16 ตอน XIV จุงเฟราคือเขา ส่วนเธอมีแค่เราก็พอ
โดย FIT FOR FINE
Listen to this for your อรรถรสในการอ่าน
Jimmy Brown - high
XIV
จุงเฟราคือเขา ส่วนเธอมีแค่เราก็พอ
Paris London where you wanna fly
tell me where you wanna
I been waitin' all day to get high
all I need is you, babe
“ไฟว์ ไฟว์ ไฟว์ เยอะๆ มันคืออะไร”
“ที่จริงมันออกเสียงว่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ต่างหาก เป็นเสียงหัวเราะ”
“แต่มันเป็นเลขห้า”
“ก็ใช่ แต่มันออกเสียงว่าฮ่าๆๆ มาจากภาษาไทยน่ะ”
คาร์ลอสคิดว่าตนเองมีปัญหาเรื่องการสื่อสารเพราะไม่ค่อยได้คุยกับใคร แต่หลังจากเริ่มเข้าสู่โลกโซเชียล เขาก็คิดว่าไม่หรอก ตัวเองไม่ได้มีปัญหา โลกมันหมุนไวเกินไปต่างหาก
เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง นับเป็นวันที่สามในสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากที่แทบไม่ได้ทำอะไรเลยมาสองวัน วันนี้ก็ดูจะเป็นวันที่เริ่มจริงจังมากขึ้น
คาร์ลอสและฮันแบกสัมภาระพร้อมออกเดินทางไปต่างเมือง ลงมารอเพื่อนที่จุดรวมพลก่อนเวลานัดหมาย อัลฟาผู้รักสันโดษกำลังนั่งงุนงงกับศัพท์แสลง คลังแสงใหม่ของคนบนโลกอินเทอร์เน็ต ที่ถ้าไม่บอกว่ามันคือภาษาอังกฤษ เจ้าตัวคงคิดว่าเอฟอร์สกำลังมีปัญหา
ฮันสมัครบัญชีแอปพลิเคชันในแพลตฟอร์มชื่อดังอย่าง Meta World Wide ที่อยู่ในเครือเดียวกับ Metaverse World Groub ให้คาร์ลอส สมัครแค่บัญชีเดียว ก็สามารถล็อกอินเข้าใช้ได้กับทุกแอปพลิเคชันในเครือเดียวกัน และเครืออื่นที่จับมือร่วมกับบริษัท ซึ่งก็แทบจะเป็นแพลตฟอร์มใหญ่ทั้งหมดที่คนในโลกใช้กัน
ตอนแรกคาร์ลอสจะปฏิเสธ ไม่ใช่แค่เพราะบริษัทที่ว่ามีคนในครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งในผู้บริหาร แต่เพราะเขาเล่นโซเชียลไม่เป็น...
อัลฟาหนุ่มที่เก่งกาจเรื่องเทคโนโลยี และเคยติดท็อปวิชาฟิสิกส์ควอนตัมของรุ่นมาแล้วคนนี้นี่แหละ ที่ไม่เคยแม้แต่ถ่ายรูปตัวเองโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย
จนฮันถามว่าเขามีบัญชีเมตาไหม จะขอเพิ่มเพื่อน คาร์ลอสอึกอักในตอนแรก แต่เห็นตากลมๆ จับจ้องมาแล้วบอกด้วยแก้มขึ้นสีระเรื่อ มันก็ทำให้คาร์ลอสใจเหลวเป็นน้ำ
“ก็เราอยากถ่ายรูปคู่กับซีแอล แล้วอัพลงเป็นที่ระลึกนี่นา”
แล้วคนที่ใจเราแต่เป็นของเขาจะทำอะไรได้ นอกจากยื่นเอฟอร์สให้ฮัน หลุบตาต่ำว่าเสียงค่อย
“กูยังไม่มีบัญชี สมัครให้ทีสิ”
ฮันยิ้มตาหยี ลงมือสมัครบัญชีให้ทันที ไม่มีคำพูดเยาะเย้ยหรือแสดงกิริยาซ้ำเติมให้ได้อาย ว่าคนอย่างเขามันเก่งแค่ทฤษฎี แต่ทักษะชีวิตและการเข้าสังคมติดลบ เพราะหน้าที่เหน็บแนมมันเป็นของ
“ไฮ ลิงเพิ่งออกจากถ้ำ” เอมิลี่ลากกระเป๋าเดินเคียงมากับโอเมกาหนุ่มพาร์ตเนอร์ของตน เห็นจังหวะเพื่อนยกเอฟอร์สถ่ายรูปโปรไฟล์เสมือนลิงสำรวจโลกกว้างแล้วน่าขำไม่หยอก “เพิ่งเลิกก่อไฟมาใช้โซลาร์ มันก็ต้องปรับตัวกันหน่อยอะเนอะ”
“ถ้าออกจากถ้ำมาเจออะไรแบบนี้ ให้กูกลับเข้าถ้ำเถอะ”
“ใครจะไปถ้ำอะไรกันพี่” ลูคัสเพิ่งเดินตามมาถามขึ้น มาพร้อมกับโอเมกาหญิงออร่าพริ้งเพรา
ฮันถึงกับมองสองโอเมกาตาค้างไปชั่วขณะ แต่ละคนดูดีกันมากเลย พาร์ตเนอร์ของเอมิลี่เป็นโอเมกาชาย ตัวเล็กประมาณไหล่เอมิลี่เอง หน้าตาอ่อนหวานละมุนละไม ผิวเนียนสวยราวกับน้ำนม ดวงตาสีมะกอกอ่อนสะท้อนแสงระยิบระยับ ฟีโรโมนกลิ่นหอมนุ่มเหมือนน้ำนมชนิดหนึ่ง
คนถูกจับจ้องเหมือนจะตัว เลยขยับเข้าไปหา ยื่นมือไปตรงหน้าของฮัน
“เอลินอยส์ สปริง เอลินอยส์ขึ้นต้นด้วยเอ ไม่ใช่ชื่อรัฐนะครับ ปี 2 สาขาการตลาดครับ” พาร์ตเนอร์ของเอมิลี่ยิ้มอย่างใจดี
“ลอว์เรน แชมเปญ เรนที่สะกดแบบเดียวกับคำว่าฝนค่ะ ปี 2 อุตสาหกรรมอาหาร”
โอเมกาหญิงอีกคนคือพาร์ตเนอร์ของลูคัส โดดเด่นด้วยผมยาวเป็นลอนสีน้ำตาลเซียนนา ผิวเรียบลื่นผุดผ่อง เหมือนมีลำแสงออร่าพุ่งมาจากตัว เมื่อมองในระยะใกล้จึงสังเกตเห็นรอยกระบนใบหน้าอันบางเบา ดูมีเสน่ห์ชวนหลง ฟีโรโมนหอมสดชื่นคล้ายผลไม้ในฤดูร้อน แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ากลิ่นคล้ายผลของอะไร
เธอขยับเข้ามาแนะนำตัวเช่นเดียวกัน เพราะก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าจะเห็นฮันกันแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คุยกันสักคำเพราะฮันนอนหมดสติในห้องพยาบาล แถมพอตื่นมาก็ยังโดนอัลฟาหน้าตึงอุ้มขึ้นห้องอีก
“สวัสดีครับ ผมฮัน ไนท์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ เอ่อ พี่…” ฮันยื่นมือออกไปจับทั้งคู่ ไม่รู้ว่าหลุดทำหน้าแปลกๆ อะไรออกไปหรือเปล่า
มือนุ่ม ตัวหอม น่ารักกันมากอะ ฮื่อออ เขิน
ฮันได้แต่ฮึบและเก็บสีหน้าทุกอย่าง แม้ว่าดวงตาจะวิ๊งๆ เป็นประกายเหมือนคนได้เจอดาราอย่างปิดไม่มิดก็เถอะ
“ได้ยินจากลูคัสมาแล้วว่าคุณฮันอายุพอๆ กัน ดังนั้นพูดแบบสบายๆ เถอะค่ะ” ลอว์เรนระบายยิ้ม เอลินอยส์ก็พยักหน้าเช่นเดียวกัน
“ครับ…เอลินอยส์ ลอว์เรน” ฮันฉีกยิ้มเต็มแก้ม ก่อนจะมุดหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า แก้มใสขึ้นเลือดฝาด ทำให้อัลฟาตัวโตที่ยืนเป็นเงายักษ์ข้างหลังเริ่มหน้าบึ้งตึง
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอต่ำๆ จากคาร์ลอสไม่ได้เรียกสายตาของฮันให้หันไปมองแต่อย่างใด
“อ้อ แล้วก็ขอบคุณสำหรับของที่ให้มาด้วยนะครับ จะใช้อย่างดีเลย แต่ว่าของลอว์เรน…”
“เก็บไว้เถอะค่ะ เผื่อได้ใช้”
พอลอว์เรนพูดคำนั้น แก้มและใบหูของฮันก็ขึ้นสีแดงเข้มกว่าเดิม รังสีดำทมิฬด้านหลังเริ่มแผ่ขยาย ใบหน้าคมของคาร์ลอสบึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ
“ไหนมึงว่าจะถ่ายรูปไง” คนตัวโตกว่าโอบแขนคล้องไหล่คนตรงหน้า กระชับแน่นจนฮันตัวเซซบอก
“จริงด้วย” ฮันยกยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถามโอเมกาตรงหน้าตน “ถ่ายรูปด้วยกันไหมครับ”
คาร์ลอสขมวดคิ้วแน่น ถึงกับหันขวับมองคนที่ยืนยิ้มน่ารักให้ใครก็ไม่รู้!
