Listen to this for your อรรถรสในการอ่าน

Gustavo Santaolalla - The Last of Us

 

XXIV

อีกฟากมุมโลกอาจมีเธออยู่

sds

Photo by Steinar Engeland on Unsplash

 


 

“ลูกรัก...ทำไม”

“นี่มันอะไร”

“WHAT THE FUCK IS THIS!”

“เวร” คาร์ลอสเผลอสบถ เมื่อเห็นตัวเองอีกคนเข้ามาตะโกนลั่น

“WHO THE HELL ARE YOU!”

คาร์ลอสถูกปล่อยจากอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น อ้อมกอดที่โหยหา อ้อมกอดที่ตัวเองในวัยเด็กยังจดจำได้ดี จนถึงตอนนี้สัมผัสเหล่านั้นก็ไม่เคยหายไปจากใจ

ทว่าต่อให้จะฉุดรั้ง ดึงดันอยู่ในอ้อมกอดของแม่ต่อไป แม้ว่าจะยังไม่อยากผละออกไปเลยก็ตาม แต่เมื่อเห็นสีหน้าเย็นเยียบของแม่ยามที่มองเห็นลูกชายตัวเองสองคนประจันหน้ากัน พลันแขนสองข้างก็อ่อนแรงลง จำต้องถอยห่าง

คาร์ลอสไม่คิดว่าเป็นเรื่องดีถ้าเขายังดึงดันจะอยู่ในอ้อมแขนของเธอ

เขาขยับลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า หันไปทางไหน ทุกสายตาก็มองมาที่เขาไม่ต่างกับการได้เจอผี

“คาร์ลอส...” อัลฟาหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงอีกครั้งก่อนจะพูดให้เต็มเสียง “คาร์ลอส เอลเลียต โฮล์มส์ ลูกของแม่ไงครับ”

กระบอกตาร้อนผ่าวไม่ต่างจากจมูกที่หายใจเข้าได้ไม่เต็มปอด ริมฝีปากสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร หรือต้องอธิบายอย่างไรให้คนตรงหน้าเข้าใจในสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่

มันต้องเริ่มตั้งแต่ตรงไหน เขาต้องเริ่มต้นเกริ่นยังไง เป้าหมายที่ทำให้เขามาที่นี่ซึ่งก็คือที่ไหนไม่รู้ เขาลืมมันไปหมดแล้วว่ามาตามหาแม่ทำไม นับตั้งแต่วินาทีที่ได้เห็นใบหน้าของแม่อีกครั้ง หรือมันจะมีคำอธิบายใดที่สามารถมาตอบทุกปัญหาให้หายคาใจนี้ได้

ไม่มี ไม่มีอะไรเลยทั้งนั้น

ไม่แม้แต่จะสามารถเรียบเรียงเรื่องทุกอย่างที่มันเอ่อล้นมาตลอดหลายปีให้เป็นคำพูด ทุกอย่างมันจุกอยู่ที่ลำคอ เขารู้แค่ความพยายามของตัวเองมันไม่สูญเปล่า ตอนนี้เขาอยู่ตรงหน้าแม่แล้ว แต่ทำไมมันถึงกลับไม่รู้สึกดีใจเหมือนที่คาดไว้

คงเพราะปฏิกิริยาของเธอ...หน้าของแม่ที่ไม่เข้าใจอะไรเลย

“กูไม่รู้ว่ามึงทำได้ยังไง ไม่รู้ด้วยว่ามึงต้องการอะไร แต่รีบออกไปก่อนที่กู—”

“นี่มันปีอะไร” ไม่รอแม้แต่ฟังคำถามให้จบ คาร์ลอสก็โพล่งขึ้นมา

นอกจากจะไม่ร้อนรนใจรีบออกจากบ้านไปดังที่ตัวเขาในช่วงเวลาหนึ่งที่อาจจะเป็นอนาคตขู่ เขายังถามคำถามที่ทำให้ทุกคนในบ้านขมวดคิ้วไปตามๆ กัน คาร์ลอสเริ่มปวดขมับ เขายกมือขึ้นนวดอย่างหงุดหงิด เดาว่ามันอาจจะใกล้หมดเวลาของการอยู่ที่นี่

“นี่มันปีอะไร...และเราอยู่ที่ไหน!” เขาถามย้ำ

คาร์ลอสเห็นชายวัยกลางคนยืนกดเอฟอร์สอยู่ข้างหลังตัวเขาอีกคน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากำลังจะแจ้งตำรวจ ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาพุ่งตัวเข้าไป

พลั่ก!!

“กรี๊ด!” แม่ร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นลูกชายสองคนกระโจนใส่กัน

และคนที่น่าจะเป็นลูกชายของเธอจริงๆ ก็ต่อยคนที่หน้าเหมือนลูกชายของเธอล้มลงพื้นตึงใหญ่

“มึงเข้ามาได้ยังไง!แล้วต้องการอะไร!!” คาร์ลอสกระชากคอเสื้อของคนที่หน้าตาเหมือนตัวเองแทบทุกประการขึ้นมา เว้นแต่การแต่งตัวที่คนละแบบ กลิ่นของฟีโรโมนนั้นดูจะต่างออกไปเล็กน้อย

เหมือนจะมีกลิ่นอะไรผสมในกลิ่นฝนนั้นด้วย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

“กูก็คือมึงไง!” คนโดนต่อยรู้สึกหัวหมุนไปชั่วขณะ ปวดหนึบไปทั้งกระพุ้งแก้มและปลายคาง ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนลาง ทุกอย่างดูทับซ้อนจนต้องยกมือขึ้นมานวดกระหม่อมอีกครั้ง ความเจ็บที่มุมปากทำให้เขาใช้หลังมือแตะเบาๆ เพียงเท่านั้นเลือดสีสดก็หยดซิบบนผิวเนื้อ คาร์ลอสกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายกลับ “กูถามว่าที่นี่คือที่ไหน! รีบตอบมาสิวะ!!”

“คาร์ล...แค่กๆ คาร์ล ลูก อย่า—” เสียงแม่ร้องห้ามมาพร้อมกับเสียงไอ เธอกุมอกตัวเองแล้วล้มตัวลงด้วยอาการบางอย่าง ก่อนจะทั้งหอบทั้งไอจนตัวโยน

“แม่!/แคโรไลน์!!” คาร์ลอสและชายวัยกลางคนผลักอัลฟากลิ่นฝนที่เจือกลิ่นแปลกๆ ให้ถอยออกไป ก่อนจะรีบวิ่งไปดูคนเป็นแม่ที่หอบหายใจแรง ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเม็ดโตไหลซึมข้างขมับ

อาการดูไม่ดี ไม่ดีเลยสักนิด จังหวะนั้นคาร์ลอสถึงได้เห็นสายน้ำเกลือที่เจาะข้อมือข้างหนึ่งของแม่ คล้ายมีอะไรบังตาในตอนแรก คงเพราะตอนที่ได้เห็นหน้าแม่อีกครั้ง ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นจนกลบทุกสิ่ง ไม่ทันสังเกตเห็นสิ่งรอบตัว

“แม่!แม่เป็นอะไร”

คาร์ลอสกำลังจะก้าวเข้าไปหา ทว่า

อย่าเข้ามา! ทั้งคาร์ลอสและชายตรงหน้าตะโกนพร้อมกัน

“เธอ...แค่กๆ อึก— เป็นใคร” ทั้งๆ ที่ยังไอไม่หยุด แม่ก็ยังถามคำที่ทำให้เขาจุกเสียดไปทั้งอก

“ผมลูกแม่ไง แค่มาจากอีกเวลาหนึ่ง มันอาจจะฟังดูเหลือเชื่อ แต่ขอร้อง...บอกผมได้ไหมว่าตอนนี้แม่อยู่ที่ไหน”

“คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นคนจากอนาคตงั้นเหรอ?” ชายคนนั้นถามในขณะที่เอาอะไรบางอย่างครอบปากและจมูกแม่ “มีอะไรมาพิสูจน์ จะเชื่อได้ยังไง อยู่ๆ คุณเป็นใครไม่รู้มายืนอยู่หน้าบ้านผม แถมยังหน้าเหมือนลูกชายผมอีก”

“คุณพอร์ช...ให้เขาลองอธิบายก่อน” แคโรไลน์แตะไหล่ชายคนที่ชื่อพอร์ช เธอรับออกซิเจนจากเครื่องไปสูดไม่กี่ครั้งถึงได้หายใจสะดวกขึ้น

คาร์ลอสขมวดคิ้ว “แม่เป็นอะไร แม่ป่วยเหรอ เป็นอะไรมากไหม—”

