนมองอยู่
สองอัลฟาชายหญิงพาร์ตเนอร์ร่วมบ้านพักยืนมองตาปริบๆ ในมือถือแก้วน้ำส้ม ไม่ต้องบอกคาร์ลอสก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่ทำอะไรอยู่ และทำไมถึงไม่เข้าห้องพักตัวเองไปสักที เขากระแอมเล็กน้อยก่อนยืดยืนตัวตรง
อัลฟาหญิงยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ ทำท่าเบี่ยงหน้าไปมองอย่างอื่นเหมือนไม่ได้สนใจ แต่หูนี่ผึ่งเชียว
“น้ำไหม คุณพาร์ตเนอร์น้องฮัน” อัลฟาชายชื่อไทเกอร์ยกแก้วน้ำเป็นการเชื้อเชิญตามมารยาท “อ้อ ดื่มน้ำหมดแล้วพวกผมก็ขึ้นห้องพักแล้วละ พวกคุณอยู่ชั้นหนึ่งสินะ ทำอะไรสะดวกเลย”
“...”
“ผมหมายถึงข้างล่างมีครัวด้วย สะดวกเลย”
“ขอผมแก้วหนึ่ง”
“?”
“น้ำ คอแห้ง...ครับ”
น่าจะเป็นจังหวะนี้ที่คาร์ลอสเริ่มรู้จักวิธีการเข้าสังคม เพราะเขาอยากเป็นคนที่ดีขึ้นไม่ใช่แค่ในสายตาของฮัน แต่รวมถึงคนรอบตัวของฮันด้วย
และน่าจะเป็นตอนนี้ที่คาร์ลอสได้เทคนิคหลายอย่างที่อัลฟาควรรู้ และควรรู้ก่อนจะทำอะไรๆ
เขารู้ดีแก่ใจว่าอย่างไรสิ่งอันตรายที่ตนเองพยายามยื้อเวลามันก็ต้องเกิดในสักวันอยู่ดี คงเป็นสักวันในอนาคต ไม่รู้ว่าจะเริ่มเมื่อไร คงเป็นวันที่แสนธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันล้ำค่า ที่สำคัญกว่าคือจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายรู้สึกดี
เพราะถ้าให้ตัวเองมีความสุข แต่อีกฝ่ายเป็นทุกข์เขาคงไม่ยอม
และถ้าให้พิสูจน์ความรู้สึกที่เขามีต่ออีกฝ่าย แท้จริงกว่าคำพูด ก็ต้องเป็นการกระทำ
TBC
ผ้มกลับมาแว้วววว ครึ่งหลังไม่จุกตรงไหนพรูดดด แต่ตอนหน้าอะจุกแน่ ทุกคนรุ้นะ วิธีทำให้นักเขียนอัพไวๆ ถ้าไม่รุ้ ก็เลื่อนลงไปดูวิธีด้านล่างได้เล้ย!
Also ทีมงาน ทีมอาร์ต แอดมิน นักเขียน คนพรูฟ ฝ่ายติดต่อประสานงาน อาจทำงานล่าช้าไปบ้าง เป็นเพราะ:
วันนี้มีวิธีทำให้ไรเต้ออัพนิยายเร็วขึ้นมาฝากกัน!
แบบธรรมดา
สนุกมากเลย มาต่อไวๆ น้า
แบบที่ไรเต้อเห็นปุ๊บ อยากอัพปั๊บ
ฟวหากวสหดาวฟหกาวกวหดกเาหยาเ กรี้ดดดดดอร้ากกกฟหกดฟ แอ๊กกกก ฟกหดอ๊ากกกกก กดีมากกกกกกกโอ๊ยยยยยยยยยสุดๆๆ กรี้ดดดดดแว๊กกกกก ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกดาหกยาดาเา โอ๊ยน้ออออออออ่านเพลินอ่านลืมวันลืมคืน หัวบ่คืนมันเป็นสนุกไรขนาดนี้! ฟินกนหดาหวสอ้ากกกก มันเกินปุยมุ้ยแม่ๆๆ แอร้ยยยยกหกหาสว ติดตามทันที ติดตามต่อไป รอตอนต่อไปเลย
555555555 วิธีนี้ใช้ได้กับทุกไรเต้อ เห็นแล้วมีตื่น อ่านแล้วมือลั่นอยากอัพทันที ลองเอาไปประยุกต์ใช้กันดูฮะ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าจะคอมเมนท์ยังไงดีแต่อยากให้กำลังใจ ไรเต้อที่คุณชื่นชอบจะได้มีแรงกายแรงใจ อยากมาสร้างสรรค์ผลงานให้ทุกคนอ่านต่อไป
สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!
เชิงอรรถ
- ^ พิซ กลอเรีย (Piz Gloria) ร้านอาหารร้านแรกๆ ที่ตั้งอยู่บนภูเขาชิลท์ฮอร์น ชื่อร้านตั้งตามนวนิยายเจมส์บอนด์ ซึ่งได้กลายเป็นภาพยนต์ชื่อดัง ’James bond 007 On Her Majesty’s Secret Service’ (ค.ศ.1969)
- ^ 53° ฟาเรนไฮต์ เท่ากับ 11.7° เซลเซียสโดยประมาณ
Comments (0)