อะไร ทำไม หูแดง ยิ้มเขิน ตื่นเต้นอะไร ทำตัวน่ารักทำไม ทำให้ใคร สองคนตรงหน้ามันทำไม!
เอมิลี่ถึงกับหลุดหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนตัวโตที่ปั้นยากสุดขีด หัวคิ้วแทบจะผูกกันเป็นปม แขนก็โอบเขาเหมือนงูจงอางหวงไข่ ดีที่มันไม่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อๆ ใส่คนที่ยืนอยู่ใกล้ฮัน
ยังดีที่เอมิลี่หันหน้าหนีทัน ไม่งั้นคนที่กำลังสับสนกับตัวเองคงตวัดสายตาอยากฆ่าคนมาให้แน่
คาร์ลอสแทบจะหลุดเสียงฮึดฮัดในลำคอ ถ้าไม่ติดว่าจังหวะที่ฮันเปิดกล้องแล้วชูแขนขึ้น มือน้อยๆ อีกข้างก็กอบกุมมือของเขาให้เข้าไปในเฟรมด้วย
ก็ไม่ได้งอนหรอกนะ แต่ก็ใช่ว่ามาจับมือกันแบบนี้แล้วจะหายงอนด้วย แต่ใครงอนก่อน ไม่มีใครเป็นอะไรทั้งนั้นละ
“ซีแอล ยิ้มหน่อยสิ แบบนี้” ฮันฉีกยิ้มหวานให้ดูเป็นตัวอย่าง เพราะจากในกล้อง เห็นได้ชัดเจนว่าคนตัวโตกว่าทำหน้าบูดเป็นตูดเลย
ฮันพยายามเขย่งตัวให้เอฟอร์สเห็นทุกคน ถึงแม้ว่าจะเปิดโหมดถ่ายภาพมุมกว้างแล้ว แต่หัวของเอมิลี่ ลูคัส และคาร์ลอสก็หลุดเฟรมไปอยู่ดี เอลินอยส์และลอว์เรนขยับมายืนข้างหน้าเพราะตัวเล็กกว่าใคร ฮันจัดท่าทางยึกๆ ยักๆ ได้ไม่เท่าไร มือของคนข้างกายก็ยื่นมาขอปลดเอฟอร์สของฮัน
“ถ่ายให้”
มันควรจะเป็นแบบนี้ละถูกแล้ว คนตัวสูงกว่าต้องเป็นฝ่ายถือกล้องไหมเล่า
ตอนแรกฮันก็อยากจะให้คาร์ลอสเป็นฝ่ายถือกล้องให้ ถ้าไม่ติดว่าหันไปเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของคนตัวโตกว่า ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไร แต่ถ้าให้เดา น่าจะเป็นเพราะโอเมกาสองคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไร
จริงด้วยสินะ ซีแอลน่าจะยังไม่ชอบโอเมกาอยู่ ถึงแม้ว่าจะโอเคกับเรา ใช่ว่าจะโอเคกับคนอื่น...
ฮันจะหารู้ไม่ ว่าตัวเองตีความเข้าใจผิดไปคนละทาง ก็จริงที่คาร์ลอสมีอคติกับคนที่มีเพศรองเป็นโอเมกา แต่ที่ทำให้อัลฟาหน้าตายทำหน้าเหมือนคนท้องผูก ก็เพราะคนตัวเล็กที่ปล่อยความน่ารักให้ใครต่อใครเห็นไปทั่วต่างหาก
แชะ
“ฮะ! นี่มึงถ่ายโดยไม่นับก่อนเนี่ยนะ!” เอมิลี่ร้องลั่น
“ผู้คุมเรียกรวมแล้ว” คาร์ลอสส่งเอฟอร์สคืนให้ฮัน ก่อนจะโอบไหล่พาร์ตเนอร์ตัวเองไปยังแถวนักศึกษา
คนที่เหลือได้แต่ยืนงง เอมิลี่ตะโกนไล่หลังว่าอย่าลืมส่งรูปมาด้วยนะ ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายไปเข้าแถวตามเมืองที่ตัวเองต้องไป
ส่วนฮันที่มีเอฟอร์สอยู่ในมือ ก็ได้เห็นรูปที่เพิ่งถ่ายเสร็จก่อนใคร ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้า เพราะจากในรูป ฮันถูกโอบรอบเอวแน่น ลำตัวพิงคนตัวใหญ่กว่า คาร์ลอสไม่ได้มองกล้อง แต่ดวงตาสีฟ้าเป็นประกายคู่นั้นมันกำลังจับจ้องมายังเขา
ราวกับมีแค่เขาในสายตาเท่านั้น
ฮันฟังที่ผู้คุมนักศึกษากลุ่มตัวเองพูดแทบไม่รู้เรื่อง รู้แค่ว่าจะพาไปขึ้นรถไฟสถานีใกล้ๆ นี้ แล้วยังไงต่อก็ไม่รู้ เพราะในตอนนี้ สิ่งที่ฮันรับรู้ก็มีเพียงคาร์ลอสอยู่ในสายตาเท่านั้น
เท่านั้นจริงๆ
คนถูกลอบมองรู้สึกตัวได้ ใบหน้าคมหันมาสบตา วงแขนกระชับแนบชิดอย่างหวงแหน ก่อนจะมอบรอยยิ้มที่หาชมได้ยากมาให้ ฮันเห็นแสงประกายยามเช้า
“ไปกันเถอะ”
ฮัน ไนท์พยักหน้า เดินตามแรงจับจูงที่อบอุ่นกว่าแสงแดดยามเช้าในเจนีวา
...จุดหมาย อินเทอร์ลาเคน...