“รีบอธิบายทุกอย่างมา...ก่อนที่กูจะเรียกตำรวจมาจับมึงออกไป” คาร์ลอสหันมองตาขวาง ที่ข้อมือขึ้นปุ่มพร้อมส่งสัญญาณแจ้งความฉุกเฉิน

อัลฟาในเสื้อผ้าโทนสีดำทั้งตัว แม้ว่าจะมีใบหน้า สีผม สีตา น้ำเสียงเหมือนกับลูกชายของแคโรไลน์ทุกระเบียดนิ้ว แต่แตกต่างออกไปเล็กน้อย ในวินาทีแรกถ้าไม่จับสังเกต แคโรไลน์ไม่สามารถแยกออก แต่พอเริ่มสำรวจให้ดีเธอถึงได้เห็นข้อแตกต่างหลายประการ

“ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาจากอดีตหรืออนาคต แต่ผมคือคาร์ลอสจริงๆ ผมคือลูกชายของคุณ แคโรไลน์ โฮล์มส์ โอเค ตอนนี้แม่อาจจะไม่ได้ใช้นามสกุลนี้แล้ว เพราะแม่ทิ้งผมไปตั้งแต่ยังเด็กแล้ว...จำได้ไหม”

“ทิ้ง...?” แคโรไลน์เลิกคิ้ว สายตายิ่งดูงุนงง

“แม่ทิ้งผมไปเพราะทนอยู่กับ ‘เขา’ ไม่ไหวใช่ไหม มันแย่มากจนแม่ทนไม่ไหวก็เลยหนีออกมาใช่ไหม แต่แม่ไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งผมใช่ไหม แม่ครับ ช่วยตอบหน่อย ช่วยตอบคำถามที่ผมสงสัยมาเป็นสิบปีที”

“ฉัน...ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดหรอก” แคโรไลน์ตอบด้วยใบหน้าที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ นั่นยิ่งทำให้คนถามรู้สึกปวดหน่วงไปทั้งอก

น้ำตารดรินหลั่งหน้า เขาร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร น้ำเสียงยามเอ่ยถามด้วยความร้อนรนมันเจือไปด้วยความเจ็บปวดอยู่ในทุกอณูจิตใจ

“ตอนนี้แม่ยังอยู่อเมริกาหรือเปล่า หรือย้ายประเทศมาอยู่ที่ไหน ขอร้อง...ช่วยบอกอะไรก็ได้ ผมขอร้อง ผมต้องทำยังไงแม่ถึงจะเชื่อ”

“ฉันไม่ได้อยู่อเมริกา ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา ที่นี่คือ—”

แม่จะไปบอกมันทำไม

คาร์ลอสฟังไม่ออก ว่าประโยคที่คาร์ลอสพูดคือภาษาอะไร

“แม่บอกว่าจะไม่มีวันทิ้งกัน แล้วทำไม...ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้ ทำไมถึงทิ้งผมไว้กับ ‘เขา’ รู้ไหมว่าผมทรมานแค่ไหน ชีวิตทุกวันมันเหมือนนรก ผมอยากจะโกรธแม่ อยากจะเกลียดแม่แต่ก็ทำไม่ได้ ผมตั้งคำถามกับชีวิตอยู่ทุกวันว่าทำไมแม่ถึงทำอย่างนั้น แม่คงเกลียดผมเพราะผมได้อะไรหลายอย่างมาจาก...” คาร์ลอสยกมือปิดหน้า น้ำตาเปียกชุ่มไปทั้งฝ่ามือ

“แม่รู้ไหมว่ามันพาลทำให้ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดทุกอย่าง...ที่ได้มาจากมัน เพราะอย่างนี้ใช่ไหมแม่ถึงได้ทิ้งผม เพราะแม่ก็คงเกลียดผม เหมือนที่ผมเกลียดตัวเอง...ใช่มั้ย”

สองมือประคองหน้า ปิดบังน้ำตาที่ไหลลงสู่พื้น ทั้งปาดทั้งเช็ดให้คราบแห่งความทรมานมันแห้งหาย แต่ทำอย่างไรมันก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขื่อนน้ำตาที่พังทลายลงมาได้ ยิ่งไร้การตอบรับ ไร้คำตอบกลับที่อยู่ใกล้แค่ปลายจมูก ความอึดอัดคับใจยิ่งทวีคูณ

ทั้งสามคนไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไรกับคนตรงหน้าดี เอาเป็นว่ายังวางใจอะไรไม่ได้ อารมณ์อันแปรปรวนนั้นมันเหวี่ยงเกินไปจนชวนให้หวาดหวั่นใจมากกว่าจะเชื่อใจกัน

“แม่อยู่กับกูตั้งแต่เด็ก และไม่เคยทิ้งกูไปไหนทั้งนั้น มึงไปเอาเรื่องแต่งมั่วๆ นี่มาจากไหน” คาร์ลอสคนที่นั่งกุมมือแม่อยู่บนเตียงพูดน้ำเสียงกระชาก “แม่ไม่เคยทิ้งกู มีแค่—”

คาร์ลอสยั้งตัวทันเมื่อกำลังจะหลุดปากพูดมากเกินไป

“แล้วเธอมาที่นี่ได้ยังไง เข้าประตูชั้นนอกมาได้ยังไง ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่”

“แม่ไม่เคยทิ้งลูกนะคาร์ลอส ไม่ว่าจะต้องแลกอะไรในชีวิต แม่ก็ไม่มีวันทำอย่างนั้นกับลูกแน่”

“แม่อย่าไปตอบโต้มันเยอะ มันอาจจะเป็นมิจฉาชีพรูปแบบใหม่ก็ได้”

“ถ้ามาจากอดีตหรืออนาคตจริง...ไม่สิ จะเป็นไปได้ยังไง ก็ถ้าแคโรไลน์ไม่เคยทิ้งลูกตั้งแต่แรก เธอก็ต้องไม่มีปมถูกทิ้งจนต้องย้อนเวลากลับมาตามหาแบบนี้หรือเปล่า” พอร์ชพยายามเรียบเรียงทุกสิ่ง “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดเรื่องจริงหรือมันเป็นกลยุทธ์มิจฉาชีพสมัยใหม่ แต่พวกเราไม่มีอะไรจะให้หรอก พวกเรามีกันอยู่แค่นี้ เงินทองก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เอาแรงไปลงทุนทำเรื่องที่มันมีประโยชน์กว่านี้ดีกว่าถ้าคิดจะมาหลอกลวงกัน”

ป๊า ผมว่าแจ้งตำรวจเลยดีกว่า

ใจเย็นก่อนลูก เผื่อเขามีอาวุธ เกิดวู่วามขึ้นมาแล้วอาจมีใครเจ็บตัว

เสียงเถียงกันไปมา ภาษาที่ฟังไม่ออก คำถามมากมายประเดประดังไหลย้อนกลับมา ภาพของคนบนเตียงเริ่มทับซ้อนคล้ายเคลื่อนไหวทำให้คาร์ลอสมึนหัว พื้นที่เขาทรงตัวอยู่เริ่มไม่ใช่พื้นราบแข็ง แต่มันเริ่มโคลงเคลงไปมาเหมือนเรือที่อยู่กลางคลื่นมหาสมุทรใหญ่

“...โอ๊ย!” อัลฟาหนุ่มไม่สามารถยืนตัวตรงได้อีกต่อไป เขาตัวเซไปชนกำแพงห้องตึงใหญ่

...คา..ลอส

ไอ้คาร์ล ได้ยิ....ไหม

ต้อ....กลับ..ม แล้ว...

“ไม่ๆ ไม่!อย่าเพิ่ง!” คาร์ลอสร้องห้าม ทั้งห้องไม่รู้ว่าเขาพูดกับใคร

เสียงในหัวทำให้ชายหนุ่มทั้งนวดทั้งทุบขมับตัวเอง คนในห้องยิ่งเสียขวัญด้วยความตื่นตกใจ อัลฟาหนุ่มประคับประคองสติตัวเองก่อนถามย้ำ ยามที่ไหลลงไปกองกับพื้นห้อง “ได้โปรดบอกมา...ว่าที่นี่คือที่ไหน”

หนึ่ง...สอง...—”

ชี..จร..ต่ำมาก เราต้อ..ปิด...ระบบ

แต่มัน...เสี่ยงเกินไป—”

“ผมไม่ได้มา...มา อึก— ร้าย...กูบอกว่าอย่าเพิ่งไง!แม่งเอ๊ย!!”