อินเทอร์ลาเคน เป็นเมืองที่โด่งดังมากเมืองหนึ่ง เพราะเป็นทางขึ้นภูเขาหลายลูกในสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ในเมืองหลวงอย่างกรุงเบิร์น อยู่บริเวณเชิงเขาทางเหนือของเทือกเขาสวิตแอลป์ เป็นเมืองทางผ่านที่จะขึ้นไปยังยอดเขาจุงเฟรา
เมืองแรกที่คาร์ลอสและฮันต้องไปถูกสุ่มให้ เมืองอื่นๆ ตลอดทั้งทริปนี้ก็ด้วย เพราะไม่ได้ไปเลือกพร้อมคนอื่น ฮันไม่มีปัญหาอะไร เขากลับรู้สึกผิดเพราะเป็นต้นเหตุทำให้พาร์ตเนอร์ทำงานของตัวเองไม่ได้เลือกเมืองตามใจอยาก
ทั้งคู่ขึ้นขบวนรถไฟสถานีต้นทางเจนีวา ปลายทางอินเทอร์ลาเคน รถไฟที่นี่ยังคงรูปลักษณ์ภายนอกเป็นแบบดั้งเดิม นั่นคือรูปร่างหน้าตาของไฮป์ที่นี่เหมือนรถไฟฟ้ายุค 21 แต่หลักการขับเคลื่อนของมันเป็นของใหม่ทั้งหมด ทว่าไม่ได้เน้นความเร็วเป็นหลัก เพราะอยากให้นักท่องเที่ยวสัมผัสประสบการณ์กับธรรมชาติตลอดทางให้มากที่สุด
“ขอโทษด้วยนะซีแอล เป็นเพราะเราแท้ๆ ทั้งทริปเลยได้ขึ้นแต่เขา”
หลังจากเก็บกระเป๋าเดินทางและนั่งประจำที่ที่ถูกระบุให้ในข้อมูลการเดินทาง ฮันนั่งตรงข้ามกับคาร์ลอส เอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดของมึงสักหน่อย”
“ซีแอลอาจจะอยากไปเที่ยวทะเล...”
“ฮัน” เสียงทุ้มเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยความนุ่มนวล ฝ่ามือใหญ่เกลี่ยเส้นผมนิ่มที่ปรกใบหน้าเนียนทัดหู เจ้าของชื่อจึงช้อนตามองอย่างตั้งใจฟัง “กูไปที่ไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้จริงๆ”
“...” ฮันเม้มปากเบาๆ เอียงใบหน้ารับสัมผัสที่เกลี่ยข้างแก้มตน
“ขอแค่มีมึง กูไปที่ไหนก็ได้จริงๆ”
“เสี่ยวจริง เดี๋ยวนี้แพรวพราวขึ้นเยอะแฮะ” ฮันจิ้มจมูกโด่งเป็นสัน ก็เขินแหละ เลยได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน
แล้วก็ต้องขนอ่อนลุกซู่เมื่อนิ้วมือที่ยื่นไปจิ้มเขาถูกจับไว้ ก่อนที่มันจะถูกจุมพิตแผ่วเบา พร้อมสายตาที่สื่อความหมายได้หลากหลายพาให้ท้องน้อยร้อนวูบวาบ ดวงตาคู่สวยที่เจ้าของซื่อตรงต่อความรู้สึก มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่
เออรู้แล้วว่าหล่อ แค่ยืนนิ่งๆ ก็หล่ออยู่แล้ว ก็ยังจะ!
“ซีแอล...หยุดชม้อยชม้ายชายตาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ไม่งั้นหน้าจะระเบิดแล้วโว้ย!
“ชะ ชะม้า อะไรนะ...”
คาร์ลอสหยุดส่งสายตาร้อนแรงให้แล้ว เพราะคนตรงข้ามกันบอกให้หยุดด้วยส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือความงุนงงของศัพท์ใหม่ที่เขาต้องเก็บเข้าคลัง
หยุดชะม้อชะม้า...
มีคำว่าตาเข้ามาเกี่ยวข้อง...
บอกให้หยุดตอนที่จูบมือ...
แปลว่าให้หยุดจูบมือตอนมองตาสินะ
แล้วถ้าตอนจูบอย่างอื่นล่ะ...จะมองตาได้ไหม
ให้ตาย ไม่ได้ ยังไงก็ต้องได้มองตา
บริกรเดินมาเสิร์ฟน้ำได้แต่ยืนงุนงงกับคนสองคนที่มีพฤติกรรมต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งพอรับน้ำไปแล้วก็กระดกอึกๆ เหมือนคนขาดน้ำ ก็คงใช่อยู่หรอก...ทั้งหน้า ใบหู ลำคอแดงเถือกเหมือนคนต้องการออกซิเจนแบบนั้น กับอัลฟาอีกคนที่นั่งมองถาดรองแก้วหน้าเครียด เหมือนมองเยอะๆ แล้วมันจะมีเลขโผล่ขึ้นมาอะไรอย่างนั้น
คนอเมริกัน แปลกกันจริง...
αβΩ
“วาดรูปสิ ทำที่ฮันถนัด”
“กำลังคิดอยู่เลยว่าจะทำยังไงให้ต่างจากคนอื่น คนวาดรูปกันเยอะมาก เกณฑ์คะแนนอิงกลุ่มน่าจะสูงขึ้นมากๆ วาดวิวธรรมดาไม่น่าได้”
“ถ่ายรูปหรือวิดีโอลงเมตาเว็บ?”
“แล้วส่วนของซีแอลล่ะ”
“ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”
“งั้นอย่าเพิ่งมากังวลเรื่องของเราเลย กังวลของซีแอลจะดีกว่านะ ของเราน่ะยังพอว่า คิดไม่ออกก็วาดรูปส่งเป็นชิ้นงานได้ แต่ของซีแอลล่ะ จะเอามาประยุกต์ใส่ในโปรเจ็กต์ให้เป็นชิ้นงานเดียวกับเราได้ยังไง”
“ตอนแรก…ฉันว่าจะเขียนโปรแกรม เอางานของเธอมาทำแบบ virtual reality เสมือนว่าคนได้เห็นวิวด้วยตาตัวเอง แต่เป็นเวอร์ชันภาพวาดของฮัน มันเรียกว่าแนวอะไรนะ...ที่มันเหมือนจริง แต่ก็ไม่เหมือนจริง มันออกจะเหนือจริง...”