เขารู้สึกถึงก้อนเนื้อในอกที่เต้นจังหวะเชื่องช้าลง เสียงของเพื่อนนั้นติดขัด เหมือนโทรศัพท์ที่สัญญาณพัง กระตุกขาดๆ หายๆ บ้างก็ยานคาง แต่พอฟังออกว่าพูดอะไรบ้าง ใจมันยิ่งบีบรัดปวดหนึบ ทุกอย่างดูเชื่องช้าลง ริมฝีปากแห้งผากและซีดลงคล้ายคนจะเป็นลมอยู่รอมร่อ

ไม่นะ มันหลุดไปแล้ว"

นี่มันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้

รีบแก้เส้นเวเดี๋ยว..นี้

เสียงไม่คุ้นดังซ้อนขึ้นมา เขาสะบัดหน้าหลายๆ ทีเพื่อตั้งสติ

คาร์ลอสรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายถ้าไม่ได้จิบน้ำสักอึกในตอนนี้ เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว รู้เพียงแค่ตนเองต้องการน้ำ คอของเขาแห้งผาก ริมฝีปากซีดลงและแห้งแตก สมองมันสั่งให้ร่างกายเดินออกมาจากห้อง เดินลงไปหาน้ำเข้าร่างกาย

แม้แต่เสียงของชายสองคนที่เดินเข้ามาประชิด แล้วพูดอะไรต่อหน้าเขาก็ไม่อาจทราบ แม้จะทุกอย่างจะพร่ามัวแต่ก็รับรู้ว่าฝั่งนั้นกำลังพูดอยู่ อาจจะเป็นคำด่า ต่อว่าให้เขารีบออกไป หรืออาจจะเป็นคำบอกว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เขาไม่ได้ยินอะไรแล้วทั้งนั้น

สิ่งที่ชายหนุ่มทำคือการปัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ผลักสิ่งกีดขวางให้ห่างตัว ตะกุยร่างออกมาจากตรงนั้น ก่อนจะไปค้ำยันร่างตัวเองกับราวบันไดเพราะเดินตรงๆ ไม่ไหว กระทั่งฝ่าเท้าวางคลาดบันไดไปขั้นหนึ่ง ร่างทั้งร่างของเขาก็ร่วงลง

ความตกใจที่เห็นคนตกบันไดต่อหน้า ไม่สร้างความเสียขวัญให้เจ้าของบ้านได้เท่ากับการวิ่งกรูกันไปดู...

...แต่ไม่พบใครอยู่เบื้องล่างอีกแล้ว

 

αβΩ

 

“หายใจแล้ว กลับมาหายใจเป็นปกติแล้ว”

“รูม่านตาโอเค มึงได้ยินกูไหม” เอมิลี่เก็บไฟฉายเช็กม่านตาเมื่อเห็นเพื่อนเริ่มรู้สึกตัว

เปลือกตากะพริบเพื่อปรับสภาพการรับแสง ก่อนเอมิลี่จะทดสอบการได้ยินด้วยการดีดนิ้วข้างหูซ้ายและขวาดังเป๊าะๆ

“โอเค ค่อยๆ หายใจนะ ถ้าโต้ตอบได้ลองส่งเสียงอะไรออกมาสักอย่างก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวก็แค่สูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วถอนหายใจช้าๆ เข้า...ออก...เข้า...ออก อย่างนั้น”

สติของคนในเครื่องพักกายเริ่มกลับมา เห็นเหล่าเพื่อนๆ ยืนมุงอยู่ข้างเครื่องด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นคาร์ลอสก็กระเด้งลุกพรวดจนหัวเกือบโขกเอมิลี่

“ไม่...ไม่!ให้กูกลับไป ให้กูลองอีกรอบ!—” ทันทีที่ลุกขึ้นนั่งก็เจ็บจี๊ดตรงหัว จำต้องยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้

“มึงบ้าหรือเปล่า มึงรู้ตัวไหมว่าเมื่อกี้พวกกูใจหายขนาดไหนตอนเห็นมึงหยุดหายใจไปแป๊บหนึ่ง แถมชีพจรในจอก็หายไปไม่แสดงผลอะไรเลย แล้วนี่มึงจะให้พวกกูพามึงกลับไปเสี่ยงอีกอะนะ ตอนนี้มึงกลับไปพักเถอะ ไหนบอกว่าจะรีบกลับไปหาเมีย ถ้าหายเมื่อไรค่อยกลับมาแก้เครื่องใหม่ก็ได้ อย่าลืมว่าโปรเจ็กต์หลักเรามันจบแล้ว ที่เราทำตอนนี้คือทำเกินหน้าที่ เรายังมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับงานนี้ มึงไม่ต้องรีบหรอก”

โจเซฟพูดถูก เรื่องที่เขาควรกลับไปพักก่อน แต่เหมือนพวกมันจะยังไม่รู้

คาร์ลอสหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยคำที่ทำให้ทั้งกลุ่มชะงัก

“มึง มันเวิร์ก”

“มึงพูดว่าอะไรนะ” เอมิลี่ถามย้ำ

“กูกลับไปได้ กูไม่รู้เหมือนกันว่าย้อนกลับไปตอนไหน หรืออาจจะเป็นอนาคต กู— กูไม่รู้ รู้แค่มันเวิร์ก กูได้เจอแม่ กูได้คุยกับเขา เขาพูดกับกู”

“...”

“กูไม่ได้ฝัน...กูรู้ตัวว่าฝันมันไม่มีทางเหมือนจริงขนาดนั้น”

“โอเคมึงค่อยๆ พูด ไปพักดื่มน้ำก่อน ทำให้ใจเย็นลง แล้วค่อยเล่าทุกอย่างให้พวกกูฟัง—”

“พวกพี่...ดูนั่นสิ” ก่อนที่คาร์ลอสจะได้ตอบอะไร ลูคัสก็ชี้ให้หันไปดูจอฮอโลแกรมที่ปรากฏข้อความใหม่ขึ้นมา

ปกติแล้วจอนี้ถ้ามันไม่ขึ้นเป็นโค้ด ก็จะขึ้นเป็นผลลัพธ์จากการประมวลผล แต่เมื่อกี้ไม่ได้มีใครไปกรอกข้อมูลให้มันแสดงผลใดทั้งนั้น ดังนั้นมันไม่ควรจะมีอะไรปรากฏขึ้นมาได้

เว้นแต่ว่าใครจะส่งมันมา

Speak when you are angry and you will make the best speech you'll ever regret. - Laurence J. Peter (พูดเมื่อคุณโกรธ และมันจะเป็นคำพูดที่คุณเสียใจที่สุด)

The trouble with our times is that the future is not what it used to be. - Paul Valey (ปัญหาของสมัยของพวกเราคืออนาคตไม่เป็นอย่างที่เคยเป็น)

Only actions give life strength; only moderation gives it a charm. - Jean Paul Richter (การกระทำเท่านั้นที่ให้พลังแก่ชีวิต ความรู้จักประมาณเท่านั้นที่ให้เสน่ห์)

Politeness and consideration for others is like investing pennies and getting dollars back. - Thomas Sowell (ความสุภาพและการนึกถึงใจผู้อื่นเหมือนการลงทุนแต่น้อยแล้วได้คืนจำนวนมาก)

Do not accustom yourself to use big words for little matters. - Samuel Johnson (อย่าทำตนให้ชินกับการใช้คำรุนแรงกับเรื่องเล็กน้อย)

As we look ahead into the next century, leaders will be those who empower others. - Bill Gates (ถ้าเรามองไปในศตวรรษหน้า ผู้นำที่แท้จริงก็คือคนที่กระจายอำนาจให้แก่ผู้อื่น)

Never interrupt your enemy when he is making a mistake. - Napoleon Bonaparte (อย่าขัดจังหวะศัตรูตอนที่เขากำลังทำผิดพลาด)

Glass, china, and reputation are easily cracked, and never well mended. - Benjamin Franklin (เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง ชื่อเสียงสามารถแตกได้ง่าย และไม่สามารถประสานให้ดีเหมือนเดิมได้)

Equality is the result of human organization. We are not born equal. - Hannah Arendt (ความเท่าเทียมกันคือผลของการทำงานของมนุษย์ เราไม่ได้เกิดมาเท่าเทียมกัน)

Real success is finding your lifework in the work that you love. - David McCullough (ความสำเร็จที่แท้จริง คือ การได้ค้นพบงานสำคัญของชีวิตในงานที่คุณรัก)

Oppression can only survive through silence. - Carmen de Monteflores (เราจะรอดตายจากการกดขี่ได้ด้วยการนิ่งเงียบ)

Until you've lost your reputation, you never realize what a burden it was. - Margaret Mitchell (คุณจะไม่รู้เลยว่าความมีชื่อเสียงเป็นภาระหนักเพียงใดจนกว่าคุณจะสูญเสียชื่อเสียงไปแล้ว)