“แบบเซอร์เรียลลิสม์
” ฮันตอบคำที่คาร์ลอสนึกไม่ออกผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ไฮป์เคลื่อนตัวเข้าสู่กรุงเบิร์น เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่เรียบร้อย แต่ก้อนเนื้อในอกของฮันยังเต้นผิดจังหวะบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะเห็นวิวแม่น้ำมากมาย แต่เป็นเพราะสรรพนามที่คาร์ลอสใช้เรียกกันใหม่
จะบอกว่าระหว่างทางไม่มีทะเลหรือแม่น้ำให้เห็นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางบกและทางทะเล จึงไม่สามารถเลือกได้ว่าอยากเห็นทัศนียภาพเฉพาะแบบไหนมากกว่า
แม้ว่าก่อนถึงกรุงเบิร์นจะต้องผ่านตัวเมืองโลซาน และฮันจะต้องเห็นทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยแม่น้ำสายสำคัญ แต่ไม่รู้ทำไม ฮันถึงไม่เกิดอาการน่าเป็นห่วงเหมือนครั้งที่ผ่านมา
ครั้งก่อนมันไม่ใช่แค่การถูกกระตุ้นความกลัว ก่อนหน้านี้ฮันก็กลัว แต่ไม่ได้ถึงขั้นเป็นลมหมดสติแล้วเก็บไปฝันร้ายซ้ำซ้อนแบบนั้น
เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ไปกระตุ้นถูกจุด แล้วพาให้ฝันร้ายนั้นทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง และอะไรบางอย่างที่เหมือนเป็นลางบอกเหตุ
แน่นอนว่าฮันยังหวั่นใจ ในอกมันตุ้มๆ ต่อมๆ ทุกครั้งที่เห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ แต่ฝ่ามืออุ่นๆ ที่คอยโอบกระชับมามันทำให้ฮันอุ่นใจ ความกังวลมลายหายสิ้นไป ตอนนี้เขาสามารถมองวิวทะเลอันสวยงามจากไกลๆ ได้แล้ว เพราะมีคาร์ลอสอยู่เคียงข้างกาย
จุดหมายวันนี้มีอยู่สองแห่งด้วยกัน ตอนเช้าขึ้นยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau) หรือสามารถออกเสียงว่า ยุงเฟรา เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์ในทวีปยุโรป ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ด้วยไฮเปอร์ลูปที่ได้ขึ้นชื่อว่าช้าที่สุดในโลก มีให้เลือกสองเส้นทางคือ เลาเทอร์บรุนเนิน
และกรินเดิลวัลท์ ซึ่งฮันและคาร์ลอสคุยกันแล้ว และเลือกจะต่อไฮป์ในเลาเทอร์บรุนเนินระหว่างที่เหลือประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเข้าอินเทอร์ลาเคน ฮันเก็บภาพสถานที่ไปตลอดทาง ขยับตัวมานั่งฝั่งเดียวกับคาร์ลอสเพื่อถ่ายรูปคู่ด้วยกัน และในระหว่างนั้นบริกรในไฮป์ก็เดินมาบอกว่าต้องการอะไรให้เรียกได้เลย พร้อมยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ มาให้ฮันเงียบๆ
ฮันเปิดดูเพราะคิดว่าเป็นพวกนามบัตรหรือข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวหรือเปล่า แต่กลับพบข้อความว่า
‘ถึงเพื่อนรักโอเมกา หากคุณกำลังติดอยู่ในปัญหา โปรดแสกนโค้ดนี้เพื่อติดต่อเรา’
ฮันร้องอ้อเบาๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะจนคาร์ลอสต้องหันมาถามว่ามีอะไร
สิ่งที่บริกรหญิงคนนั้นให้ฮันมามีชื่อเรียกในกลุ่มคนที่มีเพศรองเป็นโอเมกาว่า ‘นามบัตรช่วยเหลือ’ เพราะปัจจุบันมีโอเมกามากมายที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์อันเป็นพิษ หรืออยู่สถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ติดอยู่ในปัญหาของการถูกกดขี่ข่มเหงและไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หลายๆ องค์กรจึงคิดวิธีเพื่อช่วยเหลือผู้ตกอยู่ในที่นั่งลำบากขึ้นมา
แต่ที่ฮันหลุดขำเพราะเวลาอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่เต็มไปด้วยอัลฟาอย่าง ไคลี่ โจเอลและมาร์ค เขาแทบไม่เคยได้รับนามบัตรช่วยเหลือในที่สาธารณะเลย ไม่ใช่จู่ๆ เห็นโอเมกาอยู่กับอัลฟาก็จะยื่นนามบัตรให้ได้ แต่มันต้องดูสถานการณ์ร่วมด้วย
ยิ่งแต่ก่อนฮันตัวติดแต่กับโจเอล มาร์ค ก็ไม่เคยมีใครเข้าใจผิดว่าสองคนนั้นกดขี่หรือรังแกอะไรเขา ฮันจำได้ลางๆ ว่าครั้งล่าสุดที่ได้นามบัตรช่วยเหลือ ก็ตอนที่เพิ่งเป็นเพื่อนกับทั้งคู่ใหม่ๆ แน่นอนว่าตอนนั้นเขายังไม่ค่อยชิน ยังปรับตัวไม่ได้ ยังคงมีความกังวลหลายอย่างเพราะมีอดีตที่ไม่ดีกับอัลฟา แต่สองคนนั้นนิสัยดีมากถึงได้เป็นเพื่อนสนิทกันจนมาถึงทุกวันนี้
บริกรหญิงคนนั้นคงเห็นท่าทางแปลกๆ ของคาร์ลอสแล้วคิดเผื่อไว้ก่อนว่าเขาอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับ ถึงได้เอานามบัตรมาให้
คงเพราะภาพลักษณ์และคำพูดห่ามๆ ของคาร์ลอส ที่ไม่ว่าใครเห็นผ่านๆ คงเข้าใจผิดได้ ทั้งคู่เลยคุยกันเรื่องการปรับคำพูดและสรรพนามที่คาร์ลอสใช้เรียกฮันใหม่ จนโอเมกาหนุ่มไม่สามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้หลังจากที่ตกลงกันเสร็จ
“ซีแอล ลองมาเรียกกันเหมือนสมัยเกรด 3 สิ น่ารักดีออก”
“ก็ตอนนั้นมันเกรด 3 แต่ตอนนี้ กู…ไม่น่ารักแล้ว”
“มันเป็นเพราะนายคิดว่าตัวเองไม่น่ารักเองต่างหาก ตอนซีแอลพูดเพราะๆ น่ารักจะตายไป แล้วตอนนี้นายก็…ดูดีมากด้วย”
“เอาอะไรมาดูดี มึงดูดีกว่าเยอะ ตาสวย...เหมือนเห็นหมู่ดาว จมูกเล็กๆ น่ารัก ปากกระจับเหมือนพุดดิ้ง ผิวเหมือนน้ำผึ้งเคลือบแสงจันทร์ ส่วนกู...ผิวซีดอย่างกับศพ หน้าก็แห้งตอบ...ตาโหลเหมือนคนไม่ได้นอน” คาร์ลอสพูดติดตลก แต่คำพูดนั้นทำให้ฮันรีบส่ายหน้า
นิ้วชี้น้อยๆ สะบัดซ้ายขวาพร้อมเปล่งเสียงในลำคอ อึ๊อือ
“ห้ามว่าตัวเองแบบนั้นเลยนะ ซีแอลดูดีที่สุดในแบบของซีแอลแล้ว เราขอชมซีแอลว่าหล่อได้ไหม” ฮันถาม พออีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ ฮันก็ว่าต่อ “ใช่แล้ว นายหล่อในสายตาเราที่สุด แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ฮันหล่อกว่า…ไม่สิ สวย กูหมายถึง ดูดี” คาร์ลอสแก้คำแล้วแก้คำอีก เพราะจำได้ว่าฮันก็เป็น Non-binary เหมือนกัน คงไม่ชอบใจนักถ้าได้รับคำชมที่ระบุไปเพศใดเพศหนึ่ง
ฮันยกยิ้ม ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นไร เรารับคำชมได้ทุกอย่างนั่นแหละน่า จริงๆ แล้วคำว่าสวย เป็นคำที่ไม่มีเพศนะ มันมาจาก ‘สวยงาม’ ‘งดงาม’ ใช้ได้เหมือนกัน ชมเพศไหนก็ได้ไม่จำกัด”
“อือ เธอสวย” คาร์ลอสจึงเอ่ยปากชมแบบมั่นใจ ซึ่งนั่นทำให้ฮันชะงักไป
“…” ธะ เธอ งั้นเหรอ
“เธอสวยจริงๆ ฮันนี่”
“…”
“ทำไม…ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ เธอ เรียกเธอไม่ได้เหรอ จำได้ว่าเป็นสรรพนามกลางๆ เหมือนกัน หรือว่าคนสมัยนี้เขาไม่ใช้คำว่าเธอกันแล้ว”
“เปล่า…ใช้ได้ เราแค่เขินอะ” ฮันยู่ปาก ย่นคอน้อยๆ ก่อนจะเกาแก้มตัวเอง
พอคาร์ลอสจับจุดได้ ก็เหมือนจะจับไม่ปล่อย เรียกเธอ เธอ เธอไปตลอดทางจนฮันรู้สึกจั๊กจี้หัวใจแปลกๆ แต่ไม่อยากปฏิเสธเลยว่าได้ยินแบบนี้แล้วมัน
ใจน้วยเป็นบ้าเลยให้ตายสิ!