Sports serve society by providing vivid examples of excellence. - George F. Will (กีฬารับใช้สังคมด้วยการให้ตัวอย่างของความยอดเยี่ยม)

มันคือโควท[1]ของเหล่ามนุษย์ที่มีชื่อเสียงในอดีต ทั้งนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ นักปรัชญา คนที่โด่งดังในด้านต่างๆ

ตอนแรกที่อ่าน พวกเขาพยายามตีความนัยที่อาจแฝงมาในข้อความเหล่านั้น กระทั่งเป็นลูคัสที่ไขปริศนาได้ไวที่สุด ซึ่งมันเป็นอะไรที่ง่ายมากแต่พวกเขาแค่มองข้ามมันไปแต่ต้น

เพราะเพียงแค่อัลฟาคนเด็กสุดในกลุ่มเอาปากกาชี้ไปที่ตัวอักษรแรกแล้วขีดไล่ลงมา พวกเขาก็ได้เห็นข้อความแฝงที่อยู่ในนั้น

STOP

DANGEROUS

เพราะเมื่อเอาตัวอักษรแรกในแต่ละประโยคมาเรียงต่อกัน จะได้เป็นสองคำ

พวกเขาแค่คิดเยอะเกินไป มันเป็นคำเตือนที่แฝงมาในประโยคที่ดูเหมือนจะมีอะไร มันชวนให้ความคิดไขว้เขวและมองเตลิดไปไกล ทั้งๆ ที่คำตอบก็อยู่ตรงหน้า...นี่แหละสิ่งที่คนเก่งต้องกลัว ความคิดเยอะเกินไปของตัวเอง

ยังไม่ทันได้วิเคราะห์คำว่า ‘หยุด’ และ ‘อันตราย’ ที่ส่งมาจากบุคคลนิรนาม ใครคนหนึ่งก็หิ้วถุงบางอย่างมาหยุดอยู่หน้าห้องแล็บ ในขณะที่คนภายในแล็บยังหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะมัวแต่คิดถึงข้อความเตือนนั้นวุ่นไปต่างๆ นานา สายตาของเพื่อนดูจะเพ่งเล็งไปยังอัลฟาผมบลอนด์ตาฟ้า เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าใครคนนี้ต้องเป็นคนที่เก่งพอตัว ถึงได้แฮ็กระบบหลายชั้นและส่งข้อความเข้ามาได้ และคนที่ถูกมองเป็นตาเดียวก็หน้าเครียดเช่นกันเมื่อนึกถึงใครบางคนที่จะสามารถทำแบบนี้ได้

“พี่คาร์ลอส นั่นพี่ฮันมารออยู่หน้าแล็บนี่” เมื่อลูคัสเห็นคนที่มายืนด้อมๆ มองๆ หน้าห้องคือใครก็ตะโกนบอกเจ้าของ(ฮันน่าจะเป็นเจ้าของคาร์ลอสมากกว่าในสายตาลูคัส) ไม่อย่างนั้นเห็นที โอเมกาหนุ่มคงไม่กล้ากดเรียกใครเพราะกลัวจะเป็นการรบกวนการทำงาน

“ที่รัก ออกมาทำไมครับ หอฉันกับแล็บเดินห่างกันตั้งหลายก้าว ออกมาตากแดดตากลม—”

จุ๊บ

“ก็คนมันคิดถึง” พอเขย่งตัวจูบแก้มแฟนตอนที่อีกฝ่ายกำลังจะดุเรื่องเขาไม่ยอมนอนพักที่หอ ก่อนจะช้อนตามองพร้อมระบายรอยยิ้มหวานให้ เพียงเท่านั้นคนที่กำลังจะอ้าปากบ่นอุบก็ต้องงับมันหุบทันใด

“เอาดีๆ สิครับ”

“เราเอาข้าวมาให้ จำได้ว่าตั้งแต่เมื่อคืนซีแอลก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา แถมเมื่อเช้าก็รีบออกมา เราเดาได้เลยว่าถ้านายโฟกัสกับงานแล้วคงไม่สนใจหาอะไรกินใช่ไหมล่ะ อะนี่ ข้าวมันไก่พิเศษ จำได้หรอกน่า ก็ซีแอลเคยเล่าให้ฟังตั้งบ่อยว่าเวลานายกับเพื่อนปั่นงานกันในแล็บยาวๆ แล้วจะชอบปาร์ตี้ข้าวมันไก่กันน่ะ เราซื้อจากในโรงอาหารคณะนายนี่เอง ไม่ต้องทำหน้าแฟนซีหรอก เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย”

“ที่รัก...”

คาร์ลอสโถมตัวเข้ากอด ฮันเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ แต่ก็ตบบ่ากว้างปุๆ

ดูจากถุงใต้ตาคู่นั้นก็รู้แล้วว่าคงอยากกินข้าวมันไก่มากจริงๆ เลือกถูกแล้วล่ะฮัน ไนท์ แต่น่าจะซื้อแบบพิเศษใส่ตับใส่เลือดมาให้ด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจอีกนั่นแหละว่าพวกพี่ๆ ในกลุ่มจะกินเป็นกันหรือเปล่า

“เหนื่อยมากเลยใช่ไหม” ฮันลูบหลังกว้างระหว่างถามคำนั้น

คงเหนื่อยมากเลยใช่ไหม

เมื่อฮันเอ่ยประโยคนั้นออกมา เสียงที่ยังก้องอยู่ในหัวก็ดังซ้อนทับ

ความอุ่นชื้นไหลเคลือบแก้ม คาร์ลอสไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองน้ำตาไหล ถ้าไม่ใช่ฮันทักเพราะรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่ไหล่

“ซีแอล? ร้องไห้เหรอ...ฮื่อ หิวข้าวมันไก่ขนาดนั้นทำไมไม่โทรหาเราตั้งแต่แรกเล่า”

“โถ่ ที่รัก” คาร์ลอสอดจะหลุดหัวเราะไม่ได้ “ขอบคุณนะครับ เอาเป็นว่าฉันจะเก็บเรื่องที่เธอเดินมาถึงนี่ทั้งๆ ที่ยังไม่หายดีไปบ่นหลังจากกลับหอแล้วกัน ว่าแต่เธออยากเข้าไปข้างในไหม ฉันมีหลายอย่างมากที่อยากเล่าให้เธอฟัง...และอยากให้เธอช่วย”

“ได้สิ ถ้ามีอะไรที่เราพอจะช่วยได้เราก็อยากช่วย” ฮันตอบด้วยความเต็มใจ

และพอทั้งคู่หันกลับไป

อุ่ย

สามหน่อที่หลบมุมส่องคู่รักจุ๋งจิ๋งกระหนุงกระหนิงถึงกับสะดุ้งตัววงแตก ฮันหลุดขำที่เห็นโจเซฟหมุนตัวชนกับเอมิลี่เพื่อไปทำทีเป็นอ่านอะไรสักอย่าง ทั้งๆ ที่มันเป็นหน้าต่างเว็บเซิร์ชเอ็นจินเฉยๆ

ส่วนคาร์ลอสกลอกตามองบน เพราะปกติถ้าเป็นคู่รักอื่น เขารู้ว่าพวกมันไม่มาใส่ใจอะไรอย่างนี้หรอก ต่อให้ใครต่อใครจะจูบดูดดื่มกันในที่สาธารณะ หรือถ้าเกิดบังเอิญเดินไปเจอใครแอบมีเซ็กซ์กันก็คงไม่แม้แต่จะชายตามองเพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่เพราะนี่มันเป็นเขา

เรียกได้ว่าเป็นประเภทไม่เสือกเรื่องชาวบ้าน เพราะเรื่องเพื่อนสนุกกว่าเยอะที่แท้

ก็เรื่องของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยคิดอยากมีแฟน แถมยังทำหน้าอยากจะฆ่าทุกคนที่เข้าใกล้ อย่าว่าแต่ปล่อยให้ใครได้เข้ามาอ่อย แค่โปรยตาให้ก็แทบจะไล่ด้วยกลิ่นฟีโรโมนกดข่มตั้งแต่สิบเมตร

คนเคยเกลียดโอเมกาเข้าไส้มันน่าสนใจน้อยเสียที่ไหนกัน แถมสิ่งที่เห็นตอนนี้มันช่างตรงข้ามกับทุกอย่างที่เคยว่ามาเลยยังไงล่ะ

กูเกลียดทุกคนที่มองหน้า

ว้อทเดอะ—”

เกลียดทุกคนที่มาทำหน้าทำตาใส่ เห็นแล้วจะอ้วก

เขาทำหน้าทำตาใส่แปลว่าเขาชอบมึง เขาอยากได้มึงไงค้า ไม่ดีเหร้อออ

เหม็นกลิ่นโอเมกา

ระดับจมูกหมาเน่าอย่างมึง ไม่ว่าจะกลิ่นอะไรบนโลกมึงก็เหม็นเนอะ ไม่จำเป็นต้องจงเจาะแค่โอเมกา