กระทั่งถึงอินเทอร์ลาเคน พวกเขาต้องต่อรถเข้าเมืองเลาเทอร์บรุนเนินเพื่อขึ้นเขาจุงเฟราอีกที อาจฟังดูเยอะ แต่มาถึงแล้วก็เห็นเที่ยวรถไฟรอบต่อไปมากมาย ป้ายฮอโลแกรมบ่งบอกจุดหมายชัดเจน เข้าใจง่าย ทุกอย่างดูเป็นระบบระเบียบ จุดนี้จึงเป็นเหมือนจุดพัก หรือจะท่องเที่ยวในเมืองนี้เลยก็ยังได้เพราะมีสถานที่น่าไปมากมาย มีซูเปอร์มาเก็ต ศูนย์การเรียนรู้ สวนสนุก ไปจนถึงคาสิโน
ถ้าไม่ติดว่าปักหมุดจุดหมายของวันนี้แล้วเรียบร้อย ฮันก็อยากจะแวะสวนสัตว์ในอินเทอร์ลาเคนสักหน่อย
พวกเขาพักทานอาหารเช้า(ซึ่งกินตอนสายๆ)ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็เลือกจะต่อรถไฟไปพร้อมกลุ่มนักศึกษาคู่อื่นๆ
ไม่ได้เคร่งกับแผน แต่แค่กลัวหลงทางแล้วไม่มีเพื่อน
รถไฟจากสถานีในอินเทอร์ลาเคน เข้าสู่เลาเทอร์บรุนเนินใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง แม้ว่ารถไฟในสวิตเซอร์แลนด์ย่านแหล่งท่องเที่ยวจะเคลมตัวเองว่าเป็นรถไฟที่ช้าที่สุดในโลก(เพราะอยากให้ชมทิวทัศน์นานๆ) แต่ด้วยระยะทางขนาดนี้ ก็ถือว่ายังเร็วเมื่อเทียบกับรถไฟในยุคก่อนๆ อยู่ดี
ฮันนั่งอ่านข้อมูลของยอดเขาที่จะขึ้นไปเงียบๆ ดูว่ามีจุดไหนน่าถ่ายรูปและต้องไปเหยียบบ้าง ในขณะนั้นเองที่มีชายหญิงเบตาคู่หนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ขอโทษนะคะ” หญิงเบตาคนหนึ่งที่ฮันจำหน้าได้ว่าเป็นนักศึกษากลุ่มที่ได้ขึ้นเขามาพร้อมกันเอ่ยทัก
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ฮันเลิกคิ้วขึ้น วางเอฟอร์สลง
“พวกเราขอถ่ายรูปได้ไหมคะ”
“อ๋อ ได้สิครับ” ฮันยิ้มอย่างเป็นมิตร จะรับเอฟอร์สของคนตรงหน้ามาถ่ายให้ แต่ฝั่งนั้นกลับส่ายหน้าเบาๆ “ครับ? พวกคุณไม่ได้จะให้ผมถ่ายรูปคู่ให้เหรอ”
“พวกเราหมายถึง ขอถ่ายรูปคู่กับคุณค่ะ ถ้าหากไม่รบกวน...”
“คุณชื่อฮัน ปี 1 ใช่ไหมครับ พวกเราติดตามผลงานเงียบๆ จากในเมตาเว็บ เห็นตัวจริงเรียนเซ็คชันเดียวกันในคาบปรัชญาสมัยใหม่ อยากจะเข้าไปทักนานแล้วแต่ไม่มีโอกาส เลยอยากจะขอถ่ายรูปครับ พวกเราเป็นแฟนคลับคุณฮันนะครับ”
เมื่อหนุ่มเบตาว่าแบบนั้น ฮันก็ถึงกับทำตาโต รีบลุกขึ้นยืน “ขอบคุณมากนะครับ ที่จริงฝีมือผมยังต้องพัฒนาอีกเยอะเลย วันหลังเจอกันทักได้เลยไม่ต้องอายนะครับ มาครับ มาถ่ายรูปกัน”
เบตาชายหญิงรีบย่อตัวเข้าเฟรมเมื่อฮันอาสาเป็นคนถือกล้องเซลฟี่ ทุกอย่างมันก็คงจะจบเท่านั้น ทั้งคู่ควรจะถ่ายเสร็จตั้งแต่ฮันกดแชะแรกและเดินจากไป ไม่มีการส่งสายตาเหมือนมีรูปหัวใจในนั้นมาให้ฮัน(ในความคิดคาร์ลอส) แต่พอเปลี่ยนท่าชูนิ้วไปแล้วสามรูป ทั้งคู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพอ
อัลฟาหนุ่มนั่งเดาะลิ้นมองทุกอากัปกิริยาตรงหน้า เห็นฝ่ามือของเบตาชายที่โอบไหล่ฮันไว้อย่างแนบชิด(ในสายตาคาร์ลอส) เห็นเบตาหญิงที่เอาแขนคล้องเอวได้รูปอย่างแนบแน่น(ในความรู้สึกคาร์ลอส) และเห็นใบหน้าของสองเบตาที่ยื่นเข้าไปใกล้ฮันจนแก้มแทบจะชนกัน แล้วได้แต่หายใจเข้าลึกเพื่อสกัดอารมณ์ที่ค่อยๆ ปะทุ
มันควรจะหยุดลงในรูปที่ห้า หลังจากฮันหามุมให้แสงรับเข้าหน้า ซึ่งพอหันมาทางฝั่งที่คาร์ลอสนั่งอยู่ แขนของฮันที่ชูเอฟอร์สเพื่อเซลฟี่กลับบดบังแสง ทำให้เกิดเงาตกกระทบใบหน้า ดวงตาของคาร์ลอสกระตุกเบาๆ เมื่อเสียงนุ่มเอ่ยถาม
“ซีแอล ช่วยถ่ายรูปให้หน่อยได้ไหม”
เรื่องอะไรจะช่วยอีกวะ
“นะ...”