ส่วนครั้งนี้คือตอนที่โจเซฟกระแนะกระแหนคืน ยามเดินเข้าแล็บมาแล้วเพื่อนจมูกหมาทำท่าฟุดฟิดก่อนจะเบ้หน้าใส่ ทำอย่างกับว่ากลิ่นฟีโรโมนน้องโอเมกาที่เขาเพิ่งกอดมาเมื่อเช้าเป็นกลิ่นปุ๋ยหมักมูลสัตว์ไปได้

ไหนล่ะ คนที่บอกเกลียดทุกอย่างที่ว่ามา ไหงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้

ดอมดมชมเชยเจ้าเพื่อนโอเมกาตัวเล็กกลิ่นดอกไม้(ซึ่งตอนนี้ทั้งกลุ่มก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นดอกอะไร ส่วนคนที่รู้เพียงหนึ่งเดียวก็มุบมิบไม่ยอมบอกเพื่อน)

ทำตาหวานฉ่ำมะล่อกมะแล่ก ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ยิ้มหวานหยดย้อย ถ้ามันเลียหน้าเขาได้มันก็คงทำโชว์เพื่อนโชว์ฝูง เหมือนหมาที่ประกาศศักดาครองถิ่นด้วยการฉี่รดพื้นที่หวงอาณาเขต

บอกตามตรง ตอนแรกพวกเขาก็สงสัยว่าฮันทำได้ยังไง เปลี่ยนคนตาย(ความรู้สึกด้านดีตายไปหมดแล้ว)ให้กลายเป็นคนเป็น เปลี่ยนจากคนสันดานหลังตีน ให้กลายเป็นหน้ามืออย่างนี้

แต่พอเห็นสายตาที่ฮันส่งให้เพื่อนตัวดีกลับคืน พวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้ว

 

αβΩ

 

“นี่ซีแอลจะบอกว่า...ตัวเองวาร์ปไปอนาคตแล้วเห็นตัวเองอีกคน เหมือนในหนังไซไฟยุคก่อนอย่างนั้นน่ะเหรอ”

“ไม่แน่ใจว่าหนังไซไฟยุคก่อนเป็นแบบไหน แต่ก็คงประมาณที่เธอว่า”

“เออออห่อหมก” เอมิลี่

“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย” ลูคัส

“ดอกฟ้ากับหมาผุ” โจเซฟ

“นั่นมันผีเน่ากับโลงผุเว้ยพี่” ลูคัสช่วยแก้

“ไม่ๆ อย่างอีคาร์ลต้องเป็นหมาบ๊อกๆ ติดเจ้าของ ส่วนน้องหนูลูกฮันกูต้องเป็นดอกไม้สีทองเท่านั้น”

“...ดอกไม้สีทอง?” คาร์ลอสขมวดคิ้วมุ่น ทำไมต้องเป็นสีทอง แล้วสรุปชื่อดอกไม้สีทองหรือมันแค่เป็นดอกไม้ธรรมดาที่สีทอง หรือมันคือยังไงกันแน่

“ก็หนังเรื่องนั้นไง อะไรนะ ที่ตัวเอกสวยราวกับดอกไม้สีทอง ใครๆ ก็ต่างรุมแย่งอยากได้มาครอบครอง”

“เอ่อ ผิดเรื่องแล้วครับพี่เอมิลี่ คำว่าดอกไม้สีทองน่ะ...มันมีความหมายเอาไว้ด่าคนอื่น” ฮันหัวเราะแหะๆ

“ดอกไม้สีทองหรือดอกทอง คือคำด่าคนที่มีพฤติกรรมชอบแย่งสามีคนอื่นและชอบมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป หมกมุ่นในกามารมณ์จนวันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่คิดเรื่องที่จะแย่งสามีชาวบ้านเพื่อมาร่วมหลับนอนด้วยกัน” โจเซฟอ่านออกเสียงตามที่ตัวเองเซิร์ช

“นี่พี่ไปจำผิดจากหนังเรื่องอะไรมาเนี่ย” ลูคัสยิ้มแหย

“...” ส่วนเอมิลี่ตาค้างไปแล้ว “ก็!— ก็เพื่อนชั้นมันเคยบอกว่าเห็นใครสวยเริ่ดเชิ่ดปังให้ชมไปว่าเป็นดอกไม้สีทองนี่! น้องหนูฮันนี่ ไม่โกรธพี่นะคะ พี่ผิดไปแล้ว”

“ฮ่า...ฮ่าๆๆ” ฮันหัวเราะลั่น โบกมือปัดๆ ในขณะที่นั่งขำจนน้ำตาเล็ด “โอ๊ยย ไม่เป็นไรหรอกครับพี่เอมิลี่ ใครๆ ก็ต้องเข้าใจผิดกันได้ มันเป็นคำสแลงได้ด้วยนี่นา ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ความหมายแฝงอีกอย่างของมันหรอกครับ”

เอมิลี่เบะปากลง ทำหน้าซาบซึ้ง เหมือนคนที่เพิ่งได้รับการอภัยโทษ

จู่ๆ คนที่นั่งฟังอยู่นานก็พูดบางอย่างขึ้นมา คำที่ทำให้ทั้งวงสนทนาชะงัก

“ที่จริงฮันก็คือดอกไม้สีทอง”

“?”

“ดอกไม้สีทองที่บานไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน”

“...”

“แล้วก็เปล่งประกาย...เป็นสีทองอร่าม”

ฮันสบตาคนข้างกาย บรรยากาศเหมือนถูกอบอวลไปด้วยความรักนั้นมันทำให้คนที่เหลือในแล็บถึงกับต้องรีบขอเวลานอกเพื่อพักหายใจ เพราะไม่อย่างนั้นคงจะกระอักกลิ่นฟีโรโมนหวานๆ ปานน้ำผึ้งเดือนห้าจนปอดไม่เหลือที่ว่างให้ออกซิเจน

“ปี๊บบบบ หมดเวลาของการโปรยความรักเรี่ยราดแล้วจ้า พักชมสิ่งที่น่าสนใจกันสักครู่เนอะ เอ๊ย เดี๋ยวพอบอกว่าพักชมสิ่งที่น่าสนใจเดี๋ยวแม่งก็หันไปชมกันอีกแหละ เอาใหม่ พักยกกลับมาคุยเรื่องงานกันก่อนเนอะ ในห้องมีกันอยู่ห้าคนเนอะ สนใจคนที่เหลือด้วยจ้า”

ฮันอมยิ้มแก้มแดงปลั่ง ก้มหน้างุดด้วยความขวยเขิน ถ้าเป็นตอนอยู่สองต่อสอง เขาคงไม่ลังเลที่จะกระโจนเข้าไปหอมเหม่งคนที่พูดประโยคโคตรซีนละครนั้นออกมา แต่เพราะมันทำอย่างนั้นไม่ได้ สายตาของทุกคนที่ทำท่าคลื่นไส้เพราะกลิ่นความรักมันรมควันในแล็บจึงทำให้เขาหน้าร้อนผ่าว

การรับรู้ฟีโรโมนที่เปลี่ยนไปก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของเจ้าของด้วยเหมือนกัน

และเมื่อหัวใจเต้นแรง ความรู้สึกรักล้นทะลักเกินหักห้าม...ไม่แปลกที่คนอื่นจะรู้สึกถึงมันได้

กลิ่นความรักมันแรงจนฉุนของจริง

กระทั่งสั่งการให้ฮอโลแกรมแสดงผลสรุปของการทดลองครั้งล่าสุดขึ้นจอ ลูคัสถึงบอกให้คาร์ลอสเริ่มเล่าทุกอย่างที่เจออย่างละเอียด

“ตอนแรกกูคิดว่าตัวเองหลับแล้วฝันไป นึกว่าตัวเองไปตื่นในฝันที่มันสมจริงเพราะจิตใต้สำนึกของตัวเองที่มัน...กดดัน ขนาดลืมตาขึ้นมาเห็นแสงจ้าจนแสบตากูก็ยังไม่เชื่อ แดดแรงจนแทบเผาผิวก็ยังไม่ปักใจ จนกูโดนตัวเองต่อยนั่นแหละ กูถึงได้เชื่อว่ามันคือเรื่องจริง”