“อือ”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากฮันถ่ายรูปกับคนที่ติดตามผลงานของตัวเองในอินเทอร์เน็ตเรียบร้อย จากตอนแรกว่าระหว่างทางนี้จะนั่งคุยเรื่องชิ้นงานกับคาร์ลอส แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุป พวกเขาก็มาถึงเลาเทอร์บรุนเนินพอดี
เมื่อลงจากไฮป์เวอร์ชันยุค 21 มาแล้วก็เจอกับคณะนำขึ้นเขา ซึ่งมีกลุ่มนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ นอกเหนือจากนักศึกษามาดูงานร่วมด้วย แต่พวกเขาจะได้สิทธิพิเศษเล็กน้อยก็ตรงที่มีบัตรทัศนศึกษาของมหาวิทยาลัย ดังนั้นที่พักถูกจองมาล่วงหน้าเรียบร้อย และกระเป๋าสัมภาระต่างๆ จะถูกนำไปเก็บในที่พักให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่ต้องแบกขึ้นเขาหรือนำไปเก็บเอง
จากตรงนี้ฮันเลือกหยิบกล้องหลากหลายแบบของตัวเองใส่กระเป๋าสะพาย ยากันฮีททั้งแบบเม็ดและแบบฉีด และอุปกรณ์อีกเล็กน้อยที่จะนำขึ้นไป
ไกด์นำทัวร์บอกว่าสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการขึ้นยอดเขาสูงๆ คือแว่นตาที่มีเทคโนโลยีฉายรังสี หรือที่คนสมัยนี้ใช้เพื่อดูคอนเทนต์ต่างๆ และที่สำคัญคือใส่เพื่อกันฝุ่นเวลาออกไปข้างนอก
พวกเขามากันช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งฮันคิดว่าดีแล้วที่มาช่วงนี้เพราะเขาเป็นคนขี้หนาว ถ้าขึ้นเขาแล้วเจอสภาพอากาศที่หนาวจนแข็งไปถึงกระดูกคงไม่มีแรงเก็บภาพสวยๆ หรือคิดอะไรเจ๋งๆ เพื่อไปสร้างสรรค์ผลงานแน่
เมื่อรถไฟในเลาเทอร์บรุนเนินเคลื่อนตัวออก ระหว่างทางความสวยงามตระการตายิ่งมีมากกว่าเดิม เดือนพฤษภาคม เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ ดอกไม้นานาชนิดขึ้นเต็มภูเขาอย่างเห็นได้ยาก ด้วยรถไฟจะไต่ระดับขึ้นเขาช้าๆ ทำให้ฮันสามารถแชะภาพสวยๆ ได้ตลอดทาง
เมื่อถึงสถานีปลายทาง จะได้พบกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การสร้างทางรถไฟสายนี้ ที่จัดแสดงในอุโมงค์ยาว ไกด์นำเที่ยวบอกว่า ถ้ามาช่วงหน้าหนาวคงจะได้เห็นถ้ำและอุโมงค์น้ำแข็งที่มีรูปปั้นแกะสลัก พร้อมกับชมทัศนียภาพของธารน้ำแข็งอเล็ทช์ กลาเซียร์
อุณหภูมิเฉลี่ยบนยอดเขาแต่ละวันในฤดูใบไม้ผลิประมาณ 22.1° ฟาเรนไฮต์ จึงเห็นหิมะบนธารน้ำแข็งเป็นชั้นบางๆ แต่แบบภูเขาเขียวๆ ที่มีทุ่งดอกไม้สีสดผลิบานเต็มภูเขาก็สวยงามน่าอัศจรรย์ไม่แพ้กันเราอยู่ในยุคที่แก้ไขเรื่องสภาพอากาศของโลกไม่ทันแล้ว ที่ทำได้ตอนนี้มีเพียงการอนุรักษ์ และเร่งปลูกป่าเทียมเพื่อผลิตออกซิเจนให้แก่โลก ธรรมชาติที่ยังคงมีอยู่ในยุคนี้เป็นเสมือนมรดกอันล้ำค่าของมวลมนุษยชาติ
ผู้คนต่างก่นด่าบรรพบุรุษที่ไม่เคยแม้แต่จะใส่ใจในเรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดอย่างธรรมชาติ แต่กลับมาร้อนรนเมื่อทุกอย่างมันสายเกินแก้
ในยุค 21 มีนักวิทยาศาสตร์และนักขับเคลื่อนมากมายที่นำผลวิจัยมาปาหน้า ว่าโลกที่เราอยู่ตอนนี้มันอยู่ในจุดวิกฤต ถึงขนาดบอกว่าต่อให้อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในโลกจะหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หยุดปล่อยก๊าซที่เป็นพิษต่อโลกพร้อมกัน ก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว
แต่ผู้นำที่ยึดมั่น ถือมั่นในอำนาจของตนยังคงเชิดหน้าชูคอ เหมือนมีหัวไว้คั่นหู ไม่ฟังเสียงเรียกร้อง ไม่สนใจเรื่องของอนาคตเพราะบอกว่าตนเป็นคนอยู่กับปัจจุบัน วันๆ เอาแต่ยกอดีตมาตีหน้าปาไข่ใส่ผู้คัดค้านตน จะทำคุณประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมได้เช่นใด
เพราะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนตน เพราะรู้ว่าตัวเองคงอยู่ไม่ถึงวันโลกาวินาศ เพราะรู้ว่าคนที่จะได้รับเคราะห์กรรมนั้นเป็นคนรุ่นอื่น ไม่ใช่รุ่นของตน การยิ้มเหี้ยมให้กล้องและบอกว่าพวกเราจะทำให้ดีที่สุด จึงเป็นสิ่งที่ผู้นำสมัยนั้นนิยมปฏิบัติ
คาร์ลอสดูจะอึ้งไม่น้อยที่ได้เห็นดอกไม้หลากชนิดรวมตัวกันได้มากมายขนาดนี้ ฮันเห็นดวงตาสีฟ้าคู่สวยระยิบระยับท่ามกลางแสงแดดตกกระทบ แว่นตาอันใหญ่ไม่สามารถปกปิดใบหน้าคมคายสะท้อนแสงนี้ได้
แชะ
ฮันยกกล้อมฟิล์ม(ไม่ใช่ฟิล์มจริง แค่เลียนแบบสมัยก่อนโดยใช้ฟิลเตอร์) ขึ้นมาถ่าย จากมุมนี้จะเห็นคาร์ลอสที่ยืนสะพายเป้ข้างหนึ่ง สวมแว่นตากรอบดำทรงธรรมดาๆ มองไปยังทุ่งดอกไม้ด้วยสายตาอ่านไม่ออก แสงยามสายย้อมสีส้มอมนวลตกกระทบลงผิวขาวจัด ข้างหลังเห็นวิวยอดเขาหลายลูก สวยงามจนไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ถ่ายอะไร” คาร์ลอสหันมาถามเมื่อเห็นฮันยกกล้องมาที่ตนเอง
“ถ่ายวิว” ฮันว่าจะแอบเก็บภาพนั้นไว้ดูเอง แต่มีหรือจะโกหกอัลฟาหนุ่มช่างสังเกตได้
“ไหนดูหน่อย”
“อื้อ ไม่เอา ไหนเรามาถ่ายรูปคู่ตรงนี้กันเถอะ ก่อนขึ้นหอคอย” ฮันเอี้ยวตัวหนี เสียงหัวเราะคิกน้อยๆ แบบนั้นมันน่ารักน่าชมจนคาร์ลอสมองเพลิน
แน่นอนว่าถ้าคาร์ลอสมองว่าน่ารัก มีหรือที่คนอื่นจะไม่คิดว่าน่ารัก ฮันตั้งกล้องไว้กับขาตั้งที่พกมาเรียบร้อยก็วิ่งมายืนข้างกัน ระหว่างที่รอให้กล้องจับเวลาครบสิบวินาที ฮันบอกให้คาร์ลอสยิ้มแบบนี้ๆ ถ้าไม่รู้จะทำมือแบบไหนก็ให้ชูแบบนี้ คาร์ลอสทำตามทุกอย่าง แต่สิ่งที่อยากทำเองก็คือ
ฟอด
กว่าจะถึงสิบวินาทีที่รอคอย มันช่างยาวนานนักในความคิดของคนที่รอหอมแก้มนิ่ม
หลังจากที่คาร์ลอสตัดสินใจโน้มตัวลงกดจมูกกับแก้มของฮัน สิ่งแรกที่อัลฟาตัวโตเห็นคือรีแอคชั่นของคนตัวเล็กกว่า ดวงตากลมโตค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นเหมือนตัวสลอธ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่แสนเชื่องช้า และเสียงซุบซิบในความน่ารักของฮันเงียบลงไปแล้ว
ใช่...ต้องประกาศให้รู้ ว่าคนน่ารักตรงนี้มีคนหมายปองแล้ว
“อีกรูปไหม” คาร์ลอสเลิกคิ้วถาม เหมือนเหตุการณ์หอมแก้มฮันต่อหน้าคนหมู่มากไม่ได้เกิดขึ้นจริง
แต่สิ่งที่ฮันได้ยินเหมือนจะเพี้ยนไปหน่อยๆ เหมือนคนตัวเล็กได้ยินคำว่า
อีกฟอดไหม...แทนมากกว่า
“ซีแอลลล” ฮันเอ่ยเสียงค่อย อยากจะม้วนตัวเองเหมือนตัวกินมด แล้วกลิ้งๆ ลงเขาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
“ฮัน”
“...”
“ฮันนี่ครับ”
“แอร้ย แกดูคู่นั้นดิ หวานมดขึ้นเลยอะ”
“เราถ่ายรูปหอมแก้มกันบ้างดีไหมที่รัก”
ฮันเม้มปากแล้วสับขาหนีจากจุดเกิดเหตุ คาร์ลอสวิ่งไล่หลังเรียกฮันนี่อย่างนั้น ฮันนี่อย่างนี้เสียจนคนอื่นได้ยินกันหมด บอกเลย ถ้ากลับห้องแล้วโดนหยิกหูเขียวแน่ โทษฐานที่ทำให้เขินต่อหน้าคนหมู่มาก!
“เธอครับ”
“อะไรเล่า!” บอกเลยว่าไม่ได้จงใจขึ้นเสียงเพราะความโมโห และที่เดินเร็วไม่ใช่เพราะหนี แต่เพราะจะรีบไปขึ้นหอคอย Sphinx เพื่อชมวิวแบบ 360 องศาต่างหาก “นายจะวิ่งตามมาทำไม”
“ก็เราเป็นพาร์ตเนอร์ทำงานกันนี่”
เหมือนมีแฟลชแบ็กตอนที่ฮันวิ่งไล่หลังคาร์ลอส เรียกคุณโฮล์มส์อย่างนั้น คุณโฮล์มส์อย่างนี้ แล้วบอกว่าเราเป็นพาร์ตเนอร์กัน ก็ต้องทำงานด้วยกันเลยไม่ใช่หรอกเหรอ
แล้วจู่ๆ ฮันก็หยุดเดินกะทันหัน ทำให้คาร์ลอสเกือบชนแผ่นหลังเล็ก เหมือนตอนที่ฮันชนหลังของคาร์ลอสในตอนนั้น ฮันหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่จัดไว้เป็นจุดๆ ก่อนจะยกขวดน้ำขึ้นดื่ม
“เราเหนื่อย จะพักตรงนี้ก่อนค่อยไปต่อ”
“เธอโกรธเหรอ”
“เปล่า”
“โกรธที่ฉันหอมแก้มเธอต่อหน้าคณะทัวร์สินะ”
จะย้ำทำไมเนี่ย!
ฮันขมวดคิ้วมุ่น มองคนที่คุกเข่าลงตรงหน้า นั่นทำให้ฮันรีบหันไปมองรอบตัวว่ามีคนเดินพลุกพล่านหรือมองมาหรือเปล่า แต่ดีที่จุดตรงนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจนัก
“ขอโทษนะที่ทำให้เธออาย...แต่ว่ามีแค่ผมไม่ได้เหรอ”
“พูดอะไรของนาย ซีแอล ตอนนี้เราก็มีแค่นายอยู่แล้วนี่” ฮันเห็นรอยแดงน้อยๆ บนใบหน้าคม มันคือผิวหนังส่วนที่โดนแสงแดดมากไป เขาจึงหยิบผ้าเปียกซับหน้าผากให้ “อย่าลืมทาครีมกันแดดซ้ำนะ ถ้าผิวไหม้แดดมาจะแย่เอา”
“จะได้ผิวแทนสักทีไง”
“ไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าตากแดดนานๆ แบบไม่มีอะไรป้องกันผิว นอกจากคนผิวขาวจัดอย่างซีแอลจะไม่แทนขึ้นแล้ว ยังจะเป็นมะเร็งผิวหนังด้วยนี่สิ จะอาบแดดต้องอาบให้ถูกวิธีและถูกเวลาด้วย”
“เธอชอบคนผิวแทนหรือเปล่า ฉันจะได้ไปอาบแดด”
“อะไรกัน อยู่ๆ ก็เข้าเรื่องนี้ ซีแอลยังไม่มั่นใจในตัวเองอีกเหรอ”
“เปล่า...แค่อยากรู้ว่าเธอชอบแบบไหน ฉันจะได้พยายามเปลี่ยนตัวเองให้เธอชอบมากขึ้น...มากจนไม่หันไปมองคนอื่น”
“เป็นเอามาก...” ฮันย่นคอ แอบงงว่าอะไรที่ทำให้คาร์ลอสกลายร่างเป็นสุนัขตัวโตๆ แล้วเข้ามาอ้อนแบบนี้
“มีแค่ผมได้ไหม”
“หยุดเลย”
“นะ นะครับ ฮันนี่” ไหนจะทำเสียงอ่อนเสียงหวานจนฮันไม่สามารถเกร็งใบหน้าได้อีกต่อไป
“อ๊ากก บอกให้หยุดดด” ฮันยกมือปิดใบหน้าหล่อเหลาของคาร์ลอส ฝ่ามือคู่นั้นจึงถูกกอบกุมไปไว้ข้างแก้มแทน
“ผมไม่น่ารักตรงไหน” อัลฟาตัวโตจับมือนิ่มทับแก้มตัวเอง แล้วเอียงหน้าถาม บอกเลย ใครเห็นช็อตนี้ก็ต้องมีดิ้น “ไหนบอกว่าผมน่ารักไง รักผมหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ฮื่อ...อ้ย...เจ้าบ้าเอ๊ย” ฮันหน้าแดงจนไม่รู้ว่าจะแดงไปถึงไหน ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอธิบายความเขินของตัวเองในตอนนี้ด้วย รู้แค่ว่าถ้าใจมันจะเหลว ก็ขอให้ไปเอาแก้วน้ำมารองรอได้เลย
“ถ้าผมน่ารัก รับผมไปเลี้ยงสักตัวได้ไหม? ฮันนี่ครับ”
อร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
TBC
มาแน้ว ทุกคนจำได้ไหม ตอนไหนนี่แหละที่ฮันแชทกับเพื่อน แล้วมีหลุด 5555555 คุยกัน และช่าย ศัพท์แสลงของไทยเรานี่แหละฮะ ที่ไปเวิล์ดไวด์555
ครึ่งหลังคุณเขาเปงเอามากนะ อาการนี้พบได้มากในสุนัขตัวผู้ที่เกิดอาการหวงถิ่น เรียกว่าโรคหวงคู่ โปรดใช้จักรยานในการอ่าน
ทอล์คค่อนข้างยาว แต่อยากให้เลื่อนอ่านช่วงคำถามตอนท้ายทีค่ะ ถ้าใครขี้เกียจอ่านหลักการที่ได้อินสไปร์ก่อนมาเป็นเอฟอร์ส ข้ามไปได้ค่ะ
- เราลองวาดเอฟอร์สที่อยู่ในหัวออกมาให้ดูพอนึกตามออก สกิลวาดแย่มาก5555555 เน้นให้เห็นภาพพอนะ
แป้นพิมพ์ได้ inspire มาจาก Stenotype keyboard ค่ะ เป็นคีย์บอร์ดที่ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกบทสนทนาในชั้นศาล เพราะมันจะประมวลผลออกมาเป็นคำให้ได้ไว เป็นประโยคได้อย่างรวดเร็วกว่าแปนพิมพ์ที่เราใช้ๆ กันอยู่มากกก วิธีการพิมพ์แตกต่างจากแบบปกติ กดพร้อมกันได้หลายปุ่ม การกดพร้อมกัน 1 ครั้งสามารถสร้างคำได้ 1 คำเลยค่ะ ปกติคนที่พิมพ์แป้นธรรมดา ต่อให้จะพิมพ์ไวขนาดไหน ก็ได้อย่างเก่งสุดๆ 100 คำ/1 นาที แต่ Stenotype keyboard ทำให้เราสามารถพิมพ์ได้ 225 - 360 คำ/1 นาที ซึ่งเร็วกว่าการพูดไปอีก