“มึงโดนตัวเองต่อย? ตรงไหน ทำไมไม่เห็นมีรอยอะไรเลย” โจเซฟถามระหว่างกรอกข้อมูล

แสงจ้า

แดดแรง

มีตัวเองอีกคน

“กูก็สงสัยเหมือนกัน” คาร์ลอสลูบกรอบหน้าและปลายคางของตัวเองที่เพิ่งโดนต่อยไป เขาจำความรู้สึกเจ็บจนเลือดซิบนั้นได้ดี แต่พอกลับมาเช็กดูอีกทีตรงนั้นกลับไม่มีแม้แต่ร่องรอยฟกช้ำ แผลของริมฝีปากที่แตกจากแรงกระแทกหรือจะเห็น “กูโดนต่อยจนปากแตกด้วยซ้ำ หรือมันจะเป็นเพราะร่างจริงๆ ของกูอยู่ที่นี่”

“ถอดจิตไป? หรือมึงที่อยู่นู่นไม่สามารถเชื่อมอะไรถึงกันได้ เพราะเป็นมึงที่อยู่คนละเวลา หรือถ้าจะบอกว่าอาจจะเป็นแค่ดวงจิตของมึงที่ถูกทำให้ไปอยู่ที่นั่น แล้วทำไมทุกคนถึงมองเห็นมึง ทำไมมึงถึงพูดกับคนอื่นได้ แล้วทำไมเขาถึงสัมผัสตัวมึงได้แบบนั้น” เอมิลี่พยายามวิเคราะห์ แต่ยิ่งคิดก็เหมือนจะยิ่งฉงนมากกว่ากระจ่าง

“ดวงจิตเป็นแค่สสารหนึ่ง อาจมีหรือไม่มีรูปร่าง อาจบอกได้ว่าดวงจิตเปรียบเสมือนวิญญาณ เป็นคลื่นแบบหนึ่งที่คนโบราณเชื่อว่าคนตายไปแล้วดวงจิตจะหลุดออกจากร่างไปสู่คนละภพภูมิ นั่นจึงเป็นเหตุผลมารอบรับว่า ทำไมมนุษย์ที่ยังไม่ตายจึงไม่สามารถติดต่อกับวิญญาณคนตายได้ เพราะอยู่กันคนละคลื่นความถี่นั่นเองครับ”

ฮันทำตาโตเมื่อได้ยินลูคัสอธิบายเพิ่มเติมให้เขาเข้าใจด้วย

“หมายความว่าการใช้เครื่องนอนนั้น มันทำให้ซีแอลถอดจิตตัวเองไปยังช่วงเวลาหนึ่งในอดีตหรืออนาคตของตัวเองได้งั้นเหรอ”

“คาดว่าน่าจะใช่ครับพี่ฮันนี่ จากจอประมวลผลออกมาว่าการทดลองครั้งล่าสุดมีการส่งคลื่นประสาทของพี่คาร์ลอสไปยังคลื่นอีกกระแสได้สำเร็จ หรือพูดง่ายๆ ก็คือมันทำการส่งจิตของพี่เขาไป ณ ช่วงเวลาหนึ่งได้สำเร็จครับ”

“ส่วนที่เอ็มมันถามว่าทำไมมีแค่กระแสจิตไป แต่ทำไมคนที่นู่นถึงเห็นมันได้ ได้ยินเสียงมัน แถมยังแตะตัวมันได้ น่าจะเป็นเพราะคลื่นกระแสจิตแข็งแรง ทรงพลังจนก่อให้เกิดรูปร่าง ต่อให้จะอยู่กันคนละคลื่นความถี่ แต่ถ้าดวงจิตมีพลังมากก็จะสามารถทำลายกฎอะไรแบบนั้นได้ เหมือนที่คนโบราณชอบมีเรื่องคนเห็นผีมาเล่าให้ฟังนั่นแหละ”

เอมิลี่พยักหน้ารับเมื่อคิดว่าสิ่งที่โจเซฟพูดก็สมเหตุสมผล เธอบอกให้เพื่อนอัลฟาเล่าต่อ

“กูไปโผล่อยู่หน้าบ้านหลังเดิม จำตอนที่กูทดลองที่เซิร์นได้ไหม ครั้งนั้นมันเหมือนกูไปเป็นตัวประกอบที่ดูฉากต่างๆ ฉายซ้ำขึ้นมา ไม่ได้มีบทบาทอะไร ไม่มีใครมองเห็น ครั้งนั้นกูก็ไปโผล่อยู่หน้าบ้านหลังที่กูไม่เคยเห็นและไม่ได้คาดหวังว่าจะมาอยู่ที่นี่ด้วย...เป็นบ้านไม้ติดพื้นดินสองชั้น หลังไม่ใหญ่มาก มีหน้าต่างบานใหญ่ตรงห้องครัวชั้นหนึ่ง ครั้งแรกที่เห็นมันดูร่มรื่น มีต้นไม้ เขาปลูกดอกไม้ต้นไม้ล้อมบ้าน”

คาร์ลอสพยายามเค้นความทรงจำ

“แต่ครั้งนี้บ้านดูทรุดโทรมลง ต้นไม้ดอกไม้เหมือนไม่ได้รดน้ำนาน หน้าต่างตรงห้องครัวก็มีฝุ่นเกาะจนมองไม่เห็นข้างใน เหมือนบ้านที่มีไม่มีใครใส่ใจดูแล ทั้งๆ ที่มีคนอยู่สามคน แม่...ผู้ชายที่ชื่อพอร์ช...แล้วก็ตัวกูอีกคน”

“พอร์ช?” โจเซฟเลิกคิ้ว ชะงักมือที่กำลังพิมพ์ “เขาเป็นใคร”

...พวกเรามีกันอยู่แค่นี้...

ดูจากสายตา น้ำเสียงแสนห่วงหาเกินกว่าจะเรียกว่าคนรู้จัก ภาพของแม่ที่แตะไหล่ชายคนนั้นอย่างอ่อนโยนเพื่อบอกให้ใจเย็นลง ทุกการรวมตัวกันของสิ่งที่ได้เห็นทำให้คาร์ลอสคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

“น่าจะครอบครัว...คนรักใหม่ของแม่”

แต่ละคนเมื่อได้ยินคำนั้นบ้างก็ก้มหน้า บ้างก็หลุบตาต่ำอย่างไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจยามเล่าเรื่องนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็พอจะรู้ว่าเพื่อนๆ ต่อให้จะปากเปราะ กวนตีน ชอบแซะชอบแขวะเขาขนาดไหน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกมันกลับไม่พูดอะไรนอกจากรับฟัง

เพราะอย่างนี้ถึงได้อยู่ด้วยกันได้ เพราะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเพื่อนที่จิกกัดเขาเก่งที่สุดยามเขาทำตัวแปลกประหลาด ก็คือคนเดียวกับที่ห่วงความรู้สึกเขาที่สุดและอยู่ข้างกันในวันที่เขาไม่เป็นผู้เป็นคน คาร์ลอสถึงได้บอกให้เพื่อนสบายใจ

“กูโอเค แม่จะอยู่กับใครก็ได้ที่ทำให้เขาเองมีความสุข ไม่ต้องทนทุกข์เหมือนตอน...แค่นั้นกูก็โอเคแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำให้กูรู้สึกยังไม่ปลดล็อกอดีต ก็คงเป็นคำถามที่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงไม่เอากูไปอยู่ด้วย...เขาทิ้งกูไว้ทำไม”

“ซีแอล เราขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” ฮันมองด้วยความกังวลว่าคำถามต่อไปนี้อาจจะกระทบกระเทือนจิตใจอีกฝ่าย พอคนผมบลอนด์พยักหน้า ฮันถึงเม้มปากเบาๆ ก่อนกล่าว “ซีแอลมองแม่ยังไง”

“?”

“ซีแอลคิดว่าแม่เป็นคนยังไง ทำไมซีแอลถึงได้อยากตามหาแม่ขนาดนี้...เพราะว่ารักเธอมากใช่ไหม แล้วทำไมถึงได้รักเธอมากขนาดนี้กันล่ะ เพราะเธอเป็นคนดีมากหรือเปล่า”

ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าฮันบ้าที่ถามอะไรโง่ๆ แบบนั้นออกไป แต่ของแบบนี้มันมีคำตอบที่ชัดเจนของมันอยู่แล้ว เขาแค่ถามเพื่อเคลียร์ทางให้มันกระจ่างขึ้น

เป้าหมายที่ว่ายากลำบากจะไปพิชิต มันอาจจะเป็นถนนเส้นตรงที่ปูทางราบไว้ให้อย่างดี แต่เพราะเส้นทางนั้นอาจจะมีป่าไม้มาบดบัง เมฆหมอกขมุกขมัวปกคลุมตลอดเส้นทาง หรืออาจมีกิ่งหนามกิ่งไม้พร้อมท่อนซุงน้อยใหญ่มาขวางกั้น เราถึงได้มองไม่เห็นเป้าหมายที่อยู่ตรงหน้าของเรา แล้วมัวไปโฟกัสกับการกำจัดหญ้ามอสหรือพุ่มไม้ที่กำลังเหยียบย่ำอยู่

“แม่...เป็นคนดีมาก มากเกินไปด้วยซ้ำ”

“อย่างนั้นแหละ ค่อยๆ พูดออกมานะ เอาตามความรู้สึกของซีแอล ไม่ต้องคิดว่าคนอื่นจะว่ายังไง แค่อธิบายมาว่าแม่ในสายตาของซีแอลเป็นคนยังไง เอาแค่ความคิดของนาย...ไม่ใช่ของใครอื่น”

“แม่เป็นคนใจดีมาก ตอนเด็กๆ ฉันทำอะไรผิดแม่ก็ไม่เคยดุด่าหรือว่าตีฉันเลยสักครั้ง ฉันไม่เคยเห็นแม่พูดคำหยาบเลยด้วยซ้ำ แม้แต่จะปัดป้อง...แค่จะต่อสู้เพื่อตัวเองยังไม่ทำ แค่ปัดป้องเวลาถูกตี แค่— ทำไมวะ...ขอโทษที เวรเอ๊ย” คาร์ลอสสบถเพราะพูดติดขัดเมื่อน้ำตามันล้นเอ่อ

เอมิลี่วางกล่องทิชชู่ลงบนโต๊ะเงียบๆ

“ถ้าแม่เป็นคนใจดีขนาดนั้น แล้วทำไมถึงตัดสินใจทำแบบนั้นล่ะ”

“ฉันไม่รู้...ฮัน ฉันไม่รู้”

“เพราะว่าแม่เป็นคนที่ใจดีถึงขนาดนั้น ซีแอลลองคิดดูว่าอะไรทำให้เธอทำสิ่งที่ขนาดนายเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไปทำไม”

“...”

“ทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน ซีแอล”

คาร์ลอสเงยหน้าจากฝ่ามือ ดวงตาแดงก่ำ

“...เธอจะบอกอะไร”

“มันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างสิ...ที่ทำให้คนใจดีอย่างแม่ของซีแอลทำแบบนั้น เหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้คนที่รักลูกมากจำต้องทิ้งลูกตัวเองไป”

“...”

“มันอาจจะเป็นอะไรที่ซีแอลคาดไม่ถึง อย่างเช่น...การทิ้งลูกของตัวเอง คือการปกป้องลูกของตัวเองวิธีหนึ่ง”

“ไม่จริง...ฉันไม่เข้าใจ ทิ้งกันไว้แบบนั้นมันเป็นการปกป้องฉันตรงไหน มันเหมือนทิ้งฉันให้อยู่ในนรก ฮัน...อึก”

ฮันขยับเข้าไปใกล้พร้อมทิชชู่ ยื่นมือไปลูบไหล่หนาเป็นการปลอบประโลม

“ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร รู้สึกยังไง...ก็แค่แสดงออกมา การที่เราร้องไห้เวลาเห็นใครเจ็บปวด นั่นหมายความว่าเราเป็นคนที่มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” ฮันยิ้มบาง “ซีแอลเคยบอกว่าตัวเองเป็นคนตายด้าน ตอนนี้นายพัฒนาตัวเองมาอีกขั้นแล้วนะ”

“อึก...ฮัน” คาร์ลอสปล่อยหัวเอาหน้าซุกไหล่ฮัน

โอเมกาหนุ่มรับร่างนั้นเข้าสู่อ้อมกอดอย่างไม่รีรอ มือข้างหนึ่งลูบแผ่นหลัง มืออีกข้างลูบท้ายทอยที่มีเส้นผมประระต้นคอ เกาสางมันเบาๆ เหมือนขยำขนแมวเล่น พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลชวนให้ใจอุ่นวาบ

“It’s okay…everything gonna be alright.”

“เหตุผลเหรอ...นึกยังไงฉันก็นึกไม่ออกว่าเหตุผลอะไร นอกจากว่าแม่จะแค่เกลียดบ้านนี้ ทนไม่ไหว...ก็เลยไม่อยากจะทนอีกต่อไป ถ้าย้อนกลับไปได้ ฉันจะขอตามไปกับแม่ให้ได้ ไม่ว่าที่นั่นจะลำบากขนาดไหน ขอแค่ยังอยู่กับแม่...ขอแค่ยังมีแม่อยู่ในสายตา รับรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ทำอะไร ยังสบายดีอยู่ไหม ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนฉันก็ทนได้ทั้งนั้น”

คาร์ลอสผละออกมาเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วเรียกสติตัวเองกลับคืนมา

“แล้วแม่ที่ซีแอลเจอตอนย้อนเวลาไป เธอยังเหมือนเดิมไหม ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”

“แม่จำอะไรเกี่ยวกับฉันไม่ได้เลย แม่บอกว่าไม่เคยทิ้งกันไปไหน แถมยิ่งเห็นว่าตัวฉันอีกคนก็ได้อยู่กับแม่มาตั้งแต่แรก อยู่ด้วยกันมาตลอด ฉันยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลย”

“...”

“หน้าตาเธอยังเหมือนเดิม มีริ้วรอยมากขึ้นตามอายุขึ้น ก็แน่ล่ะ มันผ่านมาสิบปีแล้ว แต่เหมือนว่าแม่จะป่วย”

“ป่วย?”

“ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ฉันเห็นแค่มีสายน้ำเกลือ แล้วผู้ชายที่ชื่อพอร์ชก็เอาหน้ากากออกซิเจนมาสวมให้ตอนเธออาการหอบกำเริบ เธอดูโทรม เสียงก็แหบแห้งกว่าครั้งแรกที่เคยได้ยินจากครั้งที่เซิร์น”

“แล้วมีอะไรอีก” โจเซฟที่รีบหมุนตัวไปพิมพ์ข้อมูลถาม “จำอะไรจากสถานที่ได้อีกบ้างไหม สิ่งแวดล้อมรอบตัว หรือมึงมีอาการอะไรหรือเปล่า เพราะตอนอยู่นี่มึงหยุดหายใจไปจังหวะหนึ่ง ถึงจะไม่นานมาก แต่เล่นทำใจตกไปอยู่ตาตุ่ม”

“กูมึนหัวมาก ยิ่งอยู่ไปนานๆ ตาก็ยิ่งมัว ภาพค่อยๆ เริ่มซ้อนทับกัน บางครั้งที่รู้สึกจี๊ดข้างขมับก็ได้ยินเสียงพวกมึงลอยมาแต่ติดๆ ขัดๆ แต่กูมั่นใจว่าตอนอยู่ที่นั่น กูไม่มีอะไรติดตัวไปเลยแม้แต่อินเอียร์”

“โอเค ปวดหัว ภาพซ้อนทับ ได้ยินเสียงติดขัด”

“กูพยายามถามพวกเขาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมบอกว่าที่นั่นคือที่ไหน ถ้ากูยังมีสตินานกว่านี้ กูจะวิ่งออกไปดูข้างนอกบ้าน อย่างน้อยก็น่าจะเห็นป้ายบอกทาง น่าจะเห็นอะไรที่พอจะระบุสถานที่ได้บ้าง แต่ที่แน่ๆ แม่ไม่ได้อยู่อเมริกาแล้ว”

“?”

“อ้อ ลืมไปเลย คนที่ชื่อพอร์ช หน้าตาไม่น่าใช่คนแถบยุโรป แต่หน้าเข้มๆ ผิวแทนหน่อย สูงน้อยกว่าฉันนิดนึง ถ้าให้เดา...น่าจะเอเชียตอนใต้ หรือไม่ก็ตะวันออกกลาง ไม่แน่ใจเลยฮัน พวกมึงคิดว่ายังไง กู— แต่คนเอเชียก็ใช่ว่าจะผิวแทนทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องแถบที่อากาศร้อนๆ หน่อยไหมวะ หรืออาจจะแถวหมู่เกาะ ไม่รู้ว่ะ ไม่แม่นระบุเชื้อชาติคน ภูมิศาสตร์ก็ด้วย”

คนเก่งก็ใช่ว่าจะเก่งกันทุกเรื่อง ฮันคิด เมื่อเห็นคาร์ลอสนั่งกุมขมับเพราะเด่นเรื่องฟิสิกส์ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเก่งทุกวิชาบนโลกเสียทีไหน

“แล้วพวกเขาสื่อสารกันภาษาอังกฤษเหรอ” ฮันถามขึ้นอย่างซื่อๆ “ถ้าไม่ได้อยู่อเมริกา คนรักใหม่ไม่ใช่คนอเมริกัน แล้วทำไมยังคุยกันภาษาอังกฤษ”

“ภาษา...ใช่ ฮัน ใช่!!”

“อะไร กูตกใจหมด” เอมิลี่สะดุ้ง เพราะเพื่อนตัวเขื่องที่เพิ่งปล่อยโฮใส่อกแฟน เพิ่งจะเอาทิชชู่ซับขี้มูกโป่งไม่ทันแห้งดี จู่ๆ มันก็ร้องลั่นแล็บ

“คนที่ชื่อพอร์ช เขาคุยกับฉันด้วยภาษาอังกฤษ ถ้าให้เดาคงเพราะชิน หรือคุยกันแบบนี้ประจำ แต่มีช่วงหนึ่งที่พวกนั้นคุยอะไรสักอย่างกัน แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่ๆ”

“สักอย่างที่ว่าคือ?” เอมิลี่เลิกคิ้ว

“ถ้ากูรู้ กูก็คงบอกแล้วไหม” คาร์ลอสมองบน

“เออ อีเอ็ม ฉลาด” โจเซฟช่วยจิกกัด

“เอ้าอีโจอีควาย ได้ยินเขาพูดอะไรก็เลียนเสียงมาบอกมะ จะได้ช่วยกันหา”

เออดี แก๊งนี้ ยามศึกเรารบ ยามสงบเรารบกันเองที่แท้

ลูคัสแยกพี่ๆ ที่กำลังจะตีกัน ฮันยิ้มแหย

“ถ้าอย่างนั้น ซีแอลต้องลองนึกเสียงที่พอจะจำได้จากความทรงจำแล้วล่ะ อย่างน้อยๆ จำคำต้นหรือเสียงที่ลงท้ายได้ก็อาจจะช่วยได้เยอะนะ เพราะแต่ละภาษาจะมีคาแรคเตอร์แตกต่างกัน บางประโยคในภาษานี้มักจะมีคำลงท้ายคล้ายๆ กัน หรือคำขึ้นต้นของภาษานี้มักจะต้องขึ้นด้วยคำนี้ เหมือนที่ภาษาอังกฤษอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีฉัน ไม่ก็เธอ ขึ้นต้นในประโยค อะไรแบบนี้”

“ปรบมือสิพวก รอ’ไรอะ” เอมิลี่ปรบมือด้วยความทึ่ง

ก็พอจะรู้ว่าหนูลูกฮันของตัวเองมีหัวด้านศิลป์ วาดรูปก็เก่ง ถ่ายรูปก็ดีเลิศ ภาษาก็คือที่หนึ่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะเฉลียดฉลาดรอบรู้ มีความเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ให้ดูเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

แม่...ไม

ป๊า...

นี่คือเสียงพูดที่คาร์ลอสพอจะจำได้ แต่ก็ยังมีอีกคำ

“ฉันได้ยินแม่เรียกผู้ชายคนนั้นว่า คุ...คูพอร์ช อะไรสักอย่างแล้วค่อยตามด้วยชื่อพอร์ช”

“หือ?” ฮันเลิกคิ้ว “คุ้นๆ แฮะ”

“อีกอัน เอ่อ...อา ถ้าจำไม่ผิด แม...ชะพายบอมะทาม...ไม

“...”

“แล้วก็ อืม แป๊บนะ ป้า...ลวดๆ เลอเทอ! ป้าๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ ป้าจะลวดเลอเทอ!

“ขออีกที กูว่าแม่งพูดไม่เหมือนเดิม” โจเซฟทำหน้ามีมเหลือจะเชื่อ

“ให้เอไอช่วยหาภาษา กูว่าเอไอช็อก” เอมิลี่คว้ากล่องข้าวมันไก่มากินให้หมด ระหว่างนั่งดูไอหนุ่มผมบลอนด์พยายามพูดภาษาต่างถิ่น เหมือนคนนั่งกินป็อบคอร์นระหว่างนั่งดูอะไรเพลินๆ อะไรอย่างนั้น

“พี่ฮัน ไม่ไหวอย่าฝืน พักก่อนได้นะครับ” ลูคัสว่าเมื่อเห็นหน้าของฮันตอนที่พยายามตั้งใจฟังสิ่งที่คาร์ลอสพูด

เจ้าน้องน้อยของกลุ่มมันก็บอกอย่างซื่อๆ ไม่ได้มีความหมายแฝงหรืออยากกวนโอ๊ยอะไรหรอก แต่พี่ๆ นี่ขำก๊าก

“ไม่ไหวอย่าฝืน กูจะรั่ววว ฮ่าๆๆ”

“เอ็มมี่ พี่บอกว่ายังไง เวลากินข้าวอย่าอ้าปากกว้าง” โจเซฟที่นั่งพิมพ์งานอยู่ดีๆ ก็สวมบทบาทเป็นพี่ชายสุดเนี๊ยบ แต่เอมิลี่ข้าวแทบพุ่ง

“ส่วนเซฟฟี่ พี่บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกกูเอ็มมี่ อีเซฟ อีเปรต”

คาร์ลอสเอามือปิดหูฮัน

“ถ้าเรียกแบบนั้นอีกที กูจะดีเอ็ม[2]ไปหาคุณน้องพรฮับ คนคุยที่มึงยังไม่ได้เขาสักที ว่าให้ทิ้งมึงไปซะก่อนน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า เพราะมึงไม่รุก แต่รับค่ะ ว๊ายๆๆ”

“น้องเขาชื่อพรเฉยๆ โว๊ยยย แล้วกูก็เลิกรับไปชาติเศษแล้วครับผม จำนวนประชากรรุกมันคือของแรร์ กูต้องไปเติมเต็มคอมมู[3]นี้ให้บาลานซ์ว่ะ ‘โทษที”

“เห...คุณน้องพร”

“...?”

“เห!? คุณ-น้อง-พร!!” ฮันถึงกับตบโต๊ะลุกขึ้นยืน

“อะไรคะหนูลูก!?”

“คนที่ชื่อพร เขาเป็นคนไทยใช่ไหมครับ” ฮันหันไปถามโจเซฟ

“ใช่ครับ...รู้ได้ยังไง”

แน่นอนว่าทุกคน ณ ที่นี้ งง

“คนที่ชื่อ ‘คุณน้องพรที่จริงแล้วไม่ได้ชื่อคุณน้องพรครับ เขาชื่อ ‘พรเฉยๆ คำว่า น้องที่นำหน้าเป็นการระบุว่าตัวเขานั้นเด็กกว่าผู้เรียก แถมส่วนใหญ่คนที่ชื่อพร เป็นคนไทย ที่จริงแล้วคำนี้ไม่ใช่คำอะไรหยาบคายอย่างที่ผู้ใช้ภาษาอังกฤษคิด เพราะความหมายในภาษาไทยนั้นดี เกี่ยวกับเรื่องโชค หรือการให้พรครับ ส่วนคำว่าคุณ เป็นคำที่เอาไว้นำหน้าเพื่อแสดงความให้เกียรติในภาษาไทย”

“คืออะไรฮัน สรุปเลยได้ไหม พวกฉันมันโง่เรื่องแบบนี้” หัวคิ้วคาร์ลอสที่ขมวดจนแทบจะผูกเข้าหากัน เป็นการพิสูจน์ประโยคที่พูดได้ดี

“คำว่าคูพอร์ชที่นายได้ยินมา ที่จริงมันคือคุณพอร์ชยังไงล่ะ!”

 

TBC

เราดำเนินกันมา 62.5% ของเรื่องแล้วล่ะทุกคน ทั้งหมด 40 ตอนจบ ตอนนี้ตอนที่ 25 แล้ว

ไหนใครเดาได้ตั้งแต่ที่ซีแอลพูดบ้าง ว่านางพูดภาษาอะไร55555555555 พ้มหัวจะปวด

ป้าจะลวดแล้ว1

น้องฮัน be like:

sds

สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!

ถ้าคุณชอบนิยายเรื่องนี้ โปรดแชร์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ เพราะนั่นคือการซัพพอร์ตนักเขียนที่ดีมากอีกวิธีหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท

ด้วยรัก

แล้วพบกันตอนหน้า?

เชิงอรรถ

  1. ^ โควท Quote คือข้อความที่ตัดตอนมา หรือข้อความที่อ้างอิง
  2. ^ ดีเอ็ม (DM) ย่อมาจาก Direct message หมายถึงการส่งข้อความไปโดยตรง
  3. ^ คอมมู มาจาก คอมมูนิตี (Community) สังคม ชุมชน ในบริบทนี้หมายถึงการรวมกลุ่มของคนที่สนใจในสิ่งคล้ายๆ กัน เช่น กลุ่มเกย์