แต่เดี๋ยวยิ่งอธิบายอาจจะยิ่งงง (คนอธิบายนี่แหละ5555) ดูตัวอย่างจากในคลิปนี้ได้เลย หลายคนอาจคิดว่ายากง่ะ ใช้แบบปกตินี่แหละ แต่ในมุมมองของเรา การเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่ช่วงแรกมันก็ยากกันทุกเรื่องทั้งนั้น สมัยเพิ่งมีพิมพ์ดีด คนก็ยังต้องมานั่งจำว่าตัวไหนอยู่นิ้วไหน จนมายุคคีย์บอร์ด Qwerty สิ่งเหล่านี้ถ้าฝึกฝนจนชิน ก็ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอนค่ะ
- สาเหตุที่เลือกใช้ steno ในการมาอะแดปแป้นเอฟอร์สของเราก็เพราะ ถ้าเป็นแป้นธรรมดาแบบที่เราใช้ๆ กันอยู่ ยกข้อมือขึ้นมาแล้วจิ้มๆ ทีละปุ่มไม่น่าเวิร์ค ปุ่มมันเยอะ ตัวก็คงต้องเล็กตาม โอกาสในการกดพลาด (จิ้มบนผิวหนังที่ฟอร์สแผ่รังสีออกมา) มีเยอะมาก จะให้พิมพ์ด้วยเสียงก็ทำได้แหละ แต่ลองนึกภาพว่าเรานั่งอยู่ในรถไฟฟ้าแล้วอยากส่งข้อความลับถึงแฟน เราก็คงไม่อยากให้ใครรู้ไม๊ แล้วก็มีตอนหนึ่งที่เราบรรยายไว้ว่าใช้สายตาพิมพ์ (พวกแกอย่าเพิ่งว่าชั้นเว่อ ปัจจุบันมันมีแล้วจริ๊ง) มันก็ค่อนข้างช้า กว่าเราจะกวาดสายตาไปทีละปุ่ม ถ้าพิมพ์ยาวๆ ไม่น่าสะดวก เมื่อยตา55555 แล้วเราก็เลยนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นคีย์บอร์ดแบบนี้ แต่จำชื่อไม่ได้ เสิร์ชหาทั้งวันจนมาเจอ เรียนรู้หลักการของมัน แล้วยืมบางส่วนมาใช้คร่าวๆ ในเอฟอร์สนี่ลองยกแขนข้างที่ใส่นาฬิกาขึ้นมา แล้วเอามืออีกข้างวางตรงแขน ซึ่งพอพิมพ์มือเดียว ปุ่มต้องน้อยลงแล้ว 1 อาจจะไม่สามารถลงมือครั้งนึง ได้เลย 1 คำ แต่จะให้เป็น ลงมือครั้งแรกคือเสียงต้น+สระ แล้วลงมือครั้งที่สองเป็นเสียงท้าย ถึงจะได้ 1 คำแทน ประมาณนี้ค่ะ
ลองดูเพิ่มเติมเผื่อใครสนใจ> https://youtu.be/8BPts60ZO_w
- ทั้งนี้ทั้งนั้น มันเป็นเซ็ตติ้ง 200 ปีข้างหน้าเนอะ ถึงแม้ว่าเราจะอยากให้เชื่อมโยงปัจจุบันและเรียลแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่รู้อนาคตจริงๆ ตอนนั้นมันอาจจะยังเป็นเหมือนเดิม หรือล้ำไปมากกกก แบบแค่คิดทุกอย่างก็เป็นได้อย่างที่ต้องการแล้วก็ได้
- ชื่อของสถานที่จริงในเรื่องถูกนำมากล่าวถึงเพื่อบรรยายฉาก วิวทิวทัศน์ หรืออะไรหลายอย่างอาจไม่ถูกต้อง 100% เพราะ 200 ปีข้างหน้าคงไม่มีอะไรเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้มีเจตนาทำลายชื่อเสียงของสถานที่แต่อย่างใด ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
ทุกโค๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน (ช่วงตะโกนคอแตกเสียงแหบแห้งสนใจผมนิดนุงฮรึ่ก)
เพื่อนๆ รู้จัก ARN BOOK (อ่านบุ๊ก) กันไหมคะ ARN เป็น Application ขายหนังสือและ E-book
ซึ่งเราคิดเอาไว้ว่าคงจะใช้บริการ ARN ในการพิมพ์หนังสือแบบเล่มส่งให้ทุกคน (รอก่องน้าปั่นๆ อยุ่ค้าบ)
ข้อดีสำหรับเราคือ 1.ไม่ต้องหาโรงพิมพ์เอง
2.ARN พิมพ์ แพ็ค และส่งให้นักอ่านเองเลยแบบครบวงจร
3.เราไม่ปวดหลัง
ข้อดีสำหรับนักอ่านคือ 1.ไม่รอเก้อ เพราะ ARN จะเปิดให้พรีหนังสือเรื่องนั้นๆ ได้ก็ต่อเมื่อนักเขียนส่งไฟล์ต้นฉบับพร้อมพิมพ์ให้แล้วเท่านั้น หมดปัญหาการดองและหายไปนั่นเองจ้า
2.นักอ่านสามารถสั่ง Pre-Order ได้ง่ายๆ ผ่านทาง ARN Application ทั้งบนระบบปฏิบัติการ Android, iOS และบนหน้าเว็บไซต์ arnbook.com
3.หลังจากปิด Pre-Order แล้ว ARN จะแพ็กหนังสืออย่างแน่นหนา และจัดส่งหนังสือให้ถึงมือนักอ่าน โดยผู้ให้บริการขนส่งพัสดุคุณภาพ สามารถติดตามและตรวจสอบสถานะพัสดุได้ตลอดเวลา
ซึ่งมีข้อเสียเร้กน้อยคือ 1.ถ้านักอ่านอยากได้อะไรเพิ่มเติมจากเรา อาจจะทำให้ไม่ได้ เช่น ขอลายเซ็นในเล่ม
ก็เลยอยากจะสอบถามนักอ่านค่ะว่าคิดเห็นอย่างไรถ้าเราจะเปิด Pre-Order ผ่านช่องทางนี้ สะดวกกับนักอ่านมากกว่าหรือไม่ อย่างไร ใครสาย E-book ยังไงเดี๋ยวมีลงให้ทั้งใน MEB และ ARN เลยค่ะ ตามแต่สะดวก
ส่วนตัวเราคิดว่าดีกับนักอ่านกว่ามาก เพราะเขามีทีมงานแพ็คจัดส่ง ดีกว่าเรานั่งแพ็คงกๆ กว่าจะเสร็จ กว่านักอ่านจะได้หนังสือค้าบTT
- มาบอกไว้ก่อง น่าจะอีกนานอยู่ค่ะ คิดว่าเปิดพรีไม่นาน ระยะเวลาโอนไม่น่าเกิน 1 เดือน ยังไงระหว่างนี้ใครอยากเก็บเล่ม หยอดปุกรอเบย (จำนวนหน้าแล้วเสร็จน่าจะประมาณ 1000 หน้านิดๆ (2 เล่มจบ ตอนพิเศษ 10 ตอน) แต่จะคุมราคาทั้งเซ็ตรวมส่งไม่ให้เกิน 900 บาทค่ะ ตีเลขกลมๆ ไว้ก่อง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดจะตีราคาให้ถูกกว่านี้ให้ได้!!)
- ถ้าใกล้สัปดาห์พรีออเดอร์แล้วจะแจ้งให้ทราบตลอดค่า
สามารถหวีด ร่วมพูดคุย แสดงความคิดเห็นผ่าน #IABOU
หรือเพื่อติดตามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของนิยายเรื่องนี้ที่เราจะลงไว้ที่นั่นได้เลย!
Comments (